Más contenido relacionado
Más de Utai Sukviwatsirikul (20)
“โรงพยาบาลเอกชนจะไปทางไหน”
- 1. โรงพยาบาลเอกชนจะไปทางไหน?
โดย...คณะกรรมการสมาคมโรงพยาบาลเอกชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2555
โรงพยาบาลเอกชนเกิดขึ้นมาเพราะความจำ�เป็นที่โรงพยาบาลของรัฐ
ไม่สามารถให้บริการรักษาพยาบาลได้อย่างเพียงพอ
จากเดิมที่โรงพยาบาลเอกชนจะมีขนาดเล็ก แพทย์เป็นเจ้าของคนเดียว
บริหารแบบครอบครัว แพทย์และบุคลากรด้านสุขภาพทำ�งานนอกเวลา
ให้บริการรักษาพยาบาลเพียงบางอย่างบางเวลา ไม่มีระบบควบคุมคุณภาพ
ปัจจุบันโรงพยาบาลเอกชนได้มีการพัฒนาจนกลายเป็นกิจการขนาดใหญ่
เจ้าของเป็นมหาชน บริหารแบบมืออาขีพ แพทย์และบุคลากรด้านสุขภาพ
ทำ�งานเต็มเวลา สามารถให้บริการรักษาพยาบาลโรคเฉพาะทางตลอด 24 ชั่วโมง
มีการฝึกอบรมและผลิตบุคลากร มีการวิจัยทางคลินิก
และได้รับมาตรฐานนานาชาติ
ปัจจุบันมีโรงพยาบาลเอกชน 321 แห่ง มีเตียงให้บริการรวม 32,828 เตียง โดยมีการจ้างงาน
ประมาณ 200,000 คน ก่อให้เกิดรายได้ในอุตสาหกรรมประมาณ 150,000 ล้านบาทต่อปี ให้
บริการผู้ใช้บริการประมาณ 55 ล้านครั้ง/ปี มีชาวต่างชาติที่ตั้งใจมารักษา 1.5 ล้านครั้งจาก
200 ประเทศทั่วโลก มีสัดส่วนของทรัพยากรหรือการให้บริการประมาณ 25-30%ของประเทศ
โรงพยาบาลเอกชนเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ ของผู้จ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยตนเอง ผู้มีประกัน
สุขภาพเอกชน หรือ ผู้ประกันตนของกองทุนประกันสังคม โรงพยาบาลเอกชนเป็นผู้มีส่วนสำ�คัญ
ในระบบบริการสาธารณสุข ยิ่งในระยะ 10 ปีหลัง ผลงานและชื่อเสียงกระจายไปทั่วโลกจนมีชาว
ต่างชาติมาใช้บริการ โรงพยาบาลเอกชนจึงกลายเป็นผู้มีบทบาทสำ�คัญต่อระบบบริการสุขภาพ
และการพัฒนาของประเทศที่ไม่ต้องใช้เงินรัฐจากภาษีอาการ
โรงพยาบาลเอกชนต่อเศรษฐกิจประเทศ
1. ให้การรักษาที่มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพ
โรงพยาบาลเอกชนจะเน้นบริการรักษาพยาบาลที่สะดวกรวดเร็วและมีคุณภาพ ปัจจุบันมี
โรงพยาบาลเอกชนได้ รับมาตรฐานประเทศไทย HA (Hospital Acoredited) จำ�นวนมาก
และ มาตรฐานนานาชาติ JCI Acoredited Organizations กว่า 20 แห่ง ในขณะที่ยังไม่มีโรง
พยาบาลของรัฐได้รับมาตรฐานนานาชาติ JCI เลย บริการที่สะดวกรวดเร็วและมีคุณภาพของ
โรงพยาบาลเอกชนสามารถดึงดูดผู้ป่วยใช้บริการปีละประมาณ 55 ล้านครั้ง ทั้งๆมีผู้ป่วยมีทาง
เลือกที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายถ้าเลือกไปใช้จากโรงพยาบาลของรัฐ รวมทั้งกรณีกองทุนประกัน
สังคมก็ปรากฏว่า ผู้ประกันตนก็เลือกโรงพยาบาลเอกชนเป็นโรงพยาบาลต้นสังกัดมากกว่าโรง
พยาบาลของรัฐ ทั้งๆที่โรงพยาบาลเอกชนมีจำ�นวนน้อยกว่าภาครัฐ
24 :
หนังสือครบรอบ 33 ปี สมาคมโรงพยาบาลเอกชน
- 2. 2. รายได้และมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
โรงพยาบาลเอกชนมีรายได้รวม 80,654.7 ล้านบาท (การ
สำ�รวจของสำ�นักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ. 2549) สามารถ
สร้างมูลค่าเพิ่ม 28,296.7 ล้านบาท หรือคิดเป็น 35% ซึ่ง
นับว่าสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์
ปั จ จุ บั น คาดว่ า โรงพยาบาลเอกชนมี ร ายได้ ป ระมาณ
150,000 ล้านบาทต่อปี
3. เกิดการจ้างงานและรายได้สู่ครัวเรือน
โรงพยาบาลเอกชนมีการจ้างงาน 141,699 คน (การสำ�รวจ
ของสำ�นักสถิติแห่งชาติ พ.ศ. 2549) เป็นพนักงานเต็มเวลา
107,509 คน (75.9%) เป็นบุคลากรด้านสุขภาพ 74.4 %
เป็นบุคลากรอื่น 25.6% จ่ายค่าจ้างบุคลากร 22,690.5
ล้านบาท นอกจากนี้เป็นแหล่งรายได้เพิ่มแก่บุคลากรด้าน
สุ ข ภาพของรั ฐ ที่ ใช้ เวลานอกราชการมาทำ � งานประมาณ
40,000 คน ปัจจุบันคาดว่าโรงพยาบาลเอกชนมีการจ้างงาน
จำ�นวนประมาณกว่า 200,000 คนขึ้นไป
4. ส่งเสริมอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
โรงพยาบาลเอกชนมีรายจ่าย
(ไม่รวมค่าจ้างพนักงาน)
39,730 ล้านบาท (การสำ�รวจของสำ�นักงานสถิติแห่งชาติ
พ.ศ. 2549) เป็นค่ายา/ เวชภัณฑ์ 19,122 ล้านบาท ค่าอาหาร
1,141 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสร้างรายได้ให้แก่อุตสาหกรรม
เกี่ยวข้องอื่นๆ
5. การลงทุนภาคเอกชนช่วยลดภาระการลงทุนของรัฐ
โรงพยาบาลเอกชนมีค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ถาวร 6,648.5
ล้านบาท (การสำ�รวจของสำ�นักงานสถิตแห่งชาติ พ.ศ. 2549)
ิ
ค่าเสื่อมราคานี้ สะท้อนรายจ่ายเงินลงทุนของเอกชนที่จ่าย
ไปแต่ละปี ถ้าจะให้บริการประชาชนได้จำ�นวนเท่าเดิมโดย
ไม่มีเงินก้อนนี้จากการลงทุนเอกชน
จะต้องใช้เงินลงทุน
จากรัฐมาทดแทน จึงเท่ากับเป็นการช่วยลดภาระการลงทุน
ของรัฐปีละ 6,648.8 ล้าน ถ้า 10 ปีก็จะเป็นเงินมากกว่า
66,488 ล้านบาท
6. ช่วยสนับสนุนโครงการ/ นโยบายสุขภาพของรัฐบาล
รัฐบาลมีโครงการนโยบายรักษาพยาบาลต่างๆ ซึ่งได้รับการ
สนับสนุนเข้าร่วมโครงการจากโรงพยาบาลเอกชนเป็นอย่าง
ดีเยี่ยม
แนวคิดด้านเศรษฐกิจต่อโรงพยาบาลเอกชน
แนวคิดด้านเศรษฐกิจที่สำ�คัญมี 2 อย่าง ดังนี้
1. แนวคิดสังคมนิยม / รัฐสวัสดิการ
แนวคิดนี้มองรัฐเป็นผู้รวมศูนย์กลางการจัดการการผลิต
โดยทำ�ให้เศรษฐกิจภาครัฐมีขนาดใหญ่โต ต้องการให้ภาครัฐ
ทำ�กิจการต่างๆทั้งหมด ควบคุมหรือกดบทบาทภาคเอกชน
ให้มากที่สุด ไม่ไว้วางใจ มุ่งหวังจำ�กัดการดำ�เนินงานภาค
เอกชน
แนวคิดนี้มองว่าโรงพยาบาลเอกชนเป็นธุรกิจที่ไม่พึงจะมี
เพราะ เป็นการหารายได้จากสุขภาพ รัฐควรควบคุม
เสมือนเป็นธุรกิจทำ�ลายสุขภาพ เช่นเดียวกันกับ
อุตสาหกรรมบุหรี่ สุรา โดยไม่ควร ส่งเสริมการลงทุน
หรือให้เรียกเก็บภาษีเพิ่มในอัตราก้าวหน้าหรือลงโทษ
2. แนวคิดเสรีนิยม
แนวคิดนี้รัฐกระจายอำ�นาจทางเศรษฐกิจให้ภาคเอกชน
เป็นผู้จัดการผลิต การผลิตของภาครัฐให้มีน้อยที่สุด ถ้ามีก็
เพื่อแทรกแซงตลาดเท่าที่จำ�เป็น รัฐจะดูแลกฎเกณฑ์ให้เกิด
การแข่งขันที่เป็นธรรมระหว่างผู้ผลิตกันเอง และระหว่าง
ผู้ผลิตกับผู้บริโภค
รัฐจะส่งเสริมภาคเอกชนในการเพิ่ม
ผลผลิต เพื่อให้เกิดรายได้ การจ้างงานอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
แนวคิ ด นี้ เ ห็ น ว่ า โรงพยาบาลเอกชนเป็ น ธุ ร กิ จ ที่ ค วร
ให้การส่งเสริมอย่างยิ่ง เพราะเป็นธุรกิจที่ดี ที่รักษาและช่วย
ชีวิตคนไข้ เป็นทางเลือกอันดับแรกของประชากรกลุ่มที่มี
รายได้ปานกลางขึ้นไป จะได้ไม่ไปแย่งใช้บริการที่แออัดของ
รัฐ มีการจ้างงานจำ�นวนมาก เกิดรายได้จากอุตสาหกรรม
ต่อเนื่องคือยาและเวชภัณฑ์ การผลิตบุคลากรสุขภาพ การ
ลงทุนภาคเอกชนช่วยลดภาระการลงทุนของรัฐ ในระยะ
หลั ง นำ � รายได้ เข้ า ประเทศจากบริ ก ารชาวต่ า งประเทศ
เหมือนอุตสาหกรรมส่งออกอื่นๆ
โรงพยาบาลเอกชนก่อให้เกิดรายได้เป็นภาษีทางตรง
และทางอ้อมให้แก่รัฐเป็นจำ�นวนมาก จึงเป็นธุรกิจที่รัฐพึง
ให้การส่งเสริมอย่างยิ่งในทุกด้าน
โรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ/ นโยบายของรัฐบาล
โครงการ/ นโยบาย
เปอร์เซ็นต์โรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วม
ประกันสังคม
กองทุนขาดแคลนแรงงาน
หลักประกันสุขภาพทั่วหน้า
ข้าราชการ
73.3
79.8
20.8
ปลดปล่อยศักยภาพของโรงพยาบาลเอกชน กับกระแสประชาคมอาเชี่ยน : 25
- 3. ..
โลกที่เปลี่ยนไป
โรงพยาบาลเอกชน
จะช่วยพัฒนา
ระบบสุขภาพอย่างไร
โลกาภิวัฒน์
และการเปลี่ยนแปลง
ในสังคมมีผลต่อ
แนวคิดนโยบาย
วิธีดำ�เนินงานอย่างมาก
..
โลกที่เปลี่ยนไป - โรงพยาบาลเอกชนจะช่วยพัฒนา
ระบบสุขภาพอย่างไร
โลกาภิ วั ฒ น์ แ ละการเปลี่ ย นแปลงในสั ง คมมี ผ ลต่ อ แนวคิ ด
นโยบายวิธีดำ�เนินงานอย่างมากของผู้เล่นต่างๆในระบบบริการ
สุขภาพ ดังนี้
1. แนวคิดสังคมนิยมล่มสลาย / รัฐสวัสดิการแผ่วลง
แนวคิดสังคมนิยมเคยเฟื่องฟูในอดีตสมัยสงครามเย็นก่อน
สหภาพโซเวียตจะล่มสลาย แนวคิดที่รัฐเป็นผู้ลงทุนเป็น
เจ้าของ จัดการเองทุกอย่างรวมทั้งบริการสุขภาพ ก่อให้
เกิดภาวะไร้ประสิทธิภาพอย่างรุนแรง ถูกเจ้าหน้าที่บิดเบือน
และเบียดบังไปตามความคิด / ผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่
โดยไม่ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคอย่าง
ทันท่วงที ทำ�ให้มีภาระรายจ่ายต่อภาครัฐมากมายมหาศาล
แต่ประชาชนไม่ได้รับบริการ กลุ่มรัฐสวัสดิการได้แก่ประเทศ
ในยุโรป ใช้แนวคิดให้รัฐจัดบริการพื้นฐานรวมทั้งบริการ
สุขภาพโดยภาครัฐเกือบ 100% เกิดสภาวะรอคิวรับบริการ
เป็นเดือนหรือเป็นปีทำ�ให้ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมาน ภาครัฐ
26 :
หนังสือครบรอบ 33 ปี สมาคมโรงพยาบาลเอกชน
มีภาระค่าใช้จ่ายมาก จนต้องใช้อัตราภาษีสูงมาก เมื่อภาษี
ไม่พอรัฐจึงไปกู้มา และกู้มากเกินรายได้รวมประชาชาติ
(GDP) ทำ�ให้เป็นต้นเหตุลุกลามจนกลายเป็นวิกฤตการณ์
เศรษฐกิจครั้งใหญ่ของยุโรปและของโลกในรอบ 80 ปี
ผู้ นำ � ประเทศผู้ มี วิ สั ย ทั ศ น์ เช่ น อดี ต นายกรั ฐ มนตรี
นางมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ได้กล้าเปลี่ยนแปล รัฐสวัสดิการของ
ประเทศอังกฤษให้เป็นเอกชนมากขึ้น (Privatization) มีผล
ทำ�ให้เศษรฐกิจพ้นความตกต่ำ�และกลับมาเข้มแข็งได้ใหม่อีก
ปัจจัย 4 กับบทบาทภาครัฐ / เอกชน
ปัจจัย 4 เป็นสิ่งจำ�เป็นสำ�หรับการดำ�รงชีวิต จะเห็นได้ว่าอาหาร
เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ดำ�เนินการผลิตโดยภาคเอกชนเป็น
ส่วนใหญ่ รัฐเข้าแทรกแซงเป็นครั้งคราวเช่น รับประกันราคา
ข้าว จำ�นำ�ข้าว ผลิตบ้านโครงการเอื้ออาทร แต่จะเห็นว่าเป็น
ส่วนน้อย
• ด้านยานั้น ผลิต / นำ�เข้าโดยภาคเอกชนเป็นส่วนใหญ่
องค์การ เภสัชกรรมมีบทบาทเพียงส่วนน้อย
- 4. • ด้านการรักษาพยาบาล
ภาครัฐมีบทบาทด้านการให้
บริการ 70-80% ซึ่งนับว่ามากเกินไปเหมือนระบบ
สังคมนิยม / รัฐสวัสดิการ ซึ่งไม่มีประสิทธิภาพจาก
ผลผลิตต่ำ�เมื่อเทียบกับทรัพยากรที่ใช้ไป
• ด้านผู้ซื้อบริการรักษาพยาบาล ภาครัฐก็มีบทบาทมาก
ได้แก่ สำ�นักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จ่ายค่า
รักษาพยาบาลให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ
ประมาณ 45 ล้านคน และกรมบัญชีกลางซึ่งจ่ายค่า
รักษาพยาบาลให้ข้าราชการ / ครอบครัว ประมาณ 5
ล้านคน สำ�นักงานประกันสังคมก็ดูแลการจ่ายค่ารักษาผู้
ประกันตนกว่า 10 ล้านคน ดังนั้นจึงเกิดคำ�ถามว่าภาค
รัฐมีบทบาทมากเกินไปในการให้บริการรักษาพยาบาล
หรือเปล่า?
เราน่าจะนำ�บทเรียนเหล่านี้มาใช้
เพื่อให้ระบบมี
ประสิทธิภาพ รัฐลงทุนแต่น้อยเท่าที่จำ�เป็น ในอนาคต
บริการสุขภาพภาครัฐควรจะมีขนาดเล็กลงกว่าภาคเอกชน
และเนื่อง จากบริการสุขภาพภาครัฐได้รับภาษีมาชดเชยจึง
จะต้องรับบทดูแลคนยากจนและผู้ด้อยโอกาสตามปรัชญา
ของรัฐที่ดี และปล่อยภาคเอกชนมีขนาดใหญ่ขึ้นสำ�หรับ
ดูแลประชากรส่วนใหญ่ที่เป็นชนชั้นกลางขึ้นไป
ภาครัฐควรลดบทบาทลงด้านระบบบริการสุขภาพ
ภาครัฐควรลดบทบาทลงด้านระบบบริการสุขภาพ
1. ด้านการเป็นผู้ให้บริการสุขภาพ (Medical Providers)
รัฐควรกำ�หนดเป้าหมายลดสัดส่วนการให้บริการของภาครัฐ
ให้เหลือ 30-40%ใน 10 ปี โดยมาตรการต่างๆ เช่น
1.1 การแปรรูปเป็นเอกชน (Privatization) เหมือนเช่น
บริษัทการบินไทยมหาชนจำ�กัด บริษัทปตท มหาชน
จำ�กัด บริษัทผลิตไฟฟ้า มหาชนจำ�กัด (EGCO) บริษัท
โรงไฟฟ้าราชบุรี มหาชนจำ�กัด บริษัทไปรษณีย์ไทย
มหาชนจำ�กัด
1.2 ควบคุมจำ�กัดจำ�นวนบุคลากรที่จะบรรจุเข้ารับราชการ
โดยที่นักเรียนทุกด้านสุขภาพเช่นแพทย์ พยาบาล มี
มากกว่าอัตราจ้าง ทำ�ให้รัฐไม่สามารถรองรับบรรจุได้
และปล่อยบุคลากรเหล่านี้ให้กบภาคเอกชนโดยปริมาณ
ั
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยปริยาย
1.3 ให้ท้องถิ่นเริ่มจัดบริการสุขภาพมากขึ้น (Decentrali zation) เป็นการกระจายอำ�นาจจากรัฐอย่างหนึ่ง อาจ
โอนกิจการบริการสุขภาพของราขการส่วนภมิภาคไป
ให้การปกครองส่วนท้องถิ่น
1.4 ส่งเสริมการจัดตั้งและขยายโรงพยาบาลเอกชน เพราะ
จะได้ ดึ ง ดู ด เงิ น ลงทุ น จากภาคเอกชนมาจั ด บริ ก าร
สุขภาพเพิ่มขึ้นทดแทนภาครัฐที่ลดขนาดลง
การปกครองท้องถิ่นเองก็เริ่มมีแนวคิดที่จะขยายการ
ให้บริการ ตัวอย่างเช่นองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ตเปิด
บริการโรงพยาบาลเต็มรูปแบบขึ้นขนาด 100 เตียงในเขต
เทศบาล และอนาคตจะมีองค์การปกครองท้องถิ่นจัดทำ�โรง
พยาบาลมากขึ้น
2. ผู้จ่ายค่าบริการรักษาพยาบาล (Payers)
ผู้จ่ายค่าบริการรักษาพยาบาล (Payers) ที่สำ�คัญทั้งภาครัฐ
และเอกชน มีดังนี้
2.1 ผู้จ่ายค่าบริการรักษาพยาบาลภาครัฐ
(1) กองทุนประกันสังคม
กองทุนนี้ดูแลผู้ประกันตนกว่า 10 ล้านคน เป็น
กองทุนที่ไม่เลือกปฏิบัติระหว่างผู้ให้บริการภาค
รัฐและเอกชน ทำ�ให้ได้รับความสนใจเข้าร่วมให้
บริการจากโรงพยาบาลเอกชนมาก เพราะเปิดเสรี
ให้ผู้ประกันตน
เลือกโรงพยาบาลเอง ทำ�ให้โรงพยาบาลเอกชนได้รับ
ผู้ประกันตนสมัครเข้าเป็นสมาชิกมากกว่าโรงพยาบาล
ของรัฐ
(2) กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
เป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุด ดูแลประชากร 45 ล้านคน
แต่นาเสียดายทีกองทุนฯ มอบหน้าทีดแลรักษาคนไข้
่
่
ู่
ให้แก่โรงพยาบาลมากกว่าค่าใช้จ่ายที่มอบให้ เลือก
ปฏิบัติกับโรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาลเอกชน
จึงเข้าร่วมน้อยและมีแต่จะขอถอนตัวเพิ่มขึ้น
ที่ จ ริ ง แล้ ว รั ฐ ธรรมนู ญ กำ � หนดให้ รั ฐ ดู แ ลผู้
ยากไร้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย แต่กองทุนหลักประกัน
สุ ข ภาพแห่ ง ชาติ ไ ปขยายดู แ ลประชากรทุ ก คน
ทำ � ให้ ต้ อ งดู แ ลคนจำ � นวนมากจนกิ น กำ � ลั ง งบ
ประมาณจากภาษี กองทุนฯจึงแก้ปัญหาเฉพาะ
หน้าคือลดรายจ่ายรายหัวลง ทำ�ให้โรงพยาบาล
ต่างๆเริ่มทนอยู่ในระบบของกองทุนฯไม่ได้
(3) กองทุนสวัสดิการรักษาข้าราชการ เดิมกองทุนนี้
บังคับข้าราชการ ให้ใช้โรงพยาบาลของรัฐเท่านั้น
(ยกเว้นกรณีฉกเฉิน) ต่อมาเริมผ่อนผันให้โรงพยาบาล
ุ
่
เอกชนเป็นผู้ให้บริการได้ แต่โรงพยาบาลเอกชน ก็
ถูกเลือกปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง
2.2 ผู้จ่ายค่าบริการรักษาพยาบาลภาคเอกชน
เอกชน/บุคคลจ่ายเงินตนเองเป็นค่ารักษา ได้แก่คารักษา
่
พยาบาลที่จ่ายโดยเงินของบุคคลหรือของครอบครัว
หรือจากบริษัทที่จ่ายให้ผู้บริหารเพิ่มเติมกว่าพนักงาน
ธรรมดา รัฐควรส่งเสริมโดยอาจพิจารณาให้ค่ารักษาใช้
ลดหย่อนภาษีรายได้ เป็นต้น
ปลดปล่อยศักยภาพของโรงพยาบาลเอกชน กับกระแสประชาคมอาเชี่ยน : 27
- 5. ประกันสุขภาพเอกชน เริ่มมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น
ปัจจุบันมีการใช้บริการประมาณ 2 ล้านครั้ง/ปี และมี
การขยายตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากประชาชนเห็นคุณค่าของ
การประกันสุขภาพมากขึ้น และมีสถานะทางรายได้ดี
ขึ้นที่จะจ่ายได้ รัฐควรส่งเสริมประกันสุขภาพภาคเอง
ชน เพราะจะลดภาระกองทุนภาครัฐลง
2. ภาระกิจโรงพยาบาลเอกชนในอนาคต
2.1 บริการสุขภาพ:
ภาคเอกชนได้รับการส่งเสริมและขยายตัว
จนมีขนาดใหญ่กว่าภาครัฐตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
2.2 ฝึกอบรมและผลิตบุคลากร
ด้านการผลิตบุคลากรด้านสุขภาพ มหาวิทยาลัยของ
รัฐไม่สามารถขยายกำ�ลังการผลิตบุคลากรให้เพียงพอ
กับความต้องการรวมของประเทศและจากต่างประเทศ
ภาคเอกชนจึงควรมีบทบาทด้านนี้เพิ่มขึ้น
2.2.1 ส่งเสริมการผลิตบุคลากรด้านสุขภาพมากขึ้นจาก
ภาคเอกชนโดยได้รับการปฎิบัติอย่างเท่าเทียมกัน
เพื่อให้อัตราบุคลากรด้านสุขภาพต่อประชากรดีกว่า
ในประเทศอาเซี่ยน (ASEAN) (ปัจจุบันประเทศไทย
อยู่ในตำ�แหน่งท้ายๆ)
กรณีเอกชนเป็นผู้ผลิต รัฐบาลต้องอุดหนุนงบ
ประมาณการผลิตต่อหัวโดยไม่เลือกปฏิบัติ
เช่น
ปัจจุบันรัฐส่งเสริมผลิตแพทย์ 300,000 บาท/หัว/
ปี และให้โรงเรียนแพทย์ของรัฐเท่านั้น ถ้าอุดหนุน
การผลิตของภาคเอกชนรัฐจะได้กำ�ลังผลิตจากภาค
เอกชน เข้ามาลงทุนผลิตแพทย์ เรื่องมาตรฐาน
ไม่ต้องกังวลเพราะนักศึกษาแพทย์ทุกคน (รัฐและ
เอกชน) จะต้องผ่านการสอบกลางของแพทยสภา
2.2.3 แพทยสภาและสถาบันฝึกอบรมแพทย์ควรอนุญาต
ให้ ภ าคเอกชนเป็ น ต้ น สั ง กั ด ในการส่ ง แพทย์ เรี ย น
สาขาเฉพาะทางได้ อ ย่ า งทั ด เที ย มโรงพยาบาลรั ฐ
ภาคเอกชนจะได้ไม่ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาแย่งแพทย์
เฉพาะทางจากภาครัฐ
2.2.4 ควรอนุญาตการรับนักศึกษาต่างชาติเข้ามาเรียนแพทย์
หรือฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางหลักสูตรนานาชาติ
ในโรงพยาบาลรัฐและเอกชน เพื่อจะให้ลูกศิษย์ต่าง
ชาติเหล่านี้ไปเผยแพร่ชอเสียงสถาบันของประเทศไทย
่ื
และส่งต่อคนไข้มาจากประเทศภูมิลำ�เนา รัฐบาล
ควรจัดให้มีทุนการศึกษาสำ�หรับกลุ่มเหล่านี้ด้วย
2.2.5 แพทยสภาควรอนุญาตให้แพทย์ต่างชาติผู้เชี่ยวชาญ
เฉพาะด้าน มาให้บริการและ ทำ�การสอนในโรง
28 :
หนังสือครบรอบ 33 ปี สมาคมโรงพยาบาลเอกชน
พยาบาลเอกชนได้เหมือนโรงพยาบาลรัฐ จะช่วยลด
ปัญหาขาดแพทย์และอาจารย์แพทย์ได้
2.3 การวิจัยคลีนิก
การวิจัยจะส่งเสริมการหาความรู้ใหม่ สร้างความเป็น
ผู้นำ�ค้าน สุขภาพอย่างยั่งยืน
ส่งเสริมการวิจัยคลินิก (Clinical Trial) การจะเป็นผู้นำ�
ด้านการรักษาพยาบาล จำ�เป็นต้อง อนุญาต / ส่งเสริมให้ภาค
เอกชนทำ�การวิจัยคลินิก โดยจะมีบริษัทยาข้ามชาติต้องการเปิด
ตลาดการวิจัยคลินิก รัฐควรพิจารณาดังการวิจัยต่อไปนี้
2.3.1 ส่งเสรมและให้ทุนวิจัยคลีนิก
2.3.2 อนุญาตให้ภาคเอกชนมีคณะกรรมการการวิจัยใน
มนุษย์และสามารถวิจัยได้ อย่างอิสระโดยไม่ต้องไป
ร่วมกับภาครัฐเสมอเหมือนปัจจุบัน
2.3.3 อนุ ญ าตให้ นำ � เข้ า วั ส ดุ เ พื่ อ การศึ ก ษาเป็ น ยาวิ จั ย
สำ�หรับกรณีภาคเอกชนเป็นผู้ขอและทำ�วิจัยอย่าง
ทัดเทียมกับภาครัฐ
3. ความเท่าเทียมกันและไม่เลือกปฏิบัติ
แนวคิดได้ระบุบไว้ในรัฐธรรมนูญและมีบทบาทสำ�คัญมาก
ขึ้นเรื่อยๆ โดยโรงพยาบาลเอกชนย่อมได้รับการปฏิบัติที่เท่า
เทียมกับโรงพยาบาลของรัฐในการปฏิบัติตามกฎหมาย ตั้งแต่
ก่อตั้ง / ดำ�เนินสถานบริการ การเผยแพร่โฆษณา การผลิต /
ฝึกอบรมบุคลากร การได้รับทุนชดเชยค่าผลิตบุคลากรสุขภาพ
ฯลฯ ศาลปกครองอาจจะถูกใช้มากขึ้นในอนาคต
4. ชาวต่างชาติมากขึ้น
รับจะต้องคิดนโยบายรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้
4.1 นักท่องเที่ยวนานาชาติเพิ่มขึ้น จากผลของการพัฒนา
เศรษฐกิจและสายการบินราคาต่ำ�เป็นสิ่งกระตุ้นและ
- 6. ส่งเสริมนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น บางคนเจ็บป่วยขณะ
ท่องเที่ยวหรือ ชาวต่างชาติเลือกซื้อบริการสุขภาพใน
ประเทศที่คุ้มค่า
4.2 ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ส่งผลให้เกิดการ
เคลื่อนย้ายการลงทุนแรงงานเพิ่มมากขึ้น คาดว่าในอีก
2-3 ปี ข้างหน้าจะมีแรงงานข้ามชาติถึง 5 ล้านคนจาก
ปัจจุบันประมาณ 2 ล้านคน
4.3 การย้ายถิ่นฐาน ค่าครองชีพที่ต่ำ�กว่าประเทศเพื่อน
บ้าน ทำ�ให้ประชากรที่เกษียณในประเทศพัฒนาแล้ว
มองเห็นโอกาสใช้ชีวิตที่ดีกว่าประเทศไทย
5. ส่งเสริมภาคเอกชน
5.1 ให้การส่งเสริมการลงทุนจาก สำ�นักส่งเสริมการลงทุน
(BOI) สำ�หรับโรงพยาบาลใหม่และการขยายบริการ
สำ�หรับโรงพยาบาลเก่า โดยให้สิทธิประโยชน์สูงสุด
(เพราะเป็นอุตสาหกรรมส่งออก) และไม่จำ�กัดเขตเนื่อง
จากโรงพยาบาลไม่สามารถตั้งอยู่ในที่ไม่มีประชากร
อาศัยเบาบาง
5.2 ผ่อนผันข้อกำ�หนดการห้ามโฆษณาของโรงพยาบาล
และผูประกอบวิชาชีพสำ�หรับการโฆษณาในต่างประเทศ
้
5.3 เร่งรัดการอนุมัติให้มีการใช้ยาใหม่ๆ
การจะเป็นผู้นำ�จะต้องสามารถใช้ยาใหม่ๆ ได้รวดเร็ว
ปัจจุบันยาใหม่ๆ จะเป็นยามะเร็ง แต่เดิมจะต้องใช้เวลา
เป็นปีในการขอขึ้นทะเบียนเป็นยา ควรให้มี ช่องาง
พิเศษ (Fast Track) ให้ใช้ได้เป็นอัตโนมัติสำ�หรับยาที่
ผ่านการรับรองจาก US คณะกรรมการอาหารและยา
(FDA) หริอ FDA บางประเทศที่มีมาตรฐานสูง ทั้งนี้
ลำ�นักงานอาหารและยาอาจจำ �กัดขอบเขตการใช้ยา
ในระยะแรกในโรงพยาบาลที่เข้าหลักเกณฑ์มาตรฐาน
(โดยไม่แยกสิทธิโรงพยาบาลรัฐและเอกชน)
5.4 ส่งเสริมการยกระดับมาตรฐานโรงพยาบาลเอกชน
จัดงบประมาณกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนามาตรฐาน
สู่สากล เช่น มาตรฐาน JCI
5.5 ส่งเสริมการร่วมมือโรงพยาบาลของรัฐกับโรงพยาบาล
เอกชน (Public Private Partnership)
5.5.1 การผลิตและฝึกอบรมแพทย์และบุคคลากรสุขภาพ
ร่วมกัน
5.5.2 การใช้เครื่องมือราคาสูงร่วมกัน
5.5.3 การวิจัยคลินิกร่วมกัน
6. สิ่งที่รัฐไม่ควรทำ�อย่างยิ่งได้แก่
6.1 รัฐไม่เก็บภาษีการรักษาพยาบาลจากผู้ป่วยต่างชาติ
ที่เดินทางเพื่อเข้ามารับการรักษาพยาบาลหรือจาก
ผู้ให้บริการในประเทศไทย และถือว่าการเก็บภาษีนี้
เป็นการซ้ำ�ช้อนและขัดนโยบายรัฐบาล
6.2 รัฐไม่ควบคุมอัตราค่าบริการ อัตราค่าบริการควร
ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกเสรีเพราะทุกสถานบริการ
จะถูกควบคุมโดยอัตราของคู่แข่งในประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากโรงพยาบาลของรัฐที่มี่อยู่
มากกว่าและทัวถึงกว่า และผูใช้บริการมีทางเลือกอยูแล้ว
่
้
่
6.3 รัฐไม่ดำ�เนินการแข่งกับเอกชน เช่น จัดตั้งโรงพยาบาล
แบบเอกชนในโรงพยาบาลของรัฐ
บทสรุป
ภายใต้ระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมโรงพยาบาลเอกชนเป็น
ธุรกิจที่ดีต่อประชาชนผู้เจ็บป่วย
เป็นทางเลือกแรกของ
ประชาชนผู้จ่ายเงินค่ารักษาด้วยตนเอง มีการจ้างงานจำ�นวน
มาก เกิดรายได้จากอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เกิดการผลิต
บุคลากรสุขภาพ การลงทุนภาคเอกชนช่วยลดภาระการลงทุน
ของรัฐ ในระยะหลังนำ�รายได้เข้าประเทศจากบริการชาว
ต่างประเทศเหมือนอุตสาหกรรมส่งออกอื่นๆ โรงพยาบาล
เอกชนก่อให้เกิดรายได้เป็นภาษีทางตรงและทางอ้อมให้แก่
รัฐเป็นจำ�นวนมาก
กลายเป็นผู้มีบทบาทสำ�คัญต่อระบบ
บริการสุขภาพและการพัฒนาของประเทศที่ไม่ต้องใช้เงิน
รัฐจากภาษีอาการ จึงเป็นธุรกิจที่รัฐพึงให้การส่งเสริมอย่าง
ยิ่งในทุกด้านให้มีสัดส่วนมากกว่าภาครัฐในอนาคต จะทำ�
ให้รัฐลดภาระค่าใช้จ่ายลง ประชาชนได้รับบริการที่ดีและมี
ประสิทธิภาพ รัฐบาลจะได้รับการสรรเสริญตลอดไป
ปลดปล่อยศักยภาพของโรงพยาบาลเอกชน กับกระแสประชาคมอาเชี่ยน : 29