9. 2-A9
นอกจากที่นักวิจัย/นักวิชาการจะได้รับประโยชน์จากการจัดทา OA แล้ว สถาบันต้นสังกัด
เองยังได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกันมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นแหล่งที่สาคัญที่มีการวิจัยและ
เผยแพร่องค์ความรู้แห่งหนึ่ง การจัดทา OA ทาให้มีการเข้าถึงผ่านเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยสร้างผลกระทบ
ต่องานวิจัยทั้งในแง่การเข้าถึงและการอ้างถึง ข้อมูลต่างๆ ที่ถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบทาให้ง่ายต่อ
การสืบค้นและเผยแพร่ การประเมินคุณภาพของงานวิจัยและบุคลากรทาได้สะดวกขึ้นและช่วยให้
การจัดการดูแลงานวิจัยต่างๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น ถือเป็นช่องทางของสถาบันทางหนึ่งในการ
เผยแพร่งานวิจัยและพัฒนาคุณภาพของสถาบันได้เป็นอย่างดี (OASIS, 2009)
3. ประโยชน์ต่อองค์กรธุรกิจ องค์กรธุรกิจก็ได้รับประโยชน์จากการทา OA เช่นกัน
เริ่มต้นจากการที่สานักพิมพ์เชิงพาณิชย์เองปรับตัวเองจากการตีพิมพ์วารสารวิชาการเชิงพาณิชย์
เพียงอย่างเดียว มาเป็นการรับทา OA ในรูปแบบ Open Access Journal มากขึ้น ทาให้สานักพิมพ์เอง
สามารถเสนอทางเลือกให้เลือกรูปแบบในการจัดพิมพ์ให้แก่ผู้เขียน สานักพิมพ์ยังสามารถประหยัด
ค่าใช้จ่ายในส่วนต่างๆ เช่น การจ้างผู้ทรงคุณวุฒิในการตรวจสอบคุณภาพของเนื้อหา ค่าจัดพิมพ์
ฯลฯ เพราะเป็นส่วนที่ผู้เขียนเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการทาเอกสาร OA นอกจากนี้ยังเป็นการ
ส่งเสริมการทาประโยชน์กลับสู่สังคมได้อีกทางหนึ่งของหน่วยงาน/องค์กรธุรกิจต่างๆ ภายใต้
แนวคิดเดียวกับนักวิจัย/นักวิชาการที่ต้องการคืนความรู้กลับสู่สังคมเพื่อการพัฒนาประเทศต่อไป
(OASIS, 2010) รวมถึงมีผลประโยชน์ต่อโอกาสที่จะลดความเสี่ยงในการผลิตสินค้าเกินความ
ต้องการได้เช่นกัน จากกรณีศึกษาสานักพิมพ์ Bloomsbury ที่อนุญาตให้งานเขียนของสานักพิมพ์ให้
สามารถเข้าถึงบนอินเทอร์เน็ต ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons และจัดพิมพ์ในรูปแบบ
Publish-on-demand (POD) หรือตีพิมพ์ตามคาสั่งซื้อ ซึ่งพบว่าสามารถขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น
เนื่องจากมีการเข้าถึงได้ง่ายขึ้นผ่านอินเทอร์เน็ต ทาให้ผู้ที่สนใจในตัวเล่มสามารถสั่งซื้อได้ใน
ภายหลัง (Murphy, 2009)
แถลงการณ์เกี่ยวกับ OA
เมื่อเกิดแนวคิด OA เกิดขึ้นจึงมีการประชุมเพื่อหาความหมายและแนวทางในการจัดทา OA
ขึ้น ในแถลงการณ์จะอธิบายแนวคิดและความหมายต่างๆ ของคาว่า Open Access เพื่อที่จะส่งเสริม
ให้เกิดการจัดทา OA ขึ้นในอนาคต คาแถลงการณ์เกี่ยวกับ OA ที่เป็นที่ยอมรับกันในวงกว้าง
ประกอบไปด้วย Berlin Declaration on Open Access to Knowledge in the Sciences and
Humanities, Bethesda Statement on Open Access Publishing, Budapest Open Access Initiative แต่
ละแห่งได้มีประเด็นและสาระสาคัญดังนี้
10. 2-A10
1. Budapest Open Access Initiative เป็นแถลงการณ์จากการประชุมที่จัดขึ้นในเมือง
Budapest ประเทศฮังการี ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2002 มีสาระสาคัญจากการพบว่าการนาเทคโนโลยี
ใหม่ประกอบกับการเผยแพร่องค์ความรู้แบบเดิมสามารถสร้างการนาเสนอองค์ความรู้แบบใหม่ ซึ่ง
ในอดีตนั้นนักวิทยาศาสตร์เองต้องการนาผลการวิจัยไปเผยแพร่เพื่อให้ความรู้ใหม่โดยไม่ต้องเสีย
ค่าใช้จ่าย การเกิดอินเทอร์เน็ตขึ้นช่วยให้สามารถเผยแพร่บทความที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพได้
ลดการปิดกั้นการเข้าถึง ช่วยต่อยอดการทาวิจัย เพิ่มพูนความรู้ และแบ่งปันความรู้ให้กระจายไปสู่ผู้
ขาดแคลนเพื่อเสริมสร้างให้มีความรู้มากขึ้น
จากเหตุผลต่างๆ ทาให้การเข้าถึงได้อย่างอิสระผ่านเครือข่าย ซึ่งเรียกว่า OA ถูกจากัดใน
วงการวารสารวิชาการมาอย่างยาวนาน และจากการค้นพบว่า OA ช่วยให้ผู้อ่านสามารถสืบค้น
ความรู้ที่ต้องการรวมถึงผลงานที่เกี่ยวข้องกัน รวมถึงช่วยให้งานของผู้เขียนมีการเผยแพร่ไปไกลขึ้น
และมีผลต่อ Impact factor ในวงการวิชาการได้ดีขึ้น และด้วยความต้องการที่จะรักษาผลประโยชน์
เหล่านั้น จึงได้มีการเรียกร้องให้สถาบันหรือบุคคลที่สนใจที่จะส่งเสริมให้การเข้าถึงงานเขียนได้
อย่างอิสระ ขจัดอุปสรรคต่างๆ โดยเฉพาะอุปสรรคทางด้านราคา ยิ่งมีการสนับสนุนมากขึ้นก็จะ
ได้รับผลประโยชน์จาก OA มากขึ้นเช่นกัน
ด้วยความต้องการให้งานเขียนต่างๆ สามารถเข้าถึงได้อิสระ เหตุผลหลักของการทา OA คือ
การให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงบทความที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพแล้ว และสามารถแสดงข้อคิดเห็น
เพื่อให้บทความมีคุณภาพมากขึ้น ด้วย OA นี้หมายถึงการเข้าถึงได้อิสระ อนุญาตให้ผู้ใช้นาไปใช้ได้
อย่างเสรี โดยมีข้อกาหนดทางลิขสิทธิ์ที่จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เขียนเมื่อนาไปอ้างอิง
นอกจากนี้พบยังทาให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและขยายการเผยแพร่องค์ความรู้ไปในวงกว้างในคราว
เดียวกัน จึงได้เสนอรูปแบบการทา OA เป็น 2 ประเภท คือ Self-Archiving และ Open-access
Journals โดยบทความเหล่านั้นไม่มีข้อจากัดในการเข้าถึง ใช้วิธีการต่างๆ ที่จะทาให้ไม่มีการเรียก
เก็บค่าใช้จ่ายจากผู้ใช้ โดยใช้การสนับสนุนทางการเงินจากแหล่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือ
องค์กรผู้ให้ทุนสนับสนุนการทาวิจัย มหาวิทยาลัยหรือองค์กรต้นสังกัดของนักวิจัยนั้น (“Budapest
Open Access,” 2002)
2. Bethesda Statement on Open Access Publishing เป็นแถลงการณ์จากการประชุมที่
จัดขึ้นเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2003 ที่สถาบัน Howard Huges Medical ในรัฐ Maryland ประเทศ
สหรัฐอเมริกา โดยมีจุดประสงค์เพื่ออภิปรายถึงงานวิจัยทางด้านชีวการแพทย์ (Biomedical) เพื่อหา
หนทางที่จะทาให้ OA เป็นแนวทางหลักสาหรับงานเขียนทางด้านวิทยาศาสตร์ โดยมีจุดมุ่งหมายให้
ทุกกลุ่มที่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น องค์กรผู้สนับสนุนการทาวิจัย นักวิจัย สานักพิมพ์ และผู้ใช้ที่
11. 2-A11
จะช่วยสนับสนุนให้มีการจัดทา OA และให้นิยามของการจัดทา OA ว่า “ผู้เขียนและผู้ถือลิขสิทธิ์
อนุญาตให้ผู้เข้าถึงผลงานได้อย่างเสรี อีกทั้งผลงานฉบับสมบูรณ์จะต้องทาให้อยู่ในรูปแบบเอกสาร
อิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นมาตรฐานและจัดเก็บไว้ในคลังความรู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันหรือ
หน่วยงานต่างๆ ที่ต้องการเปิดให้เป็น OA อย่างน้อย 1 แห่ง โดยไม่จากัดสิทธิ์ในการเข้าถึง รวมถึง
เก็บรักษาผลงานในระยะยาว” (Suber, 2003)
แถลงการณ์ฉบับเดียวกันนี้ยังอธิบายประโยชน์และแนวทางที่หน่วยงานที่สนับสนุนในการ
ทาวิจัย ห้องสมุดและสานักพิมพ์รวมถึงนักวิจัยในวงการวิทยาศาสตร์ จะช่วยส่งเสริมให้มีการจัดทา
OA ได้อธิบายดังนี้
1. แถลงการณ์ของสถาบันหรือหน่วยงานผู้ให้ทุนการทาวิจัย จากการประชุมมี
แนวทางร่วมกันว่าประโยชน์ของการจัดทา OA จาเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากสถาบันหรือ
หน่วยงานผู้ให้ทุนในการทาวิจัยโดยการ
1. ส่งเสริมให้ผลงานที่มีในหน่วยงานถูกจัดทาในรูปแบบ OA เพื่อให้
สามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ อันเป็นประโยชน์ต่อนักวิจัยและนักวิชาการ
2. ช่วยเหลือในค่าใช้จ่ายสาหรับการจัดทาเป็น OA ที่ผ่านการคัดกรอง
คุณภาพแล้ว
3. ประสงค์ให้เนื้อหาภายในชิ้นงานของผู้เขียนที่ถูกตีพิมพ์เป็นสิ่งที่จะทา
ให้ผู้เขียนได้รับความก้าวหน้าในอาชีพ ไม่ใช่จากชื่อวารสารที่บทความนั้นตีพิมพ์
4. ส่งเสริมให้ใช้จานวนของเอกสารที่ถูกทาเป็น OA สาหรับการพิจารณา
ประเมินคุณค่าของสถาบันหรือหน่วยงานนั้น
2. แถลงการณ์ของห้องสมุดและสานักพิมพ์ ห้องสมุดและสานักพิมพ์จะเป็นส่วน
สาคัญในการส่งเสริมการเผยแพร่งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ควรเปิดให้เข้าถึงได้อย่างเสรี อธิบาย
ดังต่อไปนี้
2.1 แนวทางของห้องสมุด
2.1.1 พัฒนากลไกในการพัฒนาการทา OA และกระจายไปสู่ชุมชน
2.1.2 ให้การฝึกสอนรวมถึงอธิบายถึงประโยชน์ของการทา OA ให้ผู้ใช้
2.1.3 ทาการแนะแหล่งสารสนเทศที่จัดทา OA
2.2 แนวทางของสานักพิมพ์
2.2.1 เสนอทางเลือกในการจัดทาเป็น OA ให้แก่นักวิจัยที่นาผลงานมา
ตีพิมพ์ในวารสารที่สานักพิมพ์เป็นผู้จัดทา
12. 2-A12
2.2.2 ประกาศถึงขั้นตอนและระยะเวลาในการทาบทความในวารสารไป
เป็น OA
2.2.3 ร่วมมือกับสานักพิมพ์อื่นในการพัฒนาเครื่องมือที่จะอานวยการทา
ต้นฉบับในรูปแบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นมาตรฐานสาหรับการจัดเก็บและง่ายต่อการสืบค้น
2.2.4 ให้การรับรองว่ารูปแบบการจัดทา OA ที่ผู้เขียนเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จะขจัดปัญหาในการเข้าถึงเอกสารของนักวิจัยที่ขาดแคลนการเข้าถึงโดยเฉพาะในประเทศที่กาลัง
พัฒนา
3. แถลงการณ์ของนักวิทยาศาสตร์และกลุ่มนักวิจัย
งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์มีกระบวนการทางานที่เป็นอิสระ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เอง
มีความสนใจที่ผลลัพธ์ของงานวิจัยที่ถูกเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์จึงมี
ข้อสรุปรวมกันที่ว่า
1. สนับสนุนในหลักการของการจัดทา OA
2. การจัดพิมพ์ถือเป็นพื้นฐานหลักของกระบวนการทาวิจัย ค่าใช้จ่ายของ
การตีพิมพ์จึงเป็นค่าใช้จ่ายหลักในการทาวิจัย
3. ชุมชนนักวิทยาศาสตร์เห็นพ้องกันที่จะสนับสนุนการจัดทา OA ในทุก
งานวิจัยที่ได้ตีพิมพ์ เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และความรู้ที่ได้รับให้แก่นักวิจัยรวมถึงบุคคลอื่นที่
ได้รับประโยชน์จากงานวิจัย
4. ให้คามั่นที่จะสนับสนุนการทา OA ด้วยการตีพิมพ์ แก้ไขและเรียบเรียง
ผลงานของตนลงในวารสารที่จัดทา OA
5. ให้การสนับสนุนที่จะประเมินถึงคุณค่าของเนื้อหาในบทความมากกว่า
ชื่อของวารสารที่บทความได้ตีพิมพ์
6. เห็นพ้องกันว่าการศึกษาถือเป็นส่วนสาคัญที่จะทาให้การทา OA ประสบ
ความสาเร็จ โดยการอธิบายถึงความสาคัญและเหตุผลถึงการสนับสนุนให้มีการทา OA (Suber,
2003)
3. Berlin Declaration on Open Access to Knowledge in the Sciences and Humanities
เป็นแถลงการณ์ที่เกิดขึ้นจากการประชุมนานาชาติในกรุงเบอร์ลินในวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ.2003 โดย
Max Planck Society เป็นองค์กรที่แต่งตั้งขึ้นเพื่อหาคานิยามของคาว่า Open Access มีสาระสาคัญ
เป้ าหมายของการประชุมนี้คือการขยายสารสนเทศเข้าไปในสังคมและสามารถนาไปใช้ได้ทั้งที่เป็น
การเผยแพร่ข้อมูลแบบดั้งเดิมและวิธีใหม่โดยการทาเป็น OA จากการประชุมได้ข้อสรุปว่า OA จะ
เป็นแหล่งข้อมูลที่ครอบคลุมความรู้และมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษย์ที่เป็นที่ยอมรับในวงการ
13. 2-A13
วิทยาศาสตร์ การที่จะจัดตั้ง OA ขึ้นจาเป็นต้องมีความเห็นพ้องกันว่าทุกๆ งานไม่ว่าจะเป็น ผลลัพธ์
จากงานวิจัย ข้อมูลดิบ การนาเสนอข้อมูลในรูปแบบดิจิทัลต่างๆ ฯลฯ จะต้องรองรับเงื่อนไขสาคัญ
สองประการคือ
1. ผู้เขียน หรือผู้ถือสิทธิ์อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงผลงานนั้นได้อย่างอิสระ ทั้ง
การนาไปคัดลอก ผลิต เผยแพร่สู่สาธารณะ ในรูปแบบดิจิทัล รวมถึงทาสาเนาเอกสารเพื่อการศึกษา
2. ทั้งผลงานฉบับเต็มและฉบับสาเนาที่ได้จากข้อแรกต้องถูกฝากไว้ในคลังข้อมูล
ออนไลน์โดยใช้เทคโนโลยีการจัดเก็บที่เป็นมาตรฐาน ได้รับการดูแลโดยสถาบันทางด้านวิชาการ
หน่วยงานของรัฐบาล หรือองค์กรที่เปิดให้มีการใช้ OA โดยไม่มีการจากัดการเผยแพร่ข้อมูล มีการ
ดาเนินงานอย่างเป็นระบบ และเก็บรักษางานในระยะยาว
จากจุดประสงค์ดังกล่าวทาให้องค์กรสนใจที่จะนาเสนอให้มีการจัดทา OA เพื่อ
สร้างประโยชน์แก่วงการวิทยาศาสตร์ ดังนั้นจึงมีแนวทางโดย
- ส่งเสริมให้นักวิจัยนาผลงานของตนมาทาเป็น OA
- สนับสนุนให้ผู้ที่ถือผลงานอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมส่งเสริมให้มีการจัดทา
OA ด้วยการนาผลงานของตนไปเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ต
- หาแนวทางที่จะผลิต OA ให้มีคุณภาพที่ดี
- สนับสนุนให้หน่วยงานต่างๆ พิจารณาการจัดทา OA
- ส่งเสริมให้มีการสนับสนุนด้านโครงสร้างของ OA โดยการพัฒนาระบบ
ซอฟต์แวร์เนื้อหา เมตาดาตา หรือการตีพิมพ์บทความเฉพาะด้านต่างๆ
- ให้มีเกิดกฎหมายที่ครอบคลุมการจัดทา OA เพื่อให้เกิดความสะดวกในการ
เข้าถึงและนาเอกสารออกไปใช้ได้มากขึ้น (Berlin Declaration, 2003)
แนวคิด Open อื่นๆ
นอกจากแนวคิดการเข้าถึงแบบเปิดแล้ว ยังมีแนวคิดอื่นที่ต้องการให้เกิดการเข้าถึงได้อย่าง
เสรีมากขึ้น ปัจจุบันมีแนวคิด Open อื่นๆ อีกเป็นจานวนมาก ตัวอย่างที่แนวคิดที่เปิดให้เป็นเสรี
ได้แก่ การเรียนรู้แบบเปิด (Open Education) เนื้อหาแบบเปิด (Open Content) และโปรแกรมรหัส
เปิด (Open source software - OSS) สามารถอธิบายได้ดังนี้
1. การเรียนรู้แบบเปิด (Open Education) เป็นการเผยแพร่ความรู้เพื่อเชิงการศึกษาใน
รูปแบบดิจิทัลที่มีคุณภาพสูง โดยมีการจัดระเบียบในรูปแบบของหลักสูตรต่างๆ ซึ่งเปิดให้เข้าถึงได้
ทุกคน ทุกที่ ทุกเวลาผ่านอินเทอร์เน็ต การเรียนรู้แบบเปิดให้ประโยชน์ 3 อย่างคือ การเข้าถึงและ
15. 2-A15
บรรณานุกรม
ชัยโย เตโชนิมิต. (ม.ป.ป.). หลักการพัฒนาโปรแกรมภาครัฐ. ค้นจาก http://gdi.nic.go.th/paper.html
ปัญญรักษ์งามศรีตระกูล. (2552). Open Access (OA) คืออะไร. ค้น จาก
http://share.psu.ac.th/blog/l-resource/12064
รติวัฒน์ ปารีศรี. (2550). แหล่งสารสนเทศวิชาการแบบเปิด (Open Access: OA). ค้น จาก
http://gotoknow.org/blog/elibrary/196147
ศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2552ก). Open access scholarly sesources. ค้น
จาก
http://www.stks.or.th/web/index.php?option=com_content&task=view&id=1852&Itemid
=132
ศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2552ข). Timeline open access. ค้นจาก
http://www.stks.or.th/web/index.php?option=com_content&task=view&id=590&Itemid=
132
สมชาย แสงอานาจเดช. (2552). Free หรือ Open Access. ค้น จาก
http://gotoknow.org/blog/phankam/293010
Atkins, D. E., Brown, J. S., and Hammond, A. L. (2007). A review of the open educational
resources (OER) movement: achievements, challenges, and new opportunities. Retrieved
from Hewlett database: http://www.hewlett.org/uploads/files/Hewlett_OER_report.pdf
Bailey, C. W. (n.d.). Key open access concepts: retrieved November 27, 2010 from
http://www.digital-scholarship.org/oab/concepts.htm
Benefits of open access for research dissemination. (2010). Retrieved from Open Access
Scholarly Information Sourcebook database: http://www.openoasis.org/
Berlin declaration on open access to knowledge in the sciences and humanities. (2003). Retrieved
from http://oa.mpg.de/lang/en-uk/berlin-prozess/berliner-erklarung/
Budapest Open Access Initiative supported by the Open Society Institute’s Information. (2002).
Retrieved from http://www.soros.org/openaccess/read.shtml
16. 2-A16
Budapest Open Access Initiative frequently asked questions. (2010). Retrieved from
http://www.earlham.edu/~peters/fos/boaifaq.htm#openaccess
Corrado, E. M. (2005). The importance of open access, open source, and open standards for
libraries. Retrieved from Issues in science & technology librarianship database:
http://www.library.ucsb.edu/istl/05-spring/article2.html
Funk, M. E. (2007). Open access – dreams and realities. Retrieved from IFLA database:
http://archive.ifla.org/IV/ifla73/papers/98-Funk-en.pdf
Informationsplattform Open Access: what does open access mean?. (n.d.). Retrieved from
http://open-access.net/de_en/general_information/what_does_open_access_mean/
Institutional advantages from open access. (2010). Retrieved from Open Access Scholarly
Information Sourcebook database: http://www.openoasis.org/
Jeffery, K. G. (n.d.). Open access: an introduction. Retrieved from
http://www.ercim.eu/publication/Ercim_News/enw64/jeffery.html
Jinha, A. E. (2010). Article 50 million: an estimate of the number of scholarly articles in
existence. Learned Publishing, 23(3), 258-263. Association of Learned and Professional
Society Publishers. Retrieved from
http://www.stratongina.net/files/50millionArifJinhaFinal.pdf
Library support for open access journals. (2010). Retrieved from Open Access Scholarly
Information Sourcebook database: http://www.openoasis.org/
Murphy, J. (2009). New entry tries new publishing model. Retrieved from
http://www.researchinformation.info/features/feature.php?feature_id=197
Nowick, E., & Jenda, C. (2004). Libraries stuck in the middle: reactive vs. proactive responses to
the science journal crisis. Science and Technology Librarianship. Retrieved from Science
and Technology Librarianship database: http://www.library.ucsb.edu/istl/04-
winter/article4.html
Open Access. (n.d.). Retrieved from http://www.eprints.org/openaccess/
17. 2-A17
Open Access Journal: business models. (2010). Retrieved from Open Access Scholarly
Information Sourcebook database: http://www.openoasis.org/
Open Access monographs: business issues. (2009). Retrieved from Open Access Scholarly
Information Sourcebook database: http://www.openoasis.org/
Open Source Initiative. (n.d.). The open source definition: Retrieved from
http://www.opensource.org/docs/osd
Promoting open access. (2010). Retrieved from Open Access Scholarly Information Sourcebook
database: http://www.openoasis.org/
Ryan, J., Avelar, I., Fleissner, J., Lashmet, D. E., Miller, J. H., Pike, K. H., et al. (2002). The
future of scholarly publishing from the ad hoc committee on the future of scholarly
publishing. Profession 2002. Retrieved From MLA database:
http://www.mla.org/pdf/schlrlypblshng.pdf
SHERPA. (2006). Opening access to research. Retrieved from
http://www.sherpa.ac.uk/romeoinfo.html
Suber, P. (2004). A Primer on open access to science and scholarship. Retrieved from
http://www.earlham.edu/~peters/writing/atg.htm
Suber, P. (2003). Bethesda statement on open access publishing. Retrieved from
http://www.earlham.edu/~peters/fos/bethesda.htm
Suber, P. (2010). Open access overview. Retrieved from
http://www.earlham.edu/~peters/fos/overview.htm
Timeline open access. (n.d.). Retrieved from
http://www.saranugrom.net/index.php/Timeline_open_access
White, S., & Creaser, C. (2007). Trends in scholarly journal prices 2000-2006. Retrieved from
Loughborough University database:
http://www.lboro.ac.uk/departments/ls/lisu/downloads/op37.pdf
Why librarians should be concerned with open access. (2010). Retrieved from Open Access
Scholarly Information Sourcebook database: http://www.openoasis.org/
18. 2-A18
Why Students support Open Access. (2010). Retrieved from Open Access Scholarly Information
Sourcebook database: http://www.openoasis.org/
Wiley, D. (1998). Open Content. Retrieved from
http://web.archive.org/web/19990429221830/www.opencontent.org/home.shtml