Más contenido relacionado Más de Dr.Choen Krainara (20) การบรรเทาผลกระทบและการปรับตัวจากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลเนื่องจากสภาวะโลกร้อน: การศึ2. 2
การบรรเทาผลกระทบและการปรับตัวจากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลเนื่องจาก
สภาวะโลกร้อน: การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ
การกัดเซาะชายฝั่งทะเลเป็นปัญหาที่เกิดในประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย มาหลายทศวรรษ หลายประเทศ
สูญเสียงบประมาณจานวนมากไ ปกับการแก้ปัญหาแบบลองผิดลองถูกมายาวนาน บทความนี้จึงใคร่ขอนาเสนอการศึกษา
เปรียบเทียบ บทเรียนของการจัดการและแก้ไข ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศซึ่ง เป็น
ประโยชน์สาหรับการเรียนรู้เกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่ดีหรือการเรียนรู้ความล้มเหลวในต่างประเทศ และอาจประยุกต์ใช้เป็น
แนวทางในการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลในประเทศไทยตามความเหมาะสมของพื้นที่เพื่อนาไปสู่การแก้ไขปัญหา
การกัดเซาะชายฝั่งทะเลอย่างยั่งยืน
1.บทเรียนการบรรเทาและการปรับตัวจากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลในต่างประเทศ 5 ประเทศ ประกอบด้วย
ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศเนเธอร์แลนด์ ประเทศฝรั่งเศส ประเทศศรีลังกาและประเทศเวียดนาม
1.1 ประเทศสหรัฐอเมริกา การกัดเซาะชายฝั่งทะเลเกิดขึ้นในทุกภูมิภาคของประเทศโดยมีสาเหตุสาคัญมาจากลมมรสุมขนาด
ใหญ่ น้าท่วม แรงคลื่น ระดับน้าทะเลที่สูงขึ้นและกิจกรรมการใช้ประโยชน์ที่ดินของมนุษย์ อัตราการกัดเซาะและผลกระทบ
จะเกิดขึ้นรุนแรงเฉพาะพื้นที่ เช่น อัตราการกัดเซาะชายฝั่งทะเลเฉลี่ย 25 ฟุตต่อปีบนเกาะนอกชายฝั่งทะเลของภาคตะวันออก
เฉียงใต้ซึ่งประกอบด้วย 3 รัฐคือ รัฐเซาแคโรไลน่า รัฐจอร์เจียและรัฐฟลอริด้า และอัตราการกัดเซาะเฉลี่ย 50 ฟุตต่อปีตามแนว
ชายฝั่งทะเลของภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งประกอบด้วยรัฐอินลินอย รัฐนิวยอร์ก รัฐนอทแคโรไลน่าและรัฐเพนซิวเวเนีย การ
กัดเซาะชายฝั่งทะเลได้ส่งผลกระทบระยะยาวทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านสังคม โดยพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นมาก
หากมีการกัดเซาะชายฝั่งทะเลแค่ 1 หรือ 2 ฟุต จะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อที่อยู่อาศัยของประชาชน ในแต่ละปีการ
กัดเซาะชายฝั่งทั่วประเทศทาให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินประมาณปีละ 16 ,000 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงความเสียหายที่เกิด
ต่อโครงสร้างและการสูญเสียที่ดิน เพื่อบรรเทาความเสียหายดังกล่าวรัฐบาลกลางสหรัฐได้จัดสรรงบประมาณเฉลี่ยปีละ 4,800
ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสาหรับเติมทรายและมาตรการควบคุมการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอื่นๆ แม้ว่าได้มีความ พยายามแก้ไข
ปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามเมื่อปี พ.ศ.2543 ศู นย์ HEINZ CENTER ได้ทาการศึกษาเพื่อประเมินอันตรายจาก
การกัดเซาะชายฝั่งทะเลให้แก่องค์การจัดการภัยพิบัติกลางของสหรัฐอเมริกาและพบว่าการกัดเซาะชายฝั่งทะเลจะทาให้
บ้านเรือนของประชาชน 1 หลังจากทุกๆ 4 หลัง ซึ่งมีระยะห่าง 500 ฟุต จากชายฝั่งทะเลของสหรัฐฯ จมหายไปในทะเล
ภายในกลางศตวรรษที่ 21
แนวทางการบรรเทาและการปรับตัว หากพื้นที่ใดมีหลักฐานชัดเจนว่ามีปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอยู่ในระดับที่ไม่อาจแก้ไขได้
รัฐบาลจะดาเนินการตามขั้นตอนคือ (1) ให้จากัดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเป็นการชั่วคราวโดยการก่อสร้างโครงสร้างเพื่อการ
ป้องกัน (2) ทาโครงการเติมทรายหรือสร้างหาดทรายเทียม (Beach-nourishment) พร้อมกับทาการศึกษาถึงผลกระทบจาก
การใช้โครงสร้างเพื่อป้องกันการกัดเซาะลุกลามและศึกษาถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น และ (3) ถ้าประสบผลสาเร็จให้ดาเนินการต่อ
ถ้าเกิดผลเสียให้ยกเลิกหรือรื้อถอนโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อการกัดเซาะนั้นออกไป โดยจุดแข็งของการจัดการชายฝั่งของ
สหรัฐอเมริกาได้แก่ ( 1) ความชัดเจนในบทบาทของรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นในการดูแลชายฝั่งทะเลโดยมีกฎหมายที่ใช้
ร่วมกันในระดับภาพรวมและในระดับมลรัฐที่มีพื้นที่ติดชายฝั่งทะเล (2) มีกฎหมายเพื่อการอนุรักษ์และควบคุมการใช้
ทรัพยากรชายฝั่งโดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความเปราะบางเป็นพิเศษ เช่น Coastal Barrier Resources Act,1982 รวมทั้งพื้นที่ที่มี
ความเปราะบางอื่นๆ เช่น แนวสันทรายชายฝั่งและสันทรายปากแม่น้า ( 3) มีแนวปฏิบัติที่นาองค์ความรู้ทางวิชาการมา
ประกอบการตัดสินใจแก้ปัญหาในกรณีต่างๆ เช่น สนับสนุนเงินงบประมาณให้มลรัฐทาการศึกษาทดลองแก้ปัญหาก่อนการ
ปฏิบัติจริง (4) สนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และเฝ้าระวังพื้นที่ชายทะเลในรูปแบบของกองทุนอย่างต่อเนื่อง ใน
บางมลรัฐจะมีกฎหมายควบคุมไม่อนุญาตให้ก่อสร้างโครงสร้างในการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง เช่น North Carolina Law
3. 3
เพราะมีผลการศึกษาชัดเจนว่าโครงสร้างไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาการกัดเซาะแต่กลับสร้างปัญหาการกัดเซาะพื้นที่ข้างเคียงเพิ่มขึ้น
และ (5) กาหนดระยะถอยร่นของชายทะเลเพื่อควบคุมสิ่งปลูกสร้างชายทะเลในรัฐต่างๆแบ่งออกเป็น 1) รัฐที่กาหนดระยะ
แบบตายตัว เช่น รัฐเมน 75 ฟุต รัฐเดลลาแว 100 ฟุต รัฐอลาบามา 120-450 ฟุต และ 2) รัฐที่กาหนดระยะแบบไม่ตายตัว
เช่น รัฐนิวยอร์ก 25 ฟุต+ 40 เท่าของอัตรากัดเซาะต่อปี รัฐนอทแคโรไลน่า 120 ฟุต หรือ 60 เท่าของอัตราการกัดเซาะต่อปี
รัฐโรดไอแลนด์ 50 ฟุต หรือ 30 เท่าของอัตราการกัดเซาะต่อปี รัฐนิวเจอร์ซี่ 50 เท่าของอัตราการกัดเซาะต่อปี โดยการขอ
อนุญาตสร้างสิ่งปลูกสร้างภายหลังประกาศข้อกาหนดนี้จะไม่อนุญาตให้สร้างใกล้กว่าระยะถอยร่นที่กาหนดไว้ในทุกกรณี ส่วน
สิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่ก่อนข้อบังคับอาจถูกให้รื้อถอนบางส่วนออกตามความเหมาะสม การพิจารณาให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่
แล้วนั้นจะใช้ความเข้มงวดกับสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่มากกว่าสิ่งปลูกสร้างขนาดเล็ก เช่น บ้านเรือนซึ่งมักจะได้รับการผ่อน
ปรน
1.2 ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้รับผลกระทบจากน้าท่วมและการกัดเซาะชายฝั่ง ในอดีตพายุหมุนจากทะเลและน้าท่วมได้สร้าง
ความเสียหายอย่างรุนแรงและทาให้มีผู้เสียชีวิต โดยร้อยละ 60 ของประชากรทั้งประเทศอาศัยอยู่ในพื้นที่ต่ากว่าระดับน้าทะเล
และประมาณร้อยละ 65 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเกิดจากพื้นที่ชายฝั่งทะเล
แนวทางการบรรเทาและการปรับตัว ประเทศเนเธอร์แลนด์ได้ใช้เงินลงทุนจานวนมากเพื่อ ก่อสร้างแนวป้องกันชายฝั่งโดยใช้
วิธีการผสมผสานกันทั้งวิศวกรรมที่ใช้โครงสร้างและวิศวกรรม แบบไม่ใช้โครงสร้าง โดยแนวป้องกันชายฝั่งที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ
โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่บริเวณปากแม่น้าไรน์-เมิส-เชลดา หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า Delta Works เพื่อกั้นการท่วมของน้า
ทะเล โดยโครงการประกอบด้วยการสร้างเขื่อน ประตูปิด-เปิดน้าและพนังกั้นน้า ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันชายฝั่งในพื้นที่ปาก
แม่น้าทางตอนใต้หลังจากประสบปัญหาอุทกภัยร้ายแรงในปี พ.ศ.2496 และสะท้อนความก้าวหน้าทางวิศวกรรมซึ่งถือได้ว่า
เป็น 1 ใน 7 ของสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน อย่างไรก็ตามชายฝั่งทะเลพื้นที่อื่นๆได้รับการจัดการด้วยวิธีการทาง
วิศวกรรมแบบไม่ใช้โครงสร้าง เช่น วิธีการจัดการชายหาดเพื่ออนุรักษ์กระบวนการทางธรรมชาติและภูมิทัศน์ชายหาด หรือการ
จัดการระยะถอยร่นในพื้นที่ชายหาดฟรีเซียน (Frisian) ทางภาคเหนือของประเทศ เป็นต้น
1.3 ประเทศฝรั่งเศส มีชายฝั่งทะเลยาว 5 ,500 กม. โดยจาแนกชายฝั่งทะเลออกเป็น 4 ลักษณะคือ ภูเขาหิน หน้าผา
ชายหาดแบบเปิดและหาดเลน ปัจจุบันยังขาดสถิติและข้อมูลที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับสถานการณ์และระยะทางของชายฝั่งที่ประสบ
ปัญหาการกัดเซาะทั้งประเทศ แต่พบว่าปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งปรากฏชัดเจนในหลายพื้นที่ของเมดิเตอเรเนียน นอมังดีและ
พื้นที่ตอนเหนือของประเทศ
แนวทางบรรเทาและการปรับตัว ตั้งแต่ปี พ.ศ.2516 เป็นต้นมาฝรั่งเศสได้ปรับเปลี่ยนการจัดการชายฝั่งจาก “แนวทางแบบ
ต้านธรรมชาติ” มาเป็น “แนวทางที่สอดคล้องกับธรรมชาติ” มากขึ้น โดยสนับสนุนให้มีการคาดการณ์สถานการณ์ การสร้าง
แนวป้องกันที่ใช้โครงสร้างทางวิศวกรรมให้น้อยลงและการสร้างความรู้เกี่ยวกับระบบธรรมชาติต่างๆมากยิ่งขึ้น การจัดการ
ชายฝั่งของฝรั่งเศสในปัจจุบันอยู่ภายใต้กฎหมายและกฎระเบียบจานวนมาก ตามกฎหมายชุมชนท้องถิ่นได้รับอนุญาตให้จัดทา
แนวป้องกันชายฝั่งเพื่อปกป้องผลประโยชน์ร่วมกันของชุมชนเมื่อมีความจาเป็น โดยเทศบาลหรือชุมชนเป็นผู้ลงทุนก่อสร้าง
แนวป้องกันชายฝั่งและอาจได้รับเงินสนับสนุนเพิ่มเติมจากจังหวัด จากกรณีพายุเฮอริเคนซินเทียได้พัดถล่มชายฝั่ง Charente
เมือปี 2553 ได้กระตุ้นให้รัฐบาลกลางและหน่วยงานท้องถิ่นจาเป็นต้องมีวิสัยทัศน์ทั้งระยะกลางและระยะยาวเพื่อผลักดัน
ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งให้เป็นประเด็นสาคัญระดับประเทศ หลังจากนั้นในปี 2555 รัฐสภาของฝรั่งเศสได้เผยแพร่รายงาน
หลายฉบับเพื่อใช้เป็นแนวทางสาหรับการกาหนดยุทธศาสตร์การจัดการชายฝั่งทะเลระดับชาติ การจัดทาแนวถอยร่นเชิง
ยุทธศาสตร์และการจัดทาแนวป้องกันชายฝั่งทะเล
4. 4
1.4 ประเทศศรีลังกา มีชายฝั่งทะเลเป็นระยะทาง 1 ,562 กม. มีชายฝั่งที่ประสบปัญหาการกัดเซาะดับปานกลางถึงระดับ
รุนแรงระยะมีทางยาว 500 กม. โดยประมาณร้อยละ 65 ของพื้นที่เมืองตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเล ประชากรประมาณร้อยละ
40 ของประเทศหรือประมาณ 7.2 ล้านคน อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ตั้งแต่กรุงโคลัมโบถึงเมืองกาลลีซึ่งเป็นพื้นที่
ที่ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งรุนแรงที่สุด โดยสาเหตุหลักของการกัดเซาะชายฝั่งเกิดจากลมมรสุม การทาเหมืองทราย
การสร้างท่าเรือ และสิ่งปลูกสร้างรุกล้าเขตชายฝั่ง ที่ไม่เหมาะสม การขุดปะการัง รวมถึงการป้องกันชายฝั่งด้วยวิธีการที่ไม่
เหมาะสมทาให้เกิดผลกระทบแบบลูกโซ่ ปัจจุบันระดับน้าทะเลที่สูงขึ้นได้เพิ่มความเสี่ยงให้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลมี
ความรุนแรงมากขึ้น
แนวทางการบรรเทาและการปรับตัว ประเทศศรีลังกาออกกฎหมายอนุรักษ์ชายฝั่งตั้งแต่ปี พ.ศ.2524 โดยให้กรมอนุรักษ์
ชายฝั่งมีอานาจควบคุมและจัดการปัญหาตามกฎหมาย มีการกาหนดระยะถอยร่นห่างชายฝั่งเพื่อเป็นแนวป ฏิบัติในการใช้
ประโยชน์ไว้อย่างชัดเจน โดยขอบเขตชายฝั่งวัดจากระยะทาง 300 ม. จากระดับน้าขึ้นสูงสุดเข้าสู่ฝั่ง และวัดออกจากระดับน้า
ขึ้นสูงสุดออกสู่ทะเลระยะทาง 2 กม.การจะสร้างสิ่งปลูกสร้างใดๆ ในเขตพื้นที่ดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตจากทางราชการ ตั้งแต่
ปี 2535 เป็นต้นมาได้จัดทาแผนจัดการชายฝั่งทะเลทุกระยะเวลา 5 ปี โดยมีเป้าหมายสาคัญเพื่อควบคุมการกัดเซาะ การ
จัดการที่อยู่อาศัย การป้องกันทัศนียภาพชายฝั่งทะเล สถานที่สาคัญทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ตลอดทั้งสนับสนุนให้
ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการพื้นที่เฉพาะชายฝั่งทะเลและการเตรียมความพร้อมของชุมชนเพื่อปรับตัวจากผลกระทบของ
สภาวะโลกร้อนและระดับน้าทะเลที่ค่อยๆเพิ่มสูงขึ้น
1.5 ประเทศเวียดนาม เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนมากที่สุดโดยมี 28 จังหวัด
ชายฝั่งทะเลรวมระยะทางยาว 3 ,200 กม. สาเหตุหลักของการกัดเซาะชายฝั่งเกิดจากลมมรสุมที่มีบ่อยขึ้นและรุนแรงมากขึ้น
การใช้ประโยชน์จากทรายและปะการังเกินควร การตัดป่าไม้โกงกางและการเพิ่มจานวนของรีสอร์ทบริเวณชายฝั่งทะเลอย่าง
รวดเร็ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 จนถึงปัจจุบัน มี 7 จังหวัดที่ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลมากที่สุดคือ จังหวัดบินเทือง
จังหวัดกวางนัม จังหวัดกวางไน จังหวัดพูเย็น จังหวัดทานเหือ จังหวัดเตียงเกียงและจังหวัดเทือเทียนเว้ โดยจังหวัดทานเหือ
และจังหวัดเตียงเกียงมีชายฝั่งถูกกัดเซาะระหว่าง 15-30 ม./ปี ส่วนกรุงโฮจิมินห์ซิตี้และจังหวัดทราวินห์มีชายฝั่งถูกกัดเซาะ
ระหว่าง 10-20 ม./ปี สาหรับจังหวัดเทือเทียนเว้มีพื้นที่ชายฝั่งถูกกัดเซาะเป็นระยะทางยาว 30 กม.
แนวทางการบรรเทาและการปรับตัว ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาเนื่องจากประชาชนยังไม่ตระหนักถึง
ความสาคัญของการบรรเทาผลกระทบทาให้สถานการณ์เป็นไปในทางที่แย่ลง นอกจากนี้ยังประสบปัญหาขาดแคลน
งบประมาณในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเล เกิดความซ้าซ้อนและความไม่ต่อเนื่องของนโยบายปกป้องสิ่งแวดล้อมทาให้
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่สามารถจัดการปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขาดแผนยุทธศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง
ระดับชาติ โดยรัฐบาลเวียดนามได้ให้ความสาคัญกับการแก้ไขปัญหานี้แต่ดาเนินการได้อย่างล่าช้าเนื่องจากเศรษฐกิจ
ภายในประเทศซบเซาทาให้ในปัจจุบันต้องอาศัยความช่วยเหลือจากต่างประเทศเพื่อการบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้า
2. การเปรียบเทียบ บทเรียน การบรรเทาและการปรับตัวจากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลระหว่างประเทศไทยกับ
ต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศเนเธอร์แลนด์ ประเทศฝรั่งเศส ประเทศศรีลังกาและประเทศเวียดนาม
2.1 ความคล้ายคลึง ทั้งประเทศไทยและต่างประเทศเหล่านี้ต่างประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลตั้งแต่ระดับปานกลาง
ถึงระดับรุนแรง และจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศโลกและการเพิ่มขึ้นของระดับน้าทะเลส่งผลให้ปัญหาการกัดเซาะ
ชายฝั่งมีความรุนแรงมากขึ้นจนกลายเป็นปัญหาระดับชาติ โดยรัฐบาลไทยและรัฐบาลต่างประเทศเหล่านี้ได้ใช้เงินงบประมาณ
5. 5
จานวนมากเพื่อแก้ไขปัญหาและบรรเทาผลกระทบ รวมทั้งมีความพยายามจัดทามาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาตามสภาพของพื้นที่
ชายฝั่งทะเลแต่บางพื้นที่ยังไม่สามารถหยุดยั้งการกัดเซาะชายฝั่งทะเลได้ จึงจาเป็นต้องเรียนรู้ ทดลองและคิดค้นวิธีการเพื่อการ
การบรรเทาและการปรับตัวที่เหมาะสมและยังยืน
2.2 ความแตกต่าง ด้านการบรรเทาและการปรับตัวจากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลของแต่ละประเทศมีดังนี้
ประเทศไทย ได้จัดทาแผนยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลระดับชาติแต่ยังไม่มีกฏหมายเฉพาะใน
การจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเลของชาติโดยองค์รวมที่เป็นการจัดการทั้งระบบนิเวศ ไม่มีการกาหนดระยะถอยร่น
และยังขาดการบูรณาการของกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องรวมทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชนในการ
จัดการปัญหาและการปรับตัวจากผลกระทบ ส่วนใหญ่จัดทาโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาโดยวิธีการทางวิศวกรรมที่ใช้
โครงสร้างโดยไม่คานึงถึงขอบเขตของผลกระทบที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการแทรกแซงธรรมชาติโดยไม่จาเป็น
นอกจากนี้ยังขาดการควบคุมการใช้ประโยชน์พื้นที่ชายทะเลอย่างเหมาะสมและสังคมยังขาดความรู้ความเข้าใจที่
ถูกต้องในระบบนิเวศของหาดทรายธรรมชาติ
ประเทศสหรัฐอเมริกา มีการกาหนดขั้นตอนและบทบาทของหน่วยงานภาครัฐในการแก้ไขปัญหาอย่างชัดเจน
ส่งเสริมการทาโครงการเติมทรายและลดการใช้โครงสร้างทางวิศวกรรมที่แทรกแซงธรรมชาติ มีการนาองค์ความรู้
ทางวิชาการมาประกอบการตัดสินใจแก้ปัญหาควบคู่ไปกับการมีกฎหมายอนุรักษ์และควบคุมทรัพยากรชายฝั่งและ
การกาหนดระยะถอยร่น รวมทั้งการสนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และเฝ้าระวังชายฝั่งในรูปกองทุน
ประเทศเนเธอร์แลนด์ จัดการปัญหาแบบผสมผสานทั้งแบบวิศวกรรมที่ใช้โครงสร้างและแบบวิศวกรรมที่ไม่ใช้
โครงสร้าง เช่น การจัดการชายหาด การปรับภูมิทัศน์ชายหาดและการจัดการระยะถอยร่น
ประเทศฝรั่งเศส ได้ปรับเปลี่ยนแนวทางจัดการชายฝั่งจากแนวทางแบบต้านธรรมชาติมาเป็นแนวทางที่สอดคล้อง
ธรรมชาติมากขึ้น โดยมีกฏหมายเกี่ยวกับการจัดการชายฝั่งจานวนมากและชุมชนท้องถิ่นได้รับอนุญาตให้จัดทาแนว
ป้องกันชายฝั่งในพื้นที่ของตนเองได้โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากจังหวัด ตลอดทั้งผลักดันให้มีการจัดทา
ยุทธศาสตร์แก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งระยะยาว
ประเทศศรีลังกา ได้ออกกฎหมายอนุรักษ์ชายฝั่งและมีการกาหนดระยะถอยร่นอย่างชัดเจน ตลอดทั้งมีการจัดทา
แผนยุทธศาสตร์การจัดการชายฝั่งทุกระยะเวลา 5 ปี และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นในการจัดการการ
กัดเซาะชายฝั่งและการเตรียมพร้อมรับมือกับสภาวะโลกร้อนและระดับน้าทะเลสูงขึ้น
ประเทศเวียดนาม ยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการแก้ปัญหาเนื่องจากประชาชนยังไม่ตระหนักถึงความสาคัญของปัญหา
ทาให้สถานการณ์แย่ลง นอกจากนี้ยังประสบปัญหาการขาดแคลนงบประมาณ ความซ้าซ้อนและไม่ต่อเนื่องของ
นโยบายการปกป้องสิ่งแวดล้อมและขาดแผนยุทธศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหาระดับชาติ
3.บทสรุป บทเรียนสาคัญที่ยอมรับร่วมกันในการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งมีสาเหตุทั้งจากธรรมชาติและจากมนุษย์แต่
สาเหตุหลักมาจากมนุษย์ ประสบการณ์จากแห่งหนึ่ง อาจไม่สามารถใช้กับแห่งอื่นได้เสมอไป วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือต้องเน้น
ความเข้าใจกลไก “การทางานร่วมกับธรรมชาติ ” โดยให้ความสาคัญกับ “สมดุลของตะกอนทราย” และไม่แทรกแซงระบบ
ของธรรมชาติเป็นหลัก ซึ่งโครงสร้างทางวิศวกรรมรูปแบบต่างๆที่รุกล้าเขตชายฝั่งจะมีผลกระทบต่อสมดุลของตะกอนทรายซึ่ง
เป็นสาเหตุสาคัญที่ทาให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ด้วยเหตุนี้การเติมทราย จึงเป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับมากขึ้นใน
ปัจจุบัน สาหรับประเทศไทยมีความจาเป็นต้องพัฒนากฏหมายการจัดการและอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่งทะเลอย่างเป็นองค์รวม
รวมทั้งการกาหนดแนวถอยร่นของชายฝั่งให้มีความชัดเจนและมีบทลงโทษผู้ฝ่าฝืน และควบคุมการใช้ประโยชน์พื้นที่ชายฝั่ง
ทะเลอย่างเหมาะสม การผลักดันการแปลงยุทธศาสตร์การจัดการ ป้องกันและแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งสู่การปฏิบัติเชิง
พื้นที่ชุมชนชายฝั่งทะเล การสร้างองค์ความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับการจัดการการกัดเซาะชายฝั่งทะเลและเผยแพร่สู่สาธารณะ
การส่งเสริมการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการจัดการการกัดเซาะชายฝั่งจากส่วนกลางไปยังท้องถิ่นและชุมชนชายฝั่งทะเล
ตลอดทั้งควรสนับสนุนให้ชุมชนในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้เข้าใจในคุณค่าของหาดทรายมีบทบาทในการอนุรักษ์ การเฝ้า
ระวังและรณรงค์ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ในรูปแบบกองทุน ตลอดทั้งส่งเสริมให้ชุมชนเตรียมความพร้อมและปรับตัว
เพื่อรับมือจากผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนและระดับน้าทะเลสูงขึ้น
6. 6
เอกสารอ้างอิง
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 2551 ยุทธศาสตร์การจัดการป้องกันและแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง.
รองศาสตราจารย์อุดมศักดิ์ สินธิพงษ์ 2556 มาตรการทางกฎหมายเพื่อการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรชายฝั่งทะเล
อย่างยั่งยืน วารสารนักบริหาร ปีที่ 33 ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม 2556.
European Commission. 2004. A guide to coastal erosion management practices in Europe จัดทาโดย
National Institute of Coastal and Marine Management of the Netherlands.
Kem Lowry. Department of Urban & Regional Planning, University of Hawai`i at Manoa. The Evolution of
Integrated Coastal Management in Sri Lanka. เข้าถึงจากhttp://www.loiczsouthasia.org/pdfdocuments/10-
1.pdf เข้าถึงเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2556
http://beachconservation.wordpress.com/2011/02/06 เข้าถึงเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2556
http://www.climateadaptation.eu/france/coastal-erosion/ เข้าถึงเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2556
http://coastalmanagement.noaa.gov/hazards.html เข้าถึงเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2556
http://www.dmcr.go.th/dmcr2009/webboard/show.php?Category=erosion&No=887 เข้าถึงเมื่อวันที่ 19
ธันวาคม 2556
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=738692 เข้าถึงเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2556
http://www.environment-agency.gov.uk/homeandleisure/108109.aspx เข้าถึงเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556
http://vietnamnews.vn/environment/242392/viet-nam-failing-to-combat-coastal-erosion.html เข้าถึงเมื่อวันที่
9 ธันวาคม 2556