More Related Content
More from Wanidchaya Ongsara (7)
Chapter3
- 3. ข้อมูลหรือทรานแซกชั่นที่เกี่ยวกับการเงิน การคลัง และทางทหาร จัดเป็นตัวอย่างที่ดีจะต้อง
ได้รับความปลอดภัยในระหว่างการส่ง ดังนั้นสายไปเบอร์ออปติกจึงเป็นสายสัญญาณหลักที่มักถูกนามาใช้
งานเนื่องจากมีความปลอดภัย และการลักลอบข้อมูลเพื่อนาไปใช้งานได้ยาก ในขณะที่สายทองแดงอย่าง
สารโคแอกเชียลหรือสายคู่บิดเกลียว จะทาให้การดักจับเพื่อลักลอบข้อมูลนาไปใช้งานนั้นเป็นเป็นไปได้
ง่าย อย่างไรก็ตาม เนื้อหาสาระต่อไปนี้คงมิใช่การกล่าวถึงสื่อกลางส่งข้อมูลที่มีความปลอดภัย แต่จะ
กล่าวถึงการเข้ารหัสข้อมูล ก่อนที่จะส่งไปยังปลายทาง หากปลายทางได้รับข้อมูลและไม่มีการถอดรหัส
ข้อมูล ก็ไม่สามารถนาข้อมูลเหล่านี้ไปใช้งานได้ ซึ่งเทคนิควิธีต่าง ๆ ที่ใช้สาหรับการเข้ารหัสและการ
ถอดรหัสข้อมูลนี้เราเรียกว่า คริพโตกราฟี
เทคนิคพื้นฐานการเข้ารหัสข้อมูลและการถอดข้อมูล
- 4. 1. เพลนเท็กซ์ หรือเคลียร์เท็กซ์ (Plaintext/Cleartaxt)
2. อัลกอรึทึมในการเข้ารหัส (Encrytion Algorithm)
3. ไซเฟอร์เท็กซ์ (Ciphertext)
4. คีย์ (Key)
• เทคนิคการแทนที่
• เทคนิคการสับเปลี่ยน (Transposition Techniques)
โดยศัพท์เทคนิคพื้นฐานที่เกี่ยวกับคริฟโตกราฟีประกอบด้วย
- 5. 1. เพลนเท็กซ์ หรือเคลียร์เท็กซ์ (Plaintext/Cleartaxt)
คือข่าวสารต้นฉบับ ซึ่งหมายความถึงข้อความภาษาที่มนุษย์สามารถอ่านแล้วเข้าใจ แล้วใคร ๆ
ก็สามารถนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้
2. อัลกอรึทึมในการเข้ารหัส (Encrytion Algorithm)
คืออัลกอริทึมในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่นามาใช้แปลเพลนเท็กซ์ให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลที่ได้รับ
การเข้ารหัส
3. ไซเฟอร์เท็กซ์ (Ciphertext)
คือข่าวสารที่ได้รับการแปลงรูปหรือได้รับการเข้ารหัสเรียบร้อยแล้ว ทาให้อ่านรู่เรื่อง ดังนั้น
เมื่อมีการนาไปเปิดอ่านก็จะไม่สามารถอ่านได้อย่างเข้าใจ และนาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้
โดยศัพท์เทคนิคพื้นฐานที่เกี่ยวกับคริฟโตกราฟีประกอบด้วย
- 7. • เทคนิคการแทนที่
การเข้ารหัสด้วยเทคนิคการแทนที่ มีอยู่หลายวิธีด้วยกัน โดยในที่นี้จะขอกล่าวถึง 2 วิธีด้วยกัน คือ
การเข้ารหัสด้วยวิธีการแทนที่แบบโมโนอัลฟาเบติก ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
การเข้ารหัสด้วยวิธีการแทนที่แบบโมโนอัลเบติก (Monoalphabetic Substitution-baesd
Cipher) เป็นเทคนิคการเข้ารหัสข้อมูลอย่างง่าย ด้วยใช้วิธีการแทนที่ข้อความหรืออักขรระเดิมให้เป็นอีก
ข้อความหรืออักขระหนึ่ง ซึ่งได้มีการจับคู่ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว กล่าวคือแต่ละตัวอักขระของเพลนเท็กซ์จะมี
การจับคู่กับตัวอักขระที่ผ่านการไฟเซอร์ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
เทคนิคการแทนที่
- 9. การเข้ารหัสด้วยวิธีด้วยวิธีแทนที่แบบโพลีอัลฟาเบติก (Polylphabetic Substsitutiob-Based
Cipher) วิธีการเข้ารหัสแบบโมโนอัลฟาเบติกมีข้อเสียตรงที่การจับคู่แบบจับคู่แบบคงหรือตายตัว ทาให้ตัว
อักขระซ้ากันได้ และถอดรหัสได้ง่าย ต่อมาจึงมาถูกนามาปรับปรุงด้วยวิธีการเข้ารหัสแบบโพลีอัลฟาเบติก
ซึ่งวิธีนี้ความจริงแล้วจะคล้ายคลึงแบบแรกมาก แต่จะมีความแตกต่างกันตรงที่มีจะมีคีย์เข้ามาเกี่ยวข้อง และ
จะใช้เมตริกซ์เข้ามาช่วย
ตัวอย่างการเข้ารหัสด้วยเทคนิคการแทนที่
- 11. การเข้ารหัสด้วยวิธีการสับเปลี่ยนแบบคอลัมน์ ( Columnar Transposition Cipher)
วิธีจะเป็นการเข้ารหัสที่มีประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง โดยจะใช้ร่วมกับคีย์ที่กาหนดขึ้น เช่น ในที่นี้ได้กาหนดคา
ว่า COMPUTER เป็นคีย์ และด้วยคีย์ที่กาหนดขึ้นมานี้จะเห็นได้ว่าไม่มีตัวอักษรใดที่ซ้ากันเลย การใช้เทคนิค
การเข้ารหัสด้วยวิธีนี้ จะทาให้ตัวอักษรเดียวกันเมื่อผ่านการเข้ารหัสแล้วจะไม่มีการซ้ากัน ทาให้ถอดรหัสได้ยาก
• วิธีการขั้นแรกที่หลังจากมีการกาหนดคีย์เพื่อใช้งานแล้ว ให้กานดตาแหน่งลาดับของแต่คอลัมน์ขึ้นมา ซึ่งปกติมัก
นิยมเรียงตาแน่งคอลัมน์ตามลาตัวอักษร
• จากนั้นให้นาเพลนเท็กซ์ที่ต้องการซึ่งในที่นี้คือ ประโยคคาว่า “this is the best class I have ever
taken” และนามาเข้ารหัส ด้วยการเขียนตามลาดับ หากครบจานวนคอลัมน์ก็ให้ปัดขึ้นเป็นบรรทัดใหม่
• หลังจากที่ได้วางเพลนเท็กซ์ไปยังตาแหน่งคอลัมน์จนครบแล้ว ก็ดาเนินการเข้ารหัสตามคีย์โดยการอ่าน
ตามลาดับของแต่ละคอลัมน์ ซึ่งคอลัมน์เบอร์ 1 จะได้ tesv ดังนั้นเพลนเท็กซ์ที่ได้เข้ารหัสเป็นไฟเซอร์ก็จะ
ได้
เทคนิคการสับเปลี่ยน (Transposition Techniques)