SlideShare a Scribd company logo
1 of 222
CSS คืออะไร?<br />CSS ย่อมาจาก Cascading Style Sheets   เป็นภาษาที่มีรูปแบบการเขียน Syntax ที่เฉพาะ และถูกกำหนดมาตรฐานโดย W3C (World Wide Web Consortium) เช่นเดียวกับ HTML และ XHTML    ใช้สำหรับตกแต่งเอกสาร HTML/ XHTML ให้มีหน้าตา สีสัน ตัวอักษร เส้นขอบ พื้นหลัง ระยะห่าง ฯลฯ อย่างที่เราต้องการ ด้วยการกำหนดคุณสมบัติให้กับ Element ต่างๆ ของ HTML เช่น <body>, <p>, <h1> เป็นต้น<br />ประโยชน์ของ CSS<br />1. การใช้ CSS ในการจัดรูปแบบการแสดงผล จะช่วยลดการใช้ภาษา HTML ในการตกแต่งเอกสารเว็บเพจ ทำให้ code ภายในเอกสาร HTML เหลือเพียงส่วนเนื้อหา ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น การแก้ไขเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็ว2. เมื่อ code ภายในเอกสาร HTML ลดลง ทำให้ขนาดไฟล์เล็กลง จึงดาวน์โหลดได้เร็ว3. สามารถกำหนดรูปแบบการแสดงผลจากคำสั่ง style sheet ชุดเดียวกัน ให้มีผลกับเอกสาร HTML ทั้งหน้า หรือทุกหน้าได้ ทำให้เวลาแก้ไขหรือปรับปรุงทำได้ง่าย ไม่ต้องไล่ตามแก้ที่ HTML tag ต่างๆ ทั่วทั้งเอกสาร 4. สามารถควบคุมการแสดงผลให้เหมือนกัน หรือใกล้เคียงกัน ได้ในหลาย Web Browser5. สามารถกำหนดการแสดงผลในรูปแบบที่เหมาะกับสื่อชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงผลบนหน้าจอ, บนกระดาษเมื่อสั่งพิมพ์, บนมือถือ หรือบน PDA โดยที่เป็นเนื้อหาเดียวกัน6. ทำให้เป็นเว็บไซต์ที่มีมาตรฐาน ปัจจุบันการใช้ attribute ของ HTML ตกแต่งเอกสารเว็บเพจ นั้นล้าสมัยแล้ว W3C แนะนำให้เราใช้ CSS แทน ดังนั้นหากเราใช้ CSS กับเอกสาร HTML ของเรา ก็จะทำให้เข้ากับเว็บเบราเซอร์ในอนาคตได้ดีตัวอย่างกรณีที่จัดรูปแบบการแสดงผลด้วยภาษา HTML <br /><html><body><h1><font color=quot;
redquot;
 face=quot;
Arialquot;
>วิธีดูแลรักษาสุขภาพ</font></h1> <p><font color=quot;
blackquot;
 face=quot;
Arialquot;
><b>รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ</b></font></p><h1><font color=quot;
redquot;
 face=quot;
Arialquot;
>วิธีกินผลไม้ที่ถูกต้อง</font></h1> <p><font color=quot;
blackquot;
 face=quot;
Arialquot;
><b>ให้กินผลไม้แค่ทีละอย่าง เช่นจะกินมะม่วงก็มะม่วงอย่างเดียวทั้งมื้อ เพื่อให้ร่างกายจัดเตรียมการย่อยได้ง่าย ไม่สับสน นอกจากนี้ยังไม่ควรกินผลไม้ทันทีหลังอาหาร ถ้าทานมื้อหลักแล้วควรรออย่างน้อย 20 นาที</b></font></p></body></html><br />ตัวอย่างเมื่อเปลี่ยนมาใช้คำสั่ง style sheet จัดรูปแบบการแสดงผลแทนการใช้ code ภาษา HTML ทำให้ code ภายในเอกสารอ่านเข้าใจง่าย และแก้ไขได้ง่ายขึ้น ^^ <br /><html><head><style type=quot;
text/cssquot;
>h1{color:red; font-family:Arial; }p{color:black; font-family:Arial; font-weight:bold }</style></head><body><h1>วิธีดูแลรักษาสุขภาพ</h1><p>รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ</p><h1>วิธีกินผลไม้ที่ถูกต้อง</h1><p>ให้กินผลไม้แค่ทีละอย่าง เช่นจะกินมะม่วงก็มะม่วงอย่างเดียวทั้งมื้อ เพื่อให้ร่างกายจัดเตรียมการย่อยได้ง่าย ไม่สับสน นอกจากนี้ยังไม่ควรกินผลไม้ทันทีหลังอาหาร ถ้าทานมื้อหลักแล้วควรรออย่างน้อย 20 นาที</p> </body></html> <br />โครงสร้างคำสั่ง<br />คำสั่งของ CSS ประกอบด้วย selector, property และ value <br />selector { property:value } selector { property1:value1; property2:value2 }<br />- selector สามารถเป็น HTML Tag ต่างๆ เช่น <body>, <p> หรือเป็น Class name หรือ ID ที่เราตั้งชื่อให้ก็ได้- property คือ คุณสมบัติในการจัดรูปแบบการแสดงผล เช่น color สำหรับกำหนดสี, font-size สำหรับกำหนดขนาดตัวอักษร- value เป็น ค่า ที่เรากำหนดให้กับ property ต่างๆ เช่น color:white, font-size:14px<br />ตัวอย่างคำสั่ง CSS<br />กำหนดให้ข้อความที่อยู่ใน Tag <p> เป็นสีดำ และวางอยู่กึ่งกลาง<br />/* selector ที่เป็น HTML Tag */p {color:#000000;text-align:center} <br />กำหนดให้ข้อความที่ class name topic เป็นสีแดง ชนิดอักษรเป็น Arial ตัวหนา และจัดวางอยู่กึ่งกลาง<br />/* selector ที่เป็น Class name */.topic{color:red; font-family:Arial; font-weight:bold; text-align:center }        <br />กรณีที่ selector มีค่า property เหมือนกัน สามารถเขียนรวมกันได้ โดยใช้เครื่องหมาย quot;
,quot;
 คั่นระหว่าง selector<br />กำหนดให้ข้อความใน Tag <h1>,<h2> และ <h3> เป็นสีแดง ชนิดตัวอักษรเป็น sans-serif<br />h1, h2, h3 {color:red;font-family:sans-serif } <br />สำหรับเรื่อง property และ value จะได้ศึกษาอย่างละเอียดในหัวข้อต่อๆ ไป <br />Comment <br />ใน Style Sheet Comment  จะใช้เครื่องหมาย quot;
/*quot;
 เป็นการเปิด และ quot;
*/quot;
 เป็นการปิด เช่น <br />/* นี่คือ comment กำหนดสีตัวอักษรเป็นสีดำ ขนาด14px */body {color:#000000;font-size:14px} <br />หน่วยที่ใช้วัดค่าต่างๆ ใน Style Sheet<br />จาก syntax ของคำสั่ง CSS ค่า value ของ property บางค่าจะต้องมีการระบุหน่วยด้วย   หน่วยที่ใช้งานใน CSS มีอะไรบ้าง มาดูกันค่ะหน่วยแบบ Relative Length (กำหนดแบบอัตราส่วน) <br />px (pixels, สัมพันธ์กับค่าความละเอียดของหน้าจอ) เช่น 1px, 4px<br />em (emphasize, ความสูงของตัวอักษร) เป็นขนาดจำนวนเท่าของขนาด font ที่กำหนดให้ body ถ้า font ที่ body กำหนดเป็น 10px h1{fon-size:1.5em} h1 จะมีขนาดเป็น 1.5 เท่า ของ 10px = 15px h2{fon-size:1.4em} h2 จะมีขนาดเป็น 1.4 เท่า ของ 10px = 14px และถ้าเรากำหนดเป็น 1em ก็จะมีขนาด้เท่ากับ 10px เหมือนเดิม <br />ex (x-height, ความสูงของตัวอักษร quot;
xquot;
) เช่น 1.5ex, 2ex<br />% (percent, สัมพันธ์กับขนาดหน้าจอ หรือ container ที่บรรจุวัตถุนั้นๆ อยู่) เช่น 50%, 130%<br />หน่วยแบบ Absolute Length (กำหนดตายตัว) <br />in (inches; 1in=2.54cm =72pt =6pc) เช่น 2in, 1.5in<br />cm (centimeters; 1cm=10mm) เช่น 2cm, 1.11cm<br />mm (millimeters) เช่น 50mm, 0.8mm <br />pt (points; 1pt=1/72in, 10pt มีขนาดพอๆกับ 12px) เป็นหน่วยที่ใช้ในงานสิ่งพิมพเช่น 12pt, 20pt <br />pc (picas; 1pc=12pt) เช่น 1pc, 2pc<br />สี (Color)<br />การกำหนดสีให้ตัวอักษร พื้นหลัง เส้นขอบ หรือส่วนอื่นๆ ของวัตถุ สามารถกำหนดได้หลายแบบ1. กำหนดโดยใช้ชื่อสี แต่การระบุชื่อสีแบบนี้ใช้สีได้จำนวนจำกัด ได้แก่ aqua, black, blue, fuchsia (แดงอมม่วง), gray, green, lime, maroon (น้ำตาลแดง), navy, olive, purple, red, silver, teal (เขียวขนเป็ด), white, และ yellow 2. กำหนดเป็นค่าสีแบบ RGB <br />#rrggbb เช่น #eecc00, #42e15e<br />#rgb เช่น #ec0 หมายถึง #eecc00 <br />rgb(x,x,x) โดยที่่ x คือจำนวนเต็มตั้งแต่ 0-255 เช่น rgb(0,204,0) <br />rgb(y%,y%,y%) โดยที่ี่ y คือเปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ 0%-100% เช่น rgb(0%,80%,0%) <br />ชื่อสีรหัสค่าสีฐาน16รหัสค่าสีฐาน16 แบบย่อRGBการแสดงผลสีBlack#000000#000rgb(0,0,0) Red#FF0000#F00rgb(0,0,0) Green#00FF00#F00rgb(0,255,0) Blue#0000FF#00Frgb(0,0,255) Yellow#FFFF00#FF0rgb(255,255,0) Aqua#00FFFF#FF0rgb(0,255,255) Fuchsia#FF00FF#FF0rgb(255,0,255) Silver#C0C0C0 rgb(192,192,192) White#FFFFFF#FFFrgb(255,255,255) <br />วิธีใช้งาน Style Sheet<br />1. Inline Styles  วิธีการนี้ควรใช้ในกรณีที่ต้องการกำหนด style ให้กับ element ของ HTML เีพียงอันเดียวเป็นการเฉพาะ โดยการแทรกคำสั่ง style sheet ใน  HTML Tag อยู่ในคำสั่ง style=quot;
quot;
  ดังนี้ <br /><Tag style=quot;
property:value;quot;
> <br />Example<br /><html><body><h1 style=quot;
color:red; font-family:Arialquot;
>วิธีดูแลรักษาสุขภาพ</h1><p style=quot;
color:black; font-family:Arial; font-weight:boldquot;
>รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ</p> </body></html> <br />เราควรหลีกเลี่ยงการเขียน style=”quot;
 ฝังลงใน HTML Tag เพราะมันทำให้อ่านยาก และนำไปใช้ต่อไม่ได้ และเป็นการยากที่จะแก้ไข2. Internal Style Sheet วิธีการนี้ควรใช้ในกรณีที่มีเพียง HTML ไฟล์เดียวที่ใช้ style นี้ เมื่อประกาศคำสั่ง Style Sheet เพื่อกำหนดคุณสมบัติ ให้กับ HTML Tag ใดๆ แล้ว จะมีผลกับเอกสาร HTML ทั้งหน้า นิยมใส่ส่วนของคำสั่ง Style Sheet ไว้ระหว่าง <head>...</head>สำหรับ Web Browser รุ่นเก่าที่ไม่สนับสนุนคำสั่ง Style Sheet หรือ Disable Style Sheet ไว้นั้น ให้ใส่ Comment ของ ภาษา HTML ไว้ด้วย เพื่อให้เว็บเบราเซอร์นั้นทราบว่าไม่ใช่คำสั่งภาษา HTML <br />คำสั่งที่ใช้เริ่มต้น และจบ Style Sheet มีโครงสร้างดังนี้ <br /><style type=quot;
text/cssquot;
><!--selector {property1: value1; property2: value2}....--></style> <br />Example<br /><html><br /><body><br /><head><br /><style type=quot;
text/cssquot;
><br /><!-- <br />   h1{color:red; font-family:Arial }<br />   p{color:black; font-family:Arial; font-weight:bold }<br />--> <br /></style><br /></head><br /><body> <br /><h1>วิธีดูแลรักษาสุขภาพ</h1><br /><p>รับประทานอาหารที่มีประโยชน์  หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ</p><br /><h1>วิธีกินผลไม้ที่ถูกต้อง</h1><br /><p>ให้กินผลไม้แค่ทีละอย่าง เช่นจะกินมะม่วงก็มะม่วงอย่างเดียวทั้งมื้อ เพื่อให้ร่างกายจัดเตรียมการย่อยได้ง่าย <br />ไม่สับสน นอกจากนี้ยังไม่ควรกินผลไม้ทันทีหลังอาหาร ถ้าทานมื้อหลักแล้วควรรออย่างน้อย 20 นาที</p> <br /></body><br /></html><br />3. External Style Sheet วิธีการนี้เหมาะกับกรณีที่มีเพียง 1 style แล้วต้องการนำไปใช้กับเอกสาร HTML หลายๆ ไฟล์ โดยนำเอาคำสั่ง Style Sheet   ที่อยู่ใน <style type=quot;
text/cssquot;
>  ...  </style>  มาบันทึกเป็นไฟล์ใหม่ นามสกุล .css จากนั้นจึงทำการผนวกไฟล์ของ Style Sheet นี้ลงไปในเอกสาร HTML ทุกไฟล์ที่ต้องการใช้งาน Style Sheet ชุดนี้ ไว้ในส่วน <head>...</head> โดยใช้คำสั่ง   <br /><link rel=quot;
stylesheetquot;
 type=quot;
text/cssquot;
 href=quot;
URL ไฟล์.cssquot;
><br />ตัวอย่างนี้จะสร้าง Style Sheet เก็บไว้ในไฟล์หนึ่ง แล้วให้ไฟล์เอกสาร HTML หลายๆ หน้ามาเรียกใช้<br />Example <br />ในไฟล์ mystyle.css ให้เขียน code ดังนี้ <br />h1{ color:red; font-family:Arial }p{ color:black; font-family:Arial; font-weight:bold }<br />ในไฟล์ HTML ex_css_chapter05_3.html  เรียกใช้ style sheet จากภายนอก <br /><html><br /><head><br /><link rel=quot;
stylesheetquot;
 type=quot;
text/cssquot;
 href=quot;
mystyle.cssquot;
><br /></head><br /><body> <br />  <h1>วิธีดูแลรักษาสุขภาพ</h1><br />  <p>รับประทานอาหารที่มีประโยชน์  หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ</p><br /></body><br /></html><br />ในไฟล์ HTML ex_css_chapter05_4.html  เรียกใช้ style sheet จากภายนอก <br /><html><br /><head><br /><link rel=quot;
stylesheetquot;
 type=quot;
text/cssquot;
 href=quot;
mystyle.cssquot;
><br /></head><br /><body> <br />  <h1>วิธีกินผลไม้ที่ถูกต้อง</h1><br />  <p>ให้กินผลไม้แค่ทีละอย่าง เช่นจะกินมะม่วงก็มะม่วงอย่างเดียวทั้งมื้อ เพื่อให้ร่างกายจัดเตรียมการย่อยได้ง่าย <br />ไม่สับสน นอกจากนี้ยังไม่ควรกินผลไม้ทันทีหลังอาหาร ถ้าทานมื้อหลักแล้วควรรออย่างน้อย 20 นาที</p> <br /></body><br /></html> <br />การที่เราใช้งาน CSS โดยเรียกใช้จากภายนอก  จะทำให้ไฟล์เวบเพจของเรามีขนาดเล็ก และการแก้ไขคำสั่ง style sheet เพียงที่เดียว จะมีผลกับเอกสารทุกหน้าได้ <br />Cascading Order<br />1. กรณีที่มีการกำหนด style ด้วยชื่อ selector เดียวกันทั้งแบบ 3 แบบ  Style sheet ที่จะถูกใช้คือแบบไหนลำดับความสำคัญ เรียงจากมากไปหาน้อยInline style (inside an HTML element), Internal style sheet (inside the <head> tag) และ External style sheet ตามลำดับจากลำดับความสำคัญดังกล่าว Style ที่จะถูกใช้คือแบบ Inline style2. กรณีที่มีการเขียน style ซ้ำ selector เดิม อันที่อยู่ด้านล่าง จะถูกทำเป็นลำดับสุดท้าย ตัวอย่าง  ไฟล์ mystyle.css  p{ color:black }p{ color:blue }เมื่อเราเรียกใช้ <p> ใน HTML เช่น <p>รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ</p>จะได้ตัวอักษรใน Tag <p> เป็นสีน้ำเงิน แต่หากเรากำหนด !important ไว้ใน value เช่นp{color:black!important}p{color:blue}เมื่อเขียนแบบนี้ ใน Tag <p> จะได้ตัวอักษรสีดำ<br />01 Introduction<br />02 Syntax<br />03 Unit<br />04 Color<br />05 Insert a Style Shee<br />06 Selector : HTML Tag, Class, ID<br />07 Contextual selectors<br />08 Font<br />09 Text<br />10 Background<br />11 Border<br />12 Margin,Padding<br />13 List<br />14 Table<br />15 Link<br />16 Classification <br />17 Positioning <br />18 Image<br />19 Form<br />20 Scorll bar <br />21 Mouse cursor<br />22 Media Types<br />23 Layout (Table)<br />24 Layout (Div)<br />25 Pseudo-classes <br />26 Pseudo-element <br />Chapter 6<br />การเขียนคำสั่ง Style Sheet<br />Selector ที่เป็น HTML TagExample <br /><html><br /><body><br /><head><br /><style type=quot;
text/cssquot;
><!-- <br />   h1{color:red; font-family:Arial }<br />   p{color:black; font-family:Arial }<br />--> </style><br /></head><br /><body> <br /><h1>วิธีดูแลรักษาสุขภาพ</h1><br /><p>รับประทานอาหารที่มีประโยชน์  หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ</p><br /><h1>วิธีกินผลไม้ที่ถูกต้อง</h1><br /><p>ให้กินผลไม้แค่ทีละอย่าง เช่นจะกินมะม่วงก็มะม่วงอย่างเดียวทั้งมื้อ เพื่อให้ร่างกายจัดเตรียมการย่อยได้ง่าย <br />ไม่สับสน นอกจากนี้ยังไม่ควรกินผลไม้ทันทีหลังอาหาร ถ้าทานมื้อหลักแล้วควรรออย่างน้อย 20 นาที</p> <br /></body><br /></html><br />ตัวอย่างนี้เห็นกันมาหลายรอบแล้วนะคะ เป็นการกำหนด style ให้กับ HTML Tag <h1> และ <p> หมายความว่าข้อความภายใน <h1> ทุกอันในหน้าเว็บเพจนี้ให้เป็นสีแดง และข้อความใน <p> ทุกอันให้เป็นสีดำ มาดู selector แบบอื่นๆ กันบ้างค่ะSelector ที่เป็น Class attribute เป็นการประกาศคำสั่ง Style Sheet เพื่อกำหนดคุณสมบัติแบบเฉพาะเจาะจง ให้กับ HTML element ผ่าน class attribute  โดยเราสามารถตั้งชื่อ class ได้เอง class ใช้เมื่อต้องการใช้แสดงผลรูปแบบนั้นซ้ำหลายๆ ครั้ง หรือต้องการใช้กับ element หลายๆ อัน   การประกาศใช้้เครื่องหมาย quot;
.quot;
 นำหน้าชื่อ classExample <br /><html><br /><head><br /><style type=quot;
text/cssquot;
><br /><!--<br />  .topic {color:red; <br />font-family:Arial; <br />font-weight:bold; <br />text-align:center <br />  }        <br />  .content {color:black; <br />font-family:Arial; <br />  } <br />--><br /></style><br /></head><br /><!-- การเรียกใช้งาน --> <br /><body> <br />  <div class=quot;
topicquot;
>บทความ</div><br />  <p class=quot;
topicquot;
>วิธีดูแลรักษาสุขภาพ</p><br />  <p class=quot;
contentquot;
>รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ</p><br />  <p class=quot;
topicquot;
>วิธีกินผลไม้ที่ถูกต้อง</p><br />  <p class=quot;
contentquot;
>ให้กินผลไม้แค่ทีละอย่าง เช่น จะกินมะม่วงก็มะม่วงอย่างเดียวทั้งมื้อ<br />เพื่อให้ร่างกายจัดเตรียมการย่อยได้ง่าย ไม่สับสน นอกจากนี้ยังไม่ควรกินผลไม้ทันทีหลังอาหาร <br />ถ้าทานมื้อหลักแล้วควรรออย่างน้อย 20 นาที</p><br />  <p>หันมาใส่ใจสุขภาพกันเถอะค่ะ</p> <br /></body><br /></html>   <br />จากตัวอย่างสังเกตได้ว่า class topic ถูกเรียกใช้หลายครั้งใน <p> และ ถูกใช้้ในหลาย element ได้ คือ <p> และ <div> แต่ถ้าต้องการกำหนดให้ class topic ใช้งานเฉพาะกับ <p> เท่านั้น ทำได้โดยใส่ quot;
p.quot;
 นำหน้าชื่อ classจะมีผลทำให้ข้อความใน  <div class=quot;
topicquot;
>บทความ</div> ไม่สามารถแสดงผลตามรูปแบบที่กำหนดใน class topic ได้ <br />p.topic{color:red; font-family:Arial; font-weight:bold; text-align:center } <br />กรณีที่ต้องการให้แสดงผลตามรูปแบบที่กำหนดใน 2 class ก็สามารถทำได้ <br />Example <br /><html><br /><head><br /><style type=quot;
text/cssquot;
><br />  p.center {text-align:center}<br />  p.bold{ font-weight:bold}<br /></style><br /></head><br /><body><br />  <p class=quot;
center boldquot;
>ข้อความในพารากราฟนี้จะจัดวางกึ่งกลาง และเป็นตัวหนา</p><br /></body><br /></html> <br />Selector ที่เป็น ID attributeเป็นการประกาศคำสั่ง Style Sheet เพื่อกำหนดคุณสมบัติแบบเฉพาะเจาะจง ให้กับ HTML element ผ่าน ID attribute เหมือนกับ Class   แต่ต่างกันที่ ID จะใช้กับ element ที่มีเพียงอันเดียวในเอกสาร HTML การประกาศใช้ # นำหน้า ID <br />Example <br /><html><br /><head><br /><style type=quot;
text/cssquot;
><br />  p {text-align: center}<br />  #chapter {color:red; font-weight:bold}<br />  /*หรือเขียนเป็น p#chapter ก็ได้*/<br /></style><br /></head><br /><body><br />  <p id=quot;
chapterquot;
>Chapter ข้อความในนี้จัดวางกึ่งกลาง และเป็นสีแดง ตัวหนา</p><br />  <p>เนื้อหา ข้อความในนี้จัดวางกึ่งกลาง</p><br />  <p>เนื้อหา ข้อความในนี้จัดวางกึ่งกลาง</p><br /></body><br /></html>  <br />อาจจะยังไม่เข้าใจตอนนี้ ไว้เห็นตัวอย่างมากๆ เข้า จะค่อยๆ เข้าใจเองค่ะ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าค่า property และ value เช่น text-align: center, font-weight:bold มีอะไรบ้าง อันนี้ศึกษาได้จาก Chapter ต่อๆ ไปค่ะ<br />Contextual selectors <br />การประกาศ selector ซ้อนกัน โดยเคาะ spacebar ทำให้สามารถสืบทอดคุณสมบัติเดิม และเพิ่มคุณสมบัติที่แตกต่างได้ ดูตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจมากขึ้นค่ะExample <br /><html><head><style type=quot;
text/cssquot;
>h1 { color: blue; background-color:#FFFFCC } h1 em { color: red }h1 u { color:green}</style></head> <body> <h1>วิธีรักษาสุขภาพ</h1><h1>วิธีลดน้ำหนัก</h1><h1><em>วิธีรักษาสุขภาพ</em></h1><h1><u>วิธีรักษาสุขภาพ</u></h1></body></html> <br />Output ข้อความใน <h1> จะเป็นสีน้ำเงิน แต่ถ้ามีการกำหนดว่าเป็นตัวเอียงแล้ว ข้อความใน <h1> จะเป็นสีแดง หรือระบุว่าขีดเส้นใต้แล้วจะได้เป็นสีเขียว โดยที่รูปแบบพื้นหลังของ <h1> ยังคงอยู่ <br />วิธีรักษาสุขภาพ<br />วิธีลดน้ำหนัก<br />วิธีรักษาสุขภาพ<br />วิธีรักษาสุขภาพ<br />อีกตัวอย่างหนึ่ง เพื่อแสดงให้เห็นประโยชน์ของการใช้ Contextual selectorsExample <br /><html><head><style type=quot;
text/cssquot;
>/*ให้ img ทั่วไป ขอบสีเทา หนา2*/img {border:solid;border-width:2px;border-color:#999999;}<br />/*ให้ class borderimage มีขอบสีแดง หนา5 แต่ไม่ได้กำหนด HTML tag เฉพาะ*/ .borderimage {border:solid;border-width:5px;border-color:red;}/*ให้ เฉพาะ tag <img> class imgspecial_box มีขอบสีแดง หนา5*/ #imgspecial_box img {border:solid;   border-width:5px;border-color:red;}</style></head><br /><body><br /><img src=quot;
../images/star_icons.gifquot;
 /><img src=quot;
../images/star_icons.gifquot;
 /><img src=quot;
../images/star_icons.gifquot;
 /><br><br><br />แบบนี้ไม่ดี ต้องมาระบุ class borderimage ให้แต่ละรูป<br /><img src=quot;
../images/star_icons.gifquot;
 class=quot;
borderimagequot;
 /><img src=quot;
../images/star_icons.gifquot;
 class=quot;
borderimagequot;
 /><img src=quot;
../images/star_icons.gifquot;
 class=quot;
borderimagequot;
 /><br><br><br />แบบนี้ดี img ที่อยู่ในส่วน div class imgspecial_box จะเป็นขอบแดง หนา5 ให้ทั้งหมด ไม่ต้องมากำหนดทีละรูป<div id=quot;
imgspecial_boxquot;
><img src=quot;
../images/star_icons.gifquot;
 /><img src=quot;
../images/star_icons.gifquot;
 /><img src=quot;
../images/star_icons.gifquot;
 /></div><br /></body></html><br />Output<br />แบบนี้ไม่ดี ต้องมาระบุ class borderimage ให้แต่ละรูปแบบนี้ดี img ที่อยู่ในส่วน div class imgspecial_box จะเป็นขอบแดง หนา5 ให้ทั้งหมด ไม่ต้องมากำหนดทีละรูป <br />มาดูอีกตัวอย่างที่ไม่ดี คล้ายกับตัวอย่างข้างบน เป็นตัวอย่างที่ใช้ CSS มากเกินไปExample <br /><html><head><title>ex_css_chapter07_3</title><style type=quot;
text/cssquot;
>a.boldlink { color:blue; font-weight:bold; }</style></head><br /><body><a href=quot;
http://www.enjoyday.net/webtutorial/html/index.htmlquot;
 class=quot;
boldlinkquot;
>HTML</a><br /><a href=quot;
http://www.enjoyday.net/webtutorial/css/index.htmlquot;
 class=quot;
boldlinkquot;
>CSS</a><br /><a href=quot;
http://www.enjoyday.net/webtutorial/xhtml/index.htmlquot;
 class=quot;
boldlinkquot;
>XHTML</a><br /><a href=quot;
http://www.enjoyday.net/webtutorial/javascript/index.htmlquot;
 class=quot;
boldlinkquot;
>JavaScript</a></body></html><br />แก้ไขใหม่เขียนแบบ Contextual selectors จะดีกว่าค่ะ<br /><html><head><title>ex_css_chapter07_3</title><style type=quot;
text/cssquot;
>#boldlink_box a { color:blue; font-weight:bold; } </style></head><br /><body><div id=quot;
boldlink_boxquot;
><a href=quot;
http://www.enjoyday.net/webtutorial/html/index.htmlquot;
>HTML</a><br /><a href=quot;
http://www.enjoyday.net/webtutorial/css/index.htmlquot;
>CSS</a><br /><a href=quot;
http://www.enjoyday.net/webtutorial/xhtml/index.htmlquot;
>XHTML</a><br /><a href=quot;
http://www.enjoyday.net/webtutorial/javascript/index.htmlquot;
>JavaScript</a> </div></body></html><br />Output<br />HTMLCSSXHTMLJavaScript <br />01 Introduction<br />02 Syntax<br />03 Unit<br />04 Color<br />05 Insert a Style Shee<br />06 Selector : HTML Tag, Class, ID<br />07 Contextual selectors<br />08 Font<br />09 Text<br />10 Background<br />11 Border<br />12 Margin,Padding<br />13 List<br />14 Table<br />15 Link<br />16 Classification <br />17 Positioning <br />18 Image<br />19 Form<br />20 Scorll bar <br />21 Mouse cursor<br />22 Media Types<br />23 Layout (Table)<br />24 Layout (Div)<br />25 Pseudo-classes <br />26 Pseudo-element <br />Chapter 8<br />Font<br />การกำหนดลักษณะให้ตัวอักษร ใน HTML เราจะใช้ tag <font face=quot;
ชนิดตัวอักษรquot;
 size=quot;
numberquot;
 color=quot;
สีquot;
>ข้อความ</font> น่าจะพอจำกันได้อยู่ แต่ในเอกสาร HTML/XHTML แบบ strict จะถือว่า tag <font> เป็น tag ที่ล้าสมัยแล้ว ไม่สามารถนำมาใช้งานได้ ให้เราใช้ CSS แทนค่ะ<br />เรา็สามารถใช้ CSS กำหนดลักษณะให้ตัวอักษรได้ โดยกำหนดรูปแบบ font ผ่าน Property ต่างๆ ให้กับ HTML element เช่น <p>,<div>,<span>,<h1> และอื่นๆ<br />PropertyDescriptionValuesfont-familyใช้กำหนดชนิด font ที่ต้องการจะให้แสดงผล โดยที่ font นั้นจะต้องมีอยู่ในเครื่องของผู้ใช้งานด้วย เช่น Arial, Helvetica, sans-serif font-sizeใช้กำหนดขนาดของตัวอักษร ที่จะให้แสดงผล /td> xx-small x-smallsmallmediumlargex-largexx-large smaller larger 18px70% 150% font-styleใช้กำหนดรูปแบบของตัวอักษรในลักษณะต่างๆ normalitalicoblique เอียง 45 องศา font-variantใช้แปลงตัวอักษรที่เป็นตัวพิมพ์เล็กให้เป็นพิมพ์ใหญ่โดยที่ขนาดตัวอักษรยังคงเท่าตัวพิมพ์เล็ก normalSmall-Capsfont-weightใช้กำหนดความหนาของตัวอักษร normalboldbolderlighter100200300400500600colorใช้กำหนดสีให้ตัวอักษรred#000099 fontเราสามารถกำหนด property ให้กับ font ได้ในคำสั่งประกาศเดียวfont-stylefont-variantfont-weightfont-sizefont-family <br />Example <br /><p style=quot;
font-family:AngsanaUPC; font-size:16pt; color:greenquot;
>CSS ย่อมาจาก Cascading Style Sheet  เป็นภาษาที่มีรูปแบบการเขียน Syntax ที่เฉพาะ และถูกกำหนดมาตรฐานโดย W3C (World Wide Web Consortium) เช่นเดียวกับ HTML และ XHTML  ใช้สำหรับตกแต่งเอกสาร HTML/ XHTM ให้มีหน้าตา สีสัน ตัวอักษร เส้นขอบ พื้นหลัง ระยะห่าง ฯลฯ อย่างที่เราต้องการ ด้วยการกำหนดคุณสมบัติให้กับ Element ต่างๆ ของ HTML </p><br />Output<br />CSS ย่อมาจาก Cascading Style Sheet  เป็นภาษาที่มีรูปแบบการเขียน Syntax ที่เฉพาะ และถูกกำหนดมาตรฐานโดย W3C (World Wide Web Consortium) เช่นเดียวกับ HTML และ XHTML  ใช้สำหรับตกแต่งเอกสาร HTML/ XHTM ให้มีหน้าตา สีสัน ตัวอักษร เส้นขอบ พื้นหลัง ระยะห่าง ฯลฯ อย่างที่เราต้องการ ด้วยการกำหนดคุณสมบัติให้กับ Element ต่างๆ ของ HTML <br />Example <br /><p style=quot;
font-weight:boldquot;
>Love me Love my dog</p><br /><p style=quot;
font-family: sans-serif, Arial; font-size:16px; font-style:normal; font-variant:small-caps; font-weight:bold; color:#FF0033quot;
>Love me Love my dog</p><br /><!-- เขียนอย่างย่อได้เป็น --><p style=quot;
font: normal small-caps bold 16px sans-serif, Arial; color:#FF0033quot;
>Love me Love my dog</p> <br />Output<br />Love me Love my dog<br />Love me Love my dog<br />Love me Love my dog<br />Text <br />เราสามารถกำหนดรูปแบบให้ข้อความ เช่น ความสูงของบรรทัด, ตำแหน่งการจัดวางข้อความ, การขีดเส้นใต้, การกำหนดตัวพิมพ์เล็กพิมพ์ใหญ่ และอื่นๆ ผ่าน Property ต่างๆ ดังนี้<br />PropertyDescriptionValues colorใช้กำหนดสีสีred#000099 directionใช้กำหนดทิศทางของ text (IE6)ltr rtl ซ้ายไปขวาขวาไปซ้าย line-height ใช้กำหนดความสูงของบรรทัด ซึ่งจะนับรวมขอบด้านบนและล่างของตัวอักษรด้วยnormalnumber (pt)% normalความสูง 15ptความสูง 150% letter-spacingใช้กำหนดระยะห่าง ระหว่างตัวอักษรแต่ละตัว normalnumber (cm)normal-0.02cm0.2cmtext-align ใช้กำหนดรูปแบบการจัดคำ leftcenterrightjustify leftcenterrightjustifytext-decorationใช้กำหนดเส้นให้กับตัวอักษรในลักษณะต่างๆ noneunderlineoverlineline-throughblink noneขีดเส้นใต้เส้นเหนือตัวอักษรเส้นขีดทับตัวอักษรตัวอักษรกระพริบ *IE ใช้ไม่ได้ text-indent ใช้กำหนดขนาดของย่อหน้า ในบรรทัดแรกของย่อหน้านั้นๆ number (in)% กำหนดขนาดของย่อหน้า 0.3 นิ้วกำหนดขนาดของย่อหน้า 5% (ถ้ากำหนด 50% จะได้กึ่งกลางหน้าจอพอดี ) text-transform ใช้แปลงตัวอักษรให้เป็นตัวพิมพ์เล็ก หรือ พิมพ์ใหญ่ uppercase lowercasecapitalize uppercase แปลงเป็นพิมพ์ใหญ่LOWERCASE แปลงเป็นพิมพ์เล็กcapitalize แปลงพิมพใหญ่เฉพาะตัวแรกของคำ white-space ใช้กำหนดให้ หรือ ไม่ให้มีการขึ้นบรรทัดใหม่ normal nowrap ให้มีการตัดคำขึ้นบรรทัดใหม่ตามปกติ ไม่ให้มีการตัดคำขึ้นบรรทัดใหม่word-spacing ใช้กำหนดกำหนดระยะห่าง ระหว่างแต่ละคำ (IE6)normal number (em) normal - Happy new year1em - Happy new year <br />จาก Property ต่างๆ ด้านบน ลองนำมาใช้จัดรูปแบบให้กับข้อความกันค่ะ Example <br /><p style=quot;
color:green; text-indent:1cm; text-align:justify;quot;
> <span style=quot;
text-decoration:underlinequot;
>CSS</span> ย่อมาจาก Cascading Style Sheet  เป็นภาษาที่มีรูปแบบการเขียน Syntax ที่เฉพาะ และถูกกำหนดมาตรฐานโดย W3C (World Wide Web Consortium) เช่นเดียวกับ HTML และ XHTML ใช้สำหรับตกแต่งเอกสาร HTML/ XHTM ให้มีหน้าตา สีสัน ตัวอักษร เส้นขอบ พื้นหลัง ระยะห่าง ฯลฯ อย่างที่เราต้องการ ด้วยการกำหนดคุณสมบัติให้กับ Element ต่างๆ ของ HTML </p> <br />Output<br />CSS ย่อมาจาก Cascading Style Sheet  เป็นภาษาที่มีรูปแบบการเขียน Syntax ที่เฉพาะ และถูกกำหนดมาตรฐานโดย W3C (World Wide Web Consortium) เช่นเดียวกับ HTML และ XHTML ใช้สำหรับตกแต่งเอกสาร HTML/ XHTM ให้มีหน้าตา สีสัน ตัวอักษร เส้นขอบ พื้นหลัง ระยะห่าง ฯลฯ อย่างที่เราต้องการ ด้วยการกำหนดคุณสมบัติให้กับ Element ต่างๆ ของ HTML <br />Example <br /><html><head><style type=quot;
text/cssquot;
>.p1 {color:#FF0033; line-height:18pt; letter-spacing:0.05cm; text-decoration:overline; text-indent:0.5in; text-transform:capitalize; white-space:normal; word-spacing:0.5em;}</style> </head><body><p class=quot;
p1quot;
>good moring teacher, how are you today?</p> </body></html><br />Output <br />good moring teacher, how are you today?<br />Background<br />เราสามารถกำหนดลักษณะพื้นหลังของ Element ต่างๆ เช่น <body>, <table>, <p>, <h1>, <h2>, <div> เป็นต้น <br />PropertyDescriptionValues background-attachmentใช้กำหนดว่าต้องการให้ภาพพื้นหลังนั้นอยู่กับที่ หรือว่าเลื่อนไปตาม Scroll Bar fixedscroll fix อยู่กับที่เลื่อนตาม Scroll Barbackground-colorใช้กำหนดทั้งสี พื้นหลังของเว็บเพจ หรือ ตาราง color-rgbcolor-hexcolor-nametransparentรหัสสีชื่อสีbackground-imageใช้กำหนดรูปภาพ ให้พื้นหลังของเว็บเพจ หรือตาราง url ของรูปเช่น url(images/bg.jpg)background-positionใช้กำหนดตำแหน่งการจัดวางรูปภาพพื้นหลังtop lefttop centertop rightcenter leftcenter centercenter rightbottom leftbottom centerbottom rightx% y%xpos ypos background-repeatกำหนดรูปภาพพื้นหลังว่าต้องการให้มีการเรียงต่อรูปภาพหรือไม่repeatrepeat-xrepeat-yno-repeat ไม่ให้มีการวางต่อรูปภาพ วางต่อรูปภาพแนวนอนวางต่อรูปภาพแนวตั้งวางต่อรูปภาพทั้งแนวนอนและตั้งbackgroundเราสามารถกำหนด property ให้กับ background ได้ในคำสั่งประกาศเดียวbackground-colorbackground-imagebackground-repeatbackground-attachmentbackground-position  <br />ExampleBackground เป็นรูปอยู่ด้านบน ขวา ไม่ repeat <br /><div style=quot;
background-attachment:scroll; background-image:url(../images/bg1.gif); background-position:top right; background-repeat:no-repeatquot;
><br /><br /><br /><br /></div> <br />Output <br />ExampleBackground เป็นรูปอยู่ตรงกลาง ไม่ repeat <br /><div style=quot;
background-attachment:scroll; background-image:url(../images/bg2.gif); background-position:center; background-repeat:no-repeatquot;
><br /><br /><br /><br /></div> <br />Output <br />ExampleBackground เป็นรูปอยู่ตรงกลาง repeart แนวนอน <br /><div style=quot;
background-attachment:scroll; background-image:url(../images/bg2.gif); background-position:center; background-repeat:repeat-xquot;
><br /><br />Enjoyday.net<br /><br /></div> <br />Output <br />Enjoyday.net<br />ExampleBackground เป็นรูปอยู่ตรงกลาง repeart แนวตั้ง <br /><div style=quot;
background-attachment:scroll; background-image:url(../images/bg2.gif); background-position:center; background-repeat:repeat-yquot;
><br /><br />Enjoyday.net<br /><br /></div> <br />Output <br />Enjoyday.net<br />ExampleBackground เป็นรูป repeart ทั้งแนวนอน และแนวตั้ง <br /><div style=quot;
background-image:url(../images/bg2.gif); background-repeat:repeatquot;
><br /><br />Enjoyday.net<br /><br /></div> <br />Output <br />Enjoyday.net<br />ExampleBackground เป็นพื้นสีฟ้า <br /><div class=quot;
output_boxquot;
 style=quot;
background-color:#D7EBFFquot;
><br /><br />Enjoyday.net<br /><br /></div> <br />Output <br />Enjoyday.net<br />ExampleBackground เป็นรูป Fix <br /><textarea style=quot;
background-image:url(../images/bg1.gif); background-attachment:fixed; width:300px quot;
 rows=quot;
3quot;
>สวัสดีค่ะ นี่เป็น Background แบบ Fixรูปจะไม่เลือนไปตาม Scroll Bar ค่ะ.... </textarea><br />Output <br />ExampleBackground เป็นรูปไม่ Fix เลื่อนตาม Scroll Bar <br /><textarea style=quot;
background-image:url(../images/bg1.gif); background-attachment:scroll; width:300pxquot;
 rows=quot;
3quot;
>สวัสดีค่ะ นี่เป็น Background แบบไม่ Fixรูปจะเลือนไปตาม Scroll Bar ค่ะ.... </textarea><br />Output <br />Chapter 11<br />Border<br />เราสามารถกำหนดลักษณะเส้นกรอบของ Element ต่างๆ ได้ เช่น <p>, <div> เป็นต้น <br />PropertyDescriptionValues border-widthใช้กำหนดขนาดของกรอบของวัตถุทั้ง 4 ด้าน thinmediumthicklengthเช่น 5px, 5ptborder-styleใช้การกำหนดลักษณะของกรอบของวัตถุทั้ง 4 ด้าน nonehiddendotteddashedsoliddoublegrooveridgeinsetoutsetdotteddashedsoliddoublegrooveridgeinsetoutsetborder-colorใช้การกำหนดสีกรอบของวัตถุทั้ง 4 ด้าน *ต้องกำหนด style ก่อนcolor borderสามารถกำหนด property ให้กับ border ได้ในคำสั่งประกาศเดียวborder-widthborder-styleborder-color  border-top-widthborder-top-styleborder-top-colorborder-top ่ใช้กำหนดคุณสมบัติให้กับกรอบด้านบน  border-bottom-widthborder-bottom-styleborder-bottom-colorborder-bottom ใช้กำหนดคุณสมบัติให้กับกรอบด้านล่าง  border-left-widthborder-left-styleborder-left-colorborder-leftใช้กำหนดคุณสมบัติให้กับกรอบด้านซ้าย  border-right-widthbordr-right-styleborder-right-colorborder-righteใช้กำหนดคุณสมบัติให้กับกรอบด้านขวา  <br />Exampleกำหนดขนาด border <br /><div style=quot;
border-top-width:5px; border-right-width:5px; border-bottom-width:5px; border-left-width:5px;quot;
><br /> <br /> <br /></div>หรือ<div style=quot;
border-width:5pxquot;
><br /><br /><br /></div> <br />Output <br />กำหนดขนาดให้เส้นกรอบทั้ง 4 ด้านมีค่า 5px <br />Exampleกำหนดขนาด border <br /><div class=quot;
output_boxquot;
 style=quot;
border-width:1px 10pxquot;
><br /><br /><br /></div> <br />Output <br />กำหนดขนาดให้เส้นกรอบ บน ล่าง เป็น 1px, และขนาดเส้นกรอบ ซ้าย ขวา เป็น 10px <br />Exampleกำหนดขนาด border <br /><div class=quot;
output_boxquot;
 style=quot;
border-width:1px 10px 20pxquot;
><br /><br /><br /></div> <br />Output <br />กำหนดขนาดให้เส้นกรอบ บน เป็น 1px, ขนาดเส้นกรอบ ซ้าย ขวา เป็น 10px และขนาดเส้นกรอบ ล่าง เป็น 20px<br />Exampleกำหนดขนาด border <br /><div class=quot;
output_boxquot;
 style=quot;
border-top-width:1px; border-right-width:10px; border-bottom-width:20px; border-left-width:30px;quot;
><br /> <br /> <br />หรือ</div> <div class=quot;
output_boxquot;
 style=quot;
border-width:1px 10px 20px 30pxquot;
><br /><br /><br /></div> <br />Output <br />กำหนดขนาดให้เส้นกรอบ 1px 10px 20px 30px เป็นขนาดของเส้นกรอบ บน ขวา ล่าง ซ้าย ตามลำดับ<br />Exampleลักษณะ border <br /><div style=quot;
border-style:dashed dotted solid double; border-color:#FF6633quot;
><br /><br /><br /><br /></div> <br />Output <br />กำหนดลักษณะให้เส้นกรอบในคำสั่งเดียว dashed dotted solid double เป็นลักษณะของเส้นกรอบ บน ขวา ล่าง ซ้าย ตามลำดับ<br />Exampleกำหนดสี border <br /><div style=quot;
border-style:solid; border-color:red blue green blackquot;
><br /> <br /> <br /></div> <br />Output <br />กำหนดสีให้เส้นกรอบในคำสั่งเดียว red blue green black เป็นสีของเส้นกรอบ บน ขวา ล่าง ซ้าย ตามลำดับ<br />Exampleกำหนด property ให้กับ border ในคำสั่งประกาศเดียว <br /><div style=quot;
border-width:5px; border-style:double; border-color:#336699quot;
><br /> <br /> <br /></div>หรือ<div style=quot;
border:5px double #336699quot;
><br /> <br /> <br /></div> <br />Output <br />กำหนด property ให้กับ border ได้ในคำสั่งประกาศเดียว<br /> HYPERLINK quot;
http://www.enjoyday.net/webtutorial/css/css_chapter10.htmlquot;
 « Chapter 10<br /> HYPERLINK quot;
http://www.enjoyday.net/webtutorial/css/css_chapter12.htmlquot;
 Chapter 12 »<br /> HYPERLINK quot;
http://www.histats.comquot;
  quot;
hit trackerquot;
  quot;
_blankquot;
 <br />Copyright © 2009 enjoyday.net<br />Margin, Padding<br />PropertyDescriptionValues margin-topใช้กำหนดระยะห่างระหว่างขอบของวัตถุด้านบน กับวัตถุอื่นๆautolengthเช่น 5px, 5pt,5cm margin-bottomใช้กำหนดระยะห่างระหว่างขอบของวัตถุด้านล่าง กับวัตถุอื่นๆ  margin-leftใช้กำหนดระยะห่างระหว่างขอบของวัตถุด้านซ้าย กับวัตถุอื่นๆ  margin-rightใช้กำหนดระยะห่างระหว่างขอบของวัตถุด้านขวา กับวัตถุอื่นๆ  marginใช้กำหนดระยะห่างระหว่างขอบของวัตถุที่ต้องการ ทั้ง 4 ด้าน กับวัตถุอื่น ๆ ในคำสั่งเดียว  padding-topใช้กำหนดระยะห่างระหว่างขอบของวัตถุด้านในเส้นบน กับ ข้อความที่อยู่ในกรอบ  padding-bottomใช้กำหนดระยะห่างระหว่างขอบของวัตถุด้านในเส้นล่าง กับ ข้อความที่อยู่ในกรอบ  padding-leftใช้กำหนดระยะห่างระหว่างขอบของวัตถุด้านในเส้นซ้าย กับ ข้อความที่อยู่ในกรอบ  padding-rightใช้กำหนดระยะห่างระหว่างขอบของวัตถุด้านในเส้นขวา กับ ข้อความที่อยู่ในกรอบ  paddingใช้กำหนดระยะห่างระหว่างขอบของวัตถุด้านใน กับ ข้อความที่อยู่ในกรอบ (ไม่เกี่ยวข้องกับวัตถุด้านนอก)  <br />Exampleถ้าไม่ได้ใช้้งาน margin และ padding <br />ข้อความข้างนอกด้านบน<div style=quot;
border:20px solid #3399CCquot;
>block นี้มี Border สีน้ำเงิน ขนาด 20px ไม่ใช้งาน Margin และ Padding ลองมาดูกันว่าได้ผลเป็นอย่างไร</div>ข้อความข้างนอกด้านล่าง <br />Output <br />ข้อความข้างนอกด้านบน <br />block นี้มี Border สีน้ำเงิน ขนาด 20px ไม่ใช้งาน Margin และ Padding ลองมาดูกันว่าได้ผลเป็นอย่างไร <br />ข้อความข้างนอกด้านล่าง <br />ลองมาดูต่อว่า... ถ้านำ margin และ padding มาใช้งานล่ะ Example การใช้งาน margin และ padding <br />ข้อความข้างนอกตรงนี้ห่างจากขอบด้านนอกของ block 20x นี่คือ margin ด้านบน<div style=quot;
margin:20px; padding:20px; border:20px solid #3399CCquot;
>block นี้มี Border สีน้ำเงิน ขนาด 20px <br />มี Padding ระยะห่างระหว่างขอบด้านใน กับ ข้อความใน block 20px<br />และมี Margin ระยะห่างระหว่างขอบด้านนอก กับ ข้อความที่อยู่ข้างนอก block 20px ทีนี้คงเข้าใจแล้วว่า margin และpadding คือส่วนไหนกันแล้ว</div>ข้อความข้างนอกตรงนี้ห่างจากขอบด้านนอกของ block 20x นี่คือ margin ด้านล่าง <br />Output <br />ข้อความข้างนอกตรงนี้ห่างจากขอบด้านนอกของ block 20x นี่คือ margin ด้านบน <br />block นี้มี Border สีน้ำเงิน ขนาด 20px มี Padding ระยะห่างระหว่างขอบด้านใน กับ ข้อความใน block 20pxและมี Margin ระยะห่างระหว่างขอบด้านนอก กับ ข้อความที่อยู่ข้างนอก block 20px ทีนี้คงเข้าใจแล้วว่า margin และpadding คือส่วนไหนกันแล้ว <br />ข้อความข้างนอกตรงนี้ห่างจากขอบด้านนอกของ block 20x นี่คือ margin ด้านล่าง <br />ถ้ายังงงๆ ว่าตรงไหนคือ margin และ padding อยู่ ให้ดูที่รูปนี้ค่ะ Exampleการใช้งาน margin ที่แต่ละด้านไม่เท่ากัน <br /><div style=quot;
margin:20px; padding:10px 20px 30px 40px; border:2px solid #009999quot;
>block นี้มี Border สีส้ม ขนาด 2px <br />มี Padding ระยะห่างระหว่างขอบด้านใน กับ ข้อความใน block 10px 20px 30px 40px ซึ่งเป็น pading ของด้านบน ขวา ล่าง ซ้าย ตามลำดับ และมี Margin ระยะห่างระหว่างขอบด้านนอก กับ ข้อความที่อยู่ข้างนอก block 20px ทั้ง 4 ด้าน</div>ข้อความข้างนอกตรงนี้ห่างจากขอบด้านนอกของ block 20x นี่คือ margin ด้านล่าง <br />Output <br />ความข้างนอกตรงนี้ห่างจากขอบด้านนอกของ block 10x นี่คือ margin ด้านบน <br />block นี้มี Border สีส้ม ขนาด 2px มี Padding ระยะห่างระหว่างขอบด้านใน กับ ข้อความใน block 20px ทั้ง 4 ด้าน และมี Margin ระยะห่างระหว่างขอบด้านนอก กับ ข้อความที่อยู่ข้างนอก block 10px 20px 30px 40px ซึ่งเป็น margin ของด้านบน ขวา ล่าง ซ้าย ตามลำดับ <br />ข้อความข้างนอกตรงนี้ห่างจากขอบด้านนอกของ block 30x นี่คือ margin ด้านล่าง <br />Exampleการใช้งาน padding ที่แต่ละด้านไม่เท่ากัน <br />ความข้างนอกตรงนี้ห่างจากขอบด้านนอกของ block 20x นี่คือ margin ด้านบน<div style=quot;
margin:20px; padding:10px 20px 30px 40px; border:2px solid #009999quot;
>block นี้มี Border สีเขียว ขนาด 2px <br />มี Padding ระยะห่างระหว่างขอบด้านใน กับ ข้อความใน block 10px 20px 30px 40px ซึ่งเป็น pading ของด้านบน ขวา ล่าง ซ้าย ตามลำดับ และมี Margin ระยะห่างระหว่างขอบด้านนอก กับ ข้อความที่อยู่ข้างนอก block 20px ทั้ง 4 ด้าน</div>ข้อความข้างนอกตรงนี้ห่างจากขอบด้านนอกของ block 20x นี่คือ margin ด้านล่าง <br />Output <br />ความข้างนอกตรงนี้ห่างจากขอบด้านนอกของ block 20x นี่คือ margin ด้านบน <br />block นี้มี Border สีเขียว ขนาด 2px มี Padding ระยะห่างระหว่างขอบด้านใน กับ ข้อความใน block 10px 20px 30px 40px ซึ่งเป็น pading ของด้านบน ขวา ล่าง ซ้าย ตามลำดับ และมี Margin ระยะห่างระหว่างขอบด้านนอก กับ ข้อความที่อยู่ข้างนอก block 20px ทั้ง 4 ด้าน <br />ข้อความข้างนอกตรงนี้ห่างจากขอบด้านนอกของ block 20x นี่คือ margin ด้านล่าง <br />Example อื่นๆ<br />h1 {margin: 10px}<br />Happy New Year<br />margin ทั้ง4 ด้านเป็น 10px <br />h1 {margin: 10px 2%}<br />Happy New Year<br />margin ด้านบนและล่าง 10px, ด้านขวาและซ้าย เป็น 2% ของความกว้างเอกสาร <br />h1 {margin: 10px 2% -10px}<br />Happy New Year<br />margin ด้านบน 10px, ด้านขวาและซ้าย 2% ของความกว้างเอกสาร, ด้านล่าง เป็น -10px <br />h1 {margin: 10px 2% -10px auto}<br />Happy New Year<br />margin ด้านบน 10px, ด้านขวา 2% ของความกว้างเอกสาร, ด้านล่าง เป็น -10px และด้านซ้ายกำหนดตาม Browser <br />Exampleการใช้งานผสม Chapter 8-12 <br /><html><head><style type=quot;
text/cssquot;
>.mixcode {font: normal small-caps bold 16px Arial, Helvetica, sans-serif; color:#FF0033; text-align:center; text-decoration:underline; word-spacing:0.5em; background-color:#FBEFFC; border:2px dotted #FF6699; margin:20px; padding:20px</style></head><body>Hello all,<div class=quot;
mixcodequot;
>Happy New Year 2009</div>Hope you enjoy your stay here.</body></html> <br />Output <br />Hello all, <br />Happy New Year 2009<br />Hope you enjoy your stay here. <br />Chapter 13<br />List<br />PropertyDescriptionValues list-style-typeใช้กำหนดลักษณะที่ใช้นำหน้าแต่ละรายการย่อย nonedisccirclesquaredecimaldecimal-leading-zerolower-romanupper-romanlower-alphaupper-alphalower-greeklower-latinupper-latinhebrewarmeniangeorgiancjk-ideographichiraganakatakanahiragana-irohakatakana-iroha disccirclesquaredecimaldecimal-leading-zerolower-romanupper-romanlower-alphaupper-alphalower-greeklower-latinupper-latinhebrewarmeniangeorgiangeorgiancjk-ideographichiraganahiragana-irohakatakana-irohalist-style-positionใช้การกำหนดลักษณะการปัดขึ้นบรรทัดใหม่ของข้อความ กรณีที่มีความยาวเกิน 1 บรรทัด * ถ้าไม่กำหนดจะเป็นแบบ outsideinsideoutsideจัดให้ตรงแนวกับสัญลักษณ์จัดให้ตรงแนวกับข้อความแถวแรกlist-style-imageใช้การกำหนดรูปภาพเพื่อนำมาเป็นสัญลักษณ์รายการย่อยurlของรูปภาพ list-styleสามารถกำหนด property ให้กับ list ได้ในคำสั่งประกาศเดียวlist-style-typelist-style-positionlist-style-image <br />Example <br />Enjoyday.net - Web builder Tutorial<ul style=quot;
list-style-type:squarequot;
><li>HTML</li><li>CSS</li><li>XHTML</li><li>JavaScript</li><li>SQL</li></ul><br />Output <br />Enjoyday.net - Web builder Tutorial <br />HTML<br />CSS<br />XHTML<br />JavaScript<br />SQL<br />Example <br />Enjoyday.net - Web builder Tutorial<ul><li style=quot;
list-style-type:circlequot;
>HTML</li><li style=quot;
list-style-type:discquot;
>CSS</li><li style=quot;
list-style-type:squarequot;
>XHTML</li><li style=quot;
list-style-type:decimalquot;
>JavaScript</li><li style=quot;
list-style-type:upper-romanquot;
>SQL</li></ul><br />Output <br />Enjoyday.net - Web builder Tutorial <br />HTML<br />CSS<br />XHTML<br />JavaScript<br />SQL<br />Example <br />Enjoyday.net - Web builder Tutorial<ul style=quot;
list-style-image:url(images/list.gif)quot;
><li>HTML</li><li>CSS</li><li>XHTML</li><li>JavaScript</li><li>SQL</li></ul><br />Output <br />Enjoyday.net - Web builder Tutorial <br />HTML<br />CSS<br />XHTML<br />JavaScript<br />SQL<br />Example <br />ประโยชน์ของ CSS<ul style=quot;
list-style-type:circle; list-style-position:insidequot;
><li>การใช้ css ในการจัดรูปแบบการแสดงผล จะช่วยลดการใช้ภาษา HTML ในการตกแต่งเอกสารเว็บเพจ ทำให้ code ภายในเอกสาร HTML เหลือเพียงส่วนเนื้อหา ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น การแก้ไขเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็ว</li><li>เมื่อ code ภายในเอกสาร HTML ลดลง ทำให้ขนาดไฟล์เล็กลง จึงดาวน์โหลดได้เร็ว</li><li>สามารถกำหนดรูปแบบการแสดงผลจากคำสั่ง style sheet ชุดเดียวกัน ให้มีผลกับเอกสาร HTML ทั้งหน้า หรือทุกหน้าได้ ทำให้เวลาแก้ไขหรือปรับปรุงทำได้ง่าย ไม่ต้องไล่ตามแก้ที่ HTML Tag ต่างๆ ทั่วทั้งเอกสาร</li></ul><br />Output <br />ประโยชน์ของ CSS <br />การใช้ css ในการจัดรูปแบบการแสดงผล จะช่วยลดการใช้ภาษา HTML ในการตกแต่งเอกสารเว็บเพจ ทำให้ code ภายในเอกสาร HTML เหลือเพียงส่วนเนื้อหา ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น การแก้ไขเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็ว<br />เมื่อ code ภายในเอกสาร HTML ลดลง ทำให้ขนาดไฟล์เล็กลง จึงดาวน์โหลดได้เร็ว<br />สามารถกำหนดรูปแบบการแสดงผลจากคำสั่ง style sheet ชุดเดียวกัน ให้มีผลกับเอกสาร HTML ทั้งหน้า หรือทุกหน้าได้ ทำให้เวลาแก้ไขหรือปรับปรุงทำได้ง่าย ไม่ต้องไล่ตามแก้ที่ HTML Tag ต่างๆ ทั่วทั้งเอกสาร<br />Example <br />ประโยชน์ของ CSS<ul style=quot;
list-style-type:circle; list-style-position:outsidequot;
><li>การใช้ css ในการจัดรูปแบบการแสดงผล จะช่วยลดการใช้ภาษา HTML ในการตกแต่งเอกสารเว็บเพจ ทำให้ code ภายในเอกสาร HTML เหลือเพียงส่วนเนื้อหา ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น การแก้ไขเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็ว</li><li>เมื่อ code ภายในเอกสาร HTML ลดลง ทำให้ขนาดไฟล์เล็กลง จึงดาวน์โหลดได้เร็ว</li><li>สามารถกำหนดรูปแบบการแสดงผลจากคำสั่ง style sheet ชุดเดียวกัน ให้มีผลกับเอกสาร HTML ทั้งหน้า หรือทุกหน้าได้ ทำให้เวลาแก้ไขหรือปรับปรุงทำได้ง่าย ไม่ต้องไล่ตามแก้ที่ HTML Tag ต่างๆ ทั่วทั้งเอกสาร</li></ul><br />Output <br />ประโยชน์ของ CSS <br />การใช้ css ในการจัดรูปแบบการแสดงผล จะช่วยลดการใช้ภาษา HTML ในการตกแต่งเอกสารเว็บเพจ ทำให้ code ภายในเอกสาร HTML เหลือเพียงส่วนเนื้อหา ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น การแก้ไขเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็ว<br />เมื่อ code ภายในเอกสาร HTML ลดลง ทำให้ขนาดไฟล์เล็กลง จึงดาวน์โหลดได้เร็ว<br />สามารถกำหนดรูปแบบการแสดงผลจากคำสั่ง style sheet ชุดเดียวกัน ให้มีผลกับเอกสาร HTML ทั้งหน้า หรือทุกหน้าได้ ทำให้เวลาแก้ไขหรือปรับปรุงทำได้ง่าย ไม่ต้องไล่ตามแก้ที่ HTML Tag ต่างๆ ทั่วทั้งเอกสาร<br />Example กำหนด property ให้กับ list ได้ในคำสั่งประกาศเดียว <br />ประโยชน์ของ CSS<ul style=quot;
list-style:decimal insidequot;
><li>การใช้ css ในการจัดรูปแบบการแสดงผล จะช่วยลดการใช้ภาษา HTML ในการตกแต่งเอกสารเว็บเพจ ทำให้ code ภายในเอกสาร HTML เหลือเพียงส่วนเนื้อหา ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น การแก้ไขเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็ว</li><li>เมื่อ code ภายในเอกสาร HTML ลดลง ทำให้ขนาดไฟล์เล็กลง จึงดาวน์โหลดได้เร็ว</li><li>สามารถกำหนดรูปแบบการแสดงผลจากคำสั่ง style sheet ชุดเดียวกัน ให้มีผลกับเอกสาร HTML ทั้งหน้า หรือทุกหน้าได้ ทำให้เวลาแก้ไขหรือปรับปรุงทำได้ง่าย ไม่ต้องไล่ตามแก้ที่ HTML Tag ต่างๆ ทั่วทั้งเอกสาร</li></ul> <br />Output <br />ประโยชน์ของ CSS <br />การใช้ css ในการจัดรูปแบบการแสดงผล จะช่วยลดการใช้ภาษา HTML ในการตกแต่งเอกสารเว็บเพจ ทำให้ code ภายในเอกสาร HTML เหลือเพียงส่วนเนื้อหา ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น การแก้ไขเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็ว<br />เมื่อ code ภายในเอกสาร HTML ลดลง ทำให้ขนาดไฟล์เล็กลง จึงดาวน์โหลดได้เร็ว<br />สามารถกำหนดรูปแบบการแสดงผลจากคำสั่ง style sheet ชุดเดียวกัน ให้มีผลกับเอกสาร HTML ทั้งหน้า หรือทุกหน้าได้ ทำให้เวลาแก้ไขหรือปรับปรุงทำได้ง่าย ไม่ต้องไล่ตามแก้ที่ HTML Tag ต่างๆ ทั่วทั้งเอกสาร<br />Table <br />ต้องใช้กับเว็บเบราเซอร์รุ่นใหม่ๆ เช่น IE6 เป็นต้นไป*บาง property เมื่อทดสอบแล้วไม่เห็นผล <br />PropertyDescriptionValues table-layoutใช้กำหนดความกว้างของตารางและคอลัมน์automaticfixedDefaultกว้างตามที่ำกำหนดเท่านั้นcaption-sideใช้กำหนดตำแหน่งของชื่อตารางtopbottomleftrightDefaultempty-cellsใช้กำหนดว่าจะแสดง/ไม่แสดง เส้นขอบ เมื่อ cell นั้นไม่มีข้อความ (empty)hideshowDefaultborder-spacingใช้กำหนดระยะระหว่างตาราง และขอบ แนวนอน และแนวตั้งlength lengthเช่น 2px 5pxborder-collapseใช้กำหนดลักษณะเส้นขอบseparatecollapseDefault แยกเป็น 2 เส้นเป็นเส้นเดียว<br />Example <br /><html><head><style type=quot;
text/cssquot;
>table.one{table-layout:automatic;width:100%;border:1px solid #666666}table.two{table-layout:fixed;empty-cells:show; border-collapse:collapse; width:100%;border:1px solid #666666 } td {border:1px solid #666666 } </style></head><body><br /><table class=quot;
onequot;
><caption>ตารางแสดงตัวเลข</caption><tr><td width=quot;
20%quot;
>1000000000000000000000000000</td><td width=quot;
40%quot;
>10000000</td><td width=quot;
40%quot;
></td></tr></table><br /><table class=quot;
twoquot;
><caption>ตารางแสดงตัวเลข</caption> <tr><td width=quot;
20%quot;
>1000000000000000000000000000</td><td width=quot;
40%quot;
>10000000</td><td width=quot;
40%quot;
></td></tr></table><br /></body></html> <br />Output <br />ตารางแสดงตัวเลข100000000000000000000000000010000000<br />ตารางแสดงตัวเลข100000000000000000000000000010000000<br />สังเกต ตารางที่สอง จะ fix ความกว้างของช่องตารางไว้ ทำให้แสดงข้อความไม่พอ นอกจากนี้มีการกำหนด cell ว่างให้แสดงด้วย และให้แสดงเส้นขอบรวมเป็นเส้นเดียวExampleลองจัดรูปแบบอื่นๆ ให้กับตาราง โดยใช้ CSS บทที่ผ่านๆ มา ดูค่ะ <br /><html><head><style type=quot;
text/cssquot;
>table.three{width:60%;border:0; } table.three th { font-weight:bold; border-bottom:1px solid #CCC; border-top:1px solid #CCC; background-color:#F2F9FF ;color:#0000CC;}table.three td { padding:5px; border-bottom:1px dotted #CCC; }<br /></style></head><body><br /><table class=quot;
threequot;
 cellspacing=quot;
0quot;
><tr><th>รหัสพนักงาน</th><th>ชื่อ</td><th>เงินเดือน</th></tr><tr><td>01</td><td>อำนาจ</td><td align=quot;
rightquot;
>30,000</td></tr><tr><td>02</td><td>สมชาย</td><td align=quot;
rightquot;
>25,000</td></tr><tr><td>03</td><td>วีระ</td><td align=quot;
rightquot;
>20,000</td></tr></table><br /></body></html> <br />Output <br />รหัสพนักงานชื่อเงินเดือน01อำนาจ30,00002สมชาย25,00003วีระ20,000<br />Chapter 15<br />Link <br />PropertyPurposea:linkกำหนด style ให้กับ link ปกติที่ยังไม่เคยถูก clicka:visitedกำหนด style ให้กับ link ที่เคยถูกคลิกแล้วa:hoverกำหนด style ให้กับ link เมื่อเลื่อนเมาส์ไปอยู่เหนือ linka:activeกำหนด style ให้กับ link ขณะถูกคลิก<br />Example <br /><html><head><style type=quot;
text/cssquot;
>.linkbox a:link {color: #FF0000} /* unvisited link สีแดง*/ .linkbox a:visited {color: #00FF00} /* visited link สีเขียว*/ .linkbox a:hover {color: #FF00FF} /* mouse over link สีชมพู */ .linkbox a:active {color: #0000FF} /* selected link สีน้ำเงิน*/ </style></head><body><div class=quot;
linkboxquot;
><a href=quot;
css_chapter01.htmlquot;
>Chapter1</a><a href=quot;
css_chapter02.htmlquot;
>Chapter2</a><a href=quot;
css_chapter03.htmlquot;
>Chapter3</a><a href=quot;
css_chapter04.htmlquot;
>Chapter4</a><a href=quot;
css_chapter05.htmlquot;
>Chapter5</a></div><body></html><br />Output <br /> HYPERLINK quot;
http://www.enjoyday.net/webtutorial/css/css_chapter01.htmlquot;
 Chapter1  HYPERLINK quot;
http://www.enjoyday.net/webtutorial/css/css_chapter02.htmlquot;
 Chapter2  HYPERLINK quot;
http://www.enjoyday.net/webtutorial/css/css_chapter03.htmlquot;
 Chapter3  HYPERLINK quot;
http://www.enjoyday.net/webtutorial/css/css_chapter04.htmlquot;
 Chapter4  HYPERLINK quot;
http://www.enjoyday.net/webtutorial/css/css_chapter05.htmlquot;
 Chapter5 <br />Example <br /><html><head><style type=quot;
text/cssquot;
>.linkpage a { font:12px Arial, Helvetica, sans-serif; background: #F8FBFC; color: #56ADDC; text-decoration: none; padding: 2px 4px; border: 1px solid #1BA0CD; }.linkpage a:hover { background-color:#C0F5FA;border-color: #608BD2; color:#0076AE }.linkpage span { font: 12px Arial, Helvetica, sans-serif; color:#333333; padding: 2px 4px; }</style></head><body><div class=quot;
linkpagequot;
 style=quot;
margin:auto; padding:10pxquot;
><span>Page :</span><a href=quot;
css_chapter01.htmlquot;
>&laquo; First</a><a href=quot;
css_chapter14.htmlquot;
>&lsaquo; Prev</a><a href=quot;
css_chapter01.htmlquot;
>1</a><a href=quot;
css_chapter02.htmlquot;
>2</a><a href=quot;
css_chapter03.htmlquot;
>3</a><a href=quot;
css_chapter16.htmlquot;
>Next &rsaquo;</a> <a href=quot;
css_chapter25.htmlquot;
>Last &raquo;</a> </div><body></html> <br />Output <br />Chapter 16<br />Classification<br />การแสดงผลวัตถุว่าจะแสดงอย่างไร ที่ไหน<br />PropertyDescriptionValues floatใช้กำหนดการจัดวางรูปภาพ หรือวัตถุที่ต้องการ ว่าจะให้อยู่ทางด้านใดของข้อความที่มีอยู่ leftrightnonedisplay ใช้กำหนดรูปแบบการแสดงของวัตถุ   valuedescriptionnoneไม่แสดงวัตถุนั้นblockแสดงเป็น block โดยขึ้นบรรทัดใหม่ก่อนinlineเป็นค่า Default โดย element จะี่แสดงแบบ inline ไม่มีการขึ้นบรรทัดใหม่list-itemแสดงเป็นลิสต์รายการrun-inThe element will be displayed as block-level or inline element depending on contextcompactThe element will be displayed as block-level or inline element depending on contextmarker tableThe element will be displayed as a block table (like <table>), with a line break before and after the tableinline-tableThe element will be displayed as an inline table (like <table>), with no line break before or after the tabletable-row-groupThe element will be displayed as a group of one or more rows (like <tbody>)table-header-groupThe element will be displayed as a group of one or more rows (like <thead>)table-footer-groupThe element will be displayed as a group of one or more rows (like <tfoot>)table-rowThe element will be displayed as a table row (like <tr>)table-column-groupThe element will be displayed as a group of one or more columns (like <colgroup>)table-columnThe element will be displayed as a column of cells (like <col>)table-cellThe element will be displayed as a table cell (like <td> and <th>)table-captionThe element will be displayed as a table caption (like <caption>clearใช้ยกเลิกการจัดวางวัตถุกับข้อความleftrightbothnone visibility กำหนดให้มีการแสดง หรือซ่อน วัตถุและข้อความที่ต้องการvisiblehiddencollapse <br />Example float <br /><html><head><style type=quot;
text/cssquot;
>.img1 {float:right;width:120px;margin:0 0 15px 20px;padding:15px;border:1px solid black;text-align:center;}</style></head><br /><body><br /><div class=quot;
img1quot;
><img src=quot;
../images/tea.jpgquot;
 /><br />Green Tea </div><p> มีอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่จะดีต่อสุขภาพเท่าชาเขียวบ้าง ชาวจีนรู้เรื่องประโยชน์ทางยาของชาเขียวมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้ชาเขียวในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึมเศร้า ในหนังสือเรื่อง ไขความลับธรรมชาติสู่สุขภาพที่ดีกว่า นาดีน เทย์เลอร์ กล่าวว่า มีการใช้ชาเขียวเป็นยาในประเทศจีนเป็นเวลานานอย่างน้อย 4,000 ปีมาแล้ว </p><p>ปัจจุบัน การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออกพบว่า การดื่มชาเขียวมีผลอย่างชัดเจนต่อสุขภาพ เช่น ในปี 1994 วารสารของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ตีพิมพ์ผลการศึกษาที่แสดงว่า การดื่ม ชาเขียวช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งหลอดอาหาร ในหมู่ชาวจีนทั้งหญิงชาย ได้ถึง เกือบ 60% เมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยปูร์ดู สรุปว่า สารประกอบในชาเขียว ช่วยยับยั้งอัตราการเติบโตของเซลมะเร็งได้ นอกจากนั้น ยังมีการวิจัยที่แสดงว่า การดื่มชาเขียวช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลโดยรวมได้ และยังช่วยปรับอัตรา HDL ให้เป็น LDL</p> </body><html> <br />Output <br />Green Tea <br />มีอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่จะดีต่อสุขภาพเท่าชาเขียวบ้าง ชาวจีนรู้เรื่องประโยชน์ทางยาของชาเขียวมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้ชาเขียวในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึมเศร้า ในหนังสือเรื่อง ไขความลับธรรมชาติสู่สุขภาพที่ดีกว่า นาดีน เทย์เลอร์ กล่าวว่า มีการใช้ชาเขียวเป็นยาในประเทศจีนเป็นเวลานานอย่างน้อย 4,000 ปีมาแล้ว <br />ปัจจุบัน การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออกพบว่า การดื่มชาเขียวมีผลอย่างชัดเจนต่อสุขภาพ เช่น ในปี 1994 วารสารของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ตีพิมพ์ผลการศึกษาที่แสดงว่า การดื่ม ชาเขียวช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งหลอดอาหาร ในหมู่ชาวจีนทั้งหญิงชาย ได้ถึง เกือบ 60% เมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยปูร์ดู สรุปว่า สารประกอบในชาเขียว ช่วยยับยั้งอัตราการเติบโตของเซลมะเร็งได้ นอกจากนั้น ยังมีการวิจัยที่แสดงว่า การดื่มชาเขียวช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลโดยรวมได้ และยังช่วยปรับอัตรา HDL ให้เป็น LDL<br />Example display:inline ทำให้ <p> ไม่มีการตัดบรรทัดใหม่ (<p> ปกติจะตัดบรรทัดใหม่) <br /><h4>กรณีไม่มีการจัดรูปแบบ</h4><p>มีอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่จะดีต่อสุขภาพเท่าชาเขียวบ้าง ชาวจีนรู้เรื่องประโยชน์ทางยาของชาเขียวมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้ชาเขียวในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึมเศร้า </p> <p>ในหนังสือเรื่อง ไขความลับธรรมชาติสู่สุขภาพที่ดีกว่า นาดีน เทย์เลอร์ กล่าวว่า มีการใช้ชาเขียวเป็นยาในประเทศจีนเป็นเวลานานอย่างน้อย 4,000 ปีมาแล้ว </p><br /> <h4>กรณีกำหนดให้ display แบบ inline</h4><p style=quot;
display:inlinequot;
>มีอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่จะดีต่อสุขภาพเท่าชาเขียวบ้าง ชาวจีนรู้เรื่องประโยชน์ทางยาของชาเขียวมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้ชาเขียวในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึมเศร้า </p> <p style=quot;
display:inlinequot;
>ในหนังสือเรื่อง ไขความลับธรรมชาติสู่สุขภาพที่ดีกว่า นาดีน เทย์เลอร์ กล่าวว่า มีการใช้ชาเขียวเป็นยาในประเทศจีนเป็นเวลานานอย่างน้อย 4,000 ปีมาแล้ว </p> <br />Output <br />กรณีไม่มีการจัดรูปแบบ<br />มีอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่จะดีต่อสุขภาพเท่าชาเขียวบ้าง ชาวจีนรู้เรื่องประโยชน์ทางยาของชาเขียวมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้ชาเขียวในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึมเศร้า <br />ในหนังสือเรื่อง ไขความลับธรรมชาติสู่สุขภาพที่ดีกว่า นาดีน เทย์เลอร์ กล่าวว่า มีการใช้ชาเขียวเป็นยาในประเทศจีนเป็นเวลานานอย่างน้อย 4,000 ปีมาแล้ว <br />กรณีกำหนดให้ display แบบ inline<br />มีอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่จะดีต่อสุขภาพเท่าชาเขียวบ้าง ชาวจีนรู้เรื่องประโยชน์ทางยาของชาเขียวมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้ชาเขียวในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึมเศร้า <br />ในหนังสือเรื่อง ไขความลับธรรมชาติสู่สุขภาพที่ดีกว่า นาดีน เทย์เลอร์ กล่าวว่า มีการใช้ชาเขียวเป็นยาในประเทศจีนเป็นเวลานานอย่างน้อย 4,000 ปีมาแล้ว <br />Example display:block (<span> ปกติจะไม่บรรทัดใหม่) <br /><h4>กรณีไม่มีการจัดรูปแบบ</h4><span>มีอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่จะดีต่อสุขภาพเท่าชาเขียวบ้าง ชาวจีนรู้เรื่องประโยชน์ทางยาของชาเขียวมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้ชาเขียวในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึมเศร้า </span> <span>ในหนังสือเรื่อง ไขความลับธรรมชาติสู่สุขภาพที่ดีกว่า นาดีน เทย์เลอร์ กล่าวว่า มีการใช้ชาเขียวเป็นยาในประเทศจีนเป็นเวลานานอย่างน้อย 4,000 ปีมาแล้ว </span><br /><br /><h4>กรณีกำหนดให้ display แบบ block</h4><span style=quot;
display:blockquot;
>มีอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่จะดีต่อสุขภาพเท่าชาเขียวบ้าง ชาวจีนรู้เรื่องประโยชน์ทางยาของชาเขียวมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้ชาเขียวในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึมเศร้า </span> <span style=quot;
display:blockquot;
>ในหนังสือเรื่อง ไขความลับ�
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร
Css คืออะไร

More Related Content

Similar to Css คืออะไร

รายงาน
รายงานรายงาน
รายงานkongdang
 
รายงาน
รายงานรายงาน
รายงานpim1122
 
รายงาน
รายงานรายงาน
รายงานpim1122
 
รายงาน เรื่อง css
รายงาน เรื่อง cssรายงาน เรื่อง css
รายงาน เรื่อง cssnongnan
 
รายงาน
รายงานรายงาน
รายงานkongdang
 
รายงาน กลุ่ม คอม ฟ้า
รายงาน กลุ่ม คอม ฟ้ารายงาน กลุ่ม คอม ฟ้า
รายงาน กลุ่ม คอม ฟ้าPoppy Love
 
รายงาน กลุ่ม คอม ป๊อบ
รายงาน กลุ่ม คอม ป๊อบรายงาน กลุ่ม คอม ป๊อบ
รายงาน กลุ่ม คอม ป๊อบPoppy Love
 
รายงาน กลุ่ม คอม ป๊อบ
รายงาน กลุ่ม คอม ป๊อบรายงาน กลุ่ม คอม ป๊อบ
รายงาน กลุ่ม คอม ป๊อบPoppy Love
 
การสอนเขียนHtml
การสอนเขียนHtmlการสอนเขียนHtml
การสอนเขียนHtmlchukiat008
 
เริ่มต้นสร้างเอกสาร HTML
เริ่มต้นสร้างเอกสาร HTMLเริ่มต้นสร้างเอกสาร HTML
เริ่มต้นสร้างเอกสาร HTMLssuseraa96d2
 
บทที่ 3 พื้นฐานภาษาสำหรับพัฒนาเว็บไซต์
บทที่ 3 พื้นฐานภาษาสำหรับพัฒนาเว็บไซต์บทที่ 3 พื้นฐานภาษาสำหรับพัฒนาเว็บไซต์
บทที่ 3 พื้นฐานภาษาสำหรับพัฒนาเว็บไซต์chiton2535
 
ใบความรู้ที่ 2.3 รู้จักภาษาhtml
ใบความรู้ที่ 2.3 รู้จักภาษาhtmlใบความรู้ที่ 2.3 รู้จักภาษาhtml
ใบความรู้ที่ 2.3 รู้จักภาษาhtmlSamorn Tara
 
ใบความรู้ที่ 2.3 รู้จักภาษาhtml
ใบความรู้ที่ 2.3 รู้จักภาษาhtmlใบความรู้ที่ 2.3 รู้จักภาษาhtml
ใบความรู้ที่ 2.3 รู้จักภาษาhtmlSamorn Tara
 
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 html
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 htmlหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 html
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 htmldevilp Nnop
 

Similar to Css คืออะไร (20)

รายงาน
รายงานรายงาน
รายงาน
 
รายงาน
รายงานรายงาน
รายงาน
 
รายงาน
รายงานรายงาน
รายงาน
 
รายงาน เรื่อง css
รายงาน เรื่อง cssรายงาน เรื่อง css
รายงาน เรื่อง css
 
รายงาน
รายงานรายงาน
รายงาน
 
CSS
CSSCSS
CSS
 
รายงาน กลุ่ม คอม ฟ้า
รายงาน กลุ่ม คอม ฟ้ารายงาน กลุ่ม คอม ฟ้า
รายงาน กลุ่ม คอม ฟ้า
 
รายงาน กลุ่ม คอม ป๊อบ
รายงาน กลุ่ม คอม ป๊อบรายงาน กลุ่ม คอม ป๊อบ
รายงาน กลุ่ม คอม ป๊อบ
 
รายงาน กลุ่ม คอม ป๊อบ
รายงาน กลุ่ม คอม ป๊อบรายงาน กลุ่ม คอม ป๊อบ
รายงาน กลุ่ม คอม ป๊อบ
 
การสอนเขียนHtml
การสอนเขียนHtmlการสอนเขียนHtml
การสอนเขียนHtml
 
เริ่มต้นสร้างเอกสาร HTML
เริ่มต้นสร้างเอกสาร HTMLเริ่มต้นสร้างเอกสาร HTML
เริ่มต้นสร้างเอกสาร HTML
 
Css
CssCss
Css
 
Html
HtmlHtml
Html
 
บทที่ 3 พื้นฐานภาษาสำหรับพัฒนาเว็บไซต์
บทที่ 3 พื้นฐานภาษาสำหรับพัฒนาเว็บไซต์บทที่ 3 พื้นฐานภาษาสำหรับพัฒนาเว็บไซต์
บทที่ 3 พื้นฐานภาษาสำหรับพัฒนาเว็บไซต์
 
ภาษา css
ภาษา cssภาษา css
ภาษา css
 
Pai01
Pai01Pai01
Pai01
 
Css 3
Css 3Css 3
Css 3
 
ใบความรู้ที่ 2.3 รู้จักภาษาhtml
ใบความรู้ที่ 2.3 รู้จักภาษาhtmlใบความรู้ที่ 2.3 รู้จักภาษาhtml
ใบความรู้ที่ 2.3 รู้จักภาษาhtml
 
ใบความรู้ที่ 2.3 รู้จักภาษาhtml
ใบความรู้ที่ 2.3 รู้จักภาษาhtmlใบความรู้ที่ 2.3 รู้จักภาษาhtml
ใบความรู้ที่ 2.3 รู้จักภาษาhtml
 
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 html
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 htmlหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 html
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 html
 

Css คืออะไร

  • 1. CSS คืออะไร?<br />CSS ย่อมาจาก Cascading Style Sheets   เป็นภาษาที่มีรูปแบบการเขียน Syntax ที่เฉพาะ และถูกกำหนดมาตรฐานโดย W3C (World Wide Web Consortium) เช่นเดียวกับ HTML และ XHTML    ใช้สำหรับตกแต่งเอกสาร HTML/ XHTML ให้มีหน้าตา สีสัน ตัวอักษร เส้นขอบ พื้นหลัง ระยะห่าง ฯลฯ อย่างที่เราต้องการ ด้วยการกำหนดคุณสมบัติให้กับ Element ต่างๆ ของ HTML เช่น <body>, <p>, <h1> เป็นต้น<br />ประโยชน์ของ CSS<br />1. การใช้ CSS ในการจัดรูปแบบการแสดงผล จะช่วยลดการใช้ภาษา HTML ในการตกแต่งเอกสารเว็บเพจ ทำให้ code ภายในเอกสาร HTML เหลือเพียงส่วนเนื้อหา ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น การแก้ไขเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็ว2. เมื่อ code ภายในเอกสาร HTML ลดลง ทำให้ขนาดไฟล์เล็กลง จึงดาวน์โหลดได้เร็ว3. สามารถกำหนดรูปแบบการแสดงผลจากคำสั่ง style sheet ชุดเดียวกัน ให้มีผลกับเอกสาร HTML ทั้งหน้า หรือทุกหน้าได้ ทำให้เวลาแก้ไขหรือปรับปรุงทำได้ง่าย ไม่ต้องไล่ตามแก้ที่ HTML tag ต่างๆ ทั่วทั้งเอกสาร 4. สามารถควบคุมการแสดงผลให้เหมือนกัน หรือใกล้เคียงกัน ได้ในหลาย Web Browser5. สามารถกำหนดการแสดงผลในรูปแบบที่เหมาะกับสื่อชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงผลบนหน้าจอ, บนกระดาษเมื่อสั่งพิมพ์, บนมือถือ หรือบน PDA โดยที่เป็นเนื้อหาเดียวกัน6. ทำให้เป็นเว็บไซต์ที่มีมาตรฐาน ปัจจุบันการใช้ attribute ของ HTML ตกแต่งเอกสารเว็บเพจ นั้นล้าสมัยแล้ว W3C แนะนำให้เราใช้ CSS แทน ดังนั้นหากเราใช้ CSS กับเอกสาร HTML ของเรา ก็จะทำให้เข้ากับเว็บเบราเซอร์ในอนาคตได้ดีตัวอย่างกรณีที่จัดรูปแบบการแสดงผลด้วยภาษา HTML <br /><html><body><h1><font color=quot; redquot; face=quot; Arialquot; >วิธีดูแลรักษาสุขภาพ</font></h1> <p><font color=quot; blackquot; face=quot; Arialquot; ><b>รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ</b></font></p><h1><font color=quot; redquot; face=quot; Arialquot; >วิธีกินผลไม้ที่ถูกต้อง</font></h1> <p><font color=quot; blackquot; face=quot; Arialquot; ><b>ให้กินผลไม้แค่ทีละอย่าง เช่นจะกินมะม่วงก็มะม่วงอย่างเดียวทั้งมื้อ เพื่อให้ร่างกายจัดเตรียมการย่อยได้ง่าย ไม่สับสน นอกจากนี้ยังไม่ควรกินผลไม้ทันทีหลังอาหาร ถ้าทานมื้อหลักแล้วควรรออย่างน้อย 20 นาที</b></font></p></body></html><br />ตัวอย่างเมื่อเปลี่ยนมาใช้คำสั่ง style sheet จัดรูปแบบการแสดงผลแทนการใช้ code ภาษา HTML ทำให้ code ภายในเอกสารอ่านเข้าใจง่าย และแก้ไขได้ง่ายขึ้น ^^ <br /><html><head><style type=quot; text/cssquot; >h1{color:red; font-family:Arial; }p{color:black; font-family:Arial; font-weight:bold }</style></head><body><h1>วิธีดูแลรักษาสุขภาพ</h1><p>รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ</p><h1>วิธีกินผลไม้ที่ถูกต้อง</h1><p>ให้กินผลไม้แค่ทีละอย่าง เช่นจะกินมะม่วงก็มะม่วงอย่างเดียวทั้งมื้อ เพื่อให้ร่างกายจัดเตรียมการย่อยได้ง่าย ไม่สับสน นอกจากนี้ยังไม่ควรกินผลไม้ทันทีหลังอาหาร ถ้าทานมื้อหลักแล้วควรรออย่างน้อย 20 นาที</p> </body></html> <br />โครงสร้างคำสั่ง<br />คำสั่งของ CSS ประกอบด้วย selector, property และ value <br />selector { property:value } selector { property1:value1; property2:value2 }<br />- selector สามารถเป็น HTML Tag ต่างๆ เช่น <body>, <p> หรือเป็น Class name หรือ ID ที่เราตั้งชื่อให้ก็ได้- property คือ คุณสมบัติในการจัดรูปแบบการแสดงผล เช่น color สำหรับกำหนดสี, font-size สำหรับกำหนดขนาดตัวอักษร- value เป็น ค่า ที่เรากำหนดให้กับ property ต่างๆ เช่น color:white, font-size:14px<br />ตัวอย่างคำสั่ง CSS<br />กำหนดให้ข้อความที่อยู่ใน Tag <p> เป็นสีดำ และวางอยู่กึ่งกลาง<br />/* selector ที่เป็น HTML Tag */p {color:#000000;text-align:center} <br />กำหนดให้ข้อความที่ class name topic เป็นสีแดง ชนิดอักษรเป็น Arial ตัวหนา และจัดวางอยู่กึ่งกลาง<br />/* selector ที่เป็น Class name */.topic{color:red; font-family:Arial; font-weight:bold; text-align:center }        <br />กรณีที่ selector มีค่า property เหมือนกัน สามารถเขียนรวมกันได้ โดยใช้เครื่องหมาย quot; ,quot; คั่นระหว่าง selector<br />กำหนดให้ข้อความใน Tag <h1>,<h2> และ <h3> เป็นสีแดง ชนิดตัวอักษรเป็น sans-serif<br />h1, h2, h3 {color:red;font-family:sans-serif } <br />สำหรับเรื่อง property และ value จะได้ศึกษาอย่างละเอียดในหัวข้อต่อๆ ไป <br />Comment <br />ใน Style Sheet Comment  จะใช้เครื่องหมาย quot; /*quot; เป็นการเปิด และ quot; */quot; เป็นการปิด เช่น <br />/* นี่คือ comment กำหนดสีตัวอักษรเป็นสีดำ ขนาด14px */body {color:#000000;font-size:14px} <br />หน่วยที่ใช้วัดค่าต่างๆ ใน Style Sheet<br />จาก syntax ของคำสั่ง CSS ค่า value ของ property บางค่าจะต้องมีการระบุหน่วยด้วย   หน่วยที่ใช้งานใน CSS มีอะไรบ้าง มาดูกันค่ะหน่วยแบบ Relative Length (กำหนดแบบอัตราส่วน) <br />px (pixels, สัมพันธ์กับค่าความละเอียดของหน้าจอ) เช่น 1px, 4px<br />em (emphasize, ความสูงของตัวอักษร) เป็นขนาดจำนวนเท่าของขนาด font ที่กำหนดให้ body ถ้า font ที่ body กำหนดเป็น 10px h1{fon-size:1.5em} h1 จะมีขนาดเป็น 1.5 เท่า ของ 10px = 15px h2{fon-size:1.4em} h2 จะมีขนาดเป็น 1.4 เท่า ของ 10px = 14px และถ้าเรากำหนดเป็น 1em ก็จะมีขนาด้เท่ากับ 10px เหมือนเดิม <br />ex (x-height, ความสูงของตัวอักษร quot; xquot; ) เช่น 1.5ex, 2ex<br />% (percent, สัมพันธ์กับขนาดหน้าจอ หรือ container ที่บรรจุวัตถุนั้นๆ อยู่) เช่น 50%, 130%<br />หน่วยแบบ Absolute Length (กำหนดตายตัว) <br />in (inches; 1in=2.54cm =72pt =6pc) เช่น 2in, 1.5in<br />cm (centimeters; 1cm=10mm) เช่น 2cm, 1.11cm<br />mm (millimeters) เช่น 50mm, 0.8mm <br />pt (points; 1pt=1/72in, 10pt มีขนาดพอๆกับ 12px) เป็นหน่วยที่ใช้ในงานสิ่งพิมพเช่น 12pt, 20pt <br />pc (picas; 1pc=12pt) เช่น 1pc, 2pc<br />สี (Color)<br />การกำหนดสีให้ตัวอักษร พื้นหลัง เส้นขอบ หรือส่วนอื่นๆ ของวัตถุ สามารถกำหนดได้หลายแบบ1. กำหนดโดยใช้ชื่อสี แต่การระบุชื่อสีแบบนี้ใช้สีได้จำนวนจำกัด ได้แก่ aqua, black, blue, fuchsia (แดงอมม่วง), gray, green, lime, maroon (น้ำตาลแดง), navy, olive, purple, red, silver, teal (เขียวขนเป็ด), white, และ yellow 2. กำหนดเป็นค่าสีแบบ RGB <br />#rrggbb เช่น #eecc00, #42e15e<br />#rgb เช่น #ec0 หมายถึง #eecc00 <br />rgb(x,x,x) โดยที่่ x คือจำนวนเต็มตั้งแต่ 0-255 เช่น rgb(0,204,0) <br />rgb(y%,y%,y%) โดยที่ี่ y คือเปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ 0%-100% เช่น rgb(0%,80%,0%) <br />ชื่อสีรหัสค่าสีฐาน16รหัสค่าสีฐาน16 แบบย่อRGBการแสดงผลสีBlack#000000#000rgb(0,0,0) Red#FF0000#F00rgb(0,0,0) Green#00FF00#F00rgb(0,255,0) Blue#0000FF#00Frgb(0,0,255) Yellow#FFFF00#FF0rgb(255,255,0) Aqua#00FFFF#FF0rgb(0,255,255) Fuchsia#FF00FF#FF0rgb(255,0,255) Silver#C0C0C0 rgb(192,192,192) White#FFFFFF#FFFrgb(255,255,255) <br />วิธีใช้งาน Style Sheet<br />1. Inline Styles  วิธีการนี้ควรใช้ในกรณีที่ต้องการกำหนด style ให้กับ element ของ HTML เีพียงอันเดียวเป็นการเฉพาะ โดยการแทรกคำสั่ง style sheet ใน  HTML Tag อยู่ในคำสั่ง style=quot; quot;   ดังนี้ <br /><Tag style=quot; property:value;quot; > <br />Example<br /><html><body><h1 style=quot; color:red; font-family:Arialquot; >วิธีดูแลรักษาสุขภาพ</h1><p style=quot; color:black; font-family:Arial; font-weight:boldquot; >รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ</p> </body></html> <br />เราควรหลีกเลี่ยงการเขียน style=”quot; ฝังลงใน HTML Tag เพราะมันทำให้อ่านยาก และนำไปใช้ต่อไม่ได้ และเป็นการยากที่จะแก้ไข2. Internal Style Sheet วิธีการนี้ควรใช้ในกรณีที่มีเพียง HTML ไฟล์เดียวที่ใช้ style นี้ เมื่อประกาศคำสั่ง Style Sheet เพื่อกำหนดคุณสมบัติ ให้กับ HTML Tag ใดๆ แล้ว จะมีผลกับเอกสาร HTML ทั้งหน้า นิยมใส่ส่วนของคำสั่ง Style Sheet ไว้ระหว่าง <head>...</head>สำหรับ Web Browser รุ่นเก่าที่ไม่สนับสนุนคำสั่ง Style Sheet หรือ Disable Style Sheet ไว้นั้น ให้ใส่ Comment ของ ภาษา HTML ไว้ด้วย เพื่อให้เว็บเบราเซอร์นั้นทราบว่าไม่ใช่คำสั่งภาษา HTML <br />คำสั่งที่ใช้เริ่มต้น และจบ Style Sheet มีโครงสร้างดังนี้ <br /><style type=quot; text/cssquot; ><!--selector {property1: value1; property2: value2}....--></style> <br />Example<br /><html><br /><body><br /><head><br /><style type=quot; text/cssquot; ><br /><!-- <br /> h1{color:red; font-family:Arial }<br /> p{color:black; font-family:Arial; font-weight:bold }<br />--> <br /></style><br /></head><br /><body> <br /><h1>วิธีดูแลรักษาสุขภาพ</h1><br /><p>รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ</p><br /><h1>วิธีกินผลไม้ที่ถูกต้อง</h1><br /><p>ให้กินผลไม้แค่ทีละอย่าง เช่นจะกินมะม่วงก็มะม่วงอย่างเดียวทั้งมื้อ เพื่อให้ร่างกายจัดเตรียมการย่อยได้ง่าย <br />ไม่สับสน นอกจากนี้ยังไม่ควรกินผลไม้ทันทีหลังอาหาร ถ้าทานมื้อหลักแล้วควรรออย่างน้อย 20 นาที</p> <br /></body><br /></html><br />3. External Style Sheet วิธีการนี้เหมาะกับกรณีที่มีเพียง 1 style แล้วต้องการนำไปใช้กับเอกสาร HTML หลายๆ ไฟล์ โดยนำเอาคำสั่ง Style Sheet   ที่อยู่ใน <style type=quot; text/cssquot; >  ...  </style>  มาบันทึกเป็นไฟล์ใหม่ นามสกุล .css จากนั้นจึงทำการผนวกไฟล์ของ Style Sheet นี้ลงไปในเอกสาร HTML ทุกไฟล์ที่ต้องการใช้งาน Style Sheet ชุดนี้ ไว้ในส่วน <head>...</head> โดยใช้คำสั่ง   <br /><link rel=quot; stylesheetquot; type=quot; text/cssquot; href=quot; URL ไฟล์.cssquot; ><br />ตัวอย่างนี้จะสร้าง Style Sheet เก็บไว้ในไฟล์หนึ่ง แล้วให้ไฟล์เอกสาร HTML หลายๆ หน้ามาเรียกใช้<br />Example <br />ในไฟล์ mystyle.css ให้เขียน code ดังนี้ <br />h1{ color:red; font-family:Arial }p{ color:black; font-family:Arial; font-weight:bold }<br />ในไฟล์ HTML ex_css_chapter05_3.html  เรียกใช้ style sheet จากภายนอก <br /><html><br /><head><br /><link rel=quot; stylesheetquot; type=quot; text/cssquot; href=quot; mystyle.cssquot; ><br /></head><br /><body> <br /> <h1>วิธีดูแลรักษาสุขภาพ</h1><br /> <p>รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ</p><br /></body><br /></html><br />ในไฟล์ HTML ex_css_chapter05_4.html  เรียกใช้ style sheet จากภายนอก <br /><html><br /><head><br /><link rel=quot; stylesheetquot; type=quot; text/cssquot; href=quot; mystyle.cssquot; ><br /></head><br /><body> <br /> <h1>วิธีกินผลไม้ที่ถูกต้อง</h1><br /> <p>ให้กินผลไม้แค่ทีละอย่าง เช่นจะกินมะม่วงก็มะม่วงอย่างเดียวทั้งมื้อ เพื่อให้ร่างกายจัดเตรียมการย่อยได้ง่าย <br />ไม่สับสน นอกจากนี้ยังไม่ควรกินผลไม้ทันทีหลังอาหาร ถ้าทานมื้อหลักแล้วควรรออย่างน้อย 20 นาที</p> <br /></body><br /></html> <br />การที่เราใช้งาน CSS โดยเรียกใช้จากภายนอก  จะทำให้ไฟล์เวบเพจของเรามีขนาดเล็ก และการแก้ไขคำสั่ง style sheet เพียงที่เดียว จะมีผลกับเอกสารทุกหน้าได้ <br />Cascading Order<br />1. กรณีที่มีการกำหนด style ด้วยชื่อ selector เดียวกันทั้งแบบ 3 แบบ  Style sheet ที่จะถูกใช้คือแบบไหนลำดับความสำคัญ เรียงจากมากไปหาน้อยInline style (inside an HTML element), Internal style sheet (inside the <head> tag) และ External style sheet ตามลำดับจากลำดับความสำคัญดังกล่าว Style ที่จะถูกใช้คือแบบ Inline style2. กรณีที่มีการเขียน style ซ้ำ selector เดิม อันที่อยู่ด้านล่าง จะถูกทำเป็นลำดับสุดท้าย ตัวอย่าง  ไฟล์ mystyle.css  p{ color:black }p{ color:blue }เมื่อเราเรียกใช้ <p> ใน HTML เช่น <p>รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ</p>จะได้ตัวอักษรใน Tag <p> เป็นสีน้ำเงิน แต่หากเรากำหนด !important ไว้ใน value เช่นp{color:black!important}p{color:blue}เมื่อเขียนแบบนี้ ใน Tag <p> จะได้ตัวอักษรสีดำ<br />01 Introduction<br />02 Syntax<br />03 Unit<br />04 Color<br />05 Insert a Style Shee<br />06 Selector : HTML Tag, Class, ID<br />07 Contextual selectors<br />08 Font<br />09 Text<br />10 Background<br />11 Border<br />12 Margin,Padding<br />13 List<br />14 Table<br />15 Link<br />16 Classification <br />17 Positioning <br />18 Image<br />19 Form<br />20 Scorll bar <br />21 Mouse cursor<br />22 Media Types<br />23 Layout (Table)<br />24 Layout (Div)<br />25 Pseudo-classes <br />26 Pseudo-element <br />Chapter 6<br />การเขียนคำสั่ง Style Sheet<br />Selector ที่เป็น HTML TagExample <br /><html><br /><body><br /><head><br /><style type=quot; text/cssquot; ><!-- <br /> h1{color:red; font-family:Arial }<br /> p{color:black; font-family:Arial }<br />--> </style><br /></head><br /><body> <br /><h1>วิธีดูแลรักษาสุขภาพ</h1><br /><p>รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ</p><br /><h1>วิธีกินผลไม้ที่ถูกต้อง</h1><br /><p>ให้กินผลไม้แค่ทีละอย่าง เช่นจะกินมะม่วงก็มะม่วงอย่างเดียวทั้งมื้อ เพื่อให้ร่างกายจัดเตรียมการย่อยได้ง่าย <br />ไม่สับสน นอกจากนี้ยังไม่ควรกินผลไม้ทันทีหลังอาหาร ถ้าทานมื้อหลักแล้วควรรออย่างน้อย 20 นาที</p> <br /></body><br /></html><br />ตัวอย่างนี้เห็นกันมาหลายรอบแล้วนะคะ เป็นการกำหนด style ให้กับ HTML Tag <h1> และ <p> หมายความว่าข้อความภายใน <h1> ทุกอันในหน้าเว็บเพจนี้ให้เป็นสีแดง และข้อความใน <p> ทุกอันให้เป็นสีดำ มาดู selector แบบอื่นๆ กันบ้างค่ะSelector ที่เป็น Class attribute เป็นการประกาศคำสั่ง Style Sheet เพื่อกำหนดคุณสมบัติแบบเฉพาะเจาะจง ให้กับ HTML element ผ่าน class attribute  โดยเราสามารถตั้งชื่อ class ได้เอง class ใช้เมื่อต้องการใช้แสดงผลรูปแบบนั้นซ้ำหลายๆ ครั้ง หรือต้องการใช้กับ element หลายๆ อัน   การประกาศใช้้เครื่องหมาย quot; .quot; นำหน้าชื่อ classExample <br /><html><br /><head><br /><style type=quot; text/cssquot; ><br /><!--<br /> .topic {color:red; <br />font-family:Arial; <br />font-weight:bold; <br />text-align:center <br /> }        <br /> .content {color:black; <br />font-family:Arial; <br /> } <br />--><br /></style><br /></head><br /><!-- การเรียกใช้งาน --> <br /><body> <br /> <div class=quot; topicquot; >บทความ</div><br /> <p class=quot; topicquot; >วิธีดูแลรักษาสุขภาพ</p><br /> <p class=quot; contentquot; >รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ</p><br /> <p class=quot; topicquot; >วิธีกินผลไม้ที่ถูกต้อง</p><br /> <p class=quot; contentquot; >ให้กินผลไม้แค่ทีละอย่าง เช่น จะกินมะม่วงก็มะม่วงอย่างเดียวทั้งมื้อ<br />เพื่อให้ร่างกายจัดเตรียมการย่อยได้ง่าย ไม่สับสน นอกจากนี้ยังไม่ควรกินผลไม้ทันทีหลังอาหาร <br />ถ้าทานมื้อหลักแล้วควรรออย่างน้อย 20 นาที</p><br /> <p>หันมาใส่ใจสุขภาพกันเถอะค่ะ</p> <br /></body><br /></html> <br />จากตัวอย่างสังเกตได้ว่า class topic ถูกเรียกใช้หลายครั้งใน <p> และ ถูกใช้้ในหลาย element ได้ คือ <p> และ <div> แต่ถ้าต้องการกำหนดให้ class topic ใช้งานเฉพาะกับ <p> เท่านั้น ทำได้โดยใส่ quot; p.quot; นำหน้าชื่อ classจะมีผลทำให้ข้อความใน  <div class=quot; topicquot; >บทความ</div> ไม่สามารถแสดงผลตามรูปแบบที่กำหนดใน class topic ได้ <br />p.topic{color:red; font-family:Arial; font-weight:bold; text-align:center } <br />กรณีที่ต้องการให้แสดงผลตามรูปแบบที่กำหนดใน 2 class ก็สามารถทำได้ <br />Example <br /><html><br /><head><br /><style type=quot; text/cssquot; ><br /> p.center {text-align:center}<br /> p.bold{ font-weight:bold}<br /></style><br /></head><br /><body><br /> <p class=quot; center boldquot; >ข้อความในพารากราฟนี้จะจัดวางกึ่งกลาง และเป็นตัวหนา</p><br /></body><br /></html> <br />Selector ที่เป็น ID attributeเป็นการประกาศคำสั่ง Style Sheet เพื่อกำหนดคุณสมบัติแบบเฉพาะเจาะจง ให้กับ HTML element ผ่าน ID attribute เหมือนกับ Class   แต่ต่างกันที่ ID จะใช้กับ element ที่มีเพียงอันเดียวในเอกสาร HTML การประกาศใช้ # นำหน้า ID <br />Example <br /><html><br /><head><br /><style type=quot; text/cssquot; ><br /> p {text-align: center}<br /> #chapter {color:red; font-weight:bold}<br /> /*หรือเขียนเป็น p#chapter ก็ได้*/<br /></style><br /></head><br /><body><br /> <p id=quot; chapterquot; >Chapter ข้อความในนี้จัดวางกึ่งกลาง และเป็นสีแดง ตัวหนา</p><br /> <p>เนื้อหา ข้อความในนี้จัดวางกึ่งกลาง</p><br /> <p>เนื้อหา ข้อความในนี้จัดวางกึ่งกลาง</p><br /></body><br /></html> <br />อาจจะยังไม่เข้าใจตอนนี้ ไว้เห็นตัวอย่างมากๆ เข้า จะค่อยๆ เข้าใจเองค่ะ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าค่า property และ value เช่น text-align: center, font-weight:bold มีอะไรบ้าง อันนี้ศึกษาได้จาก Chapter ต่อๆ ไปค่ะ<br />Contextual selectors <br />การประกาศ selector ซ้อนกัน โดยเคาะ spacebar ทำให้สามารถสืบทอดคุณสมบัติเดิม และเพิ่มคุณสมบัติที่แตกต่างได้ ดูตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจมากขึ้นค่ะExample <br /><html><head><style type=quot; text/cssquot; >h1 { color: blue; background-color:#FFFFCC } h1 em { color: red }h1 u { color:green}</style></head> <body> <h1>วิธีรักษาสุขภาพ</h1><h1>วิธีลดน้ำหนัก</h1><h1><em>วิธีรักษาสุขภาพ</em></h1><h1><u>วิธีรักษาสุขภาพ</u></h1></body></html> <br />Output ข้อความใน <h1> จะเป็นสีน้ำเงิน แต่ถ้ามีการกำหนดว่าเป็นตัวเอียงแล้ว ข้อความใน <h1> จะเป็นสีแดง หรือระบุว่าขีดเส้นใต้แล้วจะได้เป็นสีเขียว โดยที่รูปแบบพื้นหลังของ <h1> ยังคงอยู่ <br />วิธีรักษาสุขภาพ<br />วิธีลดน้ำหนัก<br />วิธีรักษาสุขภาพ<br />วิธีรักษาสุขภาพ<br />อีกตัวอย่างหนึ่ง เพื่อแสดงให้เห็นประโยชน์ของการใช้ Contextual selectorsExample <br /><html><head><style type=quot; text/cssquot; >/*ให้ img ทั่วไป ขอบสีเทา หนา2*/img {border:solid;border-width:2px;border-color:#999999;}<br />/*ให้ class borderimage มีขอบสีแดง หนา5 แต่ไม่ได้กำหนด HTML tag เฉพาะ*/ .borderimage {border:solid;border-width:5px;border-color:red;}/*ให้ เฉพาะ tag <img> class imgspecial_box มีขอบสีแดง หนา5*/ #imgspecial_box img {border:solid;   border-width:5px;border-color:red;}</style></head><br /><body><br /><img src=quot; ../images/star_icons.gifquot; /><img src=quot; ../images/star_icons.gifquot; /><img src=quot; ../images/star_icons.gifquot; /><br><br><br />แบบนี้ไม่ดี ต้องมาระบุ class borderimage ให้แต่ละรูป<br /><img src=quot; ../images/star_icons.gifquot; class=quot; borderimagequot; /><img src=quot; ../images/star_icons.gifquot; class=quot; borderimagequot; /><img src=quot; ../images/star_icons.gifquot; class=quot; borderimagequot; /><br><br><br />แบบนี้ดี img ที่อยู่ในส่วน div class imgspecial_box จะเป็นขอบแดง หนา5 ให้ทั้งหมด ไม่ต้องมากำหนดทีละรูป<div id=quot; imgspecial_boxquot; ><img src=quot; ../images/star_icons.gifquot; /><img src=quot; ../images/star_icons.gifquot; /><img src=quot; ../images/star_icons.gifquot; /></div><br /></body></html><br />Output<br />แบบนี้ไม่ดี ต้องมาระบุ class borderimage ให้แต่ละรูปแบบนี้ดี img ที่อยู่ในส่วน div class imgspecial_box จะเป็นขอบแดง หนา5 ให้ทั้งหมด ไม่ต้องมากำหนดทีละรูป <br />มาดูอีกตัวอย่างที่ไม่ดี คล้ายกับตัวอย่างข้างบน เป็นตัวอย่างที่ใช้ CSS มากเกินไปExample <br /><html><head><title>ex_css_chapter07_3</title><style type=quot; text/cssquot; >a.boldlink { color:blue; font-weight:bold; }</style></head><br /><body><a href=quot; http://www.enjoyday.net/webtutorial/html/index.htmlquot; class=quot; boldlinkquot; >HTML</a><br /><a href=quot; http://www.enjoyday.net/webtutorial/css/index.htmlquot; class=quot; boldlinkquot; >CSS</a><br /><a href=quot; http://www.enjoyday.net/webtutorial/xhtml/index.htmlquot; class=quot; boldlinkquot; >XHTML</a><br /><a href=quot; http://www.enjoyday.net/webtutorial/javascript/index.htmlquot; class=quot; boldlinkquot; >JavaScript</a></body></html><br />แก้ไขใหม่เขียนแบบ Contextual selectors จะดีกว่าค่ะ<br /><html><head><title>ex_css_chapter07_3</title><style type=quot; text/cssquot; >#boldlink_box a { color:blue; font-weight:bold; } </style></head><br /><body><div id=quot; boldlink_boxquot; ><a href=quot; http://www.enjoyday.net/webtutorial/html/index.htmlquot; >HTML</a><br /><a href=quot; http://www.enjoyday.net/webtutorial/css/index.htmlquot; >CSS</a><br /><a href=quot; http://www.enjoyday.net/webtutorial/xhtml/index.htmlquot; >XHTML</a><br /><a href=quot; http://www.enjoyday.net/webtutorial/javascript/index.htmlquot; >JavaScript</a> </div></body></html><br />Output<br />HTMLCSSXHTMLJavaScript <br />01 Introduction<br />02 Syntax<br />03 Unit<br />04 Color<br />05 Insert a Style Shee<br />06 Selector : HTML Tag, Class, ID<br />07 Contextual selectors<br />08 Font<br />09 Text<br />10 Background<br />11 Border<br />12 Margin,Padding<br />13 List<br />14 Table<br />15 Link<br />16 Classification <br />17 Positioning <br />18 Image<br />19 Form<br />20 Scorll bar <br />21 Mouse cursor<br />22 Media Types<br />23 Layout (Table)<br />24 Layout (Div)<br />25 Pseudo-classes <br />26 Pseudo-element <br />Chapter 8<br />Font<br />การกำหนดลักษณะให้ตัวอักษร ใน HTML เราจะใช้ tag <font face=quot; ชนิดตัวอักษรquot; size=quot; numberquot; color=quot; สีquot; >ข้อความ</font> น่าจะพอจำกันได้อยู่ แต่ในเอกสาร HTML/XHTML แบบ strict จะถือว่า tag <font> เป็น tag ที่ล้าสมัยแล้ว ไม่สามารถนำมาใช้งานได้ ให้เราใช้ CSS แทนค่ะ<br />เรา็สามารถใช้ CSS กำหนดลักษณะให้ตัวอักษรได้ โดยกำหนดรูปแบบ font ผ่าน Property ต่างๆ ให้กับ HTML element เช่น <p>,<div>,<span>,<h1> และอื่นๆ<br />PropertyDescriptionValuesfont-familyใช้กำหนดชนิด font ที่ต้องการจะให้แสดงผล โดยที่ font นั้นจะต้องมีอยู่ในเครื่องของผู้ใช้งานด้วย เช่น Arial, Helvetica, sans-serif font-sizeใช้กำหนดขนาดของตัวอักษร ที่จะให้แสดงผล /td> xx-small x-smallsmallmediumlargex-largexx-large smaller larger 18px70% 150% font-styleใช้กำหนดรูปแบบของตัวอักษรในลักษณะต่างๆ normalitalicoblique เอียง 45 องศา font-variantใช้แปลงตัวอักษรที่เป็นตัวพิมพ์เล็กให้เป็นพิมพ์ใหญ่โดยที่ขนาดตัวอักษรยังคงเท่าตัวพิมพ์เล็ก normalSmall-Capsfont-weightใช้กำหนดความหนาของตัวอักษร normalboldbolderlighter100200300400500600colorใช้กำหนดสีให้ตัวอักษรred#000099 fontเราสามารถกำหนด property ให้กับ font ได้ในคำสั่งประกาศเดียวfont-stylefont-variantfont-weightfont-sizefont-family <br />Example <br /><p style=quot; font-family:AngsanaUPC; font-size:16pt; color:greenquot; >CSS ย่อมาจาก Cascading Style Sheet  เป็นภาษาที่มีรูปแบบการเขียน Syntax ที่เฉพาะ และถูกกำหนดมาตรฐานโดย W3C (World Wide Web Consortium) เช่นเดียวกับ HTML และ XHTML  ใช้สำหรับตกแต่งเอกสาร HTML/ XHTM ให้มีหน้าตา สีสัน ตัวอักษร เส้นขอบ พื้นหลัง ระยะห่าง ฯลฯ อย่างที่เราต้องการ ด้วยการกำหนดคุณสมบัติให้กับ Element ต่างๆ ของ HTML </p><br />Output<br />CSS ย่อมาจาก Cascading Style Sheet  เป็นภาษาที่มีรูปแบบการเขียน Syntax ที่เฉพาะ และถูกกำหนดมาตรฐานโดย W3C (World Wide Web Consortium) เช่นเดียวกับ HTML และ XHTML  ใช้สำหรับตกแต่งเอกสาร HTML/ XHTM ให้มีหน้าตา สีสัน ตัวอักษร เส้นขอบ พื้นหลัง ระยะห่าง ฯลฯ อย่างที่เราต้องการ ด้วยการกำหนดคุณสมบัติให้กับ Element ต่างๆ ของ HTML <br />Example <br /><p style=quot; font-weight:boldquot; >Love me Love my dog</p><br /><p style=quot; font-family: sans-serif, Arial; font-size:16px; font-style:normal; font-variant:small-caps; font-weight:bold; color:#FF0033quot; >Love me Love my dog</p><br /><!-- เขียนอย่างย่อได้เป็น --><p style=quot; font: normal small-caps bold 16px sans-serif, Arial; color:#FF0033quot; >Love me Love my dog</p> <br />Output<br />Love me Love my dog<br />Love me Love my dog<br />Love me Love my dog<br />Text <br />เราสามารถกำหนดรูปแบบให้ข้อความ เช่น ความสูงของบรรทัด, ตำแหน่งการจัดวางข้อความ, การขีดเส้นใต้, การกำหนดตัวพิมพ์เล็กพิมพ์ใหญ่ และอื่นๆ ผ่าน Property ต่างๆ ดังนี้<br />PropertyDescriptionValues colorใช้กำหนดสีสีred#000099 directionใช้กำหนดทิศทางของ text (IE6)ltr rtl ซ้ายไปขวาขวาไปซ้าย line-height ใช้กำหนดความสูงของบรรทัด ซึ่งจะนับรวมขอบด้านบนและล่างของตัวอักษรด้วยnormalnumber (pt)% normalความสูง 15ptความสูง 150% letter-spacingใช้กำหนดระยะห่าง ระหว่างตัวอักษรแต่ละตัว normalnumber (cm)normal-0.02cm0.2cmtext-align ใช้กำหนดรูปแบบการจัดคำ leftcenterrightjustify leftcenterrightjustifytext-decorationใช้กำหนดเส้นให้กับตัวอักษรในลักษณะต่างๆ noneunderlineoverlineline-throughblink noneขีดเส้นใต้เส้นเหนือตัวอักษรเส้นขีดทับตัวอักษรตัวอักษรกระพริบ *IE ใช้ไม่ได้ text-indent ใช้กำหนดขนาดของย่อหน้า ในบรรทัดแรกของย่อหน้านั้นๆ number (in)% กำหนดขนาดของย่อหน้า 0.3 นิ้วกำหนดขนาดของย่อหน้า 5% (ถ้ากำหนด 50% จะได้กึ่งกลางหน้าจอพอดี ) text-transform ใช้แปลงตัวอักษรให้เป็นตัวพิมพ์เล็ก หรือ พิมพ์ใหญ่ uppercase lowercasecapitalize uppercase แปลงเป็นพิมพ์ใหญ่LOWERCASE แปลงเป็นพิมพ์เล็กcapitalize แปลงพิมพใหญ่เฉพาะตัวแรกของคำ white-space ใช้กำหนดให้ หรือ ไม่ให้มีการขึ้นบรรทัดใหม่ normal nowrap ให้มีการตัดคำขึ้นบรรทัดใหม่ตามปกติ ไม่ให้มีการตัดคำขึ้นบรรทัดใหม่word-spacing ใช้กำหนดกำหนดระยะห่าง ระหว่างแต่ละคำ (IE6)normal number (em) normal - Happy new year1em - Happy new year <br />จาก Property ต่างๆ ด้านบน ลองนำมาใช้จัดรูปแบบให้กับข้อความกันค่ะ Example <br /><p style=quot; color:green; text-indent:1cm; text-align:justify;quot; > <span style=quot; text-decoration:underlinequot; >CSS</span> ย่อมาจาก Cascading Style Sheet  เป็นภาษาที่มีรูปแบบการเขียน Syntax ที่เฉพาะ และถูกกำหนดมาตรฐานโดย W3C (World Wide Web Consortium) เช่นเดียวกับ HTML และ XHTML ใช้สำหรับตกแต่งเอกสาร HTML/ XHTM ให้มีหน้าตา สีสัน ตัวอักษร เส้นขอบ พื้นหลัง ระยะห่าง ฯลฯ อย่างที่เราต้องการ ด้วยการกำหนดคุณสมบัติให้กับ Element ต่างๆ ของ HTML </p> <br />Output<br />CSS ย่อมาจาก Cascading Style Sheet  เป็นภาษาที่มีรูปแบบการเขียน Syntax ที่เฉพาะ และถูกกำหนดมาตรฐานโดย W3C (World Wide Web Consortium) เช่นเดียวกับ HTML และ XHTML ใช้สำหรับตกแต่งเอกสาร HTML/ XHTM ให้มีหน้าตา สีสัน ตัวอักษร เส้นขอบ พื้นหลัง ระยะห่าง ฯลฯ อย่างที่เราต้องการ ด้วยการกำหนดคุณสมบัติให้กับ Element ต่างๆ ของ HTML <br />Example <br /><html><head><style type=quot; text/cssquot; >.p1 {color:#FF0033; line-height:18pt; letter-spacing:0.05cm; text-decoration:overline; text-indent:0.5in; text-transform:capitalize; white-space:normal; word-spacing:0.5em;}</style> </head><body><p class=quot; p1quot; >good moring teacher, how are you today?</p> </body></html><br />Output <br />good moring teacher, how are you today?<br />Background<br />เราสามารถกำหนดลักษณะพื้นหลังของ Element ต่างๆ เช่น <body>, <table>, <p>, <h1>, <h2>, <div> เป็นต้น <br />PropertyDescriptionValues background-attachmentใช้กำหนดว่าต้องการให้ภาพพื้นหลังนั้นอยู่กับที่ หรือว่าเลื่อนไปตาม Scroll Bar fixedscroll fix อยู่กับที่เลื่อนตาม Scroll Barbackground-colorใช้กำหนดทั้งสี พื้นหลังของเว็บเพจ หรือ ตาราง color-rgbcolor-hexcolor-nametransparentรหัสสีชื่อสีbackground-imageใช้กำหนดรูปภาพ ให้พื้นหลังของเว็บเพจ หรือตาราง url ของรูปเช่น url(images/bg.jpg)background-positionใช้กำหนดตำแหน่งการจัดวางรูปภาพพื้นหลังtop lefttop centertop rightcenter leftcenter centercenter rightbottom leftbottom centerbottom rightx% y%xpos ypos background-repeatกำหนดรูปภาพพื้นหลังว่าต้องการให้มีการเรียงต่อรูปภาพหรือไม่repeatrepeat-xrepeat-yno-repeat ไม่ให้มีการวางต่อรูปภาพ วางต่อรูปภาพแนวนอนวางต่อรูปภาพแนวตั้งวางต่อรูปภาพทั้งแนวนอนและตั้งbackgroundเราสามารถกำหนด property ให้กับ background ได้ในคำสั่งประกาศเดียวbackground-colorbackground-imagebackground-repeatbackground-attachmentbackground-position  <br />ExampleBackground เป็นรูปอยู่ด้านบน ขวา ไม่ repeat <br /><div style=quot; background-attachment:scroll; background-image:url(../images/bg1.gif); background-position:top right; background-repeat:no-repeatquot; ><br /><br /><br /><br /></div> <br />Output <br />ExampleBackground เป็นรูปอยู่ตรงกลาง ไม่ repeat <br /><div style=quot; background-attachment:scroll; background-image:url(../images/bg2.gif); background-position:center; background-repeat:no-repeatquot; ><br /><br /><br /><br /></div> <br />Output <br />ExampleBackground เป็นรูปอยู่ตรงกลาง repeart แนวนอน <br /><div style=quot; background-attachment:scroll; background-image:url(../images/bg2.gif); background-position:center; background-repeat:repeat-xquot; ><br /><br />Enjoyday.net<br /><br /></div> <br />Output <br />Enjoyday.net<br />ExampleBackground เป็นรูปอยู่ตรงกลาง repeart แนวตั้ง <br /><div style=quot; background-attachment:scroll; background-image:url(../images/bg2.gif); background-position:center; background-repeat:repeat-yquot; ><br /><br />Enjoyday.net<br /><br /></div> <br />Output <br />Enjoyday.net<br />ExampleBackground เป็นรูป repeart ทั้งแนวนอน และแนวตั้ง <br /><div style=quot; background-image:url(../images/bg2.gif); background-repeat:repeatquot; ><br /><br />Enjoyday.net<br /><br /></div> <br />Output <br />Enjoyday.net<br />ExampleBackground เป็นพื้นสีฟ้า <br /><div class=quot; output_boxquot; style=quot; background-color:#D7EBFFquot; ><br /><br />Enjoyday.net<br /><br /></div> <br />Output <br />Enjoyday.net<br />ExampleBackground เป็นรูป Fix <br /><textarea style=quot; background-image:url(../images/bg1.gif); background-attachment:fixed; width:300px quot; rows=quot; 3quot; >สวัสดีค่ะ นี่เป็น Background แบบ Fixรูปจะไม่เลือนไปตาม Scroll Bar ค่ะ.... </textarea><br />Output <br />ExampleBackground เป็นรูปไม่ Fix เลื่อนตาม Scroll Bar <br /><textarea style=quot; background-image:url(../images/bg1.gif); background-attachment:scroll; width:300pxquot; rows=quot; 3quot; >สวัสดีค่ะ นี่เป็น Background แบบไม่ Fixรูปจะเลือนไปตาม Scroll Bar ค่ะ.... </textarea><br />Output <br />Chapter 11<br />Border<br />เราสามารถกำหนดลักษณะเส้นกรอบของ Element ต่างๆ ได้ เช่น <p>, <div> เป็นต้น <br />PropertyDescriptionValues border-widthใช้กำหนดขนาดของกรอบของวัตถุทั้ง 4 ด้าน thinmediumthicklengthเช่น 5px, 5ptborder-styleใช้การกำหนดลักษณะของกรอบของวัตถุทั้ง 4 ด้าน nonehiddendotteddashedsoliddoublegrooveridgeinsetoutsetdotteddashedsoliddoublegrooveridgeinsetoutsetborder-colorใช้การกำหนดสีกรอบของวัตถุทั้ง 4 ด้าน *ต้องกำหนด style ก่อนcolor borderสามารถกำหนด property ให้กับ border ได้ในคำสั่งประกาศเดียวborder-widthborder-styleborder-color  border-top-widthborder-top-styleborder-top-colorborder-top ่ใช้กำหนดคุณสมบัติให้กับกรอบด้านบน  border-bottom-widthborder-bottom-styleborder-bottom-colorborder-bottom ใช้กำหนดคุณสมบัติให้กับกรอบด้านล่าง  border-left-widthborder-left-styleborder-left-colorborder-leftใช้กำหนดคุณสมบัติให้กับกรอบด้านซ้าย  border-right-widthbordr-right-styleborder-right-colorborder-righteใช้กำหนดคุณสมบัติให้กับกรอบด้านขวา  <br />Exampleกำหนดขนาด border <br /><div style=quot; border-top-width:5px; border-right-width:5px; border-bottom-width:5px; border-left-width:5px;quot; ><br /> <br /> <br /></div>หรือ<div style=quot; border-width:5pxquot; ><br /><br /><br /></div> <br />Output <br />กำหนดขนาดให้เส้นกรอบทั้ง 4 ด้านมีค่า 5px <br />Exampleกำหนดขนาด border <br /><div class=quot; output_boxquot; style=quot; border-width:1px 10pxquot; ><br /><br /><br /></div> <br />Output <br />กำหนดขนาดให้เส้นกรอบ บน ล่าง เป็น 1px, และขนาดเส้นกรอบ ซ้าย ขวา เป็น 10px <br />Exampleกำหนดขนาด border <br /><div class=quot; output_boxquot; style=quot; border-width:1px 10px 20pxquot; ><br /><br /><br /></div> <br />Output <br />กำหนดขนาดให้เส้นกรอบ บน เป็น 1px, ขนาดเส้นกรอบ ซ้าย ขวา เป็น 10px และขนาดเส้นกรอบ ล่าง เป็น 20px<br />Exampleกำหนดขนาด border <br /><div class=quot; output_boxquot; style=quot; border-top-width:1px; border-right-width:10px; border-bottom-width:20px; border-left-width:30px;quot; ><br /> <br /> <br />หรือ</div> <div class=quot; output_boxquot; style=quot; border-width:1px 10px 20px 30pxquot; ><br /><br /><br /></div> <br />Output <br />กำหนดขนาดให้เส้นกรอบ 1px 10px 20px 30px เป็นขนาดของเส้นกรอบ บน ขวา ล่าง ซ้าย ตามลำดับ<br />Exampleลักษณะ border <br /><div style=quot; border-style:dashed dotted solid double; border-color:#FF6633quot; ><br /><br /><br /><br /></div> <br />Output <br />กำหนดลักษณะให้เส้นกรอบในคำสั่งเดียว dashed dotted solid double เป็นลักษณะของเส้นกรอบ บน ขวา ล่าง ซ้าย ตามลำดับ<br />Exampleกำหนดสี border <br /><div style=quot; border-style:solid; border-color:red blue green blackquot; ><br /> <br /> <br /></div> <br />Output <br />กำหนดสีให้เส้นกรอบในคำสั่งเดียว red blue green black เป็นสีของเส้นกรอบ บน ขวา ล่าง ซ้าย ตามลำดับ<br />Exampleกำหนด property ให้กับ border ในคำสั่งประกาศเดียว <br /><div style=quot; border-width:5px; border-style:double; border-color:#336699quot; ><br /> <br /> <br /></div>หรือ<div style=quot; border:5px double #336699quot; ><br /> <br /> <br /></div> <br />Output <br />กำหนด property ให้กับ border ได้ในคำสั่งประกาศเดียว<br /> HYPERLINK quot; http://www.enjoyday.net/webtutorial/css/css_chapter10.htmlquot; « Chapter 10<br /> HYPERLINK quot; http://www.enjoyday.net/webtutorial/css/css_chapter12.htmlquot; Chapter 12 »<br /> HYPERLINK quot; http://www.histats.comquot; quot; hit trackerquot; quot; _blankquot; <br />Copyright © 2009 enjoyday.net<br />Margin, Padding<br />PropertyDescriptionValues margin-topใช้กำหนดระยะห่างระหว่างขอบของวัตถุด้านบน กับวัตถุอื่นๆautolengthเช่น 5px, 5pt,5cm margin-bottomใช้กำหนดระยะห่างระหว่างขอบของวัตถุด้านล่าง กับวัตถุอื่นๆ  margin-leftใช้กำหนดระยะห่างระหว่างขอบของวัตถุด้านซ้าย กับวัตถุอื่นๆ  margin-rightใช้กำหนดระยะห่างระหว่างขอบของวัตถุด้านขวา กับวัตถุอื่นๆ  marginใช้กำหนดระยะห่างระหว่างขอบของวัตถุที่ต้องการ ทั้ง 4 ด้าน กับวัตถุอื่น ๆ ในคำสั่งเดียว  padding-topใช้กำหนดระยะห่างระหว่างขอบของวัตถุด้านในเส้นบน กับ ข้อความที่อยู่ในกรอบ  padding-bottomใช้กำหนดระยะห่างระหว่างขอบของวัตถุด้านในเส้นล่าง กับ ข้อความที่อยู่ในกรอบ  padding-leftใช้กำหนดระยะห่างระหว่างขอบของวัตถุด้านในเส้นซ้าย กับ ข้อความที่อยู่ในกรอบ  padding-rightใช้กำหนดระยะห่างระหว่างขอบของวัตถุด้านในเส้นขวา กับ ข้อความที่อยู่ในกรอบ  paddingใช้กำหนดระยะห่างระหว่างขอบของวัตถุด้านใน กับ ข้อความที่อยู่ในกรอบ (ไม่เกี่ยวข้องกับวัตถุด้านนอก)  <br />Exampleถ้าไม่ได้ใช้้งาน margin และ padding <br />ข้อความข้างนอกด้านบน<div style=quot; border:20px solid #3399CCquot; >block นี้มี Border สีน้ำเงิน ขนาด 20px ไม่ใช้งาน Margin และ Padding ลองมาดูกันว่าได้ผลเป็นอย่างไร</div>ข้อความข้างนอกด้านล่าง <br />Output <br />ข้อความข้างนอกด้านบน <br />block นี้มี Border สีน้ำเงิน ขนาด 20px ไม่ใช้งาน Margin และ Padding ลองมาดูกันว่าได้ผลเป็นอย่างไร <br />ข้อความข้างนอกด้านล่าง <br />ลองมาดูต่อว่า... ถ้านำ margin และ padding มาใช้งานล่ะ Example การใช้งาน margin และ padding <br />ข้อความข้างนอกตรงนี้ห่างจากขอบด้านนอกของ block 20x นี่คือ margin ด้านบน<div style=quot; margin:20px; padding:20px; border:20px solid #3399CCquot; >block นี้มี Border สีน้ำเงิน ขนาด 20px <br />มี Padding ระยะห่างระหว่างขอบด้านใน กับ ข้อความใน block 20px<br />และมี Margin ระยะห่างระหว่างขอบด้านนอก กับ ข้อความที่อยู่ข้างนอก block 20px ทีนี้คงเข้าใจแล้วว่า margin และpadding คือส่วนไหนกันแล้ว</div>ข้อความข้างนอกตรงนี้ห่างจากขอบด้านนอกของ block 20x นี่คือ margin ด้านล่าง <br />Output <br />ข้อความข้างนอกตรงนี้ห่างจากขอบด้านนอกของ block 20x นี่คือ margin ด้านบน <br />block นี้มี Border สีน้ำเงิน ขนาด 20px มี Padding ระยะห่างระหว่างขอบด้านใน กับ ข้อความใน block 20pxและมี Margin ระยะห่างระหว่างขอบด้านนอก กับ ข้อความที่อยู่ข้างนอก block 20px ทีนี้คงเข้าใจแล้วว่า margin และpadding คือส่วนไหนกันแล้ว <br />ข้อความข้างนอกตรงนี้ห่างจากขอบด้านนอกของ block 20x นี่คือ margin ด้านล่าง <br />ถ้ายังงงๆ ว่าตรงไหนคือ margin และ padding อยู่ ให้ดูที่รูปนี้ค่ะ Exampleการใช้งาน margin ที่แต่ละด้านไม่เท่ากัน <br /><div style=quot; margin:20px; padding:10px 20px 30px 40px; border:2px solid #009999quot; >block นี้มี Border สีส้ม ขนาด 2px <br />มี Padding ระยะห่างระหว่างขอบด้านใน กับ ข้อความใน block 10px 20px 30px 40px ซึ่งเป็น pading ของด้านบน ขวา ล่าง ซ้าย ตามลำดับ และมี Margin ระยะห่างระหว่างขอบด้านนอก กับ ข้อความที่อยู่ข้างนอก block 20px ทั้ง 4 ด้าน</div>ข้อความข้างนอกตรงนี้ห่างจากขอบด้านนอกของ block 20x นี่คือ margin ด้านล่าง <br />Output <br />ความข้างนอกตรงนี้ห่างจากขอบด้านนอกของ block 10x นี่คือ margin ด้านบน <br />block นี้มี Border สีส้ม ขนาด 2px มี Padding ระยะห่างระหว่างขอบด้านใน กับ ข้อความใน block 20px ทั้ง 4 ด้าน และมี Margin ระยะห่างระหว่างขอบด้านนอก กับ ข้อความที่อยู่ข้างนอก block 10px 20px 30px 40px ซึ่งเป็น margin ของด้านบน ขวา ล่าง ซ้าย ตามลำดับ <br />ข้อความข้างนอกตรงนี้ห่างจากขอบด้านนอกของ block 30x นี่คือ margin ด้านล่าง <br />Exampleการใช้งาน padding ที่แต่ละด้านไม่เท่ากัน <br />ความข้างนอกตรงนี้ห่างจากขอบด้านนอกของ block 20x นี่คือ margin ด้านบน<div style=quot; margin:20px; padding:10px 20px 30px 40px; border:2px solid #009999quot; >block นี้มี Border สีเขียว ขนาด 2px <br />มี Padding ระยะห่างระหว่างขอบด้านใน กับ ข้อความใน block 10px 20px 30px 40px ซึ่งเป็น pading ของด้านบน ขวา ล่าง ซ้าย ตามลำดับ และมี Margin ระยะห่างระหว่างขอบด้านนอก กับ ข้อความที่อยู่ข้างนอก block 20px ทั้ง 4 ด้าน</div>ข้อความข้างนอกตรงนี้ห่างจากขอบด้านนอกของ block 20x นี่คือ margin ด้านล่าง <br />Output <br />ความข้างนอกตรงนี้ห่างจากขอบด้านนอกของ block 20x นี่คือ margin ด้านบน <br />block นี้มี Border สีเขียว ขนาด 2px มี Padding ระยะห่างระหว่างขอบด้านใน กับ ข้อความใน block 10px 20px 30px 40px ซึ่งเป็น pading ของด้านบน ขวา ล่าง ซ้าย ตามลำดับ และมี Margin ระยะห่างระหว่างขอบด้านนอก กับ ข้อความที่อยู่ข้างนอก block 20px ทั้ง 4 ด้าน <br />ข้อความข้างนอกตรงนี้ห่างจากขอบด้านนอกของ block 20x นี่คือ margin ด้านล่าง <br />Example อื่นๆ<br />h1 {margin: 10px}<br />Happy New Year<br />margin ทั้ง4 ด้านเป็น 10px <br />h1 {margin: 10px 2%}<br />Happy New Year<br />margin ด้านบนและล่าง 10px, ด้านขวาและซ้าย เป็น 2% ของความกว้างเอกสาร <br />h1 {margin: 10px 2% -10px}<br />Happy New Year<br />margin ด้านบน 10px, ด้านขวาและซ้าย 2% ของความกว้างเอกสาร, ด้านล่าง เป็น -10px <br />h1 {margin: 10px 2% -10px auto}<br />Happy New Year<br />margin ด้านบน 10px, ด้านขวา 2% ของความกว้างเอกสาร, ด้านล่าง เป็น -10px และด้านซ้ายกำหนดตาม Browser <br />Exampleการใช้งานผสม Chapter 8-12 <br /><html><head><style type=quot; text/cssquot; >.mixcode {font: normal small-caps bold 16px Arial, Helvetica, sans-serif; color:#FF0033; text-align:center; text-decoration:underline; word-spacing:0.5em; background-color:#FBEFFC; border:2px dotted #FF6699; margin:20px; padding:20px</style></head><body>Hello all,<div class=quot; mixcodequot; >Happy New Year 2009</div>Hope you enjoy your stay here.</body></html> <br />Output <br />Hello all, <br />Happy New Year 2009<br />Hope you enjoy your stay here. <br />Chapter 13<br />List<br />PropertyDescriptionValues list-style-typeใช้กำหนดลักษณะที่ใช้นำหน้าแต่ละรายการย่อย nonedisccirclesquaredecimaldecimal-leading-zerolower-romanupper-romanlower-alphaupper-alphalower-greeklower-latinupper-latinhebrewarmeniangeorgiancjk-ideographichiraganakatakanahiragana-irohakatakana-iroha disccirclesquaredecimaldecimal-leading-zerolower-romanupper-romanlower-alphaupper-alphalower-greeklower-latinupper-latinhebrewarmeniangeorgiangeorgiancjk-ideographichiraganahiragana-irohakatakana-irohalist-style-positionใช้การกำหนดลักษณะการปัดขึ้นบรรทัดใหม่ของข้อความ กรณีที่มีความยาวเกิน 1 บรรทัด * ถ้าไม่กำหนดจะเป็นแบบ outsideinsideoutsideจัดให้ตรงแนวกับสัญลักษณ์จัดให้ตรงแนวกับข้อความแถวแรกlist-style-imageใช้การกำหนดรูปภาพเพื่อนำมาเป็นสัญลักษณ์รายการย่อยurlของรูปภาพ list-styleสามารถกำหนด property ให้กับ list ได้ในคำสั่งประกาศเดียวlist-style-typelist-style-positionlist-style-image <br />Example <br />Enjoyday.net - Web builder Tutorial<ul style=quot; list-style-type:squarequot; ><li>HTML</li><li>CSS</li><li>XHTML</li><li>JavaScript</li><li>SQL</li></ul><br />Output <br />Enjoyday.net - Web builder Tutorial <br />HTML<br />CSS<br />XHTML<br />JavaScript<br />SQL<br />Example <br />Enjoyday.net - Web builder Tutorial<ul><li style=quot; list-style-type:circlequot; >HTML</li><li style=quot; list-style-type:discquot; >CSS</li><li style=quot; list-style-type:squarequot; >XHTML</li><li style=quot; list-style-type:decimalquot; >JavaScript</li><li style=quot; list-style-type:upper-romanquot; >SQL</li></ul><br />Output <br />Enjoyday.net - Web builder Tutorial <br />HTML<br />CSS<br />XHTML<br />JavaScript<br />SQL<br />Example <br />Enjoyday.net - Web builder Tutorial<ul style=quot; list-style-image:url(images/list.gif)quot; ><li>HTML</li><li>CSS</li><li>XHTML</li><li>JavaScript</li><li>SQL</li></ul><br />Output <br />Enjoyday.net - Web builder Tutorial <br />HTML<br />CSS<br />XHTML<br />JavaScript<br />SQL<br />Example <br />ประโยชน์ของ CSS<ul style=quot; list-style-type:circle; list-style-position:insidequot; ><li>การใช้ css ในการจัดรูปแบบการแสดงผล จะช่วยลดการใช้ภาษา HTML ในการตกแต่งเอกสารเว็บเพจ ทำให้ code ภายในเอกสาร HTML เหลือเพียงส่วนเนื้อหา ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น การแก้ไขเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็ว</li><li>เมื่อ code ภายในเอกสาร HTML ลดลง ทำให้ขนาดไฟล์เล็กลง จึงดาวน์โหลดได้เร็ว</li><li>สามารถกำหนดรูปแบบการแสดงผลจากคำสั่ง style sheet ชุดเดียวกัน ให้มีผลกับเอกสาร HTML ทั้งหน้า หรือทุกหน้าได้ ทำให้เวลาแก้ไขหรือปรับปรุงทำได้ง่าย ไม่ต้องไล่ตามแก้ที่ HTML Tag ต่างๆ ทั่วทั้งเอกสาร</li></ul><br />Output <br />ประโยชน์ของ CSS <br />การใช้ css ในการจัดรูปแบบการแสดงผล จะช่วยลดการใช้ภาษา HTML ในการตกแต่งเอกสารเว็บเพจ ทำให้ code ภายในเอกสาร HTML เหลือเพียงส่วนเนื้อหา ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น การแก้ไขเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็ว<br />เมื่อ code ภายในเอกสาร HTML ลดลง ทำให้ขนาดไฟล์เล็กลง จึงดาวน์โหลดได้เร็ว<br />สามารถกำหนดรูปแบบการแสดงผลจากคำสั่ง style sheet ชุดเดียวกัน ให้มีผลกับเอกสาร HTML ทั้งหน้า หรือทุกหน้าได้ ทำให้เวลาแก้ไขหรือปรับปรุงทำได้ง่าย ไม่ต้องไล่ตามแก้ที่ HTML Tag ต่างๆ ทั่วทั้งเอกสาร<br />Example <br />ประโยชน์ของ CSS<ul style=quot; list-style-type:circle; list-style-position:outsidequot; ><li>การใช้ css ในการจัดรูปแบบการแสดงผล จะช่วยลดการใช้ภาษา HTML ในการตกแต่งเอกสารเว็บเพจ ทำให้ code ภายในเอกสาร HTML เหลือเพียงส่วนเนื้อหา ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น การแก้ไขเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็ว</li><li>เมื่อ code ภายในเอกสาร HTML ลดลง ทำให้ขนาดไฟล์เล็กลง จึงดาวน์โหลดได้เร็ว</li><li>สามารถกำหนดรูปแบบการแสดงผลจากคำสั่ง style sheet ชุดเดียวกัน ให้มีผลกับเอกสาร HTML ทั้งหน้า หรือทุกหน้าได้ ทำให้เวลาแก้ไขหรือปรับปรุงทำได้ง่าย ไม่ต้องไล่ตามแก้ที่ HTML Tag ต่างๆ ทั่วทั้งเอกสาร</li></ul><br />Output <br />ประโยชน์ของ CSS <br />การใช้ css ในการจัดรูปแบบการแสดงผล จะช่วยลดการใช้ภาษา HTML ในการตกแต่งเอกสารเว็บเพจ ทำให้ code ภายในเอกสาร HTML เหลือเพียงส่วนเนื้อหา ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น การแก้ไขเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็ว<br />เมื่อ code ภายในเอกสาร HTML ลดลง ทำให้ขนาดไฟล์เล็กลง จึงดาวน์โหลดได้เร็ว<br />สามารถกำหนดรูปแบบการแสดงผลจากคำสั่ง style sheet ชุดเดียวกัน ให้มีผลกับเอกสาร HTML ทั้งหน้า หรือทุกหน้าได้ ทำให้เวลาแก้ไขหรือปรับปรุงทำได้ง่าย ไม่ต้องไล่ตามแก้ที่ HTML Tag ต่างๆ ทั่วทั้งเอกสาร<br />Example กำหนด property ให้กับ list ได้ในคำสั่งประกาศเดียว <br />ประโยชน์ของ CSS<ul style=quot; list-style:decimal insidequot; ><li>การใช้ css ในการจัดรูปแบบการแสดงผล จะช่วยลดการใช้ภาษา HTML ในการตกแต่งเอกสารเว็บเพจ ทำให้ code ภายในเอกสาร HTML เหลือเพียงส่วนเนื้อหา ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น การแก้ไขเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็ว</li><li>เมื่อ code ภายในเอกสาร HTML ลดลง ทำให้ขนาดไฟล์เล็กลง จึงดาวน์โหลดได้เร็ว</li><li>สามารถกำหนดรูปแบบการแสดงผลจากคำสั่ง style sheet ชุดเดียวกัน ให้มีผลกับเอกสาร HTML ทั้งหน้า หรือทุกหน้าได้ ทำให้เวลาแก้ไขหรือปรับปรุงทำได้ง่าย ไม่ต้องไล่ตามแก้ที่ HTML Tag ต่างๆ ทั่วทั้งเอกสาร</li></ul> <br />Output <br />ประโยชน์ของ CSS <br />การใช้ css ในการจัดรูปแบบการแสดงผล จะช่วยลดการใช้ภาษา HTML ในการตกแต่งเอกสารเว็บเพจ ทำให้ code ภายในเอกสาร HTML เหลือเพียงส่วนเนื้อหา ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น การแก้ไขเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็ว<br />เมื่อ code ภายในเอกสาร HTML ลดลง ทำให้ขนาดไฟล์เล็กลง จึงดาวน์โหลดได้เร็ว<br />สามารถกำหนดรูปแบบการแสดงผลจากคำสั่ง style sheet ชุดเดียวกัน ให้มีผลกับเอกสาร HTML ทั้งหน้า หรือทุกหน้าได้ ทำให้เวลาแก้ไขหรือปรับปรุงทำได้ง่าย ไม่ต้องไล่ตามแก้ที่ HTML Tag ต่างๆ ทั่วทั้งเอกสาร<br />Table <br />ต้องใช้กับเว็บเบราเซอร์รุ่นใหม่ๆ เช่น IE6 เป็นต้นไป*บาง property เมื่อทดสอบแล้วไม่เห็นผล <br />PropertyDescriptionValues table-layoutใช้กำหนดความกว้างของตารางและคอลัมน์automaticfixedDefaultกว้างตามที่ำกำหนดเท่านั้นcaption-sideใช้กำหนดตำแหน่งของชื่อตารางtopbottomleftrightDefaultempty-cellsใช้กำหนดว่าจะแสดง/ไม่แสดง เส้นขอบ เมื่อ cell นั้นไม่มีข้อความ (empty)hideshowDefaultborder-spacingใช้กำหนดระยะระหว่างตาราง และขอบ แนวนอน และแนวตั้งlength lengthเช่น 2px 5pxborder-collapseใช้กำหนดลักษณะเส้นขอบseparatecollapseDefault แยกเป็น 2 เส้นเป็นเส้นเดียว<br />Example <br /><html><head><style type=quot; text/cssquot; >table.one{table-layout:automatic;width:100%;border:1px solid #666666}table.two{table-layout:fixed;empty-cells:show; border-collapse:collapse; width:100%;border:1px solid #666666 } td {border:1px solid #666666 } </style></head><body><br /><table class=quot; onequot; ><caption>ตารางแสดงตัวเลข</caption><tr><td width=quot; 20%quot; >1000000000000000000000000000</td><td width=quot; 40%quot; >10000000</td><td width=quot; 40%quot; ></td></tr></table><br /><table class=quot; twoquot; ><caption>ตารางแสดงตัวเลข</caption> <tr><td width=quot; 20%quot; >1000000000000000000000000000</td><td width=quot; 40%quot; >10000000</td><td width=quot; 40%quot; ></td></tr></table><br /></body></html> <br />Output <br />ตารางแสดงตัวเลข100000000000000000000000000010000000<br />ตารางแสดงตัวเลข100000000000000000000000000010000000<br />สังเกต ตารางที่สอง จะ fix ความกว้างของช่องตารางไว้ ทำให้แสดงข้อความไม่พอ นอกจากนี้มีการกำหนด cell ว่างให้แสดงด้วย และให้แสดงเส้นขอบรวมเป็นเส้นเดียวExampleลองจัดรูปแบบอื่นๆ ให้กับตาราง โดยใช้ CSS บทที่ผ่านๆ มา ดูค่ะ <br /><html><head><style type=quot; text/cssquot; >table.three{width:60%;border:0; } table.three th { font-weight:bold; border-bottom:1px solid #CCC; border-top:1px solid #CCC; background-color:#F2F9FF ;color:#0000CC;}table.three td { padding:5px; border-bottom:1px dotted #CCC; }<br /></style></head><body><br /><table class=quot; threequot; cellspacing=quot; 0quot; ><tr><th>รหัสพนักงาน</th><th>ชื่อ</td><th>เงินเดือน</th></tr><tr><td>01</td><td>อำนาจ</td><td align=quot; rightquot; >30,000</td></tr><tr><td>02</td><td>สมชาย</td><td align=quot; rightquot; >25,000</td></tr><tr><td>03</td><td>วีระ</td><td align=quot; rightquot; >20,000</td></tr></table><br /></body></html> <br />Output <br />รหัสพนักงานชื่อเงินเดือน01อำนาจ30,00002สมชาย25,00003วีระ20,000<br />Chapter 15<br />Link <br />PropertyPurposea:linkกำหนด style ให้กับ link ปกติที่ยังไม่เคยถูก clicka:visitedกำหนด style ให้กับ link ที่เคยถูกคลิกแล้วa:hoverกำหนด style ให้กับ link เมื่อเลื่อนเมาส์ไปอยู่เหนือ linka:activeกำหนด style ให้กับ link ขณะถูกคลิก<br />Example <br /><html><head><style type=quot; text/cssquot; >.linkbox a:link {color: #FF0000} /* unvisited link สีแดง*/ .linkbox a:visited {color: #00FF00} /* visited link สีเขียว*/ .linkbox a:hover {color: #FF00FF} /* mouse over link สีชมพู */ .linkbox a:active {color: #0000FF} /* selected link สีน้ำเงิน*/ </style></head><body><div class=quot; linkboxquot; ><a href=quot; css_chapter01.htmlquot; >Chapter1</a><a href=quot; css_chapter02.htmlquot; >Chapter2</a><a href=quot; css_chapter03.htmlquot; >Chapter3</a><a href=quot; css_chapter04.htmlquot; >Chapter4</a><a href=quot; css_chapter05.htmlquot; >Chapter5</a></div><body></html><br />Output <br /> HYPERLINK quot; http://www.enjoyday.net/webtutorial/css/css_chapter01.htmlquot; Chapter1 HYPERLINK quot; http://www.enjoyday.net/webtutorial/css/css_chapter02.htmlquot; Chapter2 HYPERLINK quot; http://www.enjoyday.net/webtutorial/css/css_chapter03.htmlquot; Chapter3 HYPERLINK quot; http://www.enjoyday.net/webtutorial/css/css_chapter04.htmlquot; Chapter4 HYPERLINK quot; http://www.enjoyday.net/webtutorial/css/css_chapter05.htmlquot; Chapter5 <br />Example <br /><html><head><style type=quot; text/cssquot; >.linkpage a { font:12px Arial, Helvetica, sans-serif; background: #F8FBFC; color: #56ADDC; text-decoration: none; padding: 2px 4px; border: 1px solid #1BA0CD; }.linkpage a:hover { background-color:#C0F5FA;border-color: #608BD2; color:#0076AE }.linkpage span { font: 12px Arial, Helvetica, sans-serif; color:#333333; padding: 2px 4px; }</style></head><body><div class=quot; linkpagequot; style=quot; margin:auto; padding:10pxquot; ><span>Page :</span><a href=quot; css_chapter01.htmlquot; >&laquo; First</a><a href=quot; css_chapter14.htmlquot; >&lsaquo; Prev</a><a href=quot; css_chapter01.htmlquot; >1</a><a href=quot; css_chapter02.htmlquot; >2</a><a href=quot; css_chapter03.htmlquot; >3</a><a href=quot; css_chapter16.htmlquot; >Next &rsaquo;</a> <a href=quot; css_chapter25.htmlquot; >Last &raquo;</a> </div><body></html> <br />Output <br />Chapter 16<br />Classification<br />การแสดงผลวัตถุว่าจะแสดงอย่างไร ที่ไหน<br />PropertyDescriptionValues floatใช้กำหนดการจัดวางรูปภาพ หรือวัตถุที่ต้องการ ว่าจะให้อยู่ทางด้านใดของข้อความที่มีอยู่ leftrightnonedisplay ใช้กำหนดรูปแบบการแสดงของวัตถุ   valuedescriptionnoneไม่แสดงวัตถุนั้นblockแสดงเป็น block โดยขึ้นบรรทัดใหม่ก่อนinlineเป็นค่า Default โดย element จะี่แสดงแบบ inline ไม่มีการขึ้นบรรทัดใหม่list-itemแสดงเป็นลิสต์รายการrun-inThe element will be displayed as block-level or inline element depending on contextcompactThe element will be displayed as block-level or inline element depending on contextmarker tableThe element will be displayed as a block table (like <table>), with a line break before and after the tableinline-tableThe element will be displayed as an inline table (like <table>), with no line break before or after the tabletable-row-groupThe element will be displayed as a group of one or more rows (like <tbody>)table-header-groupThe element will be displayed as a group of one or more rows (like <thead>)table-footer-groupThe element will be displayed as a group of one or more rows (like <tfoot>)table-rowThe element will be displayed as a table row (like <tr>)table-column-groupThe element will be displayed as a group of one or more columns (like <colgroup>)table-columnThe element will be displayed as a column of cells (like <col>)table-cellThe element will be displayed as a table cell (like <td> and <th>)table-captionThe element will be displayed as a table caption (like <caption>clearใช้ยกเลิกการจัดวางวัตถุกับข้อความleftrightbothnone visibility กำหนดให้มีการแสดง หรือซ่อน วัตถุและข้อความที่ต้องการvisiblehiddencollapse <br />Example float <br /><html><head><style type=quot; text/cssquot; >.img1 {float:right;width:120px;margin:0 0 15px 20px;padding:15px;border:1px solid black;text-align:center;}</style></head><br /><body><br /><div class=quot; img1quot; ><img src=quot; ../images/tea.jpgquot; /><br />Green Tea </div><p> มีอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่จะดีต่อสุขภาพเท่าชาเขียวบ้าง ชาวจีนรู้เรื่องประโยชน์ทางยาของชาเขียวมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้ชาเขียวในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึมเศร้า ในหนังสือเรื่อง ไขความลับธรรมชาติสู่สุขภาพที่ดีกว่า นาดีน เทย์เลอร์ กล่าวว่า มีการใช้ชาเขียวเป็นยาในประเทศจีนเป็นเวลานานอย่างน้อย 4,000 ปีมาแล้ว </p><p>ปัจจุบัน การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออกพบว่า การดื่มชาเขียวมีผลอย่างชัดเจนต่อสุขภาพ เช่น ในปี 1994 วารสารของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ตีพิมพ์ผลการศึกษาที่แสดงว่า การดื่ม ชาเขียวช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งหลอดอาหาร ในหมู่ชาวจีนทั้งหญิงชาย ได้ถึง เกือบ 60% เมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยปูร์ดู สรุปว่า สารประกอบในชาเขียว ช่วยยับยั้งอัตราการเติบโตของเซลมะเร็งได้ นอกจากนั้น ยังมีการวิจัยที่แสดงว่า การดื่มชาเขียวช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลโดยรวมได้ และยังช่วยปรับอัตรา HDL ให้เป็น LDL</p> </body><html> <br />Output <br />Green Tea <br />มีอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่จะดีต่อสุขภาพเท่าชาเขียวบ้าง ชาวจีนรู้เรื่องประโยชน์ทางยาของชาเขียวมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้ชาเขียวในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึมเศร้า ในหนังสือเรื่อง ไขความลับธรรมชาติสู่สุขภาพที่ดีกว่า นาดีน เทย์เลอร์ กล่าวว่า มีการใช้ชาเขียวเป็นยาในประเทศจีนเป็นเวลานานอย่างน้อย 4,000 ปีมาแล้ว <br />ปัจจุบัน การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออกพบว่า การดื่มชาเขียวมีผลอย่างชัดเจนต่อสุขภาพ เช่น ในปี 1994 วารสารของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ตีพิมพ์ผลการศึกษาที่แสดงว่า การดื่ม ชาเขียวช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งหลอดอาหาร ในหมู่ชาวจีนทั้งหญิงชาย ได้ถึง เกือบ 60% เมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยปูร์ดู สรุปว่า สารประกอบในชาเขียว ช่วยยับยั้งอัตราการเติบโตของเซลมะเร็งได้ นอกจากนั้น ยังมีการวิจัยที่แสดงว่า การดื่มชาเขียวช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลโดยรวมได้ และยังช่วยปรับอัตรา HDL ให้เป็น LDL<br />Example display:inline ทำให้ <p> ไม่มีการตัดบรรทัดใหม่ (<p> ปกติจะตัดบรรทัดใหม่) <br /><h4>กรณีไม่มีการจัดรูปแบบ</h4><p>มีอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่จะดีต่อสุขภาพเท่าชาเขียวบ้าง ชาวจีนรู้เรื่องประโยชน์ทางยาของชาเขียวมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้ชาเขียวในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึมเศร้า </p> <p>ในหนังสือเรื่อง ไขความลับธรรมชาติสู่สุขภาพที่ดีกว่า นาดีน เทย์เลอร์ กล่าวว่า มีการใช้ชาเขียวเป็นยาในประเทศจีนเป็นเวลานานอย่างน้อย 4,000 ปีมาแล้ว </p><br /> <h4>กรณีกำหนดให้ display แบบ inline</h4><p style=quot; display:inlinequot; >มีอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่จะดีต่อสุขภาพเท่าชาเขียวบ้าง ชาวจีนรู้เรื่องประโยชน์ทางยาของชาเขียวมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้ชาเขียวในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึมเศร้า </p> <p style=quot; display:inlinequot; >ในหนังสือเรื่อง ไขความลับธรรมชาติสู่สุขภาพที่ดีกว่า นาดีน เทย์เลอร์ กล่าวว่า มีการใช้ชาเขียวเป็นยาในประเทศจีนเป็นเวลานานอย่างน้อย 4,000 ปีมาแล้ว </p> <br />Output <br />กรณีไม่มีการจัดรูปแบบ<br />มีอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่จะดีต่อสุขภาพเท่าชาเขียวบ้าง ชาวจีนรู้เรื่องประโยชน์ทางยาของชาเขียวมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้ชาเขียวในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึมเศร้า <br />ในหนังสือเรื่อง ไขความลับธรรมชาติสู่สุขภาพที่ดีกว่า นาดีน เทย์เลอร์ กล่าวว่า มีการใช้ชาเขียวเป็นยาในประเทศจีนเป็นเวลานานอย่างน้อย 4,000 ปีมาแล้ว <br />กรณีกำหนดให้ display แบบ inline<br />มีอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่จะดีต่อสุขภาพเท่าชาเขียวบ้าง ชาวจีนรู้เรื่องประโยชน์ทางยาของชาเขียวมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้ชาเขียวในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึมเศร้า <br />ในหนังสือเรื่อง ไขความลับธรรมชาติสู่สุขภาพที่ดีกว่า นาดีน เทย์เลอร์ กล่าวว่า มีการใช้ชาเขียวเป็นยาในประเทศจีนเป็นเวลานานอย่างน้อย 4,000 ปีมาแล้ว <br />Example display:block (<span> ปกติจะไม่บรรทัดใหม่) <br /><h4>กรณีไม่มีการจัดรูปแบบ</h4><span>มีอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่จะดีต่อสุขภาพเท่าชาเขียวบ้าง ชาวจีนรู้เรื่องประโยชน์ทางยาของชาเขียวมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้ชาเขียวในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึมเศร้า </span> <span>ในหนังสือเรื่อง ไขความลับธรรมชาติสู่สุขภาพที่ดีกว่า นาดีน เทย์เลอร์ กล่าวว่า มีการใช้ชาเขียวเป็นยาในประเทศจีนเป็นเวลานานอย่างน้อย 4,000 ปีมาแล้ว </span><br /><br /><h4>กรณีกำหนดให้ display แบบ block</h4><span style=quot; display:blockquot; >มีอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่จะดีต่อสุขภาพเท่าชาเขียวบ้าง ชาวจีนรู้เรื่องประโยชน์ทางยาของชาเขียวมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้ชาเขียวในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึมเศร้า </span> <span style=quot; display:blockquot; >ในหนังสือเรื่อง ไขความลับ�