More Related Content
Similar to โครงการฝนหลวง (20)
โครงการฝนหลวง
- 1. “เราได้หยุดอย่างเป็ นทางการที่ทางแยกกุฉินารายณ์ และสหัสขันธ์ ณ ที่นน ข้าพเจ้าได้สอบถามราษฎร
ั่
เกี่ยวกับผลผลิตข้าว ข้าพเจ้าคิดว่าความแห้งแล้งต้องทาลายผลผลิตของพวกเขา แต่ขาพเจ้าต้องประหลาดใจ
้
ราษฎรเหล่านั้นกลับรายงานว่า พวกเขาเดือนร้อนเพราะน้ าท่วม สาหรับข้าพเจ้าเป็ นการแปลก เพราะพื้นที่แถบ
่ ั่
นั้นมองดูคล้ายทะเลทราย มีผงดินฟุ้ งกระจายอยูทวไป แท้จริ งแล้วพวกเขามีท้ งน้ าท่วมและฝนแล้ง นันคือ
ั ่
ทาไมประชาชนของภาคตะวันออกเฉี ยงเหนือจึงยากจน”
- 2. ปี พ.ศ. 2551 – 2552 สภาพอากาศโดยทัวไปทาให้ประชาชนคนไทยได้ตื่นเต้นจากที่เคยเป็ นอยู่ ในปี ที่
่
ผ่าน ๆ มา ฤดูหนาวในปี นี้ พฤศจิกายน – มกราคม ความหนาวเย็นได้มาเยือนยาวมากกว่าปกติ หลายท่านต้อง
รี บจัดหาเครื่ องทาความอบอุ่นเพิ่มเติม ความหนาวเย็นได้ล่วงยาวมาถึง กุมภาพันธ์ ก็เป็ นสิ่ งซึ่งทุกคนชื่นชอบ
แต่บนความชื่นชอบนั้นมีสิ่งที่ตามมา คือ ฤดูแล้ง ที่จะมาเยือนในเร็ ววันนี้ ทาให้นึกถึงประชาชนชาวไทยซึ่ง
เป็ นชนกลุ่มใหญ่ของประเทศที่มีอาชีพทางการเกษตร และอาศัยน้ าเป็ นปัจจัยการผลิตที่สาคัญ ปัจจุบนมีการ ั
ผลิตกันตลอดทั้งปี ฤดูแล้งนี้จะมีน้ าเพียงพอหรื อไม่ ยิงเมื่อได้เห็นภาพข่าวในหนังสื อพิมพ์ประจาวันที่ 5
่
่ ั
กุมภาพันธ์ 2532 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหว เสด็จออก ณ พระตาหนักเปี่ ยมสุ ข พระราชวังไกลกังวล โดยมี
นายสุ เมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการบริ หารสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ า และการเกษตร
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนายรอยล จิตรดอน กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการบริ หาร
สถาบันฯ กราบบังคมทูลถวายงานสรุ ปสถานการณ์ประเทศไทยปี 2551 และรับพระราชทานพระราชดาริ เพื่อ
เป็ นแนวทางในการดาเนินงานของสถาบันฯ ทาให้ผเู้ ขียนนึกถึงพระมหากรุ ณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระ
่ ั
เจ้าอยูหว ที่ได้ทรงมีพระราชดาริ โครงการฝนหลวง และพระราชทานตาราฝนหลวง แด่พสกนิกรของพระองค์
ได้มีน้ าใช้อุปโภคบริ โภค และประกอบอาชีพเกษตรกรรมในการดารงวิถีชีวิตได้สมบูรณ์
- 3. ่ ั
ในปี พ.ศ. 2498 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหว เสด็จพระราชดาเนินเพื่อทรงเยียม พสกนิ กรในภาค
่
ตะวันออกเฉี ยงเหนือ ย่านบริ เวณเทือกเขาภูพานทรงสังเกตว่า มีปริ มาณเมฆมากปกคลุมเหนือพื้นที่ระหว่างเส้นทางบิน
แต่ไมสามารถรวมตัวจนเกิดเป็ นฝนตกได้ ทั้งที่เป็ นช่วงฤดูฝน และทรงพบเห็นว่าหลายแห่ งประสบปั ญหา พื้นดินแห้งแล้ง
ขาดแคลนน้ าเพื่ออุปโภค บริ โภค และการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิงในฤดูเพาะปลูก เกษตรกรมักประสบความเดือดร้อน
่
จากภาวะฝนแล้ง หรื อฝนทิงช่วง ในระยะวิกฤติของพืชผล ทาให้ผลผลิตต่า หรื ออาจไม่มีผลผลิตเลย และอาจทาให้
้
ผลผลิตที่มีอยูเ่ สี ยหายได้ จึงเป็ นความเดือดร้อนอย่างสาหัส และก่อให้เกิดความสูญเสี ย ทางเศรษฐกิจ แก่เกษตรกรอย่าง
ใหญ่หลวง นอกจากนี้ความต้องการใช้น้ ามีมากขึ้น เพราะการขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรมเกษตรกรรม และการเพิมขึ้น ่
ของประชากร ซึ่ งมีผลให้ปริ มาณน้ าต้นทุนจากทรัพยากรน้ าที่มีอยู่ ไม่เพียงพอ ซึ่งเห็นได้ชดจากปริ มาณ น้ าในเขื่อนภูมิ
ั
พลที่ลดลงอย่างน่าตกใจ ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกล และทรงความอัจฉริ ยะของพระองค์ดวยคุณลักษณะของ้
นักวิทยาศาสตร์ ทรงสังเกต วิเคราะห์ขอมูลในขั้นต้น และได้มีพระราชดาริ ครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2498
้
- 4. แก่หม่อมราชวงศ์ เทพฤทธิ์ เทวกุล ว่าจะทรงค้นหา วิธีการที่จะทาให้เกิดฝนตกนอกเหนื อจากที่จะได้รับจากธรรมชาติโดย
่
การนาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ กับทรัพยากร ที่มีอยูให้เกิดมีศกยภาพของการเป็ นฝนให้ได้ "ฝนหลวง" หรื อ"
ั
ฝนเทียม"จึงกาเนิดขึ้นโดยประยุกต์ผลการวิจยค้นคว้าทางวิชาการด้านฝนเทียมของประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริ กา
ั
่
ออสเตรเลียและอิสราเอล ภายใต้การพระราชทานข้อแนะนาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหัวอย่าง ใกล้ชิดพร้อมกันนี้ได้
มีการจัดตั้ง"สานักงานปฏิบติการฝนหลวง" ขึ้น เพื่อรับผิดชอบการดาเนินงานฝนหลวงในระยะต่อ มาจนถึงปัจจุบน พระ
ั ั
บรมราโชบายในการพัฒนาโครงการพระราชดาริ "ฝนหลวง“
ทรงเน้นความจาเป็ นในด้านพัฒนาการ และปรับปรุ งวิธีการทาฝนในแนวทางของการออกแบบการปฏิบติการ ั
การ ติดตามและประเมินผลที่เป็ นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น ตลอดจนความเป็ นไปได้ในการใช้ประโยชน์ ของ
เครื่ องคอมพิวเตอร์ เพื่อศึกษารู ปแบบเมฆและการปฏิบติการทาฝนให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ทรงย้าถึง
ั
บทบาทของการดัดแปรสภาพอากาศ หรื อการทาฝนว่าเป็ นองค์ประกอบที่สาคัญอันหนึ่งในกระบวน การจัดการ
ทรัพยากรแหล่งน้ า ทรงเน้นความร่ วมมือประสานงานของหน่วยงาน และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่จะเป็ นกุญแจสาคัญใน
่ ั
อันที่จะทา ให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ของโครงการได้ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยูหว ทรงวิเคราะห์การทาฝนหลวงว่า
มี 3 ขั้นตอน
- 5. แนวพระราชดาริ ในการแก้ปัญหาความผันแปรไม่แน่นอนของฝนธรรมชาติในเวลานั้นที่จะจัดการ
ทรัพยากรน้ าใน 2 วิธี คือ
1. การสร้างเขื่อน (Check – dam) ชะลอการไหลบ่าของน้ าไม่ให้ท่วม และเก็บกักไว้ใช้ในฤดูแล้ง
2. หาวิธีทาฝนเทียม (Rainmaking) บังคับเมฆให้ตกเป็ นฝนในพื้นที่ตองการนับจากนั้นเป็ นต้นมา พระองค์ทรง
้
ศึกษาค้นคว้าและวิจยทางเอกสารทั้งด้านวิชาการ อุตุนิยมวิทยาและการดัดแปรสภาพอากาศ ทรงรอบรู้และ
ั
เชี่ยวชาญ จากเอกสารที่เป็ นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ จนทรงมันพระทัยจึงพระราชทานแนวคิดแด่
่
ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ผูเ้ ชี่ยวชาญในการวิจยประดิษฐ์ทางด้าน
ั
วิศวกรรมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขณะนั้น และพร้อมกันนั้นพระองค์ทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้าโปรด
กระหม่อม ให้หาลู่ทางที่จะทาให้เกิดการทดลองปฏิบติการในท้องฟ้ าให้เป็ นไปได้ ดังพระราชดารัสว่า
ั
“.........แต่มาเงยดูทองฟ้ า มีเมฆ ทาไมมีเมฆอย่างนี้ ทาไมจะดึงเมฆนี้ลงมาให้ได้ ก็เคยได้ยนเรื่ องการ
้ ิ
ทาฝน ก็ปรารภกับคุณเทพฤทธิ์ ฝนทาได้ มีหนังสื อ เคยอ่านหนังสื อ ทาได้..........”
ต่อมาไม่นาน จึงเกิดเป็ นโครงการค้นคว้าทดลองปฏิบติการฝนเทียม หรื อฝนหลวงในสังกัด สานักงาน
ั
ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเมื่อปี 2512 ด้วยความสาเร็ จในโครงการอันเต็มเปี่ ยมด้วยน้ าพระราช
หฤทัยที่ตองการให้ราษฎรพ้นจากความแห้งแล้ง จึงก่อเกิดตราพระราชกฤษฎีกาก่อตั้ง สานักปฏิบติการฝน
้ ั
หลวงในปี พ.ศ.2518 สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อให้ประชาชนมีน้ ากินน้ าใช้เพื่อยังชีพ และใช้ใน
การเกษตร
- 6. การทาฝนหลวงเป็ นกรรมวิธีเหนี่ยวนาน้ าจากท้องฟ้ า โดยปฏิบติการจะต้องให้เครื่ องบินที่มีอตรา
ั ั
บรรทุกมาก ๆ บรรจุสารเคมี ขึ้นไปโปรยปรายบนท้องฟ้ า โดยวิธีการคือ ต้องดูจากความชื้นของจานวนเมฆ
และสภาพของทิศทางลมประกอบกัน
ปัจจัยสาคัญประการแรกนั้นที่ทาให้เกิดฝน คือ ความร้อนชื้นปะทะความเย็น และมีแกนกลันตัวที่มี
่
ประสิ ทธิภาพในปริ มาณที่เหมาะสม กล่าวคือ เมื่อมวลอากาศร้อนชื้นระดับผิวพื้นขึ้นสู่อากาศทางเบื้องบนแล้ว
อุณหภูมิของมวลอากาศที่บนท้องฟ้ าจะลดต่าลงจนถึงความสูงที่ระดับหนึ่ง หากแม้นอุณหภูมิท่ลดต่าลงนั้น
ี
มากพอ จะเกิดการทาให้ไอน้ าในมวลอากาศอิ่มตัว เมื่อกระบวนการกลันตัวของไอน้ าในมวลอากาศขึ้นบน
่
แกนกลันตัว ก่อกาเนิดเกิดเป็ นฝนตกลงมา ฉะนั้นสารเคมีที่ใช้จึงประกอบด้วย “สูตรร้อน” เพื่อใช้กระตุนเร่ ง
่ ้
เร้ากลไกหมุนเวียนของบรรยากาศ “สูตรเย็น” ใช้เพื่อกระตุนกลไกการรวมตัวของละอองเมฆให้โตขึ้นเป็ นเม็ด
้
ฝน และสูตรที่ใช้เป็ นแกนดูดซับความชื้น เพื่อใช้กระตุนกลไกระบบการกลันตัวให้มีประสิ ทธิภาพสูงขึ้น
้ ่
่ ั
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหว ทรงกาหนดขั้นตอนกรรมวิธีการทาฝนหลวงขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจ
ได้อย่างง่าย ๆ ตามลาดับขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้
- 7. ขั้นตอนที่หนึ่ง : ก่อกวน คือ การที่เมฆธรรมชาติเริ่ มก่อตัวทางแนวตั้ง การปฏิบติการฝนหลวงใน
ั
ขั้นตอนนี้จะมุ่งใช้สารเคมีกระตุน ปรากฏให้มวลอากาศเกิดการลอยตัวขึ้นสู่เบื้องบน เพื่อให้เกิดกระบวนการ
้
ชักไอน้ า หรื อการชักนาความชื้นให้เข้าสู่ระบบการเกิดเมฆ ในแต่ละวัน โดยการใช้สารเคมีที่สามารถดูดซับไอ
น้ าจากมวลอากาศได้ถึงแม้ว่าจะมีเปอร์เซ็นต์ความชื้นสัมพัทธ์ที่ต่า (มีค่า Critical relative humidity ต่า) ทั้งนี้ก็
เพื่อกระตุนให้กลไกกระบวนการกลันตัวไอน้ าในมวลอากาศ (คือ เป็ นการสร้าง Surrounding เพื่อให้เหมาะสม
้ ่
กับการเจริ ญเติบโตของเมฆ) ทางด้านเหนือลมของพื้นที่เป้ าหมายที่ตองการให้ฝนโปรยปราย เมื่อเมฆเริ่ มเกิด
้
การก่อตัวเริ่ มขึ้น และการเจริ ญเติบโตเป็ นไปในทางตั้ง แล้วจึงใช้สารเคมีที่ให้ปฏิกิริยาความร้อนโปรยเป็ น
วงกลม หรื อเป็ นแนวถัดมาทางใต้ลมเป็ นระยะทางสั้น ๆ เข้าสู่กอนเมฆ เพื่อกระตุนให้เกิดกลุ่มแกนร่ วม (main
้ ้
cloud core) ในบริ เวณปฏิบติสาหรับใช้เป็ นศูนย์กลางที่จะสร้างกลุ่มเมฆฝนในขั้นตอนต่อไป
ั
- 8. ขั้นตอนที่สอง : เลี้ยงให้อวน เป็ นขั้นตอนที่เมฆกาลังก่อตัวเจริ ญเติบโตเป็ นระยะที่สาคัญมากในการ
้
ปฏิบติการฝนหลวง เพราะขั้นตอนนี้เป็ นการไปเพิ่มพลังให้แก่ updraft ให้ยาวนานออกไป ต้องใช้เทคโนโลยี
ั
และประสบการณ์ หรื อศิลปะแห่ งการทาฝนควบคู่ไปพร้อม ๆ กัน เพื่อกาหนดการตัดสิ นใจโปรยสารเคมี ฝน
หลวงชนิ ดใด ณ ที่ใด ของกลุ่มก้อนเมฆ และต้องโปรยในอัตราใดจึงเหมาะสม เพราะกระบวนการนี้ตองให้ ้
ละอองเมฆเกิดสมดุลกับความแรงของ updraft มิฉะนั้นจะทาให้เมฆสลายได้
- 9. ขั้นตอนที่สาม : โจมตี เป็ นขั้นตอนสุดท้ายของกรรมวิธีปฏิบติการฝนหลวง เมฆหรื อกลุ่มเมฆฝนในขั้นนี้ มีความ
ั
หนาแน่นมากพอที่จะสามารถตกเป็ นฝนได้ ภายในกลุ่มเมฆจะต้องมีเม็ดน้ าขนาดใหญ่มากมาย
หากเครื่ องบินบินเข้าไปในกลุ่มเมฆฝนนี้ เครื่ องบินจะมีเม็ดน้ าเกาะตามปี ก และกระจังหน้า ขั้นตอนนี้เป็ น
ขั้นตอนสาคัญ และฝี มืออาศัยประสบการณ์มาก เพราะจะต้องปฏิบติการเพื่อลดความรุ นแรงของ updraft หรื อ
ั
ทาให้อายุของ updraft หมดไป การปฏิบติการในขั้นตอนนี้ผปฏิบติตองพิจารณาจุดมุ่งหมายของการทาฝน
ั ู้ ั ้
หลวง 2 ประเด็น คือ การเพิ่มปริ มาณฝนตก และให้ฝนเกิดการตกกระจายไป
- 10. เมื่อประสบผลสาเร็ จในการทดลองศึกษาวิจยและพัฒนากระบวนการและกรรมวิธีฝนหลวง จนเป็ นที่ยอมรับกันทัวไปแล้ว ความ
ั ่
ต้องการฝนหลวง เพื่อช่วยพื้นที่เกษตรกรรม และการขาดแคลนน้ าเพื่อการอุปโภคและบริ โภคได้รับการร้องเรี ยนขอความช่วยเหลือเพิ่ม
มากขึ้น อย่างช่วงระหว่าง พ.ศ.2520 – 2534 มีการร้องเรี ยนขอฝนหลวงแล้วถึงปี ละ 44 จังหวัด ซึ่ งทรงพระเมตตาอนุเคราะห์ช่วยเหลือ
เกษตรกรไทย ในการ
บรรเทาการสู ญเสี ยทางเศรษฐกิจให้ประสบความเสี ยหายน้อยที่สุด นอกจากนี้ประโยชน์สาคัญที่ควบคู่ไปกับการปฏิบติการฝนหลวง
ั
เพื่อเกษตรกรรมและการอุปโภคบริ โภคก็คือเป็ นการช่วยเพิมปริ มาณน้ าต้นทุนให้แก่อ่างและเขื่อนเก็บกักน้ า เพื่อชลประทานและผลิต
่
กระแสไฟฟ้ า แหล่งน้ าและต้นน้ าลาธารธรรมชาติ อีกทั้งยังเป็ นการช่วยทานุบารุ งป่ าไม้ โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ความชุ่มชื้นที่ได้รับ
เพิ่มขึ้นจากฝนหลวงจะช่วยลดการเกิดไฟป่ าได้อย่างมาก พร้อมทั้งบรรเทาปัญหาสิ่ งแวดล้อม มลภาวะที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา
หลายประการ
เช่น ช่วยแก้ปัญหาน้ าเน่าเสี ยในแม่น้ าลาคลองนับตั้งแต่ได้เริ่ มปฏิบติการฝนหลวงจนถึงวันนี้ สังคมเกษตรกรชาวไทยที่อาศัยน้ าฝนจาก
ั
ธรรมชาติเป็ นวิถีหลัก ได้พฒนาสู่ การเกษตรกรรมที่ยงยืน และพอเพียงเพื่อเลี้ยงตัวให้อยูในสังคมได้ดวยการพึ่งพาตนเอง
ั ั่ ่ ้
่ ั
จากความทุกข์ของราษฎร์ ที่เปลี่ยนมาเป็ นทุกข์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหว ที่รับเป็ นราชภาระในความทุกข์ของอาณา
ประชาราษฎร์ ที่วนนี้ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็ นความสุ ขที่ได้ทรงช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาของเกษตรกรได้ฝนหลวงจึงนับว่าเป็ นที่พ่ ึง
ั
ของเกษตรกรยามเกิดภัยแล้งได้อย่างแท้จริ ง และได้กาวเข้ามามีส่วนช่วยเหลือประเทศชาติ นานาประการจนมิอาจกล่าวได้หมด วันนี้
้
สภาพความแห้งแล้งอันเป็ นภัยพิบติธรรมชาติ ได้กลับพลิกฟื้ นคืนสู่ สภาพที่สดชื่นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง บนผืนแผ่นดินไทย โดยพระราชดาริ
ั
“ฝนหลวง”อันเกิดจากน้ าพระราชหฤทัยที่เปี่ ยมด้วยพระเมตตา และพระมหากรุ ณาธิคุณแห่ งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวผูทรง ่ ั ้
สอดส่ องดูแลทุกข์สุขและห่ วงใยทุกชีวิตโดยแท้