ร้อยกรอง
- 6. กลอน
พจนานุกรมให้ความหมายไว้ว่า
“ เป็นคานาม แปลว่า ไม้ หรือเหล็กขัดประตู
หน้าต่าง, ดาน , ไม้แปสาหรับมุงหลังคา และ
ลักษณะคาประพันธ์ที่นิยมสัมผัส ”
ต่อไป
- 7. กลอน
• เป็นคาประพันธ์ที่นิยมสัมผัส หมายถึง การเรียงร้อยคา
ให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ฉันทลักษณ์และลักษณะบท
กลอนประเภทนั้น ๆ คาแปลกปลอมที่ไม่ถูกต้องตาม
กฎเกณฑ์ฉันทลักษณ์ หรือคาเกินจานวนจะนาเข้ามา
เรียงร้อยรวมอยู่ในวรรคกลอนไม่ได้
ต่อไป
- 11. ดังนันจึงต้องจาให้ดีวา
้ ่
หนึ่งวรรคมีแปดคาตามกาหนด
ไม่ล่วงกฎนักกลอนอักษรศรี
หากขัดสนจนถ้อยร้อยวจี
ไม่พึงมีเกินเก้าเข้าตารา
ต่อไป
- 12. ๑ คำกลอน หรือ ๑ บำทกลอน
• หมายถึง กลอน ๒ วรรครวมกัน ดังตัวอย่าง
ใครก็เขียน กลอนได้ ถ้าใจรัก ( วรรคที่ ๑ )
และรู้จัก คุณค่า ภาษาศิลป์ ( วรรคที่ ๒ )
ต่อไป
- 13. ๑ บทกลอน
( กลอน ๔ วรรค หรือ ๒ คากลอน )
ใครก็เขียน กลอนได้ ถ้าใจรัก ( วรรคที่ ๑ )
และรู้จัก คุณค่า ภาษาศิลป์ ( วรรคที่ ๒ )
หมั่นฝึกเขียน ค้นคว้า อยู่อาจิณ ( วรรคที่ ๓ )
จะไม่สิ้น ความหวัง ที่ตั้งใจ ( วรรคที่ ๔ )
ต่อไป
- 14. ชื่อวรรคใน ๑ บทกลอน
วรรคที่ ๑ เรียกว่า วรรคสดับ
วรรคที่ ๒ เรียกว่า วรรครับ
วรรคที่ ๓ เรียกว่า วรรครอง
วรรคที่ ๔ เรียกว่า วรรคส่ง
ต่อไป
- 15. กลอนวรรคที่ ๑ ( วรรคสดับ )
• เป็นวรรคที่ต้องเริ่มเปิดเรื่องหรือเปิดความ
ตามที่ได้สดับรับเรื่องราวมาจากบทต้น ๆ
เพื่อดาเนินเรื่องให้ต่อเนืองเป็นกระบวน
่
ความเดียวกัน
ต่อไป
- 16. กลอนวรรคที่ ๒ ( วรรครับ )
• เป็นวรรคที่ต้องรับสัมผัสนอกต่อจากวรรค
ที่ ๑ และรับสัมผัสบทเชื่อมโยงมาจากท้าย
วรรคที่ ๔ ของบทต้น
ต่อไป
- 17. กลอนวรรคที่ ๓ ( วรรครอง )
• เป็นวรรคที่รองรับสัมผัสนอกต่อ
เนื่องมาจากวรรคที่ ๒ แล้วส่งสัมผัสไปหา
วรรคที่ ๔
ต่อไป
- 18. กลอนวรรคที่ ๔ ( วรรคส่ง )
• เป็นวรรคที่รับสัมผัสจากวรรคที่ ๓ แล้วยัง
เป็นวรรคที่จะต้องส่งสัมผัสบทโยงไปหาคา
สุดท้ายของวรรคที่ ๒ ในบทถัดไปด้วย
ต่อไป
- 20. ถ้ากลอนวรรคใดมี ๙ คา หรือ ๙ พยางค์ให้ทอดจังหวะการ
อ่านเป็น ๓-๓-๓ ดังนี้
นั่งพากเพียร หัดเขียนกลอน ในตอนดึก
ต่อไป
- 23. สัมผัสพยัญชนะ
• หรือเรียก สัมผัสอักษร หมายถึง คาคล้องจองที่มี
ตัวอักษรตัวหลักหรือตัวประธานเสียงเป็นตัวเดียวกันแต่
ประสมสระคนละตัว เช่น
ตรม-ตรอม
เรียน- รัก
โศกเศร้า –สุขสันต์-สองสาม
ต่อไป
- 27. วรรคที่ ๒ คาสุดท้ายของวรรคที่ ๒ สัมผัสกับคาสุดท้ายของวรรคที่ ๓
วรรคที่ ๓ คาสุดท้ายของวรรคที่ ๓ สัมผัสกับคาที่ ๓ หรือคาที่ ๕ ของวรรค
ที่ ๔ คาใดคาหนึ่ง ( กรณีกลอนวรรคที่ ๔ มี ๙ คา ให้สัมผัสกับคาที่
๓ หรือคาที่ ๖ คาใดคาหนึ่ง )
ผังสัมผัสนอกของกลอนแปด
ต่อไป
- 30. อย่าใช้คาเสียงสั้น - ยาวรับสัมผัสกัน
• คาที่ประสมสระคนละตัวและคาที่ออกเสียงสั้น – ยาวแตกต่างกัน อย่า
นามารับสัมผัสนอกเชื่อมโยงถึงกันเป็นอันขาด ถือว่าผิดฉันทลักษณ์
เช่น
ไอ กับ อาย
คิด กับ ขีด
วัน กับ วาน
กิน กับ ศีล
ต่อไป
- 31. อย่าแย่งสัมผัส หรือ อย่าชิงสัมผัส
• กลอนแต่ละวรรคอย่าใช้คาที่เป็นสัมผัสนอกกับสัมผัสในปะปน
กันโดยเฉพาะอย่างยิ่งวรรคที่ ๒ และวรรคที่ ๔ วิธีป้องกันและ
หลีกเลี่ยงกรณีการแย่งสัมผัสหรือชิงสัมผัสก็คือ อย่านาคา
ที่อ่านออกเสียงตรงกันมาใช้ซ้ากันในตาแหน่งคาที่ ๓ ๕
๘ ( กรณีกลอนวรรคนั้นมี ๘ คา ) หรือคาที่ ๓ ๖ ๙
( กรณีกลอนวรรคนั้นมี ๙ คา)
ต่อไป
- 35. บทท่องจาการใช้เสียงท้ายวรรคของกลอนแปด
วรรคแรกใช้ทุกเสียง แต่ควรเลี่ยงเสียงสามัญ
วรรคสองนั้นสาคัญ ห้ามสามัญกับเสียงตรี
เอก โท จัตวา อย่าลงวรรคสามและสี่
จดจาไว้ให้ดี กลอนแปดมีกฎเกณฑ์เอย
กลับหน้าหลัก
- 36. กลอนสักวา
สักวา มีลักษณะการเขียน กฎเกณฑ์กติกา และฉันทลักษณ์บังคับ เหมือนกลอน
แปดทุกประการ จะต่างเพียงรูปแบบเฉพาะ ๓ ประการ
• ความยาว ๑ บทสักวา มีความยามเท่ากับกลอนแปด ๒ บท หรือ ๘ วรรค จะเขียน
ยาวกว่านี้ หรือสั้นกว่านี้ไม่ได้เป็นอันขาด ตัวอย่าง
สักวาความดีที่ตนสร้าง เป็นหนทางนาสุขสิ้นทุกหมอง
คนทาดีดีพาสุขมาครอง ทาชั่วต้องสนองกรรมตามเวลา
เหมือนหว่านพืชชนิดใดไว้เบื้องต้น ย่อมได้ผลชนิดนั้นในวันหน้า
ก่อกรรมหนักสักวันผลทันตา ทาชั่วดีมีผลมาหาตนเอย
ต่อไป
- 37. การขึ้นต้นกลอนสักวา
• วรรคที่ ๑ หรือวรรคแรกของสักวา ต้องเขียนให้ครบ ๘ หรือ ๙
เช่นเดียวกับกลอนแปด และต้องขึ้นต้นวรรคแรกด้วยคาว่า “ สักวา “
เสมอ เช่น สักวาภาษาไทยใกล้วิบัติ, สักวาป่าไม้ใกล้หมดสิ้น เป็นต้น
แล้วโยงสัมผัสจากคาสุดท้ายไปเชื่อมสัมผัสนอกกับวรรคที่ ๒ เหมือน
กลอนแปด
ต่อไป
- 38. การจบ... กลอนสักวา
• วรรคที่ ๘ ซึ่งเป็นวรรคสุดท้ายของสักวา ต้องจบคาสุดท้ายของวรรค
( คาที่ ๘ หรือ ๙ ) ด้วยคาว่า “ เอย” เท่านั้น ถ้าไม่จบด้วยคาว่าเอย ถือว่า
เขียนสักวาไม่เป็น กรณีประกวดหรือแข่งขัน จะถูกคัดออก หรือถูกตัด
คะแนนจนไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับรางวัล
ต่อไป
- 41. ลักษณะบังคับ
• กาพย์ยานี ๑ บท มี ๒ บาท หรือ ๒ คากลอน บาทแรกเรียกบาทเอก
บาทที่ ๒ เรียกบาทโท
• ๑ บาท มี ๒ วรรค วรรคหน้ามี ๕ คา วรรคหลังมี ๖ คา รวมเป็น ๑๑ คา
จึงเรียกว่ากาพย์ยานี ๑๑
ต่อไป
- 42. การแต่งกาพย์ยานี ๑๑
• ต้องแต่งอย่างน้อย ๑ บท หรือ ๒ บาท ( ๔ วรรค ) และต้องมีสัมผัสนอก
เชื่อมโยงระหว่างวรรค เช่นเดียวกับกลอนแปด ยกเว้นวรรคที่ ๓ กับวรรค
ที่ ๕ อนุโลมให้ไม่มีสัมผัสนอกได้ สาหรับสัมผัสใน นิยมให้มีคาคล้อง
จองในวรรคเหมือนกลอนแปด เพื่อความไพเราะ ส่วนเสียงท้ายวรรค
และกฎเกณฑ์อื่น ๆ แม้จะไม่บังคับไว้ แต่ถ้าใช้โดยอนุโลมเหมือนกลอน
แปด ก็จะทาให้กาพย์ยานีมีความไพเราะและน่าอ่านมากขึ้น
ต่อไป
- 43. การเขียนกาพย์ยานี ๑๑ มีความยาวมากกว่า ๑ บทขึ้นไป
ต้องมีสัมผัสระหว่างบทเช่นเดียวกับกลอนแปด ( คาสุดท้าย
ของวรรคที่ ๕ บทต้น สัมผัสกับคาสุดท้ายของวรรคที่ ๒
ในบทถัดไป )ถ้าไม่มีสัมผัสบทถือว่าเขียนผิดฉันทลักษณ์
ต่อไป
- 45. ฝึกเขียนกาพย์
ฝึกเขียนกาพย์ยานี กฎเกณฑ์มีพึงจดจา
หนึ่งบาทสิบเอ็ดคา วรรคหน้านาห้าคาเรียง
วรรคหลังมีหกคา ท้ายลานาไม่ถือเสียง
สัมผัสไม่หลีกเลี่ยง สาเนียงเพราะเสนาะเอย
กลับหน้าหลัก
- 46. กาพย์ฉบัง ๑๖
• กาพย์ฉบังบทหนึ่งมี ๓ วรรค วรรคที่ ๑ กับวรรคที่ ๓ มีวรรค
ละ ๖ คา วรรคที่ ๒ มี ๔ คา
ฉบังสิบหกคาควร ถ้อยคาสานวน
พึงเลือกให้เพราะเหมาะกัน
วรรคหน้าวรรคหลังราพัน วรรคหนึ่งพึงสรร
ใส่วรรคละหกคาเทอญ
วรรคสองต้องสี่คาเชิญ แต่งเสนาะเพราะเพลิน
ใครได้สดับจับใจ
ต่อไป
- 48. ลักษณะดีพิเศษของกาพย์ฉบัง
• ให้คาที่ ๑ และคาที่ ๒ ของวรรคที่ ๓ เป็นคาตาย
• ให้ ๒ คาหลังของวรรคต้น กับ ๒ คาต้นของวรรคที่ ๒ เล่นอักษรกัน
• ให้คาที่ ๒ ของวรรคที่ ๓ เล่นอักษรหรือสัมผัสอักษรกับคาสุดท้ายของ
วรรคที่ ๒
ลมโชยชวนชื่นรื่นรมย์ รื่นรสคาคม
ขอดแคะเขี่ยกรรณหรรษา
ห่มสุขทุกข์โศกสร่างซา สร่างสิ้นวิญญาณ์
เพราะยอดเยาวลักษณ์ร่วมสม
ต่อไป
- 51. กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘
• บทหนึ่งมี ๗ กลอนหรือ ๗ วรรค วรรคหนึ่งมี ๔ คา รวมเป็น ๒๘ คา
• สัมผัสให้ดูตามแผน ถ้าจะแต่งบทต่อไปอีก ต้องให้คาสุดท้ายของบทต้น
สัมผัสกับคาสุดท้ายวรรคที่ ๓ ของบทต่อไป
• จะเพิ่มสัมผัสให้คาที่ ๔ วรรคที่ ๔ สัมผัสกับคาที่ ๒ วรรคที่ ๕ ก็ได้ จะทา
ให้ไพเราะขึ้นอีกด้วย
• บางกรณีอาจเพิ่มสัมผัสนอกขึ้นอีก ๓ แห่ง คือให้คาที่ ๔ ของวรรคหน้า
สัมผัสกับคาที่ ๑ หรือคาที่ ๒ ของวรรคหลัง และเพิ่มสัมผัสใน ระหว่าง
คาที่ ๒ กับคาที่ ๓ ไว้ทุกวรรคตามแต่ละเหมาะด้วย
ต่อไป
- 53. ตัวอย่าง...กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘
สุรางคนางค์
กาหนดบทวาง ยี่สิบแปดคา
บทหนึ่งเจ็ดวรรค เป็นหลักพึงจา
วรรคหนึ่งสี่คา แนะนาวิธี
หากแต่งหลายบท
จาต้องกาหนด บัญญัติจัดมี
คาท้ายวรรคสาม ต้องตามวิถี
สัมผัสกันดี ท้ายบทต้นแล
กลับหน้าหลัก
- 55. บทควรจา
เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า
สองเขือพี่หลับไหล ลืมตื่น ฤาพี่
สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ
ต่อไป
- 56. หลักการแต่งโคลงสี่สภาพ
ุ
• โคลงหนึ่งบทมี ๔ บรรทัด บรรทัดหนึ่งเรียกว่า บาทหนึ่ง รวม ๔ บาท
นับเป็นหนึ่งบทหรือหนึ่งโคลง
• บาทหนึ่ง มี ๒ วรรค วรรคหน้ามี ๕ คา วรรคหลังของบาทที่ ๑, ๒ และ
๓ มีวรรคละ ๒ คา วรรคหลังของบาทที่ ๔ มี ๔ คา รวมเป็น ๓๐ คา
ต่อไป
- 57. สัมผัส...โคลงสี่สุภาพ
สัมผัสของโคลงสี่สุภาพนอกจากในแผนผังบังคับแล้วยัง
ต้องมีสัมผัสอีก ๒ อย่างเพื่อชูรสให้ไพเราะยิ่งขึ้น
สัมผัสใน
สัมผัสอักษรระหว่างวรรค ( คือให้คาสุดท้ายของวรรคหน้า สัมผัส
กับคาหน้าของวรรคหลัง ) เช่น
เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย
ต่อไป
- 58. ๑. มีเอก ๗ โท ๔ ตามตาแหน่ง
๒. ตาแหน่งเอกและโทในบาทที่ ๑ สลับกันได้ คือ เอาไปไว้ในคาที่ ๕
และเอาโทมาไว้ในคาที่ ๔ ก็ได้
๓. คาที่ ๗ ของบาทที่ ๑ และคาที่ ๕ ของบาทที่ ๒ และที่ ๓ ห้ามใช้คา
ที่มีรูปวรรณยุกต์
๔. ห้ามใช้คาตายที่ผันด้วยวรรณยุกต์โท ในตาแหน่งโท
๕. คาสุดท้ายของบท ห้ามใช้คาตายและคาที่มีรูปวรรณยุกต์ ถ้าใช้
เสียงจัตวาไม่มีรูป นิยมกันว่าไพเราะดียิ่ง
๖. คาที่เป็นเอกโทษคือใช้เสียงเอกในที่ผิด
ต่อไป