SlideShare una empresa de Scribd logo
1 de 116
หน่วยที่  2  การพัฒนาหลักสูตร อนิจจัง ครั้งหนึ่งมีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง  ตั้งอยู่เนินเขาชายป่าอันอุดมสมบูรณ์ด้วยสิงส์สาราสัตว์ต่าง  ๆ  อันควรแก่การจับมาเป็นอาหารและเลี้ยงไว้ดูเล่น  ชาวบ้านแห่งนั้นก็สั่งสอนลูกหลานของตนให้รู้จักดักบ่าง  จับชะนี  ตีผึ้ง  คล้องช้าง  นั่งห้าง  และไล่ราว  เพื่อจับสัตว์มาเป็นอาหาร อยู่มาวันหนึ่ง  เกิดอาเพศเหตุร้าย  ฟ้าถล่ม  แผ่นดินทลาย ฝนตกเจ็ดวันเจ็ดคืน  ท้องฟ้ามืดครึ้ม  ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน  ครั้งฝนหยุดตก  ท้องฟ้าแจ่มใส  ชาวบ้านก็พากัน  แปลกใจว่าป่าไม้อันเขียวชอุ่มนั้นหายไป  กลับมีแผ่นน้ำอันกว้างใหญ่มาแทนที่  เป็นทะเลอันเต็มไปด้วย  ปู  ปลา  หอย  กุ้ง  กั้ง  และสัตว์น้ำนานาพันธุ์  ในเวลาต่อมาชาวบ้านเหล่านั้นก็สั่งสอนลูกหลานของพวกเขาให้รู้จักทอดแห  ดักลอบ  ตกเบ็ด  ลากอวน  และจับสัตว์น้ำ  ด้วยวิธีการ ต่าง  ๆ  และก็ได้อาหารมาบริโภคเป็นที่สุขกายสุขใจสืบมา เนื้อหา  2.1  เรื่อง  ความจำเป็นในการพัฒนาหลักสูตร
จนกระทั่งกาลเวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง  ฝูงสัตว์น้ำทั้งหลาย  มีจำนวนลดลง และรู้จักหลบซ่อนตัวไม่ให้จับง่าย  ๆ  ชาวบ้านก็ไม่ย่อท้อ  พากันคิดค้นหาวิธีการและ เครื่องมือใหม่  ๆ  มาใช้จับสัตว์น้ำ  รวมทั้งฝึกลูกหลานให้ตื่นแต่เช้า  ขยันขันแข็ง  หากิน ทั้งกลางวันและกลางคืน  ออกทะเลลึกมากขึ้น  เขาจึงจะได้อาหารพอบริโภค ผู้เฒ่าผู้แก่ผ่านโลกมานาน  เห็นการเปลี่ยนแปลงมาหลายยุคหลายสมัยก็ได้  รำพึงว่า  “เออหนอ  โลกนี้ช่างเปลี่ยนไป  ไม่เหมือนเก่า  ลูกหลานเราแต่ละรุ่นต้องเรียน วิชาต่าง  ๆ  ตามยุคตามสมัย  ช่างไม่มีอะไรเที่ยงแท้จีรัง  วิชาที่เคยเรียน  คิดว่าดีแล้ว  มายุคนี้ก็ต้องยกเลิก  คอยดูเถอะ  ไม่กี่ปีข้างหน้าก็ต้องเปลี่ยนไปอีก” ท่านได้ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ว่าอย่างไร  จงอธิบายและสรุป
หลักสูตรที่กำหนดขึ้นใช้นั้น  แม้ว่าได้พยายามสร้างขึ้นให้สอดคล้อง กับปรัชญาการศึกษา  สภาพสังคมและวัฒนธรรม  ระบบเศรษฐกิจ  การเมือง การปกครอง  และหลักการทางจิตวิทยาแล้วก็ตาม  แต่เมื่อได้นำหลักสูตรไปใช้ ในโรงเรียนระยะหนึ่ง  หรือเมื่อเวลาผ่านไปสภาพสังคมและแนวคิดทางการศึกษา ตลอดจนวิทยาการ  เทคโนโลยีก้าวหน้าเปลี่ยนไป  ความเหมาะสมของหลักสูตร จึงควรได้รับการทบทวนพิจารณาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เนื้อหา  2.2  เรื่อง  ความหมายของการพัฒนาหลักสูตร
เซเลอร์และอเล็กซานเดอร์   ( Saylor  and  Alexander.  1974  :  7 ) กล่าวว่า  การพัฒนาหลักสูตรหมายถึงการทำหลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้  ดีขึ้น  หรือการจัดทำหลักสูตรขึ้นมาใหม่โดยไม่มีหลักสูตรเดิมเป็นพื้นฐานเลย  ความหมายของการพัฒนาหลักสูตรจะรวมไปถึงการผลิตเอกสารต่าง  ๆ  สำหรับผู้เรียนด้วย นอกจากคำว่าการพัฒนาหลักสูตร  ( Curriculum  Development )  แล้ว  ยังมีคำอื่นที่มีความหมายใกล้เคียงกัน  หรือทำนองเดียวกัน  หรือแตกต่างกันเพียงรายละเอียดที่ต้องการเน้น  เช่น  การปรับปรุงหลักสูตร  ( Curriculum  Improvement )  การสร้างหลักสูตร  ( Curriculum  Construction )  การวางแผนหลักสูตร  ( Curriculum  Planning )  การออกแบบหลักสูตร  ( Curriculum  Design )  และการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร  ( Curriculum  Change )  เป็นต้น ความหมายของการพัฒนาหลักสูตร
ดังนั้นการพัฒนาหลักสูตรจึงมีความหมาย  2  แนว  ดังนี้ 1.  การปรับปรุงหลักสูตร  หมายถึงการปรับปรุงแก้ไข ทีละเล็กละน้อยเรื่อยไป  เป็นการปรับปรุงในส่วนปลีกย่อย  แต่โครงสร้าง ส่วนใหญ่ยังคงเดิม 2.  การเปลี่ยนแปลงหลักสูตร  หมายถึง  การเปลี่ยนแปลง ขนาดใหญ่มุ่งให้เกิดสิ่งใหม่ในหลักสูตรทั้งหมด  หรือเป็นการสร้าง หลักสูตรใหม่
หลักสูตรจัดทำหรือพัฒนาขึ้นเพื่อให้การศึกษาแก่บุคคลในสังคม  การจัดทำหรือพัฒนาหลักสูตรจึงต้องเหมาะสมกับสังคม  สังคมแต่ละสังคม นั้นมีสภาพเศรษฐกิจ  สังคม  วัฒนธรรม  การเมือง  การปกครองตลอดจน ความเชื่อในการจัดการศึกษาแตกต่างกัน  การจัดทำหรือพัฒนาหลักสูตรจึงต้อง คำนึงถึงพื้นฐาน  สภาพและความเชื่อเหล่านั้น เนื้อหา  2.3  เรื่อง  พื้นฐานในการจัดทำและการพัฒนาหลักสูตร
ปรัชญามาจากภาษาอังกฤษว่า  Philosophy  มีความหมายว่า  “ความรักในความรู้”  วิจิตร  ศรีสะอ้าน  กล่าวว่า  ความรักในความรู้ทำให้บุคคลแสวงหา  ผลของการแสวงหาทำให้เกิดความจริงที่เรียกว่า  สัจธรรม  และผลของการแสวงหานี้สามารถให้ความหมายของปรัชญาอีกอย่างว่า  เป็นความคิดหรือความเชื่อที่เรามีเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เราทำ สุดใจ  เหล่าสุนทร  ได้ให้ความหมายของปรัชญาไว้ว่าเป็นความคิดหลัก  ที่บุคคล  หรืออนุชนยึดถือ  เป็นหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิต เมื่อพิจารณาคำว่าปรัชญาการศึกษาที่ประกอบด้วยคำว่า  ปรัชญากับการศึกษา  วิจิตร  ศรีสะอ้าน  จึงกล่าวว่า  ปรัชญาการศึกษา  คือ  หลักและทฤษฎีทางการศึกษาซึ่งสามารถที่จะมาเป็นหลัก  เป็นแนวทางในการจัดการศึกษาระดับต่าง  ๆ พื้นฐานด้านปรัชญาการศึกษา
สุมิตร  คุณากร  กล่าวว่า  ปรัชญาการศึกษาหรือปณิธานการศึกษา  หมายถึง  อุดมคติ อุดมการณ์อันสูงสุด  ซึ่งยึดเป็นหลักในการจัดการศึกษา ภิญโญ  สาธร  กล่าวว่า  ปรัชญาการศึกษาตามรูปศัพท์  หมายความว่า  วิชาว่าด้วย ความรู้อันเกี่ยวกับการศึกษา  ความรู้อันเกี่ยวกับการศึกษานั้นย่อมหมายถึง  วัตถุประสงค์ของการ ศึกษาเนื้อหาวิชาที่ให้ศึกษาและวิธีการให้การศึกษา บุญเลิศ  นาคแก้วและนงเยาว์  สุขาพันธุ์  (2522  :  69 )  กล่าวว่า  ปรัชญาการศึกษา  ควรมีลักษณะที่เป็นสาระสำคัญ  3  ประการ  ดังนี้ (1)  เกี่ยวกับหน้าที่และข้อผูกพันของสถานศึกษา  หมายถึง  การแสดงเจตจำนงของสถาบัน (2)  ต้องแสดงให้เห็นถึงลักษณะของความรู้ที่ยึดถือเป็นหลักในการให้การศึกษาแก่ ผู้เรียน  ลักษณะของความรู้นั้น  หมายถึง  เป็นความรู้ประเภทใด  เมื่อเรียนแล้วจะนำไปใช้ ประโยชน์อะไรบ้าง (3)  ต้องแสดงให้เห็นถึงลักษณะและคุณสมบัติของผู้ที่จบการศึกษาไปแล้วว่า  จะเป็น บุคคลที่มีคุณลักษณะมีความรู้  มีความคิด  และค่านิยมอย่างไร ดังนั้นอาจสรุปได้ว่า  ปรัชญาการศึกษาก็คือ  ความเชื่อที่เป็นหลักในการกำหนด แนวทางจัดการศึกษา  โดยครอบคลุมทั้งจุดมุ่งหมาย  เนื้อหาวิชา  กระบวนการเรียนการสอน  และ การวัดผล  ประเมินผล
ปรัชญาการศึกษาที่ควรศึกษาสามารถแบ่งได้  5  กลุ่ม   ดังนี้ 1.  ปรัชญาสารัตถนิยม  ( Essentialism ) 2.  ปรัชญานิรันตรนิยม  ( Perennialism ) 3.  ปรัชญาพิพัฒนาการ  ( Progressivism ) 4.  ปรัชญาปฏิรูปนิยม  ( Reconstructionism ) 1.  ปรัชญาสารัตถนิยม   ปรัชญานี้มีความเชื่อว่าในแต่ละวัฒนธรรม  มีความรู้ ทักษะความเชื่อ  เจตคติ  อุดมการณ์  ที่เป็นแกนกลางหรือเป็นหลัก  ทุกคนในวัฒนธรรม นั้นจะต้องรู้สิ่งเหล่านี้  และระบบการศึกษาจะมุ่งถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้แก่เยาวชน จากความเชื่อดังกล่าว  ระบบการศึกษา  ควรเน้นหนักในการศึกษาความรู้ และวัฒนธรรม  การถ่ายทอดความรู้เป็นไปอย่างมีระบบมีมาตรฐานของผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนระดับเดียวกันเด็กควรมีอิสระภาพที่จะได้ความรู้และบรรลุถึงมาตรฐานดังกล่าว อย่างทัดเทียมกัน  ไม่ใช่อิสรภาพในการเลือกเรียนอะไรก็ได้ตามใจชอบ  เมื่อเป็นเช่นนี้ ปรัชญาสารัตถนิยมจึงเน้นความไม่เปลี่ยนแปลงเพราะถือว่า  ความรู้  ความจริง  และ วัฒนธรรมของสังคมนั้น  ได้รับการเลือกสรรแล้วอย่างเหมาะสม  ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า  ลัทธินี้มีความเชื่อในแนวทางที่จะนำไปสู่การอนุรักษ์และถ่ายทอดวัฒนธรรม
บรรจง   จันทรสา  (2522  :  238 – 239 )  กล่าวว่า  ลักษณะเด่นของปรัชญา สารัตถนิยม  มีลักษณะเด่น  4  ประการ  ดังนี้ (1)  การเรียนนั้นว่าโดยธรรมชาติของมันแล้ว  เป็นงานที่หนักและไม่มุ่งหวังที่จะให้มีการนำไปใช้อย่างทันท่วงที (2)  การริเริ่มทางการศึกษานั้น  ควรจะอยู่ที่ครูมากกว่านักเรียน (3)  หัวใจของกระบวนการทางการศึกษา  ก็คือ  การนำเอาเนื้อหาวิชาที่เลือกสรรแล้วมาเชื่อมโยงให้ประสานกัน (4)  โรงเรียนจะรักษาไว้ซึ่งวิธีการแบบดั้งเดิมที่ใช้ระเบียบวินัย  ในการก่อให้ก่อเกิดการเรียนรู้  และฝึกฝนทางสติปัญญา หลักสูตรที่สร้างขึ้นตามแนวปรัชญานี้  ได้แก่  หลักสูตรรายวิชาและหลักสูตร  รวมวิชา 2.  ปรัชญานิรันตรนิยม   ปรัชญานิรันตรนิยมนี้เริ่มโดย  อริสโตเติ้ลและบาทหลวงโทมัสอาคีนัสเป็นผู้นำมาดัดแปลง  ทั้งสองท่านได้ปูพื้นฐานของปรัชญานี้ไว้อย่างมั่นคง  ความคิดและหลักการที่ท่านได้กำหนดไว้ยังคงดำรงอยู่เรื่อยมาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  ตั้งแต่สมัยยุคกลาง  ( Middle  age )  คำว่า  Perennial  ก็แปลว่า  “ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา”
ปรัชญานี้มีความเชื่อว่า  ธรรมชาติ  ของมนุษย์นั้นเหมือนกันทุกแห่ง  สาระสำคัญในธรรมชาติของมนุษย์คือ  ความสามารถในการใช้ความคิด  ใช้เหตุผล  การจัดการศึกษาจึงเน้นการพัฒนาทางด้านสติปัญญาและการใช้เหตุผล  เนื้อหาสาระของสิ่งที่เรียน  จึงเกี่ยวข้องกับความคิดและเหตุผล บรรจง  จันทรสา  (2522  :  241 – 243 )  กล่าวว่า  แนวคิดการจัดการศึกษาของปรัชญานิรันตรนิยมสรุปได้ดังนี้ (1)  แม้ว่าในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันออกไป  แต่ธรรมชาติของมนุษย์ย่อมจะเหมือนกันทุกแห่ง  เพราะฉะนั้นการศึกษาจึงควรเป็นแบบอย่างเดียวกันสำหรับชุมชน (2)  ความมีเหตุผลเป็นลักษณะสูงสุดของมนุษย์  ดังนั้นมนุษย์จึงต้องใช้ความมีเหตุผลเป็นเครื่องมือคอยควบคุม  สัญชาตญาณตามธรรมชาติอันเป็นอำนาจฝ่ายต่ำของตน  เพื่อที่จะได้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายแห่งชีวิตที่ได้เลือกสรรแล้ว
(3)  หน้าที่ของการศึกษานั้น  คือ  การแสวงหา  และการนำมาซึ่งความจริงอันเป็น นิรันดร  “การศึกษา  หมายถึงการสอน  การสอนหมายถึง  ความรู้  ความรู้คือความจริง ความจริงย่อมเหมือนกันทุกแห่ง”  เพราะฉะนั้นการศึกษาก็ย่อมเหมือนกันในทุกแห่งหน (4)  การศึกษามิใช่การเลียนแบบของชีวิต  แต่เป็นการเตรียมตัวเพื่อชีวิต (5)  นักเรียนควรจะได้เรียนรู้วิชาพื้นฐานบางวิชา  เพื่อจะได้เข้าใจและคุ้นเคยกับ สิ่งที่คงทนถาวรของโลก (6)  นักเรียนควรจะได้ศึกษางานนิพนธ์ที่สำคัญทางวรรณคดี  ประวัติศาสตร์  และ วิทยาศาสตร์ นอกจากนี้  บรรจง  จันทรสา  (2522  :  240 )  ยังกล่าวว่า  การจัดหาหลักสูตรตาม แนวปรัชญานิรันตรนิยมนี้ส่วนใหญ่จะคล้ายกับแนวปรัชญาสารัตถนิยม  แต่มีความคิดที่ แตกต่างกันของ  2  ปรัชญานี้อยู่  2  ประการ  ได้แก่  (1)  ปรัชญาสารัตถนิยม  เน้นสติปัญญา  หรือพุทธิศึกษาน้อยกว่าเพราะมิได้ แสวงหาความจริงที่นิรันดรแต่หาแนวทางที่จะปรับให้เข้ากับสังคมและสิ่งแวดล้อม
(2)  ปรัชญาสารัตถนิยม  ยอมรับแนวพิพัฒนาการในวิถีทางการศึกษา  เช่น  การปรับตัวเข้ากับสังคม  ความเชื่อ  ความจริง  และกฎของธรรมชาติ  แต่ปรัชญา นิรันตรนิยมเคารพนับถือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในอดีตเป็นความรู้  และสิ่งดีงาม  เป็น นิรันดรและเป็นสากลสำหรับมนุษย์ ดังนั้นอาจสรุปได้ว่า  แนวทางของนิรันตรนิยม  เป็นแนวทางที่จะย้อนกลับ ไปสู่วัฒนธรรมอันดีงามในอดีต 3.  ปรัชญาพิพัฒนาการ   ปรัชญาการศึกษานี้  ก่อตั้งในศตวรรษที่  20  (1920)  ในสหรัฐอเมริกา  ปรัชญานี้มีความเชื่อว่า  สาระสำคัญและความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลาย นั้น  มิได้คงที่หรือหยุดนิ่ง  หากจะเปลี่ยนสภาพไปตามเวลาและสิ่งแวดล้อม  และใน ส่วนที่เกี่ยวกับการศึกษานั้นลัทธินี้เชื่อว่า  การศึกษาในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ก็ควรจะเปลี่ยนสภาพไปด้วยเมื่อถึงคราวจำเป็น  ฉะนั้นวิธีการทางการศึกษาจึงต้อง พยายามปรับปรุงให้สอดคล้องกับกาลเวลาและสภาพแวดล้อมอยู่เสมอ  การศึกษามิใช่จะ สอนให้คนยึดมั่นในความจริง  ความรู้  และค่านิยมที่คงที่หรือถูกกำหนดไว้ตายตัว  หาก จะต้องปรับปรุงการศึกษาเพื่อจะเป็นหนทางนำไปสู่การค้นพบความรู้ใหม่  ๆ  อยู่เสมอ  ดังนั้นปรัชญาการศึกษานี้  จึงยึดมั่นในทางแห่งเสรีภาพที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรมเพื่อให้เหมาะสมกับกาลสมัย
บุญเลิศ  นาคแก้ว  และนงเยาว์  สุขาพันธุ์  (2522  :  118 – 119 )  สรุปหลักสำคัญของปรัชญาพิพัฒนาการดังนี้ (1)  การศึกษาคือชีวิต  มิใช่การเตรียมตัวเพื่อชีวิต (2)  ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างบ้านกับโรงเรียน  เพื่อจะได้ทราบถึงความต้องการของเด็กและแก้ปัญหาให้เด็กด้วย (3)  โรงเรียนแต่ละแห่ง  ควรสนับสนุนให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน  มิใช่แข่งขันชิงดี  ชิงเด่น  ธรรมชาติของมนุษย์จะต้องอยู่ร่วมกันพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (4)  ยึดถือเด็กเป็นศูนย์กลาง  เรียนรู้ด้วยวิธีแก้ปัญหามากกว่าจะเรียนจากหนังสือ (5)  ครูเป็นผู้แนะนำ  มิใช่ผู้บงการหรือสั่งการ (6)  ปล่อยให้เด็กมีความเจริญงอกงามตามธรรมชาติ  ให้เด็กได้มีอิสรเสรี (7)  การเรียนรู้ด้วยวิธีวิทยาศาสตร์  จะช่วยให้เด็กเกิดพัฒนาในทุก  ๆ  ด้าน
หลักสูตรที่ยึดแนวปรัชญาพิพัฒนาการ  ได้แก่  หลักสูตรกิจกรรมหรือประสบการณ์ 4.  ปรัชญาปฏิรูปนิยม  นักการศึกษาที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของ ปรัชญาปฏิรูปนิยม  คือ  เทียวเดอร์  เบรมเมล  ( Theodore  Brarneld )  ชาวสหรัฐอเมริกา  เขาได้รับเสนอแนวคิดรายละเอียดในการจัดการศึกษาตามแนวนี้  ในปี  ค . ศ .  1950 ปรัชญานี้พัฒนาจากปรัชญาปฏิบัตินิยม  ( Pragmatism )  ที่เน้นหนักการแก้ไขปรับปรุงสภาพสังคม  โดยอาศัยการศึกษาผนวกกับปรัชญาพิพัฒนาการที่เน้นพัฒนาผู้เรียนไปตามต้องการความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก  จากสองปรัชญาดังกล่าวทำให้เกิดปรัชญาปฏิรูปนิยม  ที่เชื่อว่า  การศึกษาควรเป็นเครื่องมือของมนุษย์ในการปฏิรูปสังคม
บรรจง  จันทรสา  (2522  :  249 – 250 )  ได้สรุปแนวคิดของปรัชญาปฏิรูปนิยมดังนี้ (1)  การศึกษาจะต้องรับภาระที่จะสร้างระบบสังคมใหม่ขึ้นมา  ซึ่งเป็นระบบสังคมที่บรรลุถึงคุณค่าขั้นพื้นฐานของวัฒนธรรม  และขณะเดียวกันก็ให้สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมของโลกในยุคใหม่ด้วย (2)  สังคมใหม่จะต้องเป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง  ซึ่งมีประชาชนของสังคมเป็นผู้ควบคุมสถาบันต่าง  ๆ  ตลอดจนทรัพยากรทั้งหลาย (3)  เด็ก  โรงเรียน  และการศึกษา  ย่อมจะเป็นไปตามหลักของสังคมและวัฒนธรรม  โดยไม่มีการผ่อนผัน (4)  ครูจะต้องหาทางให้เด็กมองเห็นความถูกต้อง  และความจำเป็นที่จะต้องสร้างสรรค์สังคมใหม่ (5)  ในด้านเกี่ยวกับการเรียนการสอน  ตลอดจนการค้นหาความรู้นั้น  อาศัยวิธีการของปรัชญาพิพัฒนาการ
หลักสูตรตามแนวปรัชญานี้ได้แก่  หลักสูตรเพื่อชีวิตและสังคม  และหลักสูตรแกน  แนวการปฏิรูปการศึกษาของคณะกรรมการวางพื้นฐานเพื่อปฏิรูปการศึกษาไทย  ในปี  พ . ศ .  2519  นั้น  ก็แสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องกับหลักการของปรัชญานี้ 5.  ปรัชญาอัตถิภาวนิยม  ปรัชญานี้มีความเชื่อว่า  มนุษย์ต้องมีเสรีภาพที่จะเลือกในแนวทางที่ตนปรารถนา  แต่ก็มีกติกาการเลือกอยู่ว่าต้องเลือกในสิ่งที่ดีสำหรับตนเอง  และดีสำหรับคนอื่นด้วยและเมื่อเลือกแล้วจะต้องมีความรับผิดชอบต่อผลที่ตามมา บรรจง  จันทรสา  (2522  :  252 )  สรุปแนวคิดของปรัชญาอัตถิภาวนิยมไว้ดังนี้ (1)  การดำเนินชีวิตของมนุษย์แต่ละคนมีแบบอย่างของตนที่มนุษย์จะสร้างขึ้นมา  และมนุษย์สามารถเลือกการกระทำของตนเอง  กำหนดแนวทางของชีวิต  และโชคชะตาของตนเอง (2)  โรงเรียนมีหน้าที่สร้างนักเรียนให้เป็นตัวของตัวเอง  มีอิสระในการเลือก
[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object]
[object Object],[object Object]
พื้นฐานด้านเศรษฐกิจ สุระ  สนิทธานนท์  (2519  :  216 )  กล่าวว่า  “คน”  เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในทุกระบบเศรษฐกิจ  ระบบเศรษฐกิจจะเจริญก้าวหน้าได้เพียงไหน  ขึ้นอยู่กับคุณภาพของคนที่มีส่วนร่วมในระบบเศรษฐกิจนั้น  ๆ  คุณภาพที่กล่าวนี้ได้แก่สติปัญญาของคนในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ความสามารถในการผลิตและประกอบอาชีพ  ความขยันหมั่นเพียร  ความรู้จักประหยัดอดออม  ความซื่อสัตย์  ตลอดจนความรู้สึกผิดชอบต่อกิจการงานต่อสังคม  ฯลฯ เมื่อคนสัมพันธ์กับระบบเศรษฐกิจและการศึกษาคือการพัฒนาคน  ดังนั้นการจัดการศึกษาจึงต้องพัฒนาคนให้เหมาะสมและทำความก้าวหน้าให้ระบบเศรษฐกิจนั้นด้วย  การศึกษาจึงควรสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ  สำหรับประเทศไทยนั้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาประเทศไทยมุ่งเน้นการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรม  มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม  กลายเป็นรายได้หลักของประเทศ  ส่งผลให้อัตราการเติบโตของประเทศ  และรายได้ต่อหัวของประชากรเพิ่มขึ้น  ทำให้เศรษฐกิจเจริญอย่างรวดเร็ว  สภาพความเจริญดังกล่าวเป็น
ความเจริญที่ไม่ยั่งยืนเนื่องจากความมั่นคงและมั่งคั่งมิได้เกิดมาจากคุณภาพของคนในสังคมไทยหรือการพัฒนาเทคโนโลยีที่พึ่งตนเองได้  เมื่อสถานการณ์ของโลกและเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงจึงทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินรุนแรงและต่อเนื่องสภาพการณ์ต่าง  ๆ  เหล่านี้  นำมาซึ่งปัญหามากมาย ในปัจจุบัน ไพฑูรย์  สินลารัตน์  (2532  :  159 )  กล่าวว่า  สภาพเศรษฐกิจเป็นพื้นฐานในการจัดทำและพัฒนาหลักสูตร  ดังนี้ 1.  หลักสูตรควรส่งเสริม  ความรู้ความเข้าใจ  เกี่ยวกับสภาพปัญหาเศรษฐกิจในสังคมของตน  ตลอดจนแนวดำเนินการแก้ปัญหาที่จะส่งเสริมความเจริญทางเศรษฐกิจโดยกำหนดเป็นเนื้อหาในรายวิชาต่าง  ๆ  มากน้อยลึกซึ้งตามความเหมาะสมของระดับการศึกษา
3.  หลักสูตรควรเตรียมกำลังคนให้เหมาะสมกับการทำงานอาชีพสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน  เช่น  การพัฒนาเศรษฐกิจไปสู่ประเทศอุตสาหกรรมใหม่นั้น  ต้องการกำลังคนที่มีความรู้ความสามารถในทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม  แม้แต่ภาพเกษตรกรรมเนื่องจากคนมากขึ้น  พื้นที่คงเดิมย่อมต้องใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยเพิ่มผลผลิต  ขณะเดียวกันการเปลี่ยนเป็นประเทศอุตสาหกรรมย่อมต้องการกำลังคนภาคบริการสูงขึ้น  หลักสูตรจึงต้องเตรียมกำลังคนให้เหมาะสมกับความต้องการในสังคมเศรษฐกิจอย่างเพียงพอ 2.  หลักสูตรควรส่งเสริมคุณสมบัติของคนในชาติ  ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ  เช่น  ความขยันหมั่นเพียร  ความซื่อสัตย์  ประหยัด  อดทน  ความมุ่งมั่นทำการงานได้สำเร็จ  การรู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น  มีทักษะในการจัดการ  การทำงานของกลุ่ม  มีความรู้และทักษะในการใช้และการออมทรัพย์  มีความสามารถในการยังชีพให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม  เป็นต้น
พื้นฐานด้านสังคมและวัฒนธรรม ไพบูลย์  ช่างเรียน  (2518  :  66 )  กล่าวว่า  สังคมหมายถึง  กลุ่มคนที่ใหญ่ที่สุดที่มีสภาพหนักไปทางอยู่ร่วมกันอย่างถาวร  ซึ่งมักจะมีความสนใจร่วมกัน  หรือคล้าย  ๆ  กัน  อยู่ภายใต้พื้นที่เดียวกัน  มีวิถีชีวิตร่วมกันและมีความรู้สึกว่าเป็นกลุ่มเดียวกันผิดแผนจากกลุ่มอื่น  ฉวีวรรณ  วรรณประเสริฐ  (2522  :  5)  กล่าวว่า  องค์ประกอบของสังคม  มี  4  ประการ  ดังนี้ 1.  กลุ่มคน 2.  อาณาเขต 3.  การพบปะทางสังคม 4.  การใช้วัฒนธรรมและสถาบันต่าง  ๆ  ทางสังคมร่วมกัน
พระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ  พุทธศักราช  2485  ได้กล่าวว่า  วัฒนธรรม  หมายถึง  ลักษณะที่แสดงความเจริญงอกงาม  ความเป็นระเบียบ  ความกลมเกลียวก้าวหน้าของชาติ  และศีลธรรมอันดีงามของประชาชน สุพัตรา  สุภาพ  (2536  :  99 )  กล่าวว่า  วัฒนธรรมมีความหมายครอบคลุมถึงทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นแบบแผนในความคิด  และการกระทำที่แสดงออกถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ในสังคมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง  หรือสังคมใดสังคมหนึ่ง  มนุษย์ได้คิดสร้างระเบียบกฎเกณฑ์วิธีการในทางปฏิบัติ  การจัดระเบียบตลอดจนระบบความเชื่อ  ความนิยม  ความรู้และเทคโนโลยีต่าง  ๆ  ในการควบคุมและใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ เมื่อทุกคนต้องอยู่ในสังคม  ต้องมีการพบปะกันทางสังคมมีการใช้วัฒนธรรมและสถาบันสังคมร่วมกัน  ทุกคนในสังคมย่อมต้องเรียนรู้วัฒนธรรมของสังคม  เพื่อจะได้อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสงบสุข  การจัดการศึกษาจึงเป็นสิ่งจำเป็นในสังคม  และหลักสูตรจะต้องสนองความต้องการลักษณะวัฒนธรรมทางสังคม  สภาพของสังคมและวัฒนธรรมจึงมีบทบาทกำหนดหลักสูตร
บุญมี  เณรยอด  (2536  :  32 – 34 )  ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ของหลักสูตรกับสังคม  จริยธรรม  และวัฒนธรรมไว้ดังนี้ 1.  หลักสูตรต้องสนองความต้องการของสังคม 2.  หลักสูตรต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงในสังคม 3.  หลักสูตรจะต้องเน้นในเรื่องความรักชาติของประชาชน 4.  หลักสูตรจะต้องแก้ปัญหาให้กับสังคมไม่ใช่สร้างปัญหาให้กับสังคม 5.  หลักสูตรจะต้องปรุงแต่งสังคม 6.  หลักสูตรจะต้องสร้างความสำนึกในเรื่องของความเปลี่ยนแปลงทางสังคม 7.  หลักสูตรจะต้องชี้นำในการเปลี่ยนแปลงประเพณีและค่านิยม 8.  หลักสูตรจะต้องถ่ายทอดวัฒนธรรมและจริยธรรม 9.  หลักสูตรจะต้องปลูกฝังในเรื่องความซื่อสัตย์และยุติธรรมในสังคม 10.  หลักสูตรจะต้องให้ความสำคัญในเรื่องผลประโยชน์ในสังคม
สำหรับลักษณะสังคมและวัฒนธรรมที่อาจนำมาใช้ในการจัดทำ  และพัฒนาหลักสูตรนั้น  วิชัย  วงษ์ใหญ่  (2521  :  59  -  61 )  ได้แบ่งเป็น  3  ลักษณะ  ดังนี้  1.  ลักษณะสากล  ( Universal )  คือ  สิ่งที่คนส่วนใหญ่ยึดถือ  หรือประพฤติปฏิบัติเหมือนกันเป็นลักษณะทั่ว  ๆ  ไปในสังคมนั้น  เช่น  ความเชื่อ  ภาษา  ศาสนา  ขนบธรรมเนียมประเพณี  จากแนวคิดนี้  การพัฒนาหลักสูตรจะต้องคำนึงถึงเอกภาพทางสังคม  เช่น  ภาษาไทย  เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกคนในชาติ  ที่จะทำให้ติดต่อสื่อสารกันได้เพื่อความเข้าใจอันดีของทุกคนฉะนั้นภาษาไทยจึงเป็นสิ่งที่ทุก  ๆ  คนจะต้องเรียนรู้  และฝึกปฏิบัติ  เป็นต้น  2.  ลักษณะเฉพาะพิเศษ  ( Specialties )  คือ  สิ่งที่คนในสังคมเชื่อถือและกระทำกันเป็นพิเศษ  เช่น  การประกอบอาชีพ  ความรู้พิเศษของแต่ละกลุ่ม  แต่ละอาชีพ  การพัฒนาหลักสูตรและการสอนตามแนวคิดประการที่สองนี้  จะต้องพิจารณาถึงความแตกต่างของแต่ละท้องถิ่นแต่ละชุมชนว่ามีความเชื่อถือ  ความต้องการที่แตกต่างกันไป  การจัดเนื้อหาสาระการเรียนการสอนควรจะแตกต่างกันไป  เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนและท้องถิ่น  เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาหลักสูตรให้มากขึ้น  และส่งเสริมความเจริญในอาชีพเศรษฐกิจและแต่ละสังคม  ให้พัฒนาไปสู่สังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงและสนองความต้องการของชุมชนนั้น
3.  ลักษณะเลือกสรร  ( Alternative )  ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่กำลังเปลี่ยนแปลงการพัฒนาหลักสูตรและการสอน  จะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีทางเลือกในการเรียนของเขา  เพราะการมีโอกาสในการเลือกเกี่ยวกับการเรียนรู้  จะมีส่วนส่งเสริมพัฒนาความมีอิสรเสรีและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์  ทุกคนไม่จำเป็นต้องเรียนรู้สิ่งที่เหมือน  ๆ  กัน  ในเวลาเดียวกันเป็นการให้โอกาสผู้เรียน  มีเสรีภาพในการเลือกเรียนได้อย่างอิสระตามความถนัด  ความต้องการ  และความสนใจของแต่ละบุคคล  เพื่อเป็นความเป็นตัวของตัวเองได้ในบางโอกาส
พื้นฐานด้านการเมืองการปกครอง บรรพต  วีระสัย  และคณะ  (2525  :  8 )  กล่าวว่า  การเมือง  เป็นเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์ในเรื่องการบังคับบัญชา  และถูกบังคับบัญชาการควบคุม  และถูกควบคุม  การเป็นผู้ปกครองและถูกปกครอง  และพฤติกรรม  หรือกิจกรรมที่มีผลกระทบกระเทือนต่อคนส่วนใหญ่  ในสังคมก็เป็นการเมือง  ดังนั้นการเมืองจึงเป็นเรื่องของทุกคนในสังคมที่จะต้องเกี่ยวข้องด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น  ทุกคนจึงจำเป็นต้องเรียนรู้เข้าใจและปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องตามลักษณะของระบบการเมืองการปกครองในสังคมของตน ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย  อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข  การปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้นต้องเป็นการปกครองที่รัฐบาลเป็นของประชาชน  โดยประชาชนและเพื่อประชาชน  จะเห็นได้ว่าประชาชนเป็นหัวใจสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย  เพราะอุดมการณ์ของประชาธิปไตย  คือ  ประชาชนเป็นผู้ปกครองของตนเอง  การที่จะทำให้ประชาชนเป็นผู้ปกครองตนเองได้นั้น  จำเป็นต้องการให้การศึกษา  ให้ประชาชนมีความสามารถและคุณสมบัติที่จะปกครองตนเองได้
สมพงษ์  เกษมสิน  (2518  :  66 )  กล่าวว่า  การจัดการศึกษาจะต้องทำให้ประชาชนเชื่อมั่น  ดังนี้ 1.  ประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของประเทศ  2.  ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบในการดำรงอยู่และความเจริญของชาติ 3.  ประชาชนมีสิทธิและสามารถใช้สิทธิต่าง  ๆ  โดยสุจริตอย่างเต็มที่ 4.  ประชาชนทุกคนมีหน้าที่สำคัญ  จะต้องทำให้ตนเองมีความรู้ความสามารถ  เพื่อที่จะดำรงชีวิตได้  โดยไม่เป็นภาระแก่สังคม  และสามารถรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของสังคมไว้ 5.  แต่ละคนมีคุณค่า  และความสำคัญเท่าเทียมกัน 6.  รัฐบาลโดยประชาชนจะเกิดขึ้นได้  ก็ได้ที่แต่ละคนมีส่วนเลือกตัวแทนเข้าไปเป็นรัฐบาล  แสดงความคิดเห็น  รู้จักเสนอแนะสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ  ไม่นิ่งดูดาย  เมื่อเห็นว่าสิ่งใดทำให้ชุมชน  สังคม  และชาติต้องเสียประโยชน์  จะต้องรีบหาทางปัดเป่ารวมทั้งไปละเว้นการใช้สิทธิโดยชอบของตน
7.  ทรัพยากรทั้งปวงในประเทศเป็นสมบัติของประชาชน  และจะต้องใช้ทรัพยากรเหล่านั้นไปในแนวทางที่เป็นคุณค่าแก่ประชาชนเป็นส่วนรวม 8.  กลไกของรัฐมีไว้เพื่อคุ้มครอง  รักษาสิทธิอันชอบธรรมของประชาชน  และเพื่อให้บริการอันจำเป็นในการดำรงชีวิตของประชาชนด้วย บันเทิง  ศรีจันทราพันธุ์  (2519  :  245 )  กล่าวว่า  การศึกษาจึงมีบทบาทในการสร้างสรรค์คนให้เป็นนักประชาธิปไตย  หลักสูตรการศึกษาต้องให้ความรู้ความเข้าใจ  ในเรื่องการเมืองและการปกครองประเทศ  ผู้เกี่ยวข้องในการจัดทำและพัฒนาหลักสูตร  นักการศึกษา  ครูอาจารย์  ควรจะได้พิจารณาหลักสูตรในเรื่องต่อไปนี้ 1.  หลักสูตรเกี่ยวกับการปกครอง  การเมืองของประเทศ  ไม่ควรจะพิสดารเกินไปหรือไกลเกินตัวเด็กแต่ละระดับการศึกษา 2.  หลักสูตรควรปลูกฝังให้เด็กปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดี  และตระหนักว่าตนเองเป็นหน่วยหนึ่งของสังคม  ควรที่จะทำประโยชน์ให้แก่สังคม
3.  หลักสูตรควรเน้นหลักไปในทางให้ได้ผลทางปฏิบัติ  เช่น  การจัดรูปรัฐบาลนักเรียนขึ้นในโรงเรียน  มิใช่ผลแต่ทางทฤษฎีและการท่องจำ 4.  หลักสูตรการปกครอง  ควรช่วยกระตุ้นให้เกิดความรับผิดชอบ  ต่อการปกครองในอนาคต 5.  หลักสูตรควรช่วยให้เด็กได้เข้าใจแก่นแท้  ของการปกครองระบอบประชาธิปไตย  “การปกครองโดยยึดถือเสียงส่วนใหญ่  แต่ต้องคำนึงถึงสิทธิของเสียงส่วนน้อย”  ด้วยเสียงส่วนใหญ่ที่ยึดถือนั้น  ควรเป็นเสียงที่เกิดจากการใช้ปัญญาอย่างมีเหตุผล  ซึ่งเป็นประโยชน์แก่สังคมทั้งประเทศมิใช่เพื่อประโยชน์เฉพาะตน  หรือสังคมส่วนน้อยที่ตนเองจะมีส่วนได้รับผลประโยชน์เสียงส่วนใหญ่ที่ถูกยอมรับนั้นจะต้องคำนึงถึงสิทธิของเสียงส่วนน้อยจึงจะนับว่า  เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง สรุปได้ว่า ระบอบการเมืองและการปกครองของประเทศ  จะต้องนำไปกำหนดไว้ในหลักสูตรในรูปของจุดมุ่งหมาย  เนื้อหา  ประสบการณ์  และกระบวนการเรียนการสอน  เพื่อให้ผู้เรียนได้มีคุณลักษณะพลเมืองดี  เหมาะสมกับสังคมของตน
พื้นฐานด้านจิตวิทยา จิตวิทยา  หมายถึง  วิทยาศาสตร์สาขาหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ในการสร้างหลักสูตรขึ้นนั้นก็เพื่อใช้ในการให้การศึกษาแก่คน  ผู้สร้างหลักสูตรจึงควรให้ความสนใจพฤติกรรมโดยธรรมชาติของคนหรือผู้เรียนที่จะศึกษาตามหลักสูตรนั้น  การสร้างหลักสูตรที่สอดคล้องกับหลักจิตวิทยา  จะช่วยให้หลักสูตรนั้นเหมาะสมสอดคล้องกับธรรมชาติผู้เรียน  สำหรับบทบาทของจิตวิทยาที่มีต่อหลักสูตรอาจแบ่งได้  3  ด้าน  คือ 1.  บทบาทของจิตวิทยาต่อจุดมุ่งหมายของหลักสูตร  เมื่อจุดมุ่งหมายของหลักสูตรเป็นสิ่งกำหนดคุณลักษณะของผลผลิตหรือผู้จบหลักสูตร  การกำหนดคุณลักษณะนั้นย่อมจะต้องคำนึงถึงความพร้อมพัฒนาการของวัยผู้เรียนด้วย  เพื่อให้จุดมุ่งหมายของหลักสูตรสอดคล้องกับวัยผู้เรียนไม่เป็นการฝืนธรรมชาติ
[object Object],[object Object]
[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object]
[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object]
[object Object],[object Object]
[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object]
[object Object],[object Object],[object Object]
1.  วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ทำให้มีการพัฒนาการด้านโภชนาการ  คือ  มนุษย์มีความรู้  ความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย  รู้จักการเลือกซื้อ  จัดหา  เพื่อการบริโภคที่ถูกต้อง  ทำให้มนุษย์มีพัฒนาการทางด้านร่างกาย  และสติปัญญาเจริญขึ้นเป็นลำดับ  หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่มีประโยชน์  เช่น  อาหารสุก  ๆ  ดิบ  ๆ  อาหารที่เป็นพิษ  อาหารที่ใส่สารเคมีโดยไม่จำเป็นเหล่านี้เป็นต้น 2.  วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ทำให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ดีขึ้น  สมัยโบราณมนุษย์อาศัยอยู่ในถ้ำ  ใต้ต้นไม้  หรือสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นมาอย่างง่าย  ๆ  จากวัสดุที่หาได้  เช่น  ดอกไม้  ใบตอง  ต่อมาได้พัฒนาการก่อสร้างให้มีความคงทนแข็งแรงขึ้นจนมีความสะดวกสบาย  ปลอดภัย  และถูกต้องตามหลักสุขอนามัย 3.  วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ทำให้มีการพัฒนาด้านการแพทย์และสาธารณสุข  มนุษย์สมัยก่อนเมื่อเกิดโรคระบาด  เช่น  อหิวาตกโรค  ฝีดาษ  ทำให้มนุษย์ล้มตายเป็นจำนวนมาก  แต่ในปัจจุบันมนุษย์มีการพัฒนาด้านการแพทย์และสาธารณสุข  ทำให้สามารถควบคุมและสามารถรักษาโรคติดต่อเหล่านี้ได้  จนโรคบางโรคหายไปจากโลกนี้ได้  การวินิจฉัยด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย  เช่น  อุลตราซาวน์
[object Object],[object Object]
[object Object],[object Object],[object Object]
8.  วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์เกิดเจตคติทางวิทยาศาสตร์  คือ  ทำให้มนุษย์เป็นคนมีเหตุผล  มีความอยากรู้อยากเห็น  มีความใจกว้าง  มีความเพียรพยายาม  มีความซื่อสัตย์สุจริต 9.  วิทยาศาสตร์ช่วยให้เข้าใจปัญหาสิ่งแวดล้อม  ซึ่งจะทำให้มนุษย์รู้จักกระบวนการที่จะทำให้โลกเกิดความสมดุลตามธรรมชาติ  และทำให้มนุษย์ตระหนักที่จะไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมเหล่านี้  เป็นต้น เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีประโยชน์ต่อมนุษย์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต  การจัดทำ  และพัฒนาหลักสูตรซึ่งต้องนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาบรรจุไว้ในหลักสูตร  อย่างน้อย  2  ลักษณะ  ดังนี้ 1.  นำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสมกับผู้เรียนและสังคมมากำหนดในเนื้อหาของหลักสูตร 2.  นำกระบวนการหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการจัดการเรียนรู้หรือกิจกรรมการเรียนการสอน  เพื่อสร้างนิสัยในการแก้ปัญหาและการสร้างเจตคติทางวิทยาศาสตร์
[object Object],รูปแบบการพัฒนาหลักสูตร  จะแสดงแนวคิดเพื่อเป็นแนวทางการดำเนินการพัฒนาหลักสูตรอย่างเป็นระบบ  รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรที่เหมาะสมย่อมจะส่งผลถึงคุณภาพของหลักสูตรอย่างเป็นระบบ  ดังนั้นจึงควรศึกษาทำความเข้าใจรูปแบบการพัฒนาหลักสูตร  ที่นักพัฒนาหลักสูตรได้เสนอแนวทางไว้  เพื่อเปรียบเทียบ  ปรับปรุง  กำหนดรูปแบบที่เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงของชีวิตและสังคมของเรา 1.  รูปแบบของไทเลอร์ ไทเลอร์  ( Tyler.  1971  :   1 – 2)  กล่าวว่า  ในการพัฒนาหลักสูตรนั้นควรจะตอบคำถามพื้นฐานได้  4  ประการ  คือ (1)  มีจุดมุ่งหมายทางการศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนตั้งใจจะก่อให้เกิดแก่ผู้เรียน (2)  มีประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัดขึ้นเพื่อช่วยให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
(3)  จะจัดประสบการณ์ทางการศึกษาอย่างไรจึงจะมีประสิทธิภาพ (4)  ประเมินผลประสบการณ์อย่างไรจึงจะตัดสินใจได้ว่าบรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ หากพิจารณาคำถามดังกล่าวมา  จะเห็นว่าเป็นคำถามที่แสดงองค์ประกอบของหลักสูตรและยังแสดงลำดับขั้นกระบวนการพัฒนาหลักสูตรด้วย  เพราะไทเลอร์เห็นว่าจะต้องตอบคำถามเรียงลำดับไปจากข้อแรกซึ่งเป็นข้อที่สำคัญและเป็นหลักในการตอบคำถามข้อต่อ  ๆ  มา  รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์อาจจัดเป็นขั้นตอนได้ดังนี้ 1.1  กำหนดจุดมุ่งหมาชั่วคราว  รูปแบบของการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์นั้น  “ส่วนที่ได้รับความสนใจมากที่สุดจากนักการศึกษา  ได้แก่  ส่วนแรกของรูปแบบที่กล่าวถึงการเลือกสรรจุดมุ่งหมาย”  ( ธวัชชัย  ชัยจิรฉายากุล  2527  :  150 )  โดยครั้งแรกจะเป็นการกำหนดจุดหมายชั่วคราวขึ้นก่อน  จุดหมายชั่วคราวของหลักสูตรนั้นจะกำหนดขึ้นโดยอาศัยข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียน  สังคม  และเนื้อหาวิชาเป็นพื้นฐาน
1.2  กำหนดจุดมุ่งหมายที่แน่นอน  จุดมุ่งหมายที่แน่นอนเกิดจากการนำเอาจุดมุ่งหมายชั่วคราวไปตรวจสอบ  กลั่นกรองด้วยทฤษฎีการเรียนรู้  ปรัชญาการศึกษา  และปรัชญาสังคม  แล้วปรับปรุงให้เหมาะสมสอดคล้องกัน 1.3  เลือกประสบการณ์การเรียนรู้ 1.4  กำหนดประสบการณ์การเรียนรู้ 1.5  กำหนดการประเมินผล รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์  มีกระบวนการดังแผนภูมิที่  9
[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object]
[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object]
[object Object],[object Object],[object Object]
[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object]
3.  รูปแบบของสงัด  อุทรานันท์ สงัด  อุทรานันท์  (2527  :  38 )  ได้เสนอว่ากระบวนการพัฒนาหลักสูตร  ควรมี  7  ขั้น  ดังนี้  3.1  วิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานเพื่อการพัฒนาหลักสูตร 3.2  กำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร 3.3  คัดเลือกและจัดเนื้อหาสาระและประสบการณ์การเรียนรู้ 3.4  กำหนดมาตรการวัดและประเมินผล 3.5  นำหลักสูตรไปใช้ 3.6  ประเมินผลหลักสูตร 3.7  ปรับปรุงแก้ไขหลักสูตร
สำหรับการแก้ไขปรับปรุงหลักสูตรนั้น  จะต้องปรับปรุงที่ขั้นตอนใดของกระบวนการพัฒนาหลักสูตรก็ได้  แต่เมื่อเริ่มปรับปรุงที่ขั้นตอนใดแล้ว  จะต้องพิจารณาปรับปรุงขั้นตอนอื่นที่มีผลกระทบกันทั้งหมดด้วย กระบวนการพัฒนาหลักสูตรตามรูปแบบของ  สงัด  อุทรานันท์  จะมีความต่อเนื่องสัมพันธ์กันอย่างเป็นวัฏจักร  ดังแผนภูมิที่  11
แผนภูมิที่  11  วัฎจักรของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร วิเคราะห์  ข้อมูลพื้นฐาน ปรับปรุง  แก้ไข กำหนดมาตรการ  วัดและประเมินผล กำหนด  จุดมุ่งหมาย ประเมินผล  การใช้หลักสูตร  นำหลักสูตร  ไปใช้ คัดเลือกและ  จัดเนื้อหาสาระ ที่มา  :  สงัด  อุทรานันท์  (2527  :  39 )
4.  รูปแบบของเซเลอร์  อเล็กซานเดอร์  และลีวิส เซเลอร์  อเล็กซานเดอร์  และลีวิส  กล่าวว่าระบบหลักสูตรมีองค์ประกอบดังแผนภูมิที่  12
แผนภูมิที่  12  องค์ประกอบของระบบหลักสูตรของเซเลอร์  อเล็กซานเดอร์  และลีวิส แรงผลักดันภายนอก  -  ข้อบัญญัติกฎหมาย  -  งานวิจัย  -  ความรู้เฉพาะสาขา วิชาชีพ  ผู้รับ  การศึกษา  จุดมุ่งหมาย  และวัตถุประสงค์  การออกแบบหลักสูตรการนำหลักสูตรไปใช้กระบวนการประเมินผล  ความก้าวหน้า  ผู้ได้รับ  การศึกษา พื้นฐานของหลักสูตร  -  สังคม  -  ผู้เรียน  -  ความรู้วิชาการ  ที่มา  :  เซเลอร์  อเล็กซานเดอร์  และลีวิส  (1981  :  29 )
จากแผนภูมิที่  12  กระบวนการของหลักสูตรก็คือกระบวนการพัฒนาหลักสูตร  จึงสรุปได้ว่า  กระบวนการพัฒนาหลักสูตรของเซเลอร์  อเล็กซานเดอร์  และลีวิส  มีดังนี้ 4.1  กำหนดจุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์หลักสูตร 4.2  ออกแบบหลักสูตร 4.3  นำหลักสูตรไปใช้ 4.4  การประเมินผล ในกระบวนการพัฒนาหลักสูตรนั้น  เซเลอร์  อเล็กซานเดอร์  และลีวิส  เห็นว่าสิ่งที่มีอิทธิพลในกระบวนการพัฒนาหลักสูตรมี  2  ประการ  คือ  พื้นฐานของหลักสูตร  ได้แก่  สังคมผู้เรียน  และความรู้ทางวิชาการ  และอีกประการคือแรงผลักดันภายนอก  ได้แก่  ข้อบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง  งานวิจัย  และความรู้เฉพาะสาขา�
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2
%Ba%b7%b7%d5%e8 2

Más contenido relacionado

Similar a %Ba%b7%b7%d5%e8 2

บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1benty2443
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1nattawad147
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1nattawad147
 
1 170819173012
1 1708191730121 170819173012
1 170819173012gam030
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1wanneemayss
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1nattawad147
 
การบริหารแหล่งการเรียนรู้และสภาพแวดล้อม
การบริหารแหล่งการเรียนรู้และสภาพแวดล้อม การบริหารแหล่งการเรียนรู้และสภาพแวดล้อม
การบริหารแหล่งการเรียนรู้และสภาพแวดล้อม Sireetorn Buanak
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1kanwan0429
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1kanwan0429
 
ทฤษฎีการเรียนรู้
ทฤษฎีการเรียนรู้ทฤษฎีการเรียนรู้
ทฤษฎีการเรียนรู้BLue Artittaya
 
วิถีสู่การพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน
วิถีสู่การพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืนวิถีสู่การพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน
วิถีสู่การพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืนJiraprapa Suwannajak
 

Similar a %Ba%b7%b7%d5%e8 2 (20)

บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
1 170819173012
1 1708191730121 170819173012
1 170819173012
 
1 170819173012
1 1708191730121 170819173012
1 170819173012
 
1 170819173012
1 1708191730121 170819173012
1 170819173012
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
1 170819173012
1 1708191730121 170819173012
1 170819173012
 
1 170819173012
1 1708191730121 170819173012
1 170819173012
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
1 170819173012
1 1708191730121 170819173012
1 170819173012
 
หน้าที่พลเมือง
หน้าที่พลเมืองหน้าที่พลเมือง
หน้าที่พลเมือง
 
การบริหารแหล่งการเรียนรู้และสภาพแวดล้อม
การบริหารแหล่งการเรียนรู้และสภาพแวดล้อม การบริหารแหล่งการเรียนรู้และสภาพแวดล้อม
การบริหารแหล่งการเรียนรู้และสภาพแวดล้อม
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
ทฤษฎีการเรียนรู้
ทฤษฎีการเรียนรู้ทฤษฎีการเรียนรู้
ทฤษฎีการเรียนรู้
 
วิถีสู่การพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน
วิถีสู่การพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืนวิถีสู่การพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน
วิถีสู่การพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน
 
ครูมือใหม่
ครูมือใหม่ครูมือใหม่
ครูมือใหม่
 

%Ba%b7%b7%d5%e8 2

  • 1. หน่วยที่ 2 การพัฒนาหลักสูตร อนิจจัง ครั้งหนึ่งมีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่เนินเขาชายป่าอันอุดมสมบูรณ์ด้วยสิงส์สาราสัตว์ต่าง ๆ อันควรแก่การจับมาเป็นอาหารและเลี้ยงไว้ดูเล่น ชาวบ้านแห่งนั้นก็สั่งสอนลูกหลานของตนให้รู้จักดักบ่าง จับชะนี ตีผึ้ง คล้องช้าง นั่งห้าง และไล่ราว เพื่อจับสัตว์มาเป็นอาหาร อยู่มาวันหนึ่ง เกิดอาเพศเหตุร้าย ฟ้าถล่ม แผ่นดินทลาย ฝนตกเจ็ดวันเจ็ดคืน ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ครั้งฝนหยุดตก ท้องฟ้าแจ่มใส ชาวบ้านก็พากัน แปลกใจว่าป่าไม้อันเขียวชอุ่มนั้นหายไป กลับมีแผ่นน้ำอันกว้างใหญ่มาแทนที่ เป็นทะเลอันเต็มไปด้วย ปู ปลา หอย กุ้ง กั้ง และสัตว์น้ำนานาพันธุ์ ในเวลาต่อมาชาวบ้านเหล่านั้นก็สั่งสอนลูกหลานของพวกเขาให้รู้จักทอดแห ดักลอบ ตกเบ็ด ลากอวน และจับสัตว์น้ำ ด้วยวิธีการ ต่าง ๆ และก็ได้อาหารมาบริโภคเป็นที่สุขกายสุขใจสืบมา เนื้อหา 2.1 เรื่อง ความจำเป็นในการพัฒนาหลักสูตร
  • 2. จนกระทั่งกาลเวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง ฝูงสัตว์น้ำทั้งหลาย มีจำนวนลดลง และรู้จักหลบซ่อนตัวไม่ให้จับง่าย ๆ ชาวบ้านก็ไม่ย่อท้อ พากันคิดค้นหาวิธีการและ เครื่องมือใหม่ ๆ มาใช้จับสัตว์น้ำ รวมทั้งฝึกลูกหลานให้ตื่นแต่เช้า ขยันขันแข็ง หากิน ทั้งกลางวันและกลางคืน ออกทะเลลึกมากขึ้น เขาจึงจะได้อาหารพอบริโภค ผู้เฒ่าผู้แก่ผ่านโลกมานาน เห็นการเปลี่ยนแปลงมาหลายยุคหลายสมัยก็ได้ รำพึงว่า “เออหนอ โลกนี้ช่างเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเก่า ลูกหลานเราแต่ละรุ่นต้องเรียน วิชาต่าง ๆ ตามยุคตามสมัย ช่างไม่มีอะไรเที่ยงแท้จีรัง วิชาที่เคยเรียน คิดว่าดีแล้ว มายุคนี้ก็ต้องยกเลิก คอยดูเถอะ ไม่กี่ปีข้างหน้าก็ต้องเปลี่ยนไปอีก” ท่านได้ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ว่าอย่างไร จงอธิบายและสรุป
  • 3. หลักสูตรที่กำหนดขึ้นใช้นั้น แม้ว่าได้พยายามสร้างขึ้นให้สอดคล้อง กับปรัชญาการศึกษา สภาพสังคมและวัฒนธรรม ระบบเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง และหลักการทางจิตวิทยาแล้วก็ตาม แต่เมื่อได้นำหลักสูตรไปใช้ ในโรงเรียนระยะหนึ่ง หรือเมื่อเวลาผ่านไปสภาพสังคมและแนวคิดทางการศึกษา ตลอดจนวิทยาการ เทคโนโลยีก้าวหน้าเปลี่ยนไป ความเหมาะสมของหลักสูตร จึงควรได้รับการทบทวนพิจารณาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เนื้อหา 2.2 เรื่อง ความหมายของการพัฒนาหลักสูตร
  • 4. เซเลอร์และอเล็กซานเดอร์ ( Saylor and Alexander. 1974 : 7 ) กล่าวว่า การพัฒนาหลักสูตรหมายถึงการทำหลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้ ดีขึ้น หรือการจัดทำหลักสูตรขึ้นมาใหม่โดยไม่มีหลักสูตรเดิมเป็นพื้นฐานเลย ความหมายของการพัฒนาหลักสูตรจะรวมไปถึงการผลิตเอกสารต่าง ๆ สำหรับผู้เรียนด้วย นอกจากคำว่าการพัฒนาหลักสูตร ( Curriculum Development ) แล้ว ยังมีคำอื่นที่มีความหมายใกล้เคียงกัน หรือทำนองเดียวกัน หรือแตกต่างกันเพียงรายละเอียดที่ต้องการเน้น เช่น การปรับปรุงหลักสูตร ( Curriculum Improvement ) การสร้างหลักสูตร ( Curriculum Construction ) การวางแผนหลักสูตร ( Curriculum Planning ) การออกแบบหลักสูตร ( Curriculum Design ) และการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร ( Curriculum Change ) เป็นต้น ความหมายของการพัฒนาหลักสูตร
  • 5. ดังนั้นการพัฒนาหลักสูตรจึงมีความหมาย 2 แนว ดังนี้ 1. การปรับปรุงหลักสูตร หมายถึงการปรับปรุงแก้ไข ทีละเล็กละน้อยเรื่อยไป เป็นการปรับปรุงในส่วนปลีกย่อย แต่โครงสร้าง ส่วนใหญ่ยังคงเดิม 2. การเปลี่ยนแปลงหลักสูตร หมายถึง การเปลี่ยนแปลง ขนาดใหญ่มุ่งให้เกิดสิ่งใหม่ในหลักสูตรทั้งหมด หรือเป็นการสร้าง หลักสูตรใหม่
  • 6. หลักสูตรจัดทำหรือพัฒนาขึ้นเพื่อให้การศึกษาแก่บุคคลในสังคม การจัดทำหรือพัฒนาหลักสูตรจึงต้องเหมาะสมกับสังคม สังคมแต่ละสังคม นั้นมีสภาพเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง การปกครองตลอดจน ความเชื่อในการจัดการศึกษาแตกต่างกัน การจัดทำหรือพัฒนาหลักสูตรจึงต้อง คำนึงถึงพื้นฐาน สภาพและความเชื่อเหล่านั้น เนื้อหา 2.3 เรื่อง พื้นฐานในการจัดทำและการพัฒนาหลักสูตร
  • 7. ปรัชญามาจากภาษาอังกฤษว่า Philosophy มีความหมายว่า “ความรักในความรู้” วิจิตร ศรีสะอ้าน กล่าวว่า ความรักในความรู้ทำให้บุคคลแสวงหา ผลของการแสวงหาทำให้เกิดความจริงที่เรียกว่า สัจธรรม และผลของการแสวงหานี้สามารถให้ความหมายของปรัชญาอีกอย่างว่า เป็นความคิดหรือความเชื่อที่เรามีเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เราทำ สุดใจ เหล่าสุนทร ได้ให้ความหมายของปรัชญาไว้ว่าเป็นความคิดหลัก ที่บุคคล หรืออนุชนยึดถือ เป็นหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิต เมื่อพิจารณาคำว่าปรัชญาการศึกษาที่ประกอบด้วยคำว่า ปรัชญากับการศึกษา วิจิตร ศรีสะอ้าน จึงกล่าวว่า ปรัชญาการศึกษา คือ หลักและทฤษฎีทางการศึกษาซึ่งสามารถที่จะมาเป็นหลัก เป็นแนวทางในการจัดการศึกษาระดับต่าง ๆ พื้นฐานด้านปรัชญาการศึกษา
  • 8. สุมิตร คุณากร กล่าวว่า ปรัชญาการศึกษาหรือปณิธานการศึกษา หมายถึง อุดมคติ อุดมการณ์อันสูงสุด ซึ่งยึดเป็นหลักในการจัดการศึกษา ภิญโญ สาธร กล่าวว่า ปรัชญาการศึกษาตามรูปศัพท์ หมายความว่า วิชาว่าด้วย ความรู้อันเกี่ยวกับการศึกษา ความรู้อันเกี่ยวกับการศึกษานั้นย่อมหมายถึง วัตถุประสงค์ของการ ศึกษาเนื้อหาวิชาที่ให้ศึกษาและวิธีการให้การศึกษา บุญเลิศ นาคแก้วและนงเยาว์ สุขาพันธุ์ (2522 : 69 ) กล่าวว่า ปรัชญาการศึกษา ควรมีลักษณะที่เป็นสาระสำคัญ 3 ประการ ดังนี้ (1) เกี่ยวกับหน้าที่และข้อผูกพันของสถานศึกษา หมายถึง การแสดงเจตจำนงของสถาบัน (2) ต้องแสดงให้เห็นถึงลักษณะของความรู้ที่ยึดถือเป็นหลักในการให้การศึกษาแก่ ผู้เรียน ลักษณะของความรู้นั้น หมายถึง เป็นความรู้ประเภทใด เมื่อเรียนแล้วจะนำไปใช้ ประโยชน์อะไรบ้าง (3) ต้องแสดงให้เห็นถึงลักษณะและคุณสมบัติของผู้ที่จบการศึกษาไปแล้วว่า จะเป็น บุคคลที่มีคุณลักษณะมีความรู้ มีความคิด และค่านิยมอย่างไร ดังนั้นอาจสรุปได้ว่า ปรัชญาการศึกษาก็คือ ความเชื่อที่เป็นหลักในการกำหนด แนวทางจัดการศึกษา โดยครอบคลุมทั้งจุดมุ่งหมาย เนื้อหาวิชา กระบวนการเรียนการสอน และ การวัดผล ประเมินผล
  • 9. ปรัชญาการศึกษาที่ควรศึกษาสามารถแบ่งได้ 5 กลุ่ม ดังนี้ 1. ปรัชญาสารัตถนิยม ( Essentialism ) 2. ปรัชญานิรันตรนิยม ( Perennialism ) 3. ปรัชญาพิพัฒนาการ ( Progressivism ) 4. ปรัชญาปฏิรูปนิยม ( Reconstructionism ) 1. ปรัชญาสารัตถนิยม ปรัชญานี้มีความเชื่อว่าในแต่ละวัฒนธรรม มีความรู้ ทักษะความเชื่อ เจตคติ อุดมการณ์ ที่เป็นแกนกลางหรือเป็นหลัก ทุกคนในวัฒนธรรม นั้นจะต้องรู้สิ่งเหล่านี้ และระบบการศึกษาจะมุ่งถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้แก่เยาวชน จากความเชื่อดังกล่าว ระบบการศึกษา ควรเน้นหนักในการศึกษาความรู้ และวัฒนธรรม การถ่ายทอดความรู้เป็นไปอย่างมีระบบมีมาตรฐานของผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนระดับเดียวกันเด็กควรมีอิสระภาพที่จะได้ความรู้และบรรลุถึงมาตรฐานดังกล่าว อย่างทัดเทียมกัน ไม่ใช่อิสรภาพในการเลือกเรียนอะไรก็ได้ตามใจชอบ เมื่อเป็นเช่นนี้ ปรัชญาสารัตถนิยมจึงเน้นความไม่เปลี่ยนแปลงเพราะถือว่า ความรู้ ความจริง และ วัฒนธรรมของสังคมนั้น ได้รับการเลือกสรรแล้วอย่างเหมาะสม ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ลัทธินี้มีความเชื่อในแนวทางที่จะนำไปสู่การอนุรักษ์และถ่ายทอดวัฒนธรรม
  • 10. บรรจง จันทรสา (2522 : 238 – 239 ) กล่าวว่า ลักษณะเด่นของปรัชญา สารัตถนิยม มีลักษณะเด่น 4 ประการ ดังนี้ (1) การเรียนนั้นว่าโดยธรรมชาติของมันแล้ว เป็นงานที่หนักและไม่มุ่งหวังที่จะให้มีการนำไปใช้อย่างทันท่วงที (2) การริเริ่มทางการศึกษานั้น ควรจะอยู่ที่ครูมากกว่านักเรียน (3) หัวใจของกระบวนการทางการศึกษา ก็คือ การนำเอาเนื้อหาวิชาที่เลือกสรรแล้วมาเชื่อมโยงให้ประสานกัน (4) โรงเรียนจะรักษาไว้ซึ่งวิธีการแบบดั้งเดิมที่ใช้ระเบียบวินัย ในการก่อให้ก่อเกิดการเรียนรู้ และฝึกฝนทางสติปัญญา หลักสูตรที่สร้างขึ้นตามแนวปรัชญานี้ ได้แก่ หลักสูตรรายวิชาและหลักสูตร รวมวิชา 2. ปรัชญานิรันตรนิยม ปรัชญานิรันตรนิยมนี้เริ่มโดย อริสโตเติ้ลและบาทหลวงโทมัสอาคีนัสเป็นผู้นำมาดัดแปลง ทั้งสองท่านได้ปูพื้นฐานของปรัชญานี้ไว้อย่างมั่นคง ความคิดและหลักการที่ท่านได้กำหนดไว้ยังคงดำรงอยู่เรื่อยมาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่สมัยยุคกลาง ( Middle age ) คำว่า Perennial ก็แปลว่า “ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา”
  • 11. ปรัชญานี้มีความเชื่อว่า ธรรมชาติ ของมนุษย์นั้นเหมือนกันทุกแห่ง สาระสำคัญในธรรมชาติของมนุษย์คือ ความสามารถในการใช้ความคิด ใช้เหตุผล การจัดการศึกษาจึงเน้นการพัฒนาทางด้านสติปัญญาและการใช้เหตุผล เนื้อหาสาระของสิ่งที่เรียน จึงเกี่ยวข้องกับความคิดและเหตุผล บรรจง จันทรสา (2522 : 241 – 243 ) กล่าวว่า แนวคิดการจัดการศึกษาของปรัชญานิรันตรนิยมสรุปได้ดังนี้ (1) แม้ว่าในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันออกไป แต่ธรรมชาติของมนุษย์ย่อมจะเหมือนกันทุกแห่ง เพราะฉะนั้นการศึกษาจึงควรเป็นแบบอย่างเดียวกันสำหรับชุมชน (2) ความมีเหตุผลเป็นลักษณะสูงสุดของมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์จึงต้องใช้ความมีเหตุผลเป็นเครื่องมือคอยควบคุม สัญชาตญาณตามธรรมชาติอันเป็นอำนาจฝ่ายต่ำของตน เพื่อที่จะได้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายแห่งชีวิตที่ได้เลือกสรรแล้ว
  • 12. (3) หน้าที่ของการศึกษานั้น คือ การแสวงหา และการนำมาซึ่งความจริงอันเป็น นิรันดร “การศึกษา หมายถึงการสอน การสอนหมายถึง ความรู้ ความรู้คือความจริง ความจริงย่อมเหมือนกันทุกแห่ง” เพราะฉะนั้นการศึกษาก็ย่อมเหมือนกันในทุกแห่งหน (4) การศึกษามิใช่การเลียนแบบของชีวิต แต่เป็นการเตรียมตัวเพื่อชีวิต (5) นักเรียนควรจะได้เรียนรู้วิชาพื้นฐานบางวิชา เพื่อจะได้เข้าใจและคุ้นเคยกับ สิ่งที่คงทนถาวรของโลก (6) นักเรียนควรจะได้ศึกษางานนิพนธ์ที่สำคัญทางวรรณคดี ประวัติศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์ นอกจากนี้ บรรจง จันทรสา (2522 : 240 ) ยังกล่าวว่า การจัดหาหลักสูตรตาม แนวปรัชญานิรันตรนิยมนี้ส่วนใหญ่จะคล้ายกับแนวปรัชญาสารัตถนิยม แต่มีความคิดที่ แตกต่างกันของ 2 ปรัชญานี้อยู่ 2 ประการ ได้แก่ (1) ปรัชญาสารัตถนิยม เน้นสติปัญญา หรือพุทธิศึกษาน้อยกว่าเพราะมิได้ แสวงหาความจริงที่นิรันดรแต่หาแนวทางที่จะปรับให้เข้ากับสังคมและสิ่งแวดล้อม
  • 13. (2) ปรัชญาสารัตถนิยม ยอมรับแนวพิพัฒนาการในวิถีทางการศึกษา เช่น การปรับตัวเข้ากับสังคม ความเชื่อ ความจริง และกฎของธรรมชาติ แต่ปรัชญา นิรันตรนิยมเคารพนับถือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในอดีตเป็นความรู้ และสิ่งดีงาม เป็น นิรันดรและเป็นสากลสำหรับมนุษย์ ดังนั้นอาจสรุปได้ว่า แนวทางของนิรันตรนิยม เป็นแนวทางที่จะย้อนกลับ ไปสู่วัฒนธรรมอันดีงามในอดีต 3. ปรัชญาพิพัฒนาการ ปรัชญาการศึกษานี้ ก่อตั้งในศตวรรษที่ 20 (1920) ในสหรัฐอเมริกา ปรัชญานี้มีความเชื่อว่า สาระสำคัญและความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลาย นั้น มิได้คงที่หรือหยุดนิ่ง หากจะเปลี่ยนสภาพไปตามเวลาและสิ่งแวดล้อม และใน ส่วนที่เกี่ยวกับการศึกษานั้นลัทธินี้เชื่อว่า การศึกษาในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ก็ควรจะเปลี่ยนสภาพไปด้วยเมื่อถึงคราวจำเป็น ฉะนั้นวิธีการทางการศึกษาจึงต้อง พยายามปรับปรุงให้สอดคล้องกับกาลเวลาและสภาพแวดล้อมอยู่เสมอ การศึกษามิใช่จะ สอนให้คนยึดมั่นในความจริง ความรู้ และค่านิยมที่คงที่หรือถูกกำหนดไว้ตายตัว หาก จะต้องปรับปรุงการศึกษาเพื่อจะเป็นหนทางนำไปสู่การค้นพบความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ ดังนั้นปรัชญาการศึกษานี้ จึงยึดมั่นในทางแห่งเสรีภาพที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรมเพื่อให้เหมาะสมกับกาลสมัย
  • 14. บุญเลิศ นาคแก้ว และนงเยาว์ สุขาพันธุ์ (2522 : 118 – 119 ) สรุปหลักสำคัญของปรัชญาพิพัฒนาการดังนี้ (1) การศึกษาคือชีวิต มิใช่การเตรียมตัวเพื่อชีวิต (2) ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างบ้านกับโรงเรียน เพื่อจะได้ทราบถึงความต้องการของเด็กและแก้ปัญหาให้เด็กด้วย (3) โรงเรียนแต่ละแห่ง ควรสนับสนุนให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน มิใช่แข่งขันชิงดี ชิงเด่น ธรรมชาติของมนุษย์จะต้องอยู่ร่วมกันพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (4) ยึดถือเด็กเป็นศูนย์กลาง เรียนรู้ด้วยวิธีแก้ปัญหามากกว่าจะเรียนจากหนังสือ (5) ครูเป็นผู้แนะนำ มิใช่ผู้บงการหรือสั่งการ (6) ปล่อยให้เด็กมีความเจริญงอกงามตามธรรมชาติ ให้เด็กได้มีอิสรเสรี (7) การเรียนรู้ด้วยวิธีวิทยาศาสตร์ จะช่วยให้เด็กเกิดพัฒนาในทุก ๆ ด้าน
  • 15. หลักสูตรที่ยึดแนวปรัชญาพิพัฒนาการ ได้แก่ หลักสูตรกิจกรรมหรือประสบการณ์ 4. ปรัชญาปฏิรูปนิยม นักการศึกษาที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของ ปรัชญาปฏิรูปนิยม คือ เทียวเดอร์ เบรมเมล ( Theodore Brarneld ) ชาวสหรัฐอเมริกา เขาได้รับเสนอแนวคิดรายละเอียดในการจัดการศึกษาตามแนวนี้ ในปี ค . ศ . 1950 ปรัชญานี้พัฒนาจากปรัชญาปฏิบัตินิยม ( Pragmatism ) ที่เน้นหนักการแก้ไขปรับปรุงสภาพสังคม โดยอาศัยการศึกษาผนวกกับปรัชญาพิพัฒนาการที่เน้นพัฒนาผู้เรียนไปตามต้องการความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก จากสองปรัชญาดังกล่าวทำให้เกิดปรัชญาปฏิรูปนิยม ที่เชื่อว่า การศึกษาควรเป็นเครื่องมือของมนุษย์ในการปฏิรูปสังคม
  • 16. บรรจง จันทรสา (2522 : 249 – 250 ) ได้สรุปแนวคิดของปรัชญาปฏิรูปนิยมดังนี้ (1) การศึกษาจะต้องรับภาระที่จะสร้างระบบสังคมใหม่ขึ้นมา ซึ่งเป็นระบบสังคมที่บรรลุถึงคุณค่าขั้นพื้นฐานของวัฒนธรรม และขณะเดียวกันก็ให้สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมของโลกในยุคใหม่ด้วย (2) สังคมใหม่จะต้องเป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งมีประชาชนของสังคมเป็นผู้ควบคุมสถาบันต่าง ๆ ตลอดจนทรัพยากรทั้งหลาย (3) เด็ก โรงเรียน และการศึกษา ย่อมจะเป็นไปตามหลักของสังคมและวัฒนธรรม โดยไม่มีการผ่อนผัน (4) ครูจะต้องหาทางให้เด็กมองเห็นความถูกต้อง และความจำเป็นที่จะต้องสร้างสรรค์สังคมใหม่ (5) ในด้านเกี่ยวกับการเรียนการสอน ตลอดจนการค้นหาความรู้นั้น อาศัยวิธีการของปรัชญาพิพัฒนาการ
  • 17. หลักสูตรตามแนวปรัชญานี้ได้แก่ หลักสูตรเพื่อชีวิตและสังคม และหลักสูตรแกน แนวการปฏิรูปการศึกษาของคณะกรรมการวางพื้นฐานเพื่อปฏิรูปการศึกษาไทย ในปี พ . ศ . 2519 นั้น ก็แสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องกับหลักการของปรัชญานี้ 5. ปรัชญาอัตถิภาวนิยม ปรัชญานี้มีความเชื่อว่า มนุษย์ต้องมีเสรีภาพที่จะเลือกในแนวทางที่ตนปรารถนา แต่ก็มีกติกาการเลือกอยู่ว่าต้องเลือกในสิ่งที่ดีสำหรับตนเอง และดีสำหรับคนอื่นด้วยและเมื่อเลือกแล้วจะต้องมีความรับผิดชอบต่อผลที่ตามมา บรรจง จันทรสา (2522 : 252 ) สรุปแนวคิดของปรัชญาอัตถิภาวนิยมไว้ดังนี้ (1) การดำเนินชีวิตของมนุษย์แต่ละคนมีแบบอย่างของตนที่มนุษย์จะสร้างขึ้นมา และมนุษย์สามารถเลือกการกระทำของตนเอง กำหนดแนวทางของชีวิต และโชคชะตาของตนเอง (2) โรงเรียนมีหน้าที่สร้างนักเรียนให้เป็นตัวของตัวเอง มีอิสระในการเลือก
  • 18.
  • 19.
  • 20. พื้นฐานด้านเศรษฐกิจ สุระ สนิทธานนท์ (2519 : 216 ) กล่าวว่า “คน” เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในทุกระบบเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจจะเจริญก้าวหน้าได้เพียงไหน ขึ้นอยู่กับคุณภาพของคนที่มีส่วนร่วมในระบบเศรษฐกิจนั้น ๆ คุณภาพที่กล่าวนี้ได้แก่สติปัญญาของคนในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ความสามารถในการผลิตและประกอบอาชีพ ความขยันหมั่นเพียร ความรู้จักประหยัดอดออม ความซื่อสัตย์ ตลอดจนความรู้สึกผิดชอบต่อกิจการงานต่อสังคม ฯลฯ เมื่อคนสัมพันธ์กับระบบเศรษฐกิจและการศึกษาคือการพัฒนาคน ดังนั้นการจัดการศึกษาจึงต้องพัฒนาคนให้เหมาะสมและทำความก้าวหน้าให้ระบบเศรษฐกิจนั้นด้วย การศึกษาจึงควรสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สำหรับประเทศไทยนั้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาประเทศไทยมุ่งเน้นการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรม มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม กลายเป็นรายได้หลักของประเทศ ส่งผลให้อัตราการเติบโตของประเทศ และรายได้ต่อหัวของประชากรเพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจเจริญอย่างรวดเร็ว สภาพความเจริญดังกล่าวเป็น
  • 21. ความเจริญที่ไม่ยั่งยืนเนื่องจากความมั่นคงและมั่งคั่งมิได้เกิดมาจากคุณภาพของคนในสังคมไทยหรือการพัฒนาเทคโนโลยีที่พึ่งตนเองได้ เมื่อสถานการณ์ของโลกและเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงจึงทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินรุนแรงและต่อเนื่องสภาพการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ นำมาซึ่งปัญหามากมาย ในปัจจุบัน ไพฑูรย์ สินลารัตน์ (2532 : 159 ) กล่าวว่า สภาพเศรษฐกิจเป็นพื้นฐานในการจัดทำและพัฒนาหลักสูตร ดังนี้ 1. หลักสูตรควรส่งเสริม ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับสภาพปัญหาเศรษฐกิจในสังคมของตน ตลอดจนแนวดำเนินการแก้ปัญหาที่จะส่งเสริมความเจริญทางเศรษฐกิจโดยกำหนดเป็นเนื้อหาในรายวิชาต่าง ๆ มากน้อยลึกซึ้งตามความเหมาะสมของระดับการศึกษา
  • 22. 3. หลักสูตรควรเตรียมกำลังคนให้เหมาะสมกับการทำงานอาชีพสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจไปสู่ประเทศอุตสาหกรรมใหม่นั้น ต้องการกำลังคนที่มีความรู้ความสามารถในทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม แม้แต่ภาพเกษตรกรรมเนื่องจากคนมากขึ้น พื้นที่คงเดิมย่อมต้องใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยเพิ่มผลผลิต ขณะเดียวกันการเปลี่ยนเป็นประเทศอุตสาหกรรมย่อมต้องการกำลังคนภาคบริการสูงขึ้น หลักสูตรจึงต้องเตรียมกำลังคนให้เหมาะสมกับความต้องการในสังคมเศรษฐกิจอย่างเพียงพอ 2. หลักสูตรควรส่งเสริมคุณสมบัติของคนในชาติ ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ เช่น ความขยันหมั่นเพียร ความซื่อสัตย์ ประหยัด อดทน ความมุ่งมั่นทำการงานได้สำเร็จ การรู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น มีทักษะในการจัดการ การทำงานของกลุ่ม มีความรู้และทักษะในการใช้และการออมทรัพย์ มีความสามารถในการยังชีพให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม เป็นต้น
  • 23. พื้นฐานด้านสังคมและวัฒนธรรม ไพบูลย์ ช่างเรียน (2518 : 66 ) กล่าวว่า สังคมหมายถึง กลุ่มคนที่ใหญ่ที่สุดที่มีสภาพหนักไปทางอยู่ร่วมกันอย่างถาวร ซึ่งมักจะมีความสนใจร่วมกัน หรือคล้าย ๆ กัน อยู่ภายใต้พื้นที่เดียวกัน มีวิถีชีวิตร่วมกันและมีความรู้สึกว่าเป็นกลุ่มเดียวกันผิดแผนจากกลุ่มอื่น ฉวีวรรณ วรรณประเสริฐ (2522 : 5) กล่าวว่า องค์ประกอบของสังคม มี 4 ประการ ดังนี้ 1. กลุ่มคน 2. อาณาเขต 3. การพบปะทางสังคม 4. การใช้วัฒนธรรมและสถาบันต่าง ๆ ทางสังคมร่วมกัน
  • 24. พระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พุทธศักราช 2485 ได้กล่าวว่า วัฒนธรรม หมายถึง ลักษณะที่แสดงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบ ความกลมเกลียวก้าวหน้าของชาติ และศีลธรรมอันดีงามของประชาชน สุพัตรา สุภาพ (2536 : 99 ) กล่าวว่า วัฒนธรรมมีความหมายครอบคลุมถึงทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นแบบแผนในความคิด และการกระทำที่แสดงออกถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ในสังคมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือสังคมใดสังคมหนึ่ง มนุษย์ได้คิดสร้างระเบียบกฎเกณฑ์วิธีการในทางปฏิบัติ การจัดระเบียบตลอดจนระบบความเชื่อ ความนิยม ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ ในการควบคุมและใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ เมื่อทุกคนต้องอยู่ในสังคม ต้องมีการพบปะกันทางสังคมมีการใช้วัฒนธรรมและสถาบันสังคมร่วมกัน ทุกคนในสังคมย่อมต้องเรียนรู้วัฒนธรรมของสังคม เพื่อจะได้อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสงบสุข การจัดการศึกษาจึงเป็นสิ่งจำเป็นในสังคม และหลักสูตรจะต้องสนองความต้องการลักษณะวัฒนธรรมทางสังคม สภาพของสังคมและวัฒนธรรมจึงมีบทบาทกำหนดหลักสูตร
  • 25. บุญมี เณรยอด (2536 : 32 – 34 ) ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ของหลักสูตรกับสังคม จริยธรรม และวัฒนธรรมไว้ดังนี้ 1. หลักสูตรต้องสนองความต้องการของสังคม 2. หลักสูตรต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงในสังคม 3. หลักสูตรจะต้องเน้นในเรื่องความรักชาติของประชาชน 4. หลักสูตรจะต้องแก้ปัญหาให้กับสังคมไม่ใช่สร้างปัญหาให้กับสังคม 5. หลักสูตรจะต้องปรุงแต่งสังคม 6. หลักสูตรจะต้องสร้างความสำนึกในเรื่องของความเปลี่ยนแปลงทางสังคม 7. หลักสูตรจะต้องชี้นำในการเปลี่ยนแปลงประเพณีและค่านิยม 8. หลักสูตรจะต้องถ่ายทอดวัฒนธรรมและจริยธรรม 9. หลักสูตรจะต้องปลูกฝังในเรื่องความซื่อสัตย์และยุติธรรมในสังคม 10. หลักสูตรจะต้องให้ความสำคัญในเรื่องผลประโยชน์ในสังคม
  • 26. สำหรับลักษณะสังคมและวัฒนธรรมที่อาจนำมาใช้ในการจัดทำ และพัฒนาหลักสูตรนั้น วิชัย วงษ์ใหญ่ (2521 : 59 - 61 ) ได้แบ่งเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้ 1. ลักษณะสากล ( Universal ) คือ สิ่งที่คนส่วนใหญ่ยึดถือ หรือประพฤติปฏิบัติเหมือนกันเป็นลักษณะทั่ว ๆ ไปในสังคมนั้น เช่น ความเชื่อ ภาษา ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี จากแนวคิดนี้ การพัฒนาหลักสูตรจะต้องคำนึงถึงเอกภาพทางสังคม เช่น ภาษาไทย เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกคนในชาติ ที่จะทำให้ติดต่อสื่อสารกันได้เพื่อความเข้าใจอันดีของทุกคนฉะนั้นภาษาไทยจึงเป็นสิ่งที่ทุก ๆ คนจะต้องเรียนรู้ และฝึกปฏิบัติ เป็นต้น 2. ลักษณะเฉพาะพิเศษ ( Specialties ) คือ สิ่งที่คนในสังคมเชื่อถือและกระทำกันเป็นพิเศษ เช่น การประกอบอาชีพ ความรู้พิเศษของแต่ละกลุ่ม แต่ละอาชีพ การพัฒนาหลักสูตรและการสอนตามแนวคิดประการที่สองนี้ จะต้องพิจารณาถึงความแตกต่างของแต่ละท้องถิ่นแต่ละชุมชนว่ามีความเชื่อถือ ความต้องการที่แตกต่างกันไป การจัดเนื้อหาสาระการเรียนการสอนควรจะแตกต่างกันไป เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนและท้องถิ่น เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาหลักสูตรให้มากขึ้น และส่งเสริมความเจริญในอาชีพเศรษฐกิจและแต่ละสังคม ให้พัฒนาไปสู่สังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงและสนองความต้องการของชุมชนนั้น
  • 27. 3. ลักษณะเลือกสรร ( Alternative ) ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่กำลังเปลี่ยนแปลงการพัฒนาหลักสูตรและการสอน จะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีทางเลือกในการเรียนของเขา เพราะการมีโอกาสในการเลือกเกี่ยวกับการเรียนรู้ จะมีส่วนส่งเสริมพัฒนาความมีอิสรเสรีและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ทุกคนไม่จำเป็นต้องเรียนรู้สิ่งที่เหมือน ๆ กัน ในเวลาเดียวกันเป็นการให้โอกาสผู้เรียน มีเสรีภาพในการเลือกเรียนได้อย่างอิสระตามความถนัด ความต้องการ และความสนใจของแต่ละบุคคล เพื่อเป็นความเป็นตัวของตัวเองได้ในบางโอกาส
  • 28. พื้นฐานด้านการเมืองการปกครอง บรรพต วีระสัย และคณะ (2525 : 8 ) กล่าวว่า การเมือง เป็นเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์ในเรื่องการบังคับบัญชา และถูกบังคับบัญชาการควบคุม และถูกควบคุม การเป็นผู้ปกครองและถูกปกครอง และพฤติกรรม หรือกิจกรรมที่มีผลกระทบกระเทือนต่อคนส่วนใหญ่ ในสังคมก็เป็นการเมือง ดังนั้นการเมืองจึงเป็นเรื่องของทุกคนในสังคมที่จะต้องเกี่ยวข้องด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ทุกคนจึงจำเป็นต้องเรียนรู้เข้าใจและปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องตามลักษณะของระบบการเมืองการปกครองในสังคมของตน ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้นต้องเป็นการปกครองที่รัฐบาลเป็นของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน จะเห็นได้ว่าประชาชนเป็นหัวใจสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะอุดมการณ์ของประชาธิปไตย คือ ประชาชนเป็นผู้ปกครองของตนเอง การที่จะทำให้ประชาชนเป็นผู้ปกครองตนเองได้นั้น จำเป็นต้องการให้การศึกษา ให้ประชาชนมีความสามารถและคุณสมบัติที่จะปกครองตนเองได้
  • 29. สมพงษ์ เกษมสิน (2518 : 66 ) กล่าวว่า การจัดการศึกษาจะต้องทำให้ประชาชนเชื่อมั่น ดังนี้ 1. ประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของประเทศ 2. ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบในการดำรงอยู่และความเจริญของชาติ 3. ประชาชนมีสิทธิและสามารถใช้สิทธิต่าง ๆ โดยสุจริตอย่างเต็มที่ 4. ประชาชนทุกคนมีหน้าที่สำคัญ จะต้องทำให้ตนเองมีความรู้ความสามารถ เพื่อที่จะดำรงชีวิตได้ โดยไม่เป็นภาระแก่สังคม และสามารถรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของสังคมไว้ 5. แต่ละคนมีคุณค่า และความสำคัญเท่าเทียมกัน 6. รัฐบาลโดยประชาชนจะเกิดขึ้นได้ ก็ได้ที่แต่ละคนมีส่วนเลือกตัวแทนเข้าไปเป็นรัฐบาล แสดงความคิดเห็น รู้จักเสนอแนะสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ไม่นิ่งดูดาย เมื่อเห็นว่าสิ่งใดทำให้ชุมชน สังคม และชาติต้องเสียประโยชน์ จะต้องรีบหาทางปัดเป่ารวมทั้งไปละเว้นการใช้สิทธิโดยชอบของตน
  • 30. 7. ทรัพยากรทั้งปวงในประเทศเป็นสมบัติของประชาชน และจะต้องใช้ทรัพยากรเหล่านั้นไปในแนวทางที่เป็นคุณค่าแก่ประชาชนเป็นส่วนรวม 8. กลไกของรัฐมีไว้เพื่อคุ้มครอง รักษาสิทธิอันชอบธรรมของประชาชน และเพื่อให้บริการอันจำเป็นในการดำรงชีวิตของประชาชนด้วย บันเทิง ศรีจันทราพันธุ์ (2519 : 245 ) กล่าวว่า การศึกษาจึงมีบทบาทในการสร้างสรรค์คนให้เป็นนักประชาธิปไตย หลักสูตรการศึกษาต้องให้ความรู้ความเข้าใจ ในเรื่องการเมืองและการปกครองประเทศ ผู้เกี่ยวข้องในการจัดทำและพัฒนาหลักสูตร นักการศึกษา ครูอาจารย์ ควรจะได้พิจารณาหลักสูตรในเรื่องต่อไปนี้ 1. หลักสูตรเกี่ยวกับการปกครอง การเมืองของประเทศ ไม่ควรจะพิสดารเกินไปหรือไกลเกินตัวเด็กแต่ละระดับการศึกษา 2. หลักสูตรควรปลูกฝังให้เด็กปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดี และตระหนักว่าตนเองเป็นหน่วยหนึ่งของสังคม ควรที่จะทำประโยชน์ให้แก่สังคม
  • 31. 3. หลักสูตรควรเน้นหลักไปในทางให้ได้ผลทางปฏิบัติ เช่น การจัดรูปรัฐบาลนักเรียนขึ้นในโรงเรียน มิใช่ผลแต่ทางทฤษฎีและการท่องจำ 4. หลักสูตรการปกครอง ควรช่วยกระตุ้นให้เกิดความรับผิดชอบ ต่อการปกครองในอนาคต 5. หลักสูตรควรช่วยให้เด็กได้เข้าใจแก่นแท้ ของการปกครองระบอบประชาธิปไตย “การปกครองโดยยึดถือเสียงส่วนใหญ่ แต่ต้องคำนึงถึงสิทธิของเสียงส่วนน้อย” ด้วยเสียงส่วนใหญ่ที่ยึดถือนั้น ควรเป็นเสียงที่เกิดจากการใช้ปัญญาอย่างมีเหตุผล ซึ่งเป็นประโยชน์แก่สังคมทั้งประเทศมิใช่เพื่อประโยชน์เฉพาะตน หรือสังคมส่วนน้อยที่ตนเองจะมีส่วนได้รับผลประโยชน์เสียงส่วนใหญ่ที่ถูกยอมรับนั้นจะต้องคำนึงถึงสิทธิของเสียงส่วนน้อยจึงจะนับว่า เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง สรุปได้ว่า ระบอบการเมืองและการปกครองของประเทศ จะต้องนำไปกำหนดไว้ในหลักสูตรในรูปของจุดมุ่งหมาย เนื้อหา ประสบการณ์ และกระบวนการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนได้มีคุณลักษณะพลเมืองดี เหมาะสมกับสังคมของตน
  • 32. พื้นฐานด้านจิตวิทยา จิตวิทยา หมายถึง วิทยาศาสตร์สาขาหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ในการสร้างหลักสูตรขึ้นนั้นก็เพื่อใช้ในการให้การศึกษาแก่คน ผู้สร้างหลักสูตรจึงควรให้ความสนใจพฤติกรรมโดยธรรมชาติของคนหรือผู้เรียนที่จะศึกษาตามหลักสูตรนั้น การสร้างหลักสูตรที่สอดคล้องกับหลักจิตวิทยา จะช่วยให้หลักสูตรนั้นเหมาะสมสอดคล้องกับธรรมชาติผู้เรียน สำหรับบทบาทของจิตวิทยาที่มีต่อหลักสูตรอาจแบ่งได้ 3 ด้าน คือ 1. บทบาทของจิตวิทยาต่อจุดมุ่งหมายของหลักสูตร เมื่อจุดมุ่งหมายของหลักสูตรเป็นสิ่งกำหนดคุณลักษณะของผลผลิตหรือผู้จบหลักสูตร การกำหนดคุณลักษณะนั้นย่อมจะต้องคำนึงถึงความพร้อมพัฒนาการของวัยผู้เรียนด้วย เพื่อให้จุดมุ่งหมายของหลักสูตรสอดคล้องกับวัยผู้เรียนไม่เป็นการฝืนธรรมชาติ
  • 33.
  • 34.
  • 35.
  • 36.
  • 37.
  • 38.
  • 39. 1. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้มีการพัฒนาการด้านโภชนาการ คือ มนุษย์มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย รู้จักการเลือกซื้อ จัดหา เพื่อการบริโภคที่ถูกต้อง ทำให้มนุษย์มีพัฒนาการทางด้านร่างกาย และสติปัญญาเจริญขึ้นเป็นลำดับ หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารที่เป็นพิษ อาหารที่ใส่สารเคมีโดยไม่จำเป็นเหล่านี้เป็นต้น 2. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ดีขึ้น สมัยโบราณมนุษย์อาศัยอยู่ในถ้ำ ใต้ต้นไม้ หรือสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นมาอย่างง่าย ๆ จากวัสดุที่หาได้ เช่น ดอกไม้ ใบตอง ต่อมาได้พัฒนาการก่อสร้างให้มีความคงทนแข็งแรงขึ้นจนมีความสะดวกสบาย ปลอดภัย และถูกต้องตามหลักสุขอนามัย 3. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้มีการพัฒนาด้านการแพทย์และสาธารณสุข มนุษย์สมัยก่อนเมื่อเกิดโรคระบาด เช่น อหิวาตกโรค ฝีดาษ ทำให้มนุษย์ล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่ในปัจจุบันมนุษย์มีการพัฒนาด้านการแพทย์และสาธารณสุข ทำให้สามารถควบคุมและสามารถรักษาโรคติดต่อเหล่านี้ได้ จนโรคบางโรคหายไปจากโลกนี้ได้ การวินิจฉัยด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย เช่น อุลตราซาวน์
  • 40.
  • 41.
  • 42. 8. วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์เกิดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ คือ ทำให้มนุษย์เป็นคนมีเหตุผล มีความอยากรู้อยากเห็น มีความใจกว้าง มีความเพียรพยายาม มีความซื่อสัตย์สุจริต 9. วิทยาศาสตร์ช่วยให้เข้าใจปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้มนุษย์รู้จักกระบวนการที่จะทำให้โลกเกิดความสมดุลตามธรรมชาติ และทำให้มนุษย์ตระหนักที่จะไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ เป็นต้น เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีประโยชน์ต่อมนุษย์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต การจัดทำ และพัฒนาหลักสูตรซึ่งต้องนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาบรรจุไว้ในหลักสูตร อย่างน้อย 2 ลักษณะ ดังนี้ 1. นำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสมกับผู้เรียนและสังคมมากำหนดในเนื้อหาของหลักสูตร 2. นำกระบวนการหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการจัดการเรียนรู้หรือกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อสร้างนิสัยในการแก้ปัญหาและการสร้างเจตคติทางวิทยาศาสตร์
  • 43.
  • 44. (3) จะจัดประสบการณ์ทางการศึกษาอย่างไรจึงจะมีประสิทธิภาพ (4) ประเมินผลประสบการณ์อย่างไรจึงจะตัดสินใจได้ว่าบรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ หากพิจารณาคำถามดังกล่าวมา จะเห็นว่าเป็นคำถามที่แสดงองค์ประกอบของหลักสูตรและยังแสดงลำดับขั้นกระบวนการพัฒนาหลักสูตรด้วย เพราะไทเลอร์เห็นว่าจะต้องตอบคำถามเรียงลำดับไปจากข้อแรกซึ่งเป็นข้อที่สำคัญและเป็นหลักในการตอบคำถามข้อต่อ ๆ มา รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์อาจจัดเป็นขั้นตอนได้ดังนี้ 1.1 กำหนดจุดมุ่งหมาชั่วคราว รูปแบบของการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์นั้น “ส่วนที่ได้รับความสนใจมากที่สุดจากนักการศึกษา ได้แก่ ส่วนแรกของรูปแบบที่กล่าวถึงการเลือกสรรจุดมุ่งหมาย” ( ธวัชชัย ชัยจิรฉายากุล 2527 : 150 ) โดยครั้งแรกจะเป็นการกำหนดจุดหมายชั่วคราวขึ้นก่อน จุดหมายชั่วคราวของหลักสูตรนั้นจะกำหนดขึ้นโดยอาศัยข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียน สังคม และเนื้อหาวิชาเป็นพื้นฐาน
  • 45. 1.2 กำหนดจุดมุ่งหมายที่แน่นอน จุดมุ่งหมายที่แน่นอนเกิดจากการนำเอาจุดมุ่งหมายชั่วคราวไปตรวจสอบ กลั่นกรองด้วยทฤษฎีการเรียนรู้ ปรัชญาการศึกษา และปรัชญาสังคม แล้วปรับปรุงให้เหมาะสมสอดคล้องกัน 1.3 เลือกประสบการณ์การเรียนรู้ 1.4 กำหนดประสบการณ์การเรียนรู้ 1.5 กำหนดการประเมินผล รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์ มีกระบวนการดังแผนภูมิที่ 9
  • 46.
  • 47.
  • 48.
  • 49.
  • 50. 3. รูปแบบของสงัด อุทรานันท์ สงัด อุทรานันท์ (2527 : 38 ) ได้เสนอว่ากระบวนการพัฒนาหลักสูตร ควรมี 7 ขั้น ดังนี้ 3.1 วิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานเพื่อการพัฒนาหลักสูตร 3.2 กำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร 3.3 คัดเลือกและจัดเนื้อหาสาระและประสบการณ์การเรียนรู้ 3.4 กำหนดมาตรการวัดและประเมินผล 3.5 นำหลักสูตรไปใช้ 3.6 ประเมินผลหลักสูตร 3.7 ปรับปรุงแก้ไขหลักสูตร
  • 51. สำหรับการแก้ไขปรับปรุงหลักสูตรนั้น จะต้องปรับปรุงที่ขั้นตอนใดของกระบวนการพัฒนาหลักสูตรก็ได้ แต่เมื่อเริ่มปรับปรุงที่ขั้นตอนใดแล้ว จะต้องพิจารณาปรับปรุงขั้นตอนอื่นที่มีผลกระทบกันทั้งหมดด้วย กระบวนการพัฒนาหลักสูตรตามรูปแบบของ สงัด อุทรานันท์ จะมีความต่อเนื่องสัมพันธ์กันอย่างเป็นวัฏจักร ดังแผนภูมิที่ 11
  • 52. แผนภูมิที่ 11 วัฎจักรของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร วิเคราะห์ ข้อมูลพื้นฐาน ปรับปรุง แก้ไข กำหนดมาตรการ วัดและประเมินผล กำหนด จุดมุ่งหมาย ประเมินผล การใช้หลักสูตร นำหลักสูตร ไปใช้ คัดเลือกและ จัดเนื้อหาสาระ ที่มา : สงัด อุทรานันท์ (2527 : 39 )
  • 53. 4. รูปแบบของเซเลอร์ อเล็กซานเดอร์ และลีวิส เซเลอร์ อเล็กซานเดอร์ และลีวิส กล่าวว่าระบบหลักสูตรมีองค์ประกอบดังแผนภูมิที่ 12
  • 54. แผนภูมิที่ 12 องค์ประกอบของระบบหลักสูตรของเซเลอร์ อเล็กซานเดอร์ และลีวิส แรงผลักดันภายนอก - ข้อบัญญัติกฎหมาย - งานวิจัย - ความรู้เฉพาะสาขา วิชาชีพ ผู้รับ การศึกษา จุดมุ่งหมาย และวัตถุประสงค์ การออกแบบหลักสูตรการนำหลักสูตรไปใช้กระบวนการประเมินผล ความก้าวหน้า ผู้ได้รับ การศึกษา พื้นฐานของหลักสูตร - สังคม - ผู้เรียน - ความรู้วิชาการ ที่มา : เซเลอร์ อเล็กซานเดอร์ และลีวิส (1981 : 29 )
  • 55. จากแผนภูมิที่ 12 กระบวนการของหลักสูตรก็คือกระบวนการพัฒนาหลักสูตร จึงสรุปได้ว่า กระบวนการพัฒนาหลักสูตรของเซเลอร์ อเล็กซานเดอร์ และลีวิส มีดังนี้ 4.1 กำหนดจุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์หลักสูตร 4.2 ออกแบบหลักสูตร 4.3 นำหลักสูตรไปใช้ 4.4 การประเมินผล ในกระบวนการพัฒนาหลักสูตรนั้น เซเลอร์ อเล็กซานเดอร์ และลีวิส เห็นว่าสิ่งที่มีอิทธิพลในกระบวนการพัฒนาหลักสูตรมี 2 ประการ คือ พื้นฐานของหลักสูตร ได้แก่ สังคมผู้เรียน และความรู้ทางวิชาการ และอีกประการคือแรงผลักดันภายนอก ได้แก่ ข้อบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง งานวิจัย และความรู้เฉพาะสาขา�