More Related Content
Similar to Tissue oui (20)
More from Oui Nuchanart (20)
Tissue oui
- 2. เนื้อเยื่อพืช (plant tissue)
เนื้อเยื่อพืช (plant tissue) มีหลายชนิดประกอบด้วยเซลล์
ที่มีลักษณะแตกต่างกันไป โดยมีลักษณะร่วมที่สาคัญ คือ
การมีผนังเซลล ์(cell wall)
- primary cell wall cellulose
- middle lamella pectin
**secondary cell wall หรือ secondary cell lignin
- 5. เนื้อเยื่อเจริญ (meristematic tissues)
คือ กลุ่มของเซลล์ที่มีการเจริญและแบ่งตัวแบบ……….. อยู่
ตลอดเวลา
ลักษณะของเนื้อเยื่อเจริญ
• เซลลมีขนาดเล็ก
• ผนังเซลลบาง
• มีนิวเคลียสขนาดใหญ
• vacuoles ไมมี หรือ มีขนาดเล็ก
• ไมมี intercellular spaces
- 6. ชนิดของเนื้อเยื่อเจริญ
1. เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย (apical meristem)
คือเนื้อเยื่อที่อยู่บริเวณปลายยอด (shoot tip ) หรือปลายราก
(root tip) ของพืช เมื่อมีการแบ่งตัวเพิ่มจานวนเซลล์จะทาให้
รากและลาต้นยืดยาวออก เพิ่มความสูงให้กับต้นพืช เป็นการ
เจริญขั้นแรก (Primary growth)
จาแนกตามตาเหนงที่อยูแบงไดเปน 3 ชนิด
- 8. 2. เนื้อเยื่อเจริญเหนือข้อ (intercalary meristem)
คือเนื้อเยื่อที่อยู่บริเวณเหนือข้อ หรือโคนของปล้องในพืชใบ
เลี้ยงเดี่ยว เช่น อ้อย ไผ่ ข้าวโพด หรือหญ้า เป็นต้น เมื่อมี
การแบ่งตัวจะช่วยให้ปล้องยาวขึ้น
- 10. 3. เนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง
(lateral meristem หรือ axillary meristem)
คือ เนื้อเยื่อเจริญที่แบ่งตัวออกด้านข้างของลาต้นหรือราก
เมื่อแบ่งตัวแล้วจะทาให้ลาต้น ราก ขยายขนาดออกทางด้านข้าง
หรือมีขนาดใหญ่ขึ้น พบในพืชใบเลี้ยงคู่ทั่วไป และพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
บางชนิด เช่น จันทน์ผา หมากผู้หมากเมีย เป็นต้น เนื้อเยื่อเจริญ
ด้านข้างเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แคมเบียม (cambium) แบ่งเป็น
2 ชนิดคือ
- 12. แคมเบียม (cambium) เนื้อเยื่อเจริญด้านข้างมี 2 ชนิด ถ้าพบอยู่ระหว่าง
xylem และ phloem จะเรียกว่า วาสคิวลาร์แคมเบียม (vascular
cambium) ซึ่งเมื่อแบ่งเซลล์จะทาให้เกิดเนื้อเยื่อท่อลาเลียง (vascular
tissue) เพิ่มขึ้น และถ้าพบอยู่ในเนื้อเยื่อเอพิเดอร์มิส (epidermis) โดยอยู่ถัด
เข้าไปจากเอพิเดอร์มิส เรียกว่าคอร์กแคมเบียม (cork cambium) ซึ่งเมื่อ
แบ่งเซลล์จะทาให้เกิดเนื้อเยื่อคอร์ก (cork)
- 14. cork cambium หรือ Phellogen
เนื้อเยื่อเจริญคอร์กแคมเบียมในลาต้นพืช : Jane B. และคณะ, 1990 :752.
- 16. 2. PRIMARY MERISTEM เปนเนื้อเยื่อเจริญที่เปลี่ยนแปลงไปจาก
Promeristem แตยังไมสมบูรณ พบในบริเวณปลายยอดและปลาย
ราก ในรากเปนบริเวณที่เรียกวา Zone of cell elongetion
เนื้อเยื่อเจริญชนิดนี้ยังมีการแบงเซลลตอไปอีกกลายเปนเนื้อเยื่อถาวร
ชนิด Primary permanent tissue การแบงตัว ทาใหสวนตาง ๆ
ของพืชมี (Primary growth ) ยืดยาวสูงขึ้น รวมทั้งขยายขนาดให้
อ้วนขึ้นไดประกอบดวยเนื้อเยื่อ 3 บริเวณ
- 17. 2.1 Protoderm แบงตัว เจริญเติบโตเปลี่ยนแปลง เปน Epidermis
2.2 Ground meristem แบงตัวเจริญเติบโตเปลี่ยนแปลง Cortex ซึ่งอยูถัด
จาก epidermis เขาไปขางใน และยังจะไปเปน Pith และ Pith ray
(ในลาตน) อีกดวย
- Cortex ทาหนาที่เปนแหลงสะสมอาหาร และขณะที่ยังออนอยูก็ทาหนาที่
เปนแหลงสรางอาหารและปองกันดวย สวน Pith และ Pith ray ยังทาหนาที่
ลาเลียงน้าเกลือแร และอาหารไปทางดานขาง
2.3 Procambium เปนเนื้อเยื่อถาวรในบริเวณชั้นในสุดที่เรียกวา Vascular
Tissue ทาหนาที่เปนทอในการลาเลียงน้า เกลือแร และอาหาร
- 20. 3. Secondary meristem เปนเนื้อเยื่อเจริญ พบในราก และลาตนของ
พืชใบเลี้ยงคู และพวกจิมโนสเปรม (gymnosperm) เมื่อมันตองการขยาย
ขนาดใหอวนใหญขึ้น โดยเนื้อเยื่อเจริญชนิดนี้ มีการแบงตัวเจริญเติบโต
เปลี่ยนแปลงไปเปนเนื้อเยื่อถาวรที่เรียกวา Secondary permanent tissue
- Secondary meristem ประกอบดวย 2 ชนิด คือ Cambium และ Cork
Cambium
3.1 Cambium ทาหนาที่สรางเนื้อเยื่อถาวรพวก Secondary vascular
tissue
3.2 Cork cambium สวนใหญเกิดจากการแบงตัวของ Parenchyma cell
เกิดขึ้นใน Cortex ของลาตนบริเวณใกล ๆ กับ Epidermis มีหนาที่ในการ
สราง Cork ขึ้นหุมตน
- 22. • ระบบเนื้อเยื่อของพืช แบ่งออกตามระบบของซาค (Sach’
classification) แบ่งเนื้อเยื่อออกเป็น 3 ชนิด
1. เนื้อเยื่อผิว (dermal tissue) ประกอบด้วยเอพิเดอร์มิส ซึ่งทาหน้าที่
ป้องกันเนื้อเยื่อส่วนในของพืช
2. เนื้อเยื่อลาเลียง (vascular tissue) ประกอบด้วยโฟลเอ็มและไซเล็ม
3. เนื้อเยื่อพื้น (ground tissue) ประกอบด้วยเนื้อเยื่ออื่นๆ นอกจาก
เนื้อเยื่อผิวและเนื้อเยื่อลาเลียง
- 28. เนื้อเยื่อถาวรเชิงเดี่ยว (Simple permanent tissue)
เปนเนื้อเยื่อที่เกิดจากเซลลถาวรชนิดเดียวกันมาอยูรวม
กันและทาหนาที่รวมกันมีหลายชนิดพบทั้งในราก ลาต้น ใบและ
ส่วนต่างๆ ของพืชเช่น
- เอพิเดอรมิส (Epidermis)
- คอรก (Cork) Protective tissue
- พาเรงคิมา(Parenchyma)
- คอลเลงคิมา(Collenchyma) Ground tissue
- สเกลอเรงคิมา (Sclerenchyma)
- 29. เนื้อเยื่อถาวรเชิงซ้อน (Complex permanent tissue)
เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์หลายชนิดมา
ทางานร่วมกันเพื่อทาหน้าที่อย่างเดียวกัน ได้แก่ เนื้อเยื่อลาเลียง
(vascular tissue) ประกอบด้วย เนื้อเยื่อลาเลียงน้า
(xylem)และเนื้อเยื่อลาเลียงอาหาร(phloem)
- 30. เอพิเดอร์มิส (Epidermis)
1. เปนเนื้อเยื่อที่อยูรอบนอกสุด ของพืชที่เจริญในขั้นตน (primary growth)
2. เซลลเรียงแถวเดียวเบียดกันแนนไมมีชองวางระหวางเซลล
3. ผนังเซลลมีสารคิวติน(Cutin)มาเคลือบ เรียกชั้นที่เกิดจากการสะสมของ
สารคิวตินนี้วาชั้นคิวติเคิล (Cuticle)
4. บางเซลลเปลี่ยนแปลงไปทาหนาที่พิเศษ เชน Guard cell , Root hair
5. ไมมีคลอโรพลาสต
บริเวณที่พบ : เปนเนื้อเยื่อที่อยูชั้นนอกสุด พบทุกสวนของลาตน กิ่ง ราก
ชั้นนอกของกลีบดอก ใบ และผลออน
- 31. หน้าที่ของ Epidermis
1. เป็นเครื่องห่อหุ้ม ป้องกันเนื้อเยื่อของพืชที่อยู่ข้างในทั้งหมด และช่วยเสริม
ความแข็งแรง
2. ช่วยป้องกันการระเหยของน้า เพราะมีสารพวกคิวติน (cutin) เคลือบด้าน
นอกไว้
3. เซลล์คุมช่วยควบคุมการแลกเปลี่ยนก๊าซ CO2 , O2 และคายน้า
4. ขนรากช่วยในการดูดน้า และสารละลายแร่ธาตุผ่านทางขนราก
(root hair)
- 37. คอร์ก (Cork) หรือเฟลเลม (Phellem)
cork เป็นเนื้อเยื่อชั้นนอกสุดของรากและลาต้นที่แก่แล้วของไม้ยืนต้น
ประกอบด้วยเซลล์รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า คอร์กเป็นเซลล์ที่เกิดมาไม่นาน
เซลล์ก็ตาย และมีสารพวกลิกนิน (lignin) เพกติน (pectin)
และซูเบอริน (suberin) มาสะสมแทรกปะปนกับเซลลูโลสของ
ผนังเซลล์มากขึ้น พืชที่มีอายุมากแล้ว เปลือกนอกมีสีน้าตาล น้าผ่าน
ไม่ได้ คอร์กทาหน้าที่ให้ความแข็งแรง ชดเชย เอพิเดอร์มิสที่หายไป
เนื่องจากการกร่อนและถูกทาลายโดยเชื้อรา
- 42. ตัดตามยาว (long section) ตัดตามขวาง (cross section)
พาเรงคิมา (parenchyma)
ที่มา http://botit.botany.wisc.edu/images/130/Cells_&_Tissues/Celery_Petiole/Parenchyma.html
- 44. หน้าที่ของพาเรงคิมา
1. สะสมน้าและอาหารพวกแป้ง โปรตีน และไขมัน
2. ในลาต้นพืชอ่อน ๆ ทาหน้าที่สังเคราะห์ด้วยแสง
3. ในพืชตระกูลถั่วจะอยู่รวมเป็นกลุ่มที่โคนก้านใบทาหน้าที่เกี่ยวกับ
การหุบใบ กางใบในรอบวัน
4. สามารถแปรสภาพเปนเนื้อเยื่อเจริญไดเมื่อถูกกระตุนเชน เมื่อเกิด
บาดแผลจะทาสมานบาดแผล
5. ใบพืชบางชนิดจะเจริญเปลี่ยนไปเป็นต่อมสร้างสาร เช่น สร้างน้ามัน
6. พาเรงคิมาในมัดท่อลาเลียงจะทาหน้าที่ลาเลียงอาหาร
- 45. คอลเลงคิมา (collenchyma)
1. เซลลมีรูปรางหลายเหลี่ยมคอนขางยาว
2. ผนังเซลลหนาไมสม่าเสมอมักหนาตามมุมเซลล เพราะมี สารพวก
เพคตินมาสะสม (Pectin)
3. เมื่อโตเต็มที่เซลลยังมีชีวิต
บริเวณที่พบ พบมีอยูมากทั้งในสวนออนและสวนแกของพืช บริเวณ
ใตชั้นเอพิเดอรมิสลงมา พบที่กานใบ เสนกลางใบ ไม่พบในราก
หน้าที่ ชวยทาใหสวนตางๆของพืชเหนียวและแข็งแรงทรงตัวอยูได
และยังชวยปองกันแรงเสียดทาน
- 49. สเกลอเรงคิมาแบงออกเปน
2 พวก ตามรูปราง คือ
1. ไฟเบอร (fiber) เปนเซลลที่มีรูปรางหลายเหลี่ยมและยาว
อยูรวมกันเปนกลุม แข็งเหนียว พบในพืชที่ใหเสนใยตางๆ เชน
ปาน ปอ สับปะรด หน่อไม้ เปนตน นอกนั้นยังพบในกลุมของ
ทอน้า ทออาหาร
- 50. 2) สเกลอรีด (sclereid) หรือเซลล์หิน (stone cell) เป็นเซลล์ที่ตายแล้วมี
สารพวกเพกติน (pectin) และลิกนิน (lignin) มาสะสมอยู่มาก จึงแข็งและ
กรอบ มีหลายรูปร่าง เช่น รูปหลายเหลี่ยม รูปดาว เป็นต้น พบบริเวณ เช่น
เปลือกหุ้มเมล็ดของพวกพุทรา มะยม กะลามะพร้าว เปลือกถั่วลิสง และ
ก้านบัว
- 52. เนื้อเยื่อถาวรเชิงซ้อน (Complex permanent tissue)
เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์หลายชนิดมา
ทางานร่วมกันเพื่อทาหน้าที่อย่างเดียวกัน ได้แก่ เนื้อเยื่อลาเลียง
(vascular tissue) ประกอบด้วย เนื้อเยื่อลาเลียงน้า
(xylem)และเนื้อเยื่อลาเลียงอาหาร(phloem)
- 55. เวสเซล (Vessel)
• เป็นเซลล์ที่มีลักษณะเป็นท่อสั้นๆ
ปลายเซลล์อาจเฉียง หรือ ตรง เมื่อ
เซลล์เจริญเต็มที่แล้วเซลล์จะตายไป
ท่อสั้นแต่ละท่อเรียกว่า vessel
member หรือ vessel element
• ผนังหนาเป็นสารพวกลิกนินมาสะสม
มีช่องทะลุถึงกัน ซึ่งมีลักษณะเป็น
รอยปรุหรือรูพรุนที่
• ทาหน้าที่ลาเลียงน้าและแร่ธาตุ
ที่มา http://www.dbdmart.com/lifesigngatc/product.php?cat=88432&lang=en
- 57. ไซเลม พาเรงคิมา (xylem parenchyma)
เป็นเซลล์ที่ยังมีชีวิตมีผนังบาง แต่เมื่อแก่แล้วจะมีสาร
ลิกนินมาสะสม ทาให้ผนังหนาขึ้น ปกติจะเรียงตัวในแนวตั้งแต่
บางกลุ่มจะเรียงตัวตามขวาง หรือตามแนวรัศมี
ทาหน้าที่ ลาเลียงน้าและเกลือแร่ไปตามด้านข้าง เรียกว่า
ไซเลมเรย์ (xylem ray) และสะสมอาหารพวกแป้ง น้ามัน
- 60. ซีพทิวบ์ (sieve tube)
มีรูปร่างยาว ปลายทั้ง 2 ด้านค่อนข้างแหลม มีรูเล็กคล้ายตะแกรง
เรียกว่า ซีพเพลท (Sieve plate) ซีพทิวบ์เมมเบอร์หลาย ๆ เซลล์มา
เรียงต่อกันเป็นท่อยาวๆ เรียกว่า ซีพทิวบ์ (Sieve tube) ซีฟทิวบ์เมื่อ
เกิดใหม่ๆ จะมีนิวเคลียส และออร์แกเนลล์ (organell) อื่นๆ ครบ
สมบูรณ์ แต่พอเจริญเต็มที่แล้ว นิวเคลียสจะสลาย ไปเหลือแต่ไซโทพลา
ซึมยังคงมีชีวิตอยู่
หน้าที่ของซีฟเทิวบ์แมมเบอร์ คือ ลาเลียงอาหาร
- 62. เซลล์คอมพาเนียน (Companion cell)
เป็นเซลล์ขนาดเล็ก รูปร่างเรียวยาวปลายแหลม มี นิวเคลียสขนาด
ใหญ่ เห็นชัดเจน จะปรากฎอยู่ด้านข้างของซีฟทิวบ์เมมเบอร์ มีพิท (pit)
เชื่อมเซลล์ทั้ง สองเข้าด้วยกันทา ให้ส่งผ่านสาร เช่น เอนไซม์ให้แก่ซีฟทิวบ์
เมมเบอร์
หน้าที่ของเซลล์คอมพาเนียน
1. ช่วยในการลาเลียงอาหารของซีฟทิวบ์เมมเบอร์ให้ทางานได้ดีขึ้น
เนื่องจากซีฟทิวบ์เมมเบอร์ เมื่อแก่ลงไม่มีนิวเคลียสทาให้ทางานไม่เต็มที่
2. ควบคุมการทางานของซีฟทิวบ์เมมเบอร์โดยการสร้างเอนไซม์ไปควบคุม
3. เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับซีฟทิวบ์เมมเบอร์