Más contenido relacionado Aec127. ASEAN SOCIO-CULTURAL
COMMUNITY
A. Human Development
B. Social Welfare and
Protection
C. Social Justice and
Rights
D. Ensuring Environmental
Sustainability
E. Building ASEAN
Identity
F. Narrowing the
Development Gap
AEC
Single
market and
Production
base
28. AEC BLUEPRINT
1. Trade
in GoodsIntra-ASEAN Trade
Single Market & Production Base
ASEAN 6 Tariff 0%
by 2553
CLMV Tariff 0% by
2558
(Sensitive Items)
Tariff < 5% by 2558
4
29. AEC BLUEPRINT
1. Trade in
Goods
Non-Tariff Barriers: NTBs
ASEAN 5
2553
2555
CLMV
2558
(Tariff Quota)
(Imported
30. AEC BLUEPRINT
2. Trade
in Services
254
9
255
1
255
3
255
8
PIS 12
49
%
51
%
70
%
PIS: Priority Integration Sectors
ICT, Health,
Logistics 70%
2556
30
%
49
%
51
%
70
%
Notas del editor แนวทางเตรียมความพร้อมและปรับตัวภาครัฐ การเจรจจาจัดทำความตกลง FTA แต่ละประเทศย่อมได้รับประโยชน์และเสียผลประโยชน์ในบางด้าน ภาครัฐต้องมีแนวทางในการเจรจาโดยยึดถือผลประโยชน์ในภาพรวมและของคนส่วนใหญ่ในประเทศ ขณะเดียวกันต้องมีแนวทางในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ รวมถึงมาตรการเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศที่อาจได้รับความเสียหายจากการจัดทำ FTA ซึ่งมาตรการแก้ไขเยียวยานี้ได้ถูกกำหนดไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในมาตรา 190 ซึ่งรัฐบาลต้องปฏิบัติตามด้วย โดยมาตรการที่รัฐบาลได้ดำเนินการในช่วงที่ผ่านมาประกอบด้วย กองทุน FTA – กองทุนสำหรับช่วยเหลือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับช่วยเหลือและยกระดับความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจไทยที่ถูกกระทบจากการเปิดเสรีให้สินค้าจากต่างประเทศเข้ามามากขึ้นภายใต้ FTA ปัจจุบัน ทางการไทยได้จัดตั้งกองทุนเงินช่วยเหลือเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า (กองทุน FTA) โดยกำหนดหลักเกณฑ์และรูปแบบการช่วยเหลือ ที่สำคัญ ได้แก่ การช่วยเหลือที่ไม่ใช่เป็นการให้เงิน แต่เป็นการสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมที่ช่วยยกระดับอุตสาหกรรม เช่น การจัดสัมมนา การทำวิจัยเพื่อพัฒนาและหาแนวทางปรับตัว โดยมีระยะเวลาโครงการ1-3 ปี ภาครัฐควรจัดหางบประมาณสำหรับกองทุน FTA อย่างเพียงพอและต่อเนื่อง และกำหนดขั้นตอนการอนุมัติโครงการที่คล่องตัว รวมทั้งสนับสนุนโครงการที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม ควรมีกระบวนการติดตามและประเมินผลของโครงการภายใต้กองทุน FTA อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดผลประโยชน์แก่กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม มาตรการปกป้องฉุกเฉิน (Safeguard) –พระราชบัญญัติปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น หรือกฎหมายเซฟการ์ด (Safeguard) เป็นมาตรการปกป้องฉุกเฉิน เพื่อลดผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าที่ทำให้เกิดการไหลทะลักของสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนส่งผลเสียหายต่อภาคธุรกิจภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม มาตรการปกป้องฉุกเฉิน หรือกฎหมายเซฟการ์ด มีกำหนดกรอบระยะเวลาในการใช้ และการใช้มาตรการเซฟการ์ดจะต้องมีข้อมูลที่พิสูจน์ได้ถึงความเสียหายที่ร้ายแรงจากการเปิดเสรี ซึ่งถือเป็นมาตรการที่ดีในการช่วยเหลือผู้ประกอบการในประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการเปิดเสรีทางการค้า แต่การใช้มาตรการนี้ จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่ครบถ้วนและอ้างอิงได้ในการพิสูจน์ความเสียหาย รวมถึงต้องพิจารณาความสมดุลระหว่างการปกป้องผู้ผลิตซึ่งประกอบด้วยผู้ผลิตหลายกระบวนการ และการปกป้องผู้บริโภคด้วย ปรับปรุง พัฒนาระบบมาตรฐานสินค้าของไทย เช่น มาตรฐานสุขอนามัย มาตรฐานสินค้า การตรวจสอบ และสิ่งแวดล้อม เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคที่อาจได้รับความเสียหายจากการนำเข้าสินค้าที่มีมาตรฐานต่ำ และเพื่อยกระดับมาตรฐานสินค้าไทยสู่สากล แนวทางเตรียมความพร้อมและปรับตัวภาคเอกชน การเตรียมและปรับตัวในเชิงรุกของผู้ประกอบการเพื่อตักตวงผลประโยชน์ให้ได้สูงสุด รวมถึงการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น มีแนวทางดังนี้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การสร้างมูลค่าเพิ่ม (value creation) การสร้าง brand name ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลดำเนินกลยุทธ์การตลาดในเชิงรุก โดยเจาะถึงตลาดผู้ซื้อในต่างประเทศและศึกษาความต้องการของผู้ซื้อ เพื่อพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการ นำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาใช้ เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะเทคโนโลยีด้านสารสนเทศที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ และให้ความสำคัญกับเรื่องการวิจัยและพัฒนา (R&D) ให้มากขึ้น เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ พัฒนาและสร้างความสัมพันธ์กับภาคเอกชนของประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น เพื่อสร้างเครือข่าย หรือพันธมิตรในการดำเนินธุรกิจ และสร้างอำนาจในการเจรจาต่อรองทางการค้า ศึกษาและติดตามกฎระเบียบ ข้อตกลงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างถ่องแท้ เพื่อตักตวงผลประโยชน์ให้ได้สูงสุด และหากพบอุปสรรคที่เกี่ยวกับมาตรการกีดกันทางการค้าให้ประสานแจ้งหน่วยงานภาพรัฐทราบเพื่อแก้ไขปัญหาโดยเร็ว การเข้าไปลงทุนหรือร่วมลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศในอาเซียนมีความหลากหลายและความพร้อมทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน มีทั้งกลุ่มที่มีความชำนาญในด้านเทคโนโลยี กลุ่มที่เป็นฐานการผลิต และกลุ่มที่มีทรัพยกรและแรงงานสำหรับการผลิต ดังนั้น ไทยจึงจำเป็นต้องพิจารณาเลือกใช้จุดแข็งที่มีอยู่ในแต่ละประเทศให้เป็นประโยชน์ โดยอาจย้ายฐานการผลิตของบางอุตสาหกรรมเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อสร้างความได้เปรียบในการการแข่งขัน หรือการร่วมลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ อาเซียนจะต้องยกเลิกภาษีและมาตรการทางการค้าภายใต้กรอบอาฟตาระหว่างกันในปี 2553 รวมทั้งเปิดเสรีภาคบริการ เงินทุนและแรงงานภายในปี 2558 อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าประเทศอาเซียนอาจจะนำมาตรการทางการค้าด้านเทคนิคมาใช้ เช่น มาตรฐานสินค้าและการติดฉลากที่ไม่ละเมิดกรอบ WTO โดยทั่วไปมาตรการเหล่านี้เป็นมาตรการที่มีขึ้นเพื่อปกป้องผู้บริโภคในประเทศของตนซึ่งเป็นการยากที่จะจำกัดหรือยกเลิกไป ดังนั้น ผู้ประกอบไทยจะต้องพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของสินค้าให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก เพราะการผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐานจะเปิดโอกาสให้สินค้าไทยส่งออกไปยังตลาดใดในโลกก็ได้โดยไม่ต้องประสบกับอุปสรรคด้านมาตรฐานสินค้า โดยเฉพาะการพัฒนามาตรฐานทางด้านการอนุรักษ์โลกซึ่งเป็นกระแสที่คาดว่าจะมีมาตรการเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต