3. 3
อาจารย์แบ่งกลุ่มให้ 4 กลุ่ม แจกการ์ดกลุ่มละ 5 ใบ ให้สมาชิกในกลุ่มอภิปรายร่วมว่าภาพใด
สามารถเป็นตัวแทนปีแรกในการเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ (Select a postcard that your group
feels best represents your first year of teaching Science) กลุ่มของเราเลือกภาพรถที่
จอดอยู่ท่ามกลางทะเลทราย ด้วยเหตุผลที่ว่า แต่ละคนมีเรื่องราวให้บุกเบิกเริ่มต้นเกี่ยวกับ
การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ เช่น พี่นก เรียนด้านคณิตศาสตร์แต่ต้องมาสอนวิทยาศาสตร์
โรงเรียนของพี่เดียร์เพิ่งเริ่มต้นสอนวิทยาศาสตร์ม.ต้น สำหรับครูปุ้มเองก็น่าจะเป็นผู้บุกเบิกการสอนที่
มีปฎิบัติการทางวิทยาศาสตร์
“I choose this picture because the picture like lack of supply/resource so dry up
but show can feel the strongest of picture”
KruPumBiO in Georgia class.
อาจารย์ให้เราทำกิจกรรมนี้เพื่อที่จะให้นึกถึงความรู้สึกแรกเมื่อก้าวเข้าสู่ การทำงานเป็น
ครูวิทยาศาสตร์ ซึ่งบางครั้งเราผ่านประสบการณ์ตรงนั้นนานจนลืมไปว่า ครูใหม่ทุกคนมีสภาวะ
ที่ยากลำบากในช่วงเริ่มต้นการทำงาน เมื่อกลับไปทำความเข้าใจกับความรู้สึกนั้นได้
เราจะสามารถช่วยคุณครูมือใหม่ได้นั่นเอง
กิจกรรมนี้ยังช่วยให้อาจารย์ Luft ได้รู้ prior knowledge (ความรู้เดิม) ของเราอีกด้วย
ว่าแต่ละคนมีประสบการณ์มาอย่างไร อะไรบ้างที่ผู้เรียนมีอยู่ในตอนนี้ (Prior knowledge = What
you know about something, what they bring in our classroom)
จากนั้นอาจารย์ได้อธิบายถึงคำว่า “New teacher” ซึ่งบางครั้งไม่ได้หมายถึงครูที่
เพิ่งบรรจุเข้าทำงานอย่างเดียว (New to teaching) ยังหมายถึง
- New to teaching a field = การสอนในวิชาใหม่
- New to a grade level = การสอนในระดับชั้นใหม่
7. 7
การเรียนรู้เรื่องพันธุศาสตร์-คำถามที่ครูใช้ในการเรียนการสอน
- Which one is the mother?
- How do you know?
- What do you get when you cross this plant in the first generation?
- What is a genotype?
- What is a phenotype?
- What dose a P stand for?
- If this is the offspring, what might the parents be? why?
- How can you diagram two organism mate?
- What dose it mean to heterogenous?
- What dose it mean to homogenous?
- Put that down!
- Yes, that is right.
Canyou tell me how you made that conclusion?
-Yes.
- No this is wrong. Now do it again.
- What would happen to the offspring if this parent was Rr instead of RR.
- Is that dominat?
- Is that recessive?
- What is the chance of having an rr offspring in the first generation?
บทตัวอย่างการสังเกตบทสนทนาในห้องเรียน จะพบว่าการถามคำถามยังเน้นคือความจำ จะช่วยให้ครูเกิด
การเตรียมตัวในเรื่องคำถามในครั้งต่อไป
อาจารย์ให้เทคนิคการสร้างคำถามที่ดีคือ HRASE, H = history, R=Relationship A =
application S = Speculation E = Evaluate.
ช่วงการถาม-ตอบคำถาม
1. ที่อเมริกาไม่เน้น Action Research มาก แต่จะเน้น Data Team Analysis
คือครูนำข้อมูลมารวมกันแล้วช่วยแก้ปัญหาให้ผู้เรียน
2. วัฒนธรรมองกรค์ส่งผลต่อพฤติกรรมของครูใหม่
9. 9
3. ประยุกต์ใช้ร่วมกับวิชาจิตสาธารณะ Service mind เช่น โรงเรียนของครูไพศาล
ทำกิจกรรมว่า นักเรียนในแต่ละหมู่บ้าน ต้องสร้างกิจกรรมที่ช่วยเหลือหรือพัฒนาหมู่บ้านตนเอง
ภาคเรียนละ 1 ครั้ง
1.3 หัวข้อเรื่อง Workshop on “Innovative Case Studies in Science Education” by Georgia
Hodges
แนวคิดในการพัฒนานวัตกรรมชิ้นนี้คือการ “Transformational Science today”
อาจารย์ Hodges ถามว่า การใช้เทคโนโลยีในการสอนมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร
Good :D Bad :(
1. Give student many opportunity to face
simulation.
2. Modeling
3. Research
4. Visual
5. Analysis data
6. Share
7. Collaborate
1. Eliminate interaction of students.
2. Eliminate good hand on activities
3. Plagiarism
4. Too much information
จากนั้นเข้าเว็บไซต์ www.cogenteducation.com/studentsignup คือโปรแกรม SABLE
System เข้ารหัส 6ab365be โดยใช้เมลล์ Krupumbio@gmail.com รหัสผ่านคือ 54010563001
ซึ่งนวัตกรรมนี้จะตอบรับกับ
- Flipped ห้องเรียนกลับทาง
- Discovery การค้นพบ
- Summative assessment
ได้เข้าเรียนเรื่อง Diffusion จะมีเหตุการณ์จำลองผ่านภาพ Animation เกิดเหตุการณ์
รถไฟชนกัน โดยที่รถไฟบรรจุคลอรีน ทำให้คลอรีนเกิดการแพร่กระจาย ผู้คนประสบปัญหา (case)
จากนั้น ก็จะมีเนื้อหา (knowledge) แบบสอบถามจะมีเงื่อนไข (คล้าย PISA) แบบฝึกหัด
ทำแบบทดสอบ (process) มีบทบาทสมมุติ (Role play) เพื่อให้มีการตัดสินใจ (decision making)
ซึ่งในระหว่างที่นักเรียนทำกิจกรรม ในโปรแรกมของครูก็จะมีข้อมูลของนักเรียนแต่ละคน
เช่น นักเรียนเรียนไปถึงบทไหนแล้ว ทำแบบฝึกหัดได้กี่คะแนน มีเนื้อหาส่วนไหนที่นักเรียนส่วนมาก
ในห้องตอบผิด ครูจะต้องมีตรวจสอบดูว่า เรื่องนี้มีความยากตรงไหน ต้องช่วยเหลือนักเรียนอย่างไร
จึงเป็นข้อดีของนวัตกรรมนี้ที่ช่วยให้ครูสามารถวัดและประเมินผลผู้เรียนได้อย่างทันท่วงที
เรื่อง Osmosis ใช้กรณี วัวป่วย จะต้องวางแผนว่าจะมีวิธีการแก้ไขปัญหา (Engineering)
ความเข้มข้น (คณิตศาสตร์)
10. 10
การออกแบบเนื้อหาจะใช้กรณีที่พบเจอในชีวิตจริง ซึ่งกรณศึกษาต่างๆสามารถที่
จะค้นหาได้จาก National Center for Case study Teaching in Science.
เมื่อให้ครูนำไปใช้พบว่า
สรุปแนวคิดที่สร้างนวัตกรรมนี้คือ TPACK
การนำแนวคิดนี้ไปใช้ต้องตระหนักถึง 3 ข้อ ต่อไปนี้
1. ใช้โปรแกรมเป็นหรอไม่
2. มีความเข้าใจเนื้อหาเป็นอย่างดีหนือไม่
3. วิธีที่ใช้ดีที่สุดหรือไม่
แนวคิดในการนำไปใช้
1. เป็นแนวทางในการนำไปใช้พัฒนากิจกรรมในการเรียนการสอนที่เน้นการแก้ปัญหา
โดยเริ่มที่กรณีที่ใกล้ตัว การสร้างโอกาสให้นักเรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง
11. 11
1.4 หัวข้อเรื่อง Workshop on “American Science education standards : How they are
being implemented with hands on activities” by Professor Dr. Michael Padilla
โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายจะเป็น grade 9-12 จะมีวิชาให้เลือกมากขึ้น
และการเตรียมความพร้อมให้นักเรียนไปเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา
กิจกรรมที่ 2 : American Science Education Standards : How they are begin
implemented with hands on activities
เริ่มจากการให้สังเกตภาพการ์ตูน เป็นมีคนใส่ชุดกราวในห้อง มีคนหนึ่งยืนอยู่หน้ากระดาน
อีกคนจูบกับหนู อีกคนโดนวัวต่อย อีกคนกำลังจดบางสิ่งบางอย่าง คนสุดท้ายยืนมองคนอื่นๆโดยถือ
กระดานมีกระดาษอยู่ด้วย
อาจารย์ถามว่า ในภาพนี้มีอะไรบ้างแสดงถึง “วิทยาศาสตร์” (อาจารย์บอกว่าชอบใช้
ภาพในการสื่อถึงวิทยาศาสตร์ : Cartoon is the best to present Science Classroom)
คำตอบที่ช่วยกันตอบกับเพื่อนๆ : การสังเกต การจดบันทึก การทดลอง
เราใช้เวลาในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันประมาณ 10 นาที
จากนั้นให้เราปฏิบัติตามดังนี้
1. เลือกตัวเลขมาก 1 ตัว จาก 1-9
2. ลบด้วย 5
3. คูณด้วย 3
4. นำยกกำลังสอง
5. ถ้าน้อยกว่า 5 ให้บวก 5
ถ้ามากว่า 5 ให้ลบ 4
6. คูณด้วย 2
7. นำมาลบด้วย 6
8. ระบุตัวเลขตามลำดับของเลข เช่น 1เลือก A, 2 เลือก B, 3 เลือก C ตามลำดับไปเรื่อยๆ
9. เลือกประเทศที่ขึ้นด้วยตัวอักษรนั้น
10. ตัวอักษรที่ 2 ในประเทศนั้น เป็นชื่อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม
11. สัตว์ตัวนั้นมีสีอะไร
อาจารย์ถามว่ามันคือเวทมนต์หรือตรรกะ
จากนั้นให้แต่ละกลุ่มช่วยกันหาวิธีการสร้างคำสั่งนี้ กลุ่มของเราเสนอวิธี Backward design
อาจารย์จึงเสริมให้ว่า Forward Desin หรือเริ่มที่ตรงกลางก็ได้
12. 12
อาจารย์ตั้งคำถามว่า “อะไรคือ Scientific Inquiry” กลุ่มของเรานำเสนอดังนี้
1. Question 9. Hypothesis 17. Explore 25. Curiosity
2. Search 10. Conclusion 18. Discovery 26. Student-center
3. Investigate 11. Observe 19. Hard-on 27. Experiment
4. Analyze 12. Induction 20. Discovery 28. Prove
5. Collecting data 13.Communication 21. Synthesis 30. Design
6. Formulation 14. Collaboration 22. Creativity
7. Explanation 15. Engagement 23. Problem-
Solving
8. Predict 16. Evaluation 24. Action-learning
อาจารย์ให้ข้อมูลเรื่อง What are the Next Generation Science Standard?
มาตรฐานการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แนวคิดใหม่ให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงของ 3 มิติ
ระหว่าง ปฏิบัติการ (Practices) หลักการ (Concepts) และ แนวคิดที่เป็นแกนในด้านวิทยาศาสตร์
(Disciplinary Core Ideas) นำเสนอในตารางเรียกว่ากล่อง 3 มิติ
มิติที่ 1. ปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และ
วิศวกรรมศาสตร์
(Scientific and Engineering Practices)
1. การตั้งคำถาม (สำหรับวิทยาศาสตร์)
และการระบุปัญหา (สำหรับวิศวกรรมศาสตร์)
2. การพัฒนาและการใช้โมเดล
3. การวางแผนและดำเนินการตรวจสอบ
4. การวิเคราะห์และการตีความข้อมูล
5. การใช้คณิตศาสตร์และหลักการคิด
6. การสร้างองค์ความรู้เพื่ออธิบาย
(วิทยาศาสตร์) และการออกแบบแก้ปัญหา
(วิศวะ)
7. กระตุ้นความสนใจในการโต้แย้ง
จากหลักฐาน
8. การได้ข้อสรุป การวัดผลและการสื่อสาร
มิติที่ 3. แนวคิดที่เป็นแกนกลางของ
วิทยาศาสตร์ (Discipline Core Ideas = DCI
code)
Physical Science
PS1 : Matter and its interactions
PS2 : Motion and stability: Fprces and
interactions
PS3: Energy
PS4: Waves and their applications in
technologies for informaton transfer
Life Sciences
LS1: From Molccules to Organisms:
Structures and Process
LS2: Ecosystems: Interactions, Energy,
and Dynamics
LS3: Heredity: Inheritance and Variation
of Traits
มิติที่ 2. หลักการ (Crosscutting concept)
1. รูปแบบ
2. สาเหตุและผลกระทบ,
กลไกและการอธิบาย
13. 13
3. สเกล อัตราส่วนและปริมาณ
4. ระบบและรูปแบบของระบบ
5. พลังงานและสสาร : การหวุนเวียน
วัฎจักรและการอนุรักษ์
6. โครงสร้างและหน้าที่
7. ความคงที่และการเปลี่ยนแปลง
LS4:Biological Evaluation: Unity and
Diversity
Earth and Space Science
ESS 1 : Earth’s place in the univrse
ESS 2 : Earth’s system
ESS3 : Earth’s systems
Engineering, Technology, and the
Applications of Science
EST1 : Engineering design
EST2: Links among engineering,
technology, science, and society
กิจกรรม Inquiry/Practices Task
1. ทำนายว่าการพับกระดาษทีละครึ่งจะพับได้กี่ครั้ง
2. ทดสอบ (อาจารย์นำกระดาษหนังสือพิมพ์ให้ทดลองพับ)
3. เราจะมีวิธีการออกแบบการทดลองอย่างไรเพื่อจะทดสอบว่าจำนวนพับกระดาษ
กระดาษที่มีขนาดแตกต่างกันหรือไม่
4. ทดลองจริง
อาจารย์อธิบายให้เห็นว่า Scientific Inquiry ก็คือ Scientific Engineering Practices
ที่เน้นการออกแบบให้ชัดเจนมากขึ้น ฝึกให้นักเรียนได้ออกแบบ/วางแผน แก้ปัญหาหรือ
ทดสอบความรู้
เป้าหมายที่ต้องการให้เกิดกับผู้เรียนคือ
1. ระบุตัวแปรที่สำคัญ
--- ตัวแปรต้น (Manipulated/independent)
--- ตัวแปรตาม (Responding/dependent)
--- ตัวแปรควบคุม (Control)
2. พัฒนาสมมติฐาน
3. ออกแบบการทดลองเพื่อทดสอบคำถาม
4. การทดลอง
5. เก็บรวบรวมข้อมูล
6. การสื่อสารและสร้างความเข้ากับผู้อื่นเกี่ยวกับข้อมูลที่ค้นพบ
14. 14
สิ่งที่ NGSS ต้องการคือการปฏิบัติใช่หรือไม่
1. การบูรณาการการฝึกปฏิบัติเข้ากับ Core idea และ Crosscutting Concepts
2. สร้างการคิดระดับสูง
- ใช้ Model เพื่อ... (grade 5)
- ใช้หลักฐานเพื่อสร้างคำอธิบาย...(ระดับกลาง)
- สนใจการโต้แย้งจากหลักฐาน...(ระดับกลาง)
- สร้างคำอธิบาย...(ระดับสูง)
- สื่อสารคำอธิบาย....(ระดับสูง)
- วางแผนและลงมือตรวจสอบ...(ระดับสูง)
3. ใช้ Engineering practice
กลยุทธ์ที่ใช้ในการส่งเสริมการสืบเสาะ
1. Asking question.
2. Asking students to justify their answer.
3. Encouraging students to elaborate answer.
4. Giving students hints and suggestion.
5. Promoting students to cite evidence for their claim.
6. Using silence and wait time
7. Using neutral responses to encourage elaboration.
8. Having students write justifications.
9. Stimulating student to student questions and interaction.
Scientific Inquiry is Core The Teacher is the key.
1. Students have to think about the science they study.
2. Inquiry must be the focus every day, every lesson, all the time!
3. Teachers have to challenge their students to think.
4. A diverse set of teaching strategies is critical.
Using Every Opportunity to Stimulate Thinking!
We have to learn how to incorporate inquiry into:
1. Analysis of lab result.
2. Reading the text.
3. Discussing current events
4. Answering questions from the book.
5. Making sense of complex content.
6. Homework review.
15. 15
TIMSS lesson Analysis Study
1. Emphasize depth of understanding vs. correct answers.
2. Allow students to focus on their doubts and predictions.
3. Encourage creative and individual ideas.
4. Promote exchange of opinions among students.
5. Utilize methods to support and facilitate student thought.
1.5 หัวข้อเรื่อง Elementary Science Teaching Method Course :
Professor Dr. Deborah Tippins
โดยข้อมูลเบื้องต้นสำหรับชั่วโมงเรียนนี้เป็นชั่วโมงเรียนสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ที่เรียน
วิชานี้กับ Dr. Deborah Tippins มีจำนวนนักศึกษาทั้งหมด 24 คน เนื้อหาในการเรียนรู้สำหรับ
คาบนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ วงจรชีวิตของสิ่งมีชีวิต (Life Cycle) Dr. Deborah Tippins จึงได้เรียน
เชิญวิทยากร Alexa Fritzsche ซึ่งเป็นศึกษาปริญญาเอกที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับผีเสื้อ Monarch
ได้มาให้ความรู้เชิงลึก
โดยให้ความรู้พื้นฐานจากนั้นแสดงภาพในแต่ละระยะโดยได้อธิบายวงจรชีวิตในแต่ละระยะของ
ผีเสื้อ ซึ่งในระยะที่เป็นตัวหนอนจะมีทั้งหมด 4 ระยะระยะไข่ (egg) 4 วัน ตัวหนอน (Larva/
caterpillar) 8 วัน ดักแด้ (Pupa/Chrysalis) 9 วัน และผีเสื้อ (Adult) ซึ่งในระยะที่เป็นหนอน
จะมีอีก 5 ระยะ วิทยากรนำภาพหนอน 4 ตัว มาให้แยกในแต่ละระยะแล้วถามผู้ฟังว่า ภาพที่ปรากฏ
เป็น ระยะใด ทำให้ผู้ฟังสนใจมากขึ้น บางภาพเป็นระยะเดียวกันแต่ขนาดตัวแตกต่างกัน จะนำไปสู่
การอภิปรายว่า การศึกษาระยะของหนอนต้องดูที่ลายและอวัยวะ ไม่ใช่แค่ขนาดอย่างเดียว รวมถึง
การแยกเพศของผีเสื้อจากภาพ ตัวผู้สามารถสังเกตได้จากการดูจุดที่ปีกจะมีจุดสีดำบนเส้นปีกข้างๆ
ลำตัวและปลายลำตัวจะเปิด
(ภาพ บนซ้าย : วงจรชีวิตของผีเสื้อ บนกลาง : หนอนผีเสื้อในแต่ละระยะ บนขวา :
การเปรียบเทียบขนาดตัวและระยะของหนอนผีเสื้อ ล่างซ้าย : การแยกเพศของผีเสื้อ
ล่างกลาง : การอพยพของผีเสื้อ ล่างขวา : เว็บไซต์ที่ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม)
18. 18
1.6 หัวข้อเรื่อง The language of Science inquiry practices” by
Professor Dr. Cory Buxton
ในการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ครูอาจจะประสบปัญหาที่นักเรียนบอกว่า “ไม่มีความสามารถ
ในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ยากเกินไป” วิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ที่ดีขึ้นคือ การทำความเข้าใจในเอกลักษณ์ภาษาทางวิทยาศาสตร์
อาจารย์เริ่มกิจกรรมด้วยการให้แต่ละกลุ่ม อภิปรายร่วมกันว่า “อะไรทำให้ภาษาของ
วิทยาศาสตร์มีเอกลักษณ์” (What makes the language of Science unique?) แต่ละกลุ่ม
แสดงความคิดเห็น เมื่อตัวแทนแต่ละกลุ่มนำเสนอ อาจารย์สรุปใน 3 ส่วนคือ
ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วนคือ
1. Technical nature of scientific vocabulary คำศัพท์ที่ใช้ในวิทยาศาสตร์เป็นคำศัพท์
ที่มีความหมายเฉพาะ ไม่เหมือนกับที่ใช้ในชีวิตประจำวันหรือทั่วๆไป คำศัพท์เฉพาะเหล่านี้
มาจากรากศัพท์กรีกและละติน prefixes และ suffixes
2. Abstrat and depersonalized nature of Scientific language คำนามจะเป็น
คำนามธรรมที่สร้างจากการกระทำหรือเชิงคุณภาพ เช่น distillation คือการกลั่น ซึ่งผู้เรียนจะเข้าใจ
ได้ง่ายหากได้ลงมือปฏิบัติ แต่หากเพียงได้ยินคำศัพท์อยากเดียวจะยากต่อความเข้าใจและอธิบาย
ออกมาในรูปของนามธรรม ซึ่งเรียกว่า Nominalization คือการเปลี่ยนประโยคให้อยู่ในรูป passive
voice ทำให้วิทยาศาสตร์ดูเป็นรูปธรรมและเน้นในสิ่งที่ทำมากกว่าเน้นว่าใครหรืออะไรเป็นผู้กระทำ
เช่น ต้นไม้ถูกตัดลงเป็นผลมาจากการสูญเสียดิน การวัดผลจะทำเพื่อตรวจสอบการเพิ่มขึ้น
ของชั้นโอโซน
3. Dense clause in Scientific text ข้อความของวิทยาศาสตร์ที่นำความคิด หลักการมา
เขียนอยู่ในรูปข้อความสั้นๆ ในรูปของอนุประโยค (ประโยคที่เกิดขึ้นตามลำพังไม่ได้ จะไม่สื่อ
ความหมายที่สมบูรณ์) จะประกอบด้วยกระบวนการที่หลากหลาย ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและ
บริบทสิ่งแวดล้อม สถานการณ์ มากกว่าอนุประโยคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน Dense clause
จะอยู่ในรูปของนาม (bassball : เบสบอล) กับวลีส่วนขยายต่างๆ (multiple pre modifier) ( the
19. 19
net force applied : แรง) และ post-modifiers วลีที่ทำหน้าที่อธิบายความหมายเพิ่มเติม (under
accelaration : ภายใต้ความเร่ง)
จากนั้นแจกการ์ดให้คนละ 3 การ์ด เข้าคู่กับเพื่อน ซึ่งเป็นข้อความต่างๆ เช่น
“Good science cannot be done without good theories”
“Unless an idea is teasble it is of little or no use”
“Formal and informal networking among scientists is crucial for the success of
scientific research”
พิจารณาเลือกการ์ดที่เห็นด้วยเพียง 3 ใบ จากนั้นรวมกันกับเพื่อนทั้งกลุ่ม เลือกไว้ 9 ใบ
แล้วพิจารณาข้อความการ์ดว่า มีคำศัพท์ มีคำ Abstract และ Dense clouse อยู่ตรงไหนในข้อความ
บ้าง
คำศัพท์ เช่น observation, Scientific research, generalizations และ testable
Abtract and depersonalized เช่น Idea is testable. Formal and informal.
Science begin with observation with lead to generalizations.
Dende clauses : Seeing is believeing. Unless an idea is testable it is of little or
on use. Scientific knowledge is always objective and self-correcting.
เพื่อให้เห็นว่าการเขียนและข้อความมีความสำคัญต่อการสื่อสารความหมายมากเพียงใด
อาจารย์จึงให้ทำกิจกรรม Zoobs technical writing
เป็นกิจกรรมการร่วมมือของ 2 คน ในการสื่อสารผ่านกิจกรรมที่เน้นทักษะความชัดเจน
และถูกต้องในการเขียน คนแรกทำหน้าที่ ผู้เขียน (writer) จะใช้การเขียนแบบ Zoobs
คือเขียนคำสั่งเพื่อให้อีกคนเป็นคนสร้างโครงสร้างบางอย่างขึ้นมา (ในกิจกรรมกรรมนี้ใช้
การสร้างหุ่นจาก ตัวต่อ 17 ตัว คนเขียนเป็นคนเห็นหุ่นเต็มรูปแบบ) อีกคนเป็น Builder หรือ Doer
คือคนที่ได้รับคำสั่งที่เขียนขึ้นจาก writer โดยที่ผู้สร้างไม่มีโกาสเห็นโครงสร้างมสมบูรณ์ของหุ่น
25. 25
1.8 หัวข้อเรื่อง “Elementary Science Teaching Methods course” by
Professor Dr. Deborah Tippins
อาจารย์นำเสนอแนวคิด เรื่อง “Idea of movement Integrated with Mathematics and
Language” ชื่อเรื่องคือ Animal and Food chain สำหรับเด็กระดับประถมศึกษา
ขั้นนำ เริ่มจากกิจกรรม Movement of Mammal ด้วยคำถามที่ว่า What’s animal to
day? อาจารย์นำเสนอบัตรภาพสัตว์ต่างๆ พร้อมทั้งท่าทางที่แสดงถึงสัตว์ตัวนั้น เช่น ช้าง
มือซ้ายจับหูขวา มือขวายื่นออกมาด้านหน้าแทนงวงช้าง แพนกวิน ยืนแขนตรงแนบลำตัว
งอข้อมือออกนอกลำตัวคล้ายกับแขนนกแพนกวิน ลิงกอลิล่า ทำมืองุ้มเข้าหาลำตัวแกว่งไปมา
ขั้นสอน ด้วยกิจกรรม Mamals of the woods Math Game ขออาสาสมัคร รับบัตรภาพ
ประกอบด้วย 9 ภาพคือ ภาพตอไม้, กระต่าย, แรคคูณ, หมี, เม่น, Opossum, Skunk, หมาป่า
(Coyote), และ บีเว่อร์ เมื่อรับภาพแล้วอาจารย์จะอ่านเรื่องราว ให้อาสามาสมัคร ทำท่าทางตาม
ที่ได้ยิน ไปยังหน้าห้องเรียน เช่น
“สัตว์ที่มีขน 8 ตัว ในรังมีลูก 7 ตัว กระต่ายกระโดดข้ามทุ่งหญ้า ตอนนี้เหลือ 7 ตัว” (8
furry creatures. From her nest with babies eleven. The rabbit hops across the
meadow. Now there are 7)
- คนที่ถือภาพกระต่ายก็ทำท่ากระโดดข้ามทุ่งหญ้าไปยังหน้าห้องเรียน
“สัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำมนขนปุกปุย หมีไปยังต้นไม้ ยื่นจมูกเพื่อหาน้ำผึ้ง เหลือหมีอยู่ 6 ตัว” (7
fluffy mamals, Away bear goes, poking under logs and stricks, Looking for honey. Now
there are 6)
- คนที่ถือภาพหมีทำท่ายื่นจมูกหาน้ำผึ้งออกไปยังหน้าห้องเรียน
“สัตว์ที่มีขน 6 ตัว กระโดดโลดเต้นและมีชีวิตชีวา เม่นเดินลากขา ตอนนี้เหลือ 5 ตัว” (6
hairy animals, frisky and alive, The porcupine shuffles away, Now there are 4)
- คนที่ถือภาพเม่นทำท่าเดินลากขาออกไปหน้าห้องเรียน
“สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่บริเวณป่าไม้ ตัวหนึ่งอยู่ใกล้ๆชายฝั่ง บีเวอร์ดำน้ำลงไปในบึง
ตอนนี้เหลือ 4 ตัว” (5 woodland mamals, One is near the shore. The beaver dives into
the lake. Now there are 4)
- คนที่ถือภาพบีเวอร์ทำท่าดำน้ำไปหน้าห้องเรียน
“สิ่งมีชีวิตในป่า มองและมอง เจ้าแรคคูน คลานเข้าไปในโพรงไม้ และตอนนี้เหลือ 3” (4
forest creatue. Just look and see. The raccoon crawls into a hollow log. Now there
are 3)
- คนที่ถือภาพแรคคูณทำท่าคลานไปหน้าห้องเรียน
“สัตว์เลี้ยงด้วยน้ำนมจำนวนคี่ จะส่งเสียงให้ได้ยินว่า อาอู้ Opossum ขี้ตกใจแอบอยู่ในรู
ตอนนี้เหลืออยู่ 2 ตัว” (3 odd mamals. In the distance is heard, “Ah-yoo”. The
frightened opossum hudes in a hold. Now there are 2)
26. 26
- คนที่ถือภาพ Opossum ทำท่าตกใจออกไปหน้าห้องเรียน
“สัตว์ 2 ตัว ที่ไม่ต้องวิ่ง สกั้งผู้กล้าหาญเดินช้าๆไปเรื่อยๆ ตอนนี้เหลือ 1 ตัว” (2 Critters
left. There’s no need to run. The brave skunk ambles away. Now there is 1)
- คนที่ถือภาพสกั้งทำท่าเดินช้าๆออกไปหน้าห้องเรียน
“หมาป่าโคโย้ตี้ผู้เดียวดาย มองพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน หายลับผ่านยอดภูเขา
ตอนนี้ไม่เหลือสัตว์สักตัว” (1 lone coyote, watching the setting sun, Soon disappears over
the crest of the hill. Now there are none.)
จากนั้นให้ฟังอาจารย์อ่าน เมื่อมีชื่อภาพของตนเองให้ทำท่านั้นกลับมายังที่นั่งของตนเอง
The rabbit is one.
The bear is two.
The porcupine is three.
The beaver is four. Take a deep breath....here come some more.
The raccoon is five.
The opossum is six.
The skunk is seven.
The coyote is eight. The group is all here today. So, one more, they all “take
off” each going a separate way.
Over in the lake, hear the beaver’s tail thump.
There’s nothing left here but the big, old stump.
ซึ่งสามารถบูรณาการได้ทั้งภาษา คือคำศัพท์อาการต่างๆ และคณิตศาสตร์ คือการบวกนับเลข
กิจกรรมที่ 2 เน้นเรื่องภาษาเพื่อใช้บอกตำแหน่ง เหมาะสำหรับเด็กอนุบาล -ป.2
ด้วยคำสั่งต่อไปนี้
28. 28
กิจกรรมห่วงโซ่อาหารโดยใช้เทคนิค Music/Drama/Theater
การจัดกิจกรรมการสอน เรื่อง กิจกรรมโซ่อาหาร (2)
1. ขออาสาสมัครเป็นกวาง 3 ตัว เสือซีต้า (chetah) 3 ตัว และ ไฮยีน่า 3 ตัว
พร้อมมีอุปกรณ์การแสดงให้
2. ครูเล่าเรื่องผู้ล่าและเหยื่อ จากเพลง Stay Close to me โดย Pam Blanchard จากอัมบั้ม
Music Makes Me happy มีเนื้อเพลงและการแสดงดังนี้
An old gazelle got sick. No longer was he quick.
(กวาง 3 ตัวเดินพร้อมกัน มี 1 ตัวที่ป่วยเดินช้า)
And he couldn’t help but lag behind the herd.
(กวางป่วยเดินหลังกลุ่ม)
Well, a cheetah was qownwind, and he struck and took the breath from him.
(เสือซีต้าเฝ้ามอง และเข้าตระครุบกวางป่วย)
The cheetah ate his meal while the herd ran away.
(เสื้อซีตาร์กินกวาง กวางที่เหลือวิ่งหนี)
Stay close to me, my little one.
For there’s danger if you go out there alone.
In the middle of the heard.
We’ll surround you and you’ll be.
So much safer if you’re close to me.
(ย้อนกลับมาที่กวาง 3 ตัว ให้กวางตัวป่วยอยู่ตรงกลาง จะได้ปลอดภัย)
A pack of hyenas smelled the blood of the gazelle.
(หมาป่าไฮยีน่าทำท่าได้กลิ่นเลือด)
And they searched until they found that cheetah eating very well.
()เข้ามาแก่งอาหารกับเสือ)
So they fought and they hit and they chased the cheetah for from it.
(เสือซีตาร์ถูกไล่)
29. 29
The cheetah could only watch while the pack ate his prey.
(เสือมองดูเหยื่อที่ตัวเองล่าถูกไฮยีน่ากิน)
กิจกรรมมลพิษส่งผลต่อชีวิตปลา การบูรณาการวิทยาศาสตร์กับภาษา
(เรื่องเล่าและคำคุณศัพท์)
1. ครูเตรียมขวดแก้วขนาดใหญ่ พร้อมกับปลาพลาสติก
2. ครูจะอ่านเรื่องเล่า พร้อมกับเทใส่มลพิษต่างๆเข้าไปเรื่อยๆ พร้อมเล่าเรื่องดังนี้
1. Imagine a clean river as it meanders through a protected wilderness area. In this
river lives Fred the fish. How Does Fred Feel? Frea has lived in this stretch of the river
all of his life. But now he decides to go on a adventure and explore the area
downdtream.
2. Fred swims into farm country. He passes a freshly plowed river bank. It begins to
rain and some soil erodes into the river. (ใส่ดินลงไปในขวดแก้ว) How does Fred Feel?
3. Fred nears a suburban housing development. Some fertilizer from the farms and
lawns have washed into made the plants in the river grow very fast and thick.
Eventually the river couldn’t furnish them with all the nutrients they needed. They
died and all strated to decay. Their decomposition is using up all Fred’s
oxygen.(เทน้ำผงซักฟอกลงในขวดแก้ว) How does Fred feel?
4. Fred swims under a highway bridge. Come cars traveling across the bridge are
leaking oil. The rain is washing the oil into the river below. (เทน้ำเชื่อมลงในขวดแก้ว)
How does Fread feel?
5. During a recent cold spell, iceformed on the bridge. Conutry tracks spread salt on
the roads to prevent accidents. The rain is now washing salty slush onto the river.
(เทเกลือลงในขวดแก้ว) How does Fread feel?
30. 30
6. Fred swims past the city park. Some picnickers did not throw their trash away. The
wind is blowing it into the river. (โปรยกระดาษลงในขวดแก้ว) How does Fred feel?
7. Several factories are located downriver from the city. Although regulations limit
the amount of pollution the factories are allowed to dump into the river, the factory
owners don’t always abide by them. (เทน้ำสบู่ลงในขวดแก้ว) How does Fred feel?
8. The city’s Wastewater Treatment plant is also located along this stretch of the
river. The pollunation regulations are not as strict as they should be and a section of
the plant has broken down. (ใสสีผสมอาหารสีแดงลงในขวดแก้ว) How does fred feel?
9.Finally, Fred swims past a hazadous waste dump located on the bank of the river.
Rusty barrels of toxic chemicals are leaking. The rain is washing these poisons into
the river. (ใส่สีผสมอาหารสีเขียว 1 หยด ลงไปในขวดแก้ว) How does Fred feel?
ในขณะที่คุณครูอ่านและใส่แต่ละอย่างลงในขวดแก้ว นักเรียนจะช่วยกันเขียนคำคุณศัพท์
โดยมีตัวแทน ไปเขียนหน้ากระดาน เช่น Great. dirty sleepy, salty sad, dead เป็นต้น
กิจกรรมต่อมาคือ กรองน้ำในขวดแก้ว
เนื่องจากน้ำในขวดแก้ว ถูกผสมด้วยสารต่างๆมากมาย โจทย์ที่ท้าทายสำหรับผู้เรียนคือ
ช่วยกันทำให้น้ำในขวดแก้วสะอาดขึ้น โดยในครั้งนี้จะใช้วิธีการกรอง โดยมีอุปกรณ์คือ ขวดพลาสติก
ทราย กรวดหยาบ กรวดละเอียด ถ่าน (ชาโค) สำลี โดยให้แต่ละกลุ่มร่วมกันออกแบบเพื่อกรองน้ำให้
น้ำใสให้มากที่สุดเมื่อผ่านการกรอง 3 รอบ
แต่ละกลุ่มออกแบบการจัดเรียงวัสดุสำหรับกรองและลงมือทดลอง จากนั้นนำน้ำ
ที่ผ่านการกรองของแต่ละกลุ่มมาเปรียบเทียบ สอบถามแนวคิดในการจัดเรียงวัสดุกรอง
วัสดุใดที่น่าจะส่งผลต่อความใสของน้ำ
ในตอนท้ายของกิจกรรมครูต้องไม่ลืมย้ำให้นักเรียนทราบว่าแม้ว่าน้ำจะใสขึ้นแต่ก็
ไม่เหมาะสำหรับดื่ม เนื่องจากยังมีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นอยู่ในน้ำ
ขั้นสรุป
การออกแบบกิจกรรมเพื่อบูรณาการสหวิชาจะช่วยให้เกิดการฝึกฝนผู้เรียนอยากหลากหลาย
ทักษะ และยังเป็นพื้นฐานการออกแบบการจัดการเรียนรู้แบบ STEM อีกด้วย
31. 31
กิจกรรมบูรณาการวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ โดยเทคนิค Cooperative learning
นักเรียนแบ่งกลุ่มๆ ละ 4 คน โดยให้สมาชิกในกลุ่มเลือกหน้าที่ของตนเอง ประกอบด้วย
1. Manager = อ่านข้อมูลจากแผ่นเป้าลูกบอล
2. Dropper = โยนลูกเล็ก
3. Catcher = ช่วยเก็บลูกให้โดนแผ่นเป้าแค่ 1 ครั้ง
4. Recorder = บันทึกข้อมูล
อุปกรณ์
1. กระดาษเป้า แต่ละวงจะมีระดับคะแนน 2 แผ่น (วางด้านบน กระดาษลอกลายตรงกลาง
และกระดาษเป้าปิดท้าย)
2. กระดาษลอกลาย
3. กระดาษบันทึกข้อมูล
Combination Predictions Test Scores Test Mean Test range
1. ABC
2. DEF
3. AEC
4. DBC
5. ABF
6. DEC
7. AEF
A : ปล่อยลูกบอลด้วยมือขวา
B : ห่างจากกระดาษเป้า 1 เมตร
C : ไม่ต้องยื่นแขนออกไป (ทำให้ตามองเห็นกระดาษเป้าได้)
D : ปล่อยลูกบอลด้วยมือซ้าย
E : ห่างจากกระดาษเป้า 2 เมตร
F : ยื่นแขนไปปล่อยลูกบอล