SlideShare una empresa de Scribd logo
1 de 69
Descargar para leer sin conexión
บทที่ ๓
แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับกรรมตามหลักของพระพุทธศาสนา
“กรรม”ตามหลักพระพุทธศาสนาเถรวาทเป็นกระบวนธรรมภายในจิตที่ใช้
หลัก ปฏิจจสมุปบาทมาอธิบายและกรรมก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งในกระบวนการแห่งปฏิจจสมุป
บาทเป็น การพิจารณาในแง่ของกระบวนการธรรมชาติว่าด้วยตัวกฎหรือสภาวะล้วนๆและเป็นการ
มองอย่างกว้างๆตลอดทั้งกระบวนการที่ไม่เน้นจุดใดจุดหนึ่งโดยเฉพาะแต่ในทางปฏิบัติเมื่อมองใน
แง่ความ เป็นไปในชีวิตจริงจะเห็นว่าส่วนของปฏิจจสมุปบาทที่ปรากฏเด่นชัดออกมาในการ
ดาเนินชีวิต ประจาวันเป็นเรื่องของการแสดงออกและเกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบของคนโดย
ตรงที่มีตัวการ และสิ่งแวดล้อมอื่นๆเกี่ยวข้อง ในการศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องกรรม
๓.๑ ความหมายของกรรม
คาว่า “กรรม” ในทางพระพุทธศาสนาแปลว่าการกระทา มีความหมายกลาง ๆ
ใช้ได้ทั้งในทางดีและทางไม่ดี ถ้าเป็นกรรมดีเรียกว่า กุศลกรรม กรรมไม่ดีเรียกว่า อกุศลกรรม
พระพุทธเจ้าได้ตรัสความหมายของกรรมไว้ในนิพเพธิกสูตรว่า “ภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยเหตุนี้ว่า
เรากล่าวว่าเจตนาเป็นตัวกรรม บุคคลคิดแล้วจึงกระทาด้วยกาย วาจา และใจ”๑
พระพุทธพจน์นี้นักปราชญ์และนักวิชาการทางพระพุทธศาสนาได้อธิบายความหมาย
ของกรรมเพิ่มเติมไว้ดังนี้
พระญาณติโลกะ(Nyanatiloka)อธิบายว่ากรรมคือการกระทาที่มีพื้นฐานมาจากกุศล กับ
อกุศลทาให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิดหรือเจตนาเป็นตัวกาหนดที่ไป เจตนาของกรรมคือ การ
แสดงออกของการกระทาที่เป็นกุศลหรืออกุศลมีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม กรรมทาง
พระพุทธศาสนาจึงมิใช่ตัวกาหนดโชคชะตาหรือสังคมของมนุษย์แต่เป็นเรื่องของการกระทา ซึ่ง
ทางตะวันตกมีความเข้าใจว่า พระเจ้าเป็นผู้กาหนด๒
๑
องฺ. ฉกฺก. (ไทย) ๒๒/(๖๓/๕๗๗.
๒
Nyanatiloka, Bhddhist Dictionary Manual of Buddhist Terms and Doctrines, (Kandy
:Buddhist Publication Society, 1980 ) , P. 92.
๔๘
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) อธิบายว่า กรรม แปลตามศัพท์ว่าการงานหรือการ
กระทา แต่ในทางธรรมต้องจากัดความจาเพาะลงไปว่า หมายถึง การกระทาที่ประกอบด้วยเจตนา
หรือการกระทาที่เป็นไปด้วยความจงใจถ้าเป็นการกระทาที่ไม่มีเจตนาก็ไม่เรียกว่าเป็นกรรมใน
ความหมายทางธรรม๓
พระธรรมวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ) อธิบายว่า กรรม แปลว่า การกระทา กรรมนี้เป็น
คากลางๆถ้าหากว่าเป็นการกระทาดีท่านเรียกว่ากุศลกรรมถ้าหากว่าเป็นการกระทาชั่วท่านเรียกว่า
อกุศลกรรม๔
พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) อธิบายว่า กรรม แปลว่า การกระทา การ
กระทาที่แสดงออกทางกายเรียกว่า กายกรรม การกระทาทางวาจาเรียกว่า วจีกรรม ลาพัง ความคิด
เรียกว่ามโนกรรม กรรมที่จะมีผลหรือวิบากต้องเป็นการกระทาที่มีเจตนาเป็นตัวนาเสมอ๕
แสง จันทร์งาม อธิบายว่า กรรม แปลว่า การกระทา (action) ที่ประกอบด้วยเจตนา
หรือความตั้งใจ (volition) อันมีกิเลสเป็นแรงผลักดัน ฉะนั้นกรรมที่สมบูรณ์จะต้องมีตัวประกอบ
กรรม ๓ เสมอ คือ มีกิเลสเป็นแรงกระตุ้น มีความตั้งใจหรือเจตนามีการกระทาหรือการเคลื่อนไหว๖
บรรจบ บรรณรุจิ๗
อธิบายว่า กรรม คือ การกระทาที่ประกอบด้วยเจตนาของคนที่ยังมี
กิเลสซึ่งยังมีการให้ผลแบ่งออกได้เป็น ๓ ทางคือกายกรรม (การกระทาทางกาย) วจีกรรม(การ
กระทาทางวาจา–พูด) และมโนกรรม (การกระทาทางใจ ความคิด)กรรมทั้ง ๓ มีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว
ชะบา อ่อนนาค อธิบายว่า กรรม คือ การกระทาที่ประกอบด้วยเจตนาอันมีพื้นฐานมา
๓
พระพรหมคุณาภรณ์ (ปยุตฺโต), พุทธธรรม, ฉบับปรับปรุงและขยายความ, พิมพ์ครั้งที่ ๑๑,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์บริษัท สหธรรมิก จากัด, ๒๕๔๙), หน้า ๑๕๗.
๔
พระธรรมวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ) , กฎแห่งกรรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๗, (กรุงเทพมหานคร : มหา
มกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖), หน้า ๒.
๕
พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูรธมฺมจิตฺโต),กรรมและการเกิดใหม่, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร :
โรงพิมพ์บริษัท สหธรรมิก จากัด, ๒๕๓๙), หน้า ๒๖.
๖
แสง จันทร์งาม, พุทธศาสนวิทยา, พิมพ์ครั้งที ๔, (กรุงเทพมหานคร : ธีระการพิมพ์, ๒๕๔๕),
หน้า ๑๑๒.
๗
บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏิจจสมุปบาท, พิมพ์ครั้งที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร : พรบุญการพิมพ์, ๒๕๓๘),
หน้า ๗๖.
๔๙
จากกิเลส แสดงออกทางกาย วาจา ใจ มีทั้งกรรมดี กรรมชั่วและส่งผลต่อผู้กระทา๘
ตามที่นักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับความหมายของกรรม
ดังกล่าวมาแล้วสรุปได้ว่า กรรม คือการกระทาที่ ประกอบด้วยเจตนาอันมีพื้นฐานมาจากกิเลส
แสดงออกทางกายวาจาใจมีทั้งกรรมดีกรรมชั่วและ ส่งผลต่อผู้กระทา นอกจากนี้คาสอนของ
พระพุทธศาสนายึดถือเอาการกระทาของมนุษย์ เป็นเครื่องตัดสินว่าบุคคล นั้นเป็นคนดีหรือคน
ชั่ว มิได้ยึดถือเอาเรื่องชาติ โคตร ตระกูล ยศ ความรู้ อานาจ เพศ และวัย เป็นเครื่องวัดหากแต่วัดที่
การแสดงออกหรือการกระทาของแต่ละบุคคล ดังพุทธพจน์ว่า“บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติไม่
เป็นพราหมณ์เพราะชาติแต่เป็นคนถ่อยเพราะ กรรมเป็นพราหมณ์เพราะกรรม”๙
จากพุทธพจน์
ดังกล่าวมานี้จะเห็นได้ว่าลักษณะคาสอนใน พระพุทธศาสนาเป็นกรรมวาทและกิริยาวาท
กล่าวคือความดีความชั่วหรือสิ่งที่ดีและสิ่งที่ชั่วล้วนมีความเกี่ยวข้องกันกับการกระทาของมนุษย์
ทั้งสิ้น จึงสรุปได้ว่า คาว่า “กรรม” คือการแสดงออก ทางกายวาจาและใจนั่นเองการแสดงออกทาง
กายวาจาที่มีใจเป็นผู้บัญชาการหรือมีใจเป็นหัวหน้าให้กระทาสิ่งต่าง ๆ ทั้งดีและชั่ว
๓.๒. ประเภทของกรรม
กรรมเป็นหลักธรรมที่สาคัญที่มีปรากฏในพระไตรปิฎกและอรรถกถา โดยมีการแบ่ง
กรรมออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
๓.๒.๑ ประเภทของกรรมในพระไตรปิฎก
พระไตรปิฎกได้แบ่งประเภทของกรรมไว้หลายประเภทด้วยกัน โดยแบ่งตามคุณภาพ
หรือมูลเหตุที่เกิดกรรม แบ่งตามทางที่ทากรรมและแบ่งตามกรรมที่มีความสัมพันธ์กับวิบาก
ก. กรรมตามคุณภาพหรือสาเหตุที่เกิดกรรม
กรรมที่แบ่งตามคุณภาพหรือสาเหตุที่เกิดกรรมนั้นพระไตรปิฎกได้กล่าวไว้ในอกุศลมูล
สูตร๑๐
สรุปได้ว่า
๘
ชะบา อ่อนนาค, ”การศึกษาความเชื่อเรื่องกรรมในพระพุทธศาสนาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา:
ศึกษากรณีโรงเรียนชลบุรี "สุขบท" จังหวัดชลบุรี”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย :
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘ ,(หน้า ๘ .
๙
ขุ.สุตฺต. (บาลี) ๒๕/๑๔๒/๓๖๑., ขุ. สุตฺต. (ไทย) ๒๕/๑๔๒/๕๓๒.
๑๐
องฺ. ทุกฺ. (ไทย) ๒๐/๒๗๕/๒๗๗.
๕๐
อกุศลมูล (รากเหง้าแห่งอกุศล)มี ๓ อย่าง คือ โลภะ โทสะ โมหะ บุคคลทากรรมเพราะมี
โลภะ โทสะ โมหะ ทางกาย วาจา ใจ จัดเป็นอกุศลกรรมและมีผลทาให้เป็นทุกข์ลาบาก คับแค้น
เดือดร้อนในปัจจุบัน หลังการตายแล้ว ย่อมไปเกิดในทุคติ
กุศลมูล (รากเหง้าแห่งกุศล) มี ๓ อย่าง คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ บุคคลทากรรมโดย
ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ ทางกาย วาจา ใจ จัดเป็นกุศลกรรมและมีผลทาให้อยู่เป็นสุขไม่ลาบาก
ไม่คับแค้น ไม่เดือดร้อนในปัจจุบัน ย่อมปรินิพพานในชาติปัจจุบัน
กรรมที่แบ่งตามคุณภาพหรือสาเหตุการเกิดมี ๒อย่าง คือ๑.อกุศลกรรมหมายถึง กรรมชั่ว
มีสาเหตุมาจากโลภะ โทสะ โมหะ ๒. กุศลกรรม หมายถึง กรรมดี มีสาเหตุมาจากอโลภะ อโทสะ
อโมหะ เรียกว่า กรรม ๒๑๑
ข. กรรมแบ่งตามทางที่ทา
กรรมแบ่งตามทางที่ทาพระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงกรรมตามที่เกิดไว้ในพระสูตรอุปาลิวาท
สูตร ไว้ว่า
ตปัสสีเราบัญญัติในการทาชั่วในการประพฤติชั่วไว้๓ ประการคือ (๑) กายกรรม (๒)
วจีกรรม (๓) มโนกรรม…ตปัสสีกายกรรมก็อย่างหนึ่งวจีกรรมก็อย่างหนึงมโนกรรม
ก็อย่างหนึ่ง…ตปัสสี บรรดากรรมทั้ง ๓ ประการ ที่จาแนกแยกออกเป็นอย่างนี้ เราบัญญัติ
มโนกรรมว่า มีโทษมากกว่าในการทากรรมชั่วในการประพฤติชั่วมิใช่กายกรรมหรือ
วจีกรรม๑๒
ค. กรรมแบ่งตามทางที่ทาหรือแสดงออกของกรรมจัดเป็น ๓ ทาง๑๓
คือ
๑. กายกรรม กรรมทาด้วยกาย หรือกระทาทางกาย
๒. วจีกรรม กรรมทาด้วยวาจา หรือการกระทาทางวาจา
๓. มโนกรรม กรรมทาด้วยใจ หรือการกระทาทางใจ
มโนกรรมหรือความคิดจัดเป็นกรรมเพราะทุกขณะจิตที่คิดของปุถุชนมีกิเลสเกิดขึ้น
๑๑
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์ครั้งที่ ๙,
(กรุงเทพมหานคร : ๒๕๔๓), หน้า ๔.
๑๒
ม.ม. (ไทย) ๑๓/๕๖/๕๕.
๑๓
พระพรหมคุณาภรณ์ (ปยุตฺโต), พุทธธรรม, ฉบับปรับปรุงและขยายความ, พิมพ์ครั้งที่ ๙,
(กรุงเทพมหานคร : ๒๕๔๓), หน้า ๑๖๐.
๕๑
กากับอยู่เสมอและเป็นจุดเริ่มต้นของการทากรรมที่มีผลสืบต่อให้กระทากรรมทางกายและทาง
วาจาซึ่งพระพุทธศาสนาจัดว่ามโนกรรมเป็นกรรมที่สาคัญที่สุดมีโทษมากที่สุดมโนกรรมที่ให้
โทษ ร้ายแรงที่สุดคือมิจฉาทิฏฐิและมโนกรรมที่เป็นความดีสูงสุดคือสัมมาทิฏฐิ๑๔
อันเป็น
ตัวกาหนดวิถี ชีวิตของบุคคลและสังคมเมื่อบุคคลทากรรมตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ไม่ทางมโนกรรมก็
ทากายกรรม หรือวจีกรรมซึ่งวจีกรรมนอกจากคาพูดแล้วยังหมายถึงผู้ทาใช้ภาษาเป็นเครื่องมือใน
การทา๑๕
กรรมอย่างหนึ่งอาจต้องใช้การกระทามากกว่าหนึ่งทางการจะตัดสินว่าเป็นกรรมทางใด
ให้ดูว่า กรรมนั้นสาเร็จบริบูรณ์ด้วยอะไรกายวาจาหรือด้วยใจถ้าสาเร็จด้วยทวารใดพึงถือว่าเป็น
กรรมทวารนั้น๑๖
เช่น การฆ่าคนที่ไม่ได้ลงมือเอง แต่ใช้วาจาจ้างให้ผู้อื่นทาแทน จัดเป็นกายกรรม
แต่ใช้วาจาประกอบ เพราะถือว่าจุดสมบูรณ์อยู่ที่กาย หรือการเขียนหนังสือโกหก ให้คนอ่าน
เชื่อ จัดเป็นการกระทาทางวจีกรรม เพราะเป็นเรื่องของภาษาการสื่อสาร
ง. แบ่งตามสภาพความสัมพันธ์กับผลที่เกิดขึ้น
กรรมของมนุษย์ยังสามารถแบ่งตามสภาพความสัมพันธ์กับผลที่เกิดขึ้นจากกรรมนั้นๆ
ได้๔ อย่างคือ๑๗
๑. กรรมดา มีผลดา ได้แก่ กายสังขาร วจีสังขาร และมโนสังขาร ที่แสดงออกใน
ทางเบียดเบียน ตัวอย่างเช่น ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร ฯลฯ
๒. กรรมขาว มีผลขาว ได้แก่ กายสังขาร วจีสังขาร และมโนสังขาร ที่แสดงออกในทาง
ไม่เบียดเบียด สร้างสรรค์ เช่น การประพฤติตามกุศลกรรมบถ ๑๐
๓. กรรมทั้งขาวและดา มีผลทั้งขาวและดา ได้แก่ กายสังขาร วจีสังขาร และมโนสังขาร
ที่มีการแสดงออกในทางที่เบียดเบียนบ้าง ไม่เบียดเบียนบ้าง เช่นพฤติกรรมของมนุษย์ทั่วๆ ไป
๔. กรรมไม่ดาไม่ขาว มีผลไม่ดาไม่ขาว กรรมเช่นนี้เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม ได้แก่
เจตนาเพื่อละกรรมทั้งสามดังกล่าวมา หรือกล่าวโดยองค์ธรรม ได้แก่ โพชฌงค์ ๗หรือมรรคมีองค์ ๘
๑๔
บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏิจจสมุปบาท, หน้า ๗๙.
๑๕
ปิ่น มุทุกันต์, พุทธศาสตร์ ภาค ๒, (กรุงเทพมหานคร : มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕),หน้า
๔๔๖.
๑๖
ปิ่น มุทุกันต์, เรื่องเดียวกัน. หน้า ๔๔๖.
๑๗
ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๓๑๒/๒๙๑ , ม.ม.(ไทย) ๑๓/๘๑/๗๙-๘๑.
๕๒
พระพุทธศาสนาถือว่าการแสดงออกของมนุษย์ทุกอย่างถือว่ากรรมไม่ว่าจะเป็นทาง กาย
วาจา ใจ ในบรรดากรรมทั้ง ๓ นี้กรรมที่เกิดทางใจถือว่ามีผลมากกว่ากรรมที่เกิดทางกาย และทาง
วาจาเพราะกรรมทางใจเป็นสาเหตุให้บุคคลคนกระทากรรมทางกายและพูดออกมาทาง วาจา
ดังพุทธพจน์ว่า “ตปัสสีบรรดากรรมทั้ง ๓ ประการที่จาแนกแยกเป็นอย่างนี้เราบัญญัติ มโนกรรม
ว่า มีโทษมากกว่า ในการทากรรมชั่วในการประพฤติกรรมชั่วมิใช่กายกรรมหรือวจีกรรม๑๘
๓.๒.๒ ประเภทของกรรมในอรรถกถา
ในพระไตรปิฎก ได้แบ่งกรรมไว้เป็นประเภทต่าง ๆ แล้ว ยังได้แบ่งระยะเวลาการให้ผล
ของกรรม ไว้ในนิพเพธิกสูตร ว่า “วิบากแห่งกรรมเป็นอย่างไร คือ เรากล่าววิบากแห่งกรรมว่า
มี ๓ ประเภท คือ ๑. กรรมที่พึงเสวยในปัจจุบัน ๒. กรรมที่พึงเสวยในชาติถัดไป ๓. กรรมที่พึง
เสวยในชาติต่อ ๆ ไป๑๙
การแบ่งระยะเวลาการให้ผลของกรรมนั้นมี ๓ ระยะ กล่าวโดยสรุป คือ
ชาตินี้ ชาติหน้า และชาติต่อ ๆ ไป ไม่ได้กล่าวถึงอโหสิกรรม ซึ่งมีการแบ่งกรรมออกเป็น
หมวดหมู่ที่ชัดเจนกรรมนอกจากปรากฏในพระไตรปิฎกแล้ว ยังมีกรรม ๑๒ ปรากฏในคัมภีร์วิสุทธิ
มรรคซึ่งจัดเป็นคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาชั้นอรรถกถา แต่งโดยพระพุทธโฆสาจารย์ได้รวบรวม
กรรมในพระไตรปิฎก โดยยึดพระพุทธพจน์เป็นหลัก จัดแบ่งกรรมออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามผล
ของกรรมที่ได้รับ มี ๓ ประเภท ประเภทละ ๔ อย่าง ดังรายละเอียดดังต่อไปนี้๒๐
ก. กรรมประเภทที่ ๑ กรรมที่ให้ผลตามหน้าที่ มี ๔ อย่าง คือ
๑. ชนกกรรม กรรมส่งให้เกิด
๒. อุปถัมภกกรรม กรรมสนับสนุนส่งเสริม
๓. อุปปีฬกกรรรม กรรมเบียดเบียน
๔. อุปฆาตกรรม กรรมทาหน้าที่ตัดรอน
กรรมให้ผลตามหน้าที่หมายถึง กรรมที่ทาไปนั้น ทั้งดีและไม่ดี ย่อมทาหน้าที่ให้ผล
เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนเราดังนี้
๑๘
ม.ม.(ไทย) ๑๓/๕๗/๕๕.
๑๙
ม.ม.(ไทย) ๑๓/๕๗/๕๕.
๒๐
สมเด็จพระพุฒ าจารย์(อาจ อาสภมหาเถร) , คัมภีร์วิสุทธิมรรค, พิมพ์ครั้งที่ ๔,
(กรุงเทพมหานคร : บริษัทประยูรวงศ์พรินติ้ง จากัด, ๒๕๔๖), หน้า ๙๖๙–๑๗๑.
๕๓
๑. ชนกกรรมกรรมส่งให้เกิดหมายถึงกรรมดีหรือกรรมชั่วที่ทาไว้ส่งให้เกิดในภพภูมิ
ต่างๆ ถ้าเป็นกรรมดีส่งไปเกิดในสุคติถ้าเป็นกรรมชั่วส่งไปเกิดในทุคติ๒๑
และยังทาหน้าที่หล่อเลี้ยง
ชีวิตใหม่ให้ดารงอยู่และดาเนินกิจกรรมตามสภาพของกรรมจนครบอายุขัย๒๒
ขณะที่ชนกกรรมทา
หน้าที่ปฏิสนธิกรรมอื่นจะแทรกแซงไม่ได้เลยชนกกรรมเปรียบเหมือนมารดาคลอดบุตรจะมีใคร
มาแย่งหน้าที่เป็นผู้คลอดร่วมไม่ได้๒๓
๒. อุปัตถัมภกกรรมกรรมสนับสนุนส่งเสริมหมายถึงกรรมที่ทาหน้าที่สนับสนุน
ส่งเสริม ชนกกรรมที่ไม่มีโอกาสให้ผลให้ได้ผลและชนกกรรมที่กาลังให้ผลให้ได้ผลเต็มที่ตลอดจน
สนับสนุนส่งเสริมชีวิตที่ชนกกรรมให้เกิดและหล่อเลี้ยงไว้ให้เจริญเติบโต และดารงอยู่ได้นาน๒๔
ดังนั้น อุปถัมภกกรรมต้องเป็นกรรมประเภทเดียวกันกับชนกกรรม เช่น ชนกกรรมนาไปเกิดเป็นลูก
เศรษฐี อุปถัมภกกรรมฝ่ายกุศลจะมาสนับสนุน ให้เด็กคนนั้นมีความสุขสมบูรณ์ตลอดไป
๓.อุปปีฬกกรรมกรรมเบียดเบียนหมายถึงกรรมที่เบียดเบียนชนกกรรมที่ให้ผลอยู่อ่อน
กาลังลงเบียดเบียนชนกกรรมที่กาลังจะให้ผลให้ผลไม่เต็มที่ตลอดจนเบียดเบียนชีวิตที่ชนกกรรม
ให้เกิดและหล่อเลี้ยงไว้ไม่ให้เป็นไปตามสภาพของกรรมนั้นอุปปีฬกกรรมจะตรงกันข้ามกับชนกรรม
และอุปถัมภกกรรม คอยบั่นทอนผลของกรรมทั้งสองให้สิ้นลง ถ้ามีความสุข ก็จะสุขไม่นานถ้ามี
ความทุกข์ก็จะทุกข์ไม่มากและไม่นานเช่นเกิดเป็นลูกเศรษฐีมีความสุขสบายแต่ต่อๆมาฐานะตกต่าลง
๔. อุปฆาตกรรมกรรมตัดรอนหมายถึงกรรมที่ตัดรอนชีวิตที่ชนกกรรมให้เกิดและ
หล่อ เลี้ยงไว้มิให้ให้ผลและสูญสิ้นไปตลอดจนตัดรอนชนกกรรมอื่นๆไม่ให้มีโอกาสให้ผลอุป
ฆาตกรรม เป็นกรรมที่สนับสนุนอุปปีฬกกรรมและตรงกันข้ามกับชนกกรรมและอุปถัมภกกรรมเช่น
ถ้าชนกกรรมและอุปถัมภกกรรมเป็นฝ่ายกุศลอุปปีฬกกรรมจะเป็นฝ่ายอกุศลและอุปฆาตกรรม
จะเป็นฝ่าย อกุศลเช่นเดียวกับอุปปีฬกกรรม กรรมชนิดนี้ เมื่อให้ผลจะตัดรอนชนกกรรมและให้ผล
แทนที่ทันที เช่น ชนกกรรมฝ่ายกุศลนาไปเกิดเป็นลูกเศรษฐี อุปถัมภกกรรมส่งเสริมให้มีความสุข
๒๑
ทุคติ หรือ อบายภูมิ มี ๔ ภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน สุคติ หมายถึง โลก
มนุษย์และสวรรค์. พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร), กรรมทีปนี, เล่ม ๒, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร :
ดอกหญ้า), หน้า ๕๒๓.
๒๒
บรรจบ บรรณรุจิ, เอกสารประกอบการสอนพระไตรปิฎกวิเคราะห์ ๑ , หน้า ๑๒๗.
๒๓
พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร), กรรมทีปนี, เล่ม ๑, พิมพ์ครั้งที่ ๒ (กรุงเทพมหานคร :
ดอกหญ้า), หน้า ๒๖.
๒๔
บรรจบ บรรณรุจิ, เอกสารประกอบการสอนพระไตรปิฎกวิเคราะห์ ๑ ,หน้า ๑๒๗.
๕๔
สมบูรณ์ มีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองเมื่ออุปฆาตกรรมตามมาทาให้เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งที่อยู่ในวัยไม่
สมควร ตายหรือชนกกรรมนาไปให้เกิดเป็นเปรตประเภทปรทัตตูปชีวิกเปรตอุปัตถัมภกกรรมเข้า
สนับสนุน ชนกกรรมทาให้เปรตนั้นได้รับความทุกข์ตามสภาพของเปรตวิสัยญาติพี่น้องในโลก
มนุษย์ได้ทาบุญ แล้วอุทิศส่วนบุญกุศลไปให้ถ้าบุญกุศลที่ญาติทาแล้วอุทิศไปให้นี้มีกาลังแรงมา
เปรตนั้นได้รับ ส่วนกุศลนั้นแล้วก็พ้นจากภาวะของเปรตจุติไปเกิดในสุคติเป็นมนุษย์หรือเทวดา บุญ
กุศล ในกรณีนี้ คือ อุปฆาตกรรมที่เข้าให้ผลตัดรอนผลของชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรม๒๕
เห็นได้ว่า อุปฆาตกรรมไม่ใช่กรรมที่หักล้างหรือลบล้างกรรมอื่นเพราะกรรมแต่ละ
ประเภทให้ผลของตนเอง ลบล้างกรรมอื่นไม่ได้การให้ผลของกรรมมีเงื่อนไขที่ว่ากรรมมีกาลังให้ผล
เกิดอ่อนกาลังลง กรรมอื่นที่กาลังแรงกว่าก็จะให้ผลแทนที่ เปรียบเหมือนกับนักกีฬาวิ่งแข่งขันกัน
นักกีฬาคนใดวิ่งเร็วจะแซงนักกีฬาคนอื่นที่วิ่งนาหน้าได้และเป็นผู้ชนะ๒๖
ข. กรรมประเภทที่ ๒ กรรมให้ผลก่อนหรือหลัง (กรรมให้ผลตามลาดับ) มี ๔ อย่าง
๑. ครุกรรม กรรมหนัก
๒. อาสันนกรรม กรรมใกล้ตาย หรือกรรมใกล้ดับจิต
๓. อาจิณณกรรม กรรมที่ทาจนชิน
๔. กตัตตากรรม กรรมสักว่าทา
กรรมให้ผลก่อนหรือหลัง หมายถึง กรรมที่ทาไปทั้งดีและไม่ดี ย่อมมีผลให้ไปเกิดใน
ภพภูมิต่าง ๆ กัน ขึ้นอยู่กับกรรมหนักหรือกรรมเบา กรรมที่เป็นกรรมหนักจะมีกาลังมากกว่าและ
ให้ผลก่อน
๑. ครุกรรม กรรมหนัก หมายถึง กรรมที่ทาแล้วให้ผลเป็นตัวกาหนดชีวิตหลังความตาย
ได้แน่นอน ให้ผลแก่เจ้าของกรรมในชาติที่ ๒ หรือชาติหน้า ไม่มีกรรมใดมีอานาจกางกั้นการให้ผล
ได้นอกจากครุกรรมด้วยกันที่แรงกว่าครุกรรมที่กาลังอ่อนกว่าจะเป็นเพียงกรรมที่ช่วยอุดหนุนใน
ฐานะปัตถัมภกรรมเท่านั้น๒๗
ครุกรรมฝ่ายอกุศลและฝ่ายกุศลจะนาเจ้าของกรรมให้ไปเกิดในทุคติ
๒๕
สุนทร ณ รังษี, พุทธปรัชญาจากพระไตรปิฎก, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๓), หน้า ๒๐๒.
๒๖
วัชระ งามจิตเจริญ, พุทธศาสนาเถรวาท, (กรุงเทพมหานคร : ภาควิชาปรัชญา คณะ
ศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๕), หน้า ๑๒๐.
๒๗
พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร), กรรมทีปนี, เล่ม ๑, หน้า ๑๑๗.
๕๕
หรือสุคติ ในชาติหน้าทันทีโดยไม่มีอานาจใดมาเป็นอุปสรรคขัดขวางได้ครุกรรมกรรม หนักฝ่าย
อกุศล ได้แก่ กรรมอันเป็นบาปหนัก ได้แก่
ก. นิยตมิจฉาทิฐิ ความเห็นผิดอันดิ่งลงไปแก้ไม่ได้ ได้แก่ ความเห็นว่าทานที่ให้แล้วไม่
มีผล การเซ่นสรวงการบูชาไม่มีผล ผลของกรรมดีและกรรมชั่วไม่มีโลกนี้โลกหน้าไม่มีบิดามารดา
ไม่มี สัตว์ผู้อุปปาติกะไม่มี (สัตว์ผู้ผุดเกิดเองไม่มี)
ข. อนันตริยกรรม ได้แก่ กรรมอันเป็นบาปหนัก มีอานาจให้ผลในชาติหน้าตามลาดับ
มี ๕ ประการ คือ
๑. มาตุฆาต ฆ่ามารดา
๒. ปิตุฆาต ฆ่าบิดา
๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์
๔. โลหิตุปบาท ทาร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงยังโลหิตให้ห้อขึ้นไป
๕. สังฆเภท ยังสงฆ์ให้แตกกัน
ครุกรรมฝ่ายกุศลหรืออนันตริยกรรมฝ่ายกุศล ได้แก่ รูปฌาน ๔ และ อรูปฌาน ๔เรียกว่า
สมาบัติ ๘ สมาบัติหรือฌานเพียงขั้นใดขั้นหนึ่ง เช่น รูปฌานที่ ๑ เป็นต้น ครุกรรมฝ่ายกุศล ถ้าผู้ที่
ได้ฌานสมาบัติอยู่แล้วเสื่อมลงสามารถทาได้ใหม่แต่ผู้ที่ทาอนันตริยกรรมฝ่ายอกุศลจะติดตัวอยู่
ตลอดเวลาไม่มีการเสื่อมแบบฝ่ายกุศลแม้ผู้ทาจะสานึกผิดแล้วก็ตามก็ไม่สามารถใช้ความเพียร
พยายามเจริญสมาธิให้เกิดฌานได้เพราะกาลังกรรมของอนันตริยกรรมฝ่ายอกุศลจะเป็นนิวรณ์ ปิด
กั้นจิตไม่ให้บรรลุองค์ฌานได้ดังนั้นจึงมีคากล่าวว่าอนันตริยกรรมฝ่ายอกุศลย่อมห้ามทั้งสวรรค์และ
มรรคผลนิพพานในชาติปัจจุบัน๒๘
๒. อาสันนกรรมกรรมใกล้ตายหรือกรรมใกล้ดับจิตหมายถึงกรรมดีหรือกรรมชั่วที่ทา
ในเวลาใกล้ตายกรรมดีหรือกรรมชั่วที่จิตระลึกถึงเมื่อคราวกาลังจะตายบางทีเป็นกรรมที่ทาไว้นาน
แล้วต่อมาระลึกถึงเมื่อตอนใกล้ตายแต่ไม่ใช่กรรมที่เป็นครุกรรมถ้าไม่มีครุกรรมอาสันนกรรมให้ผล
ก่อนอาสันนกรรมถึงจะเป็นกรรมที่มีพลังสู้กรรมอื่นไม่ได้แต่สามารถให้ผลของกรรมได้ก่อน
กรรมอื่น เปรียบเทียบอาสันนกรรมได้กับโคที่แออัดอยู่ในคอกมีโคแก่อยู่ปากคอกเมื่อเปิดคอกโค
๒๘
สุนทร ณ รังษี, พุทธปรัชญาจากพระไตรปิฎก, หน้า ๒๑๘.
๕๖
แก่สามารถออกจากคอกได้ก่อนโคที่แข็งแรงที่อยู่ข้างใน๒๙
อาสันนกรรมจะทาหน้าที่นาบุคคลไป
เกิดตามกรรม ที่ทา ถ้าเป็นอกุศลกรรมจะนาไปเกิดในทุคติ ถ้าเป็น กุศลกรรมจะนาไปเกิดในสุคติ๓๐
อาสันนกรรม หมายถึง ชนกกรรม ในประเภทของกรรมที่ให้ผลตามหน้าที่
จากข้อความดังกล่าวจะเห็นได้ว่าอาสันนกรรมเป็นกรรมเพียงเล็กน้อยไม่มีความรุนแรง
มากก็ตามแต่บุคคลไม่ควรประมาทในการทากรรมควรรักษาจิตให้ผ่องใสคุ้นเคยกับความดีเอาไว้
เพราะผลของกรรมที่บุคคลทาไว้นั้นแม้เป็นความชั่วเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทาจิตให้เศร้าหมอง
ส่งผลให้ไปเกิดในทุคติได้ อาสันนกรรมอาจหมายถึง ชนกกรรมก็ได้
๓. อาจิณณกรรม กรรมที่ทาเป็นประจา หมายถึง กรรมดีหรือกรรมชั่วที่ทาเป็นประจา
สม่าเสมอส่งผลให้กลายเป็นนิสัยแม้ว่ากรรมชนิดนี้จะเป็นกรรมที่ทาเพียงครั้งละเล็กน้อยแต่เมื่อทา
มากเข้า ก็กลายเป็นกรรมที่มากเปรียบได้กับน้าที่หยดลงตุ่มทีละหยด บ่อย ๆ เข้าน้าก็เต็มตุ่มได้
อาจิณณกรรมจึงเรียกได้อีกอย่างว่าพหุลกรรมอาจิณณกรรมอาจหมายถึงกรรมบางอย่างที่ทาด้วย
เจตนาอย่างแรงกล้าทั้งก่อนทาขณะทาและหลังทาแต่เป็นกรรมที่ทาไว้เพียงครั้งเดียวและนานมา
แล้วและผู้ทาได้คิดถึงกรรมนั้นบ่อยๆจนเกิดความเคยชินเมื่อทาเสร็จแล้วผู้ทาได้คิดถึงการกระทา
นั้นบ่อยๆทุกครั้งที่คิดถึงกรรมนั้นถ้าเป็นกรรมดีก็จะมีความรู้สึกสุขปีติและถ้าเป็นกรรมชั่วก็จะรู้สึก
เป็นทุกข์เศร้าหมองอาจิณณกรรมจะเป็นตัวกาหนดคติชีวิตที่ไปหลังความตาย ซึ่งขึ้นอยู่กับว่า กรรม
ฝ่ายกุศลหรืออกุศลจะมีมากกว่ากันจึงเปรียบเทียบอาจิณณกรรมทั้ง ๒ ฝ่ายเหมือนนักมวยปล้าต่อสู้กัน
นักมวยปล้าคนใดมีกาลังมากกว่าจะทาให้คู่ต่อสู้ล้มลงพ่ายแพ้ได้๓๑
๔. กตัตตากรรมกรรมสักว่าทา หมายถึง กรรมดีหรือชั่วที่ทาด้วยเจตนาหรือความตั้งใจ
ไม่แรงเพราะไม่มีเจตนาที่ตั้งใจไว้ก่อนหากไม่มีครุกรรมอาสันนกรรมกรรมนี้จึงจะให้ผลเป็นตัว
กาหนดคติชีวิตหลังความตายไปเกิดในทุคติหรือสุคติตามกรรมที่ทากรรมประเภทที่ ๒เป็นกรรมที่จัด
ตามลาดับการให้ผลก่อนหรือหลังตามความหนักเบาของกรรมยกเว้นอาสันนกรรมที่ไม่อยู่ในเงื่อนไข
นี้ด้วย เป็นกรรมที่ทาในวาระสุดท้ายของจิตส่งผลให้เกิดในทุคติหรือสุคติจึงเป็นกรรมที่ให้ผลใน
ชาติที่ ๒
๒๙
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, ธรรมวิภาค ปริจเฉทที่ ๒, พิมพ์ครั้งที่ ๓๘,
(กรุงเทพมหานคร : ๒๕๓๗), หน้า ๑๒๘.
๓๐
สุนทร ณ รังษี, พุทธปรัชญาจากพระไตรปิฎก, หน้า ๒๑๙.
๓๑
พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร), กรรมทีปนี, เล่ม ๑ , หน้า ๑๙๐.
๕๗
ค. กรรมประเภทที่ ๓ กรรมให้ผลตามระยะเวลา มี ๔ อย่างคือ
๑. ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาตินี้
๒. อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาติหน้า
๓. อปราปริยเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป
๔. อโหสิกรรม กรรมไม่ให้ผล
กรรมให้ผลตามระยะเวลา หมายถึง กรรมที่ได้ทาไปแล้ว เป็นกรรมทั้งในส่วนที่ดีและ
ไม่ดี ย่อมมีระยะเวลาในการให้ผลต่างกัน กล่าวคือกรรมบางอย่างทาในชาตินี้ ให้ผลในชาตินี้กรรม
บางอย่างทาในชาตินี้ ให้ผลในชาติหน้า กรรมบางอย่างทาในชาตินี้ ให้ผลในชาติต่อ ๆ ไปจากชาติ
หน้า
๑. ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาตินี้ หมายถึง กรรมดี กรรมชั่ว ที่กระทา
ในชาตินี้ ให้ผลในชาตินี้เลย เป็นกรรมแรงจึงให้ผลทันตาเห็น๓๒
กรรมดีให้ผลเป็น ลาภยศสรรเสริญ
กรรมชั่วให้ผลเป็นเสื่อมลาภเสื่อมยศนินทา๓๓
มี ๒ อย่างคือกรรมดีหรือกรรมชั่วที่ให้ผล ภายใน ๗
วันและให้ผลภายในชาตินี้กรรมประเภทนี้จะกลายเป็นอโหสิกรรมต่อเมื่อให้ผลแล้วและ ผู้ที่จะรับ
ผลตายจะไม่มีการให้ผลข้ามชาติดังนั้นจึงต้องเป็นกรรมที่ทาด้วยเจตนาดีแรงกล้ากระทากับผู้ที่มีคุณ
วิเศษมีบุญคุณหรือมีความดีอย่างมาก๓๔
ทิฏฐธัมมเวทนียกรรมจะให้ผลในชาตินี้ได้เลย นั้นต้องไม่
ถูกทิฏฐธัมมเวทนียกรรมฝ่ายตรงข้าม เข้าเบียดเบียนและต้องมีปัจจัยสาคัญเกื้อหนุน ๔ ประการ คือ
คติ กาล อุปธิ และปโยค ถ้าเกื้อหนุนทิฏฐธัมมเวทนียกรรมฝ่ายกุศล เรียกว่าสมบัติ ๔ และถ้า
เกื้อหนุนทิฏฐธัมมเวทนียกรรมฝ่ายอกุศลเรียกว่าวิบัติ ๔ กรรมประเภทนี้จึงเปรียบได้กับนายพราน
เนื้อ ยิงลูกธนูไปยังเนื้อ ถ้าถูกเนื้อ เนื้อก็ตาย ถ้าไม่ถูกเนื้อย่อมวิ่งหนีไม่กลับมาให้ยิงอีกนายพรานจึง
เปรียบเหมือนผลของกรรม เนื้อคือ ผู้ทากรรมที่ต้องรับผลของกรรมนั้น๓๕
๒. อุปปัชชเวทนียกรรมกรรมให้ผลในชาติหน้าหมายถึงกรรมดีหรือกรรมชั่วที่ทาใน
ชาตินี้แต่ยังไม่ให้ผล จะให้ผลในชาติถัดไป กรรมประเภทนี้ กลายเป็นอโหสิกรรม ต่อเมื่อให้ผลแล้ว
หรือผู้ทากรรมตายลงก่อนได้รับผล จะไม่ข้ามไปผลในชาติต่อ ๆ ไป
๓๒
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, ธรรมวิภาค ปริจเฉทที่ ๒, หน้า ๑๒๖.
๓๓
บรรจบ บรรณรุจิ, เอกสารประกอบการสอนพระไตรปิฎกวิเคราะห์ ๑, หน้า ๑๒๙.
๓๔
บรรจบ บรรณรุจิ, เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๒๙.
๓๕
พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร), กรรมทีปนี, เล่ม ๑, หน้า ๒๕๔.
๕๘
๓. อปราปริยเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป ถัดจากชาติหน้าหมายถึง กรรมดี
หรือกรรมชั่วที่ทาในชาตินี้แล้วจะให้ผลในชาติต่อๆไปถัดจากชาติหน้าชาติใดชาติหนึ่งเมื่อสบโอกาส
เปรียบเหมือนสุนัขไล่เนื้อไล่ตามเนื้อทันเข้าในที่ใดย่อมเข้ากัดในที่นั้น๓๖
ดังนั้นกรรมประเภทนี้จึงน่า
กลัวกว่ากรรมประเภทที่ ๑ และประเภทที่ ๒ ด้วยว่าผลของกรรมจะติดตามผู้กระทาไปตลอดการ
เวียนว่ายตายเกิดจนกว่าจะให้ผลหมดจึงจะกลายเป็นอโหสิกรรม ดังนั้น การให้ผลของกรรม
ประเภทที่ ๒ และประเภทที่ ๓ ทาให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในเรื่องผลของกรรมที่มีความ
ซับซ้อนส่งผลข้ามภพข้ามชาติ
๔.อโหสิกรรมกรรมที่ให้ผลสาเร็จแล้วหรือกรรมไม่มีผลหมายถึงกรรมดีหรือกรรมชั่ว
ที่ทาไว้ให้ผลเสร็จสิ้นแล้วเมื่อไม่มีโอกาสให้ผลในเวลาที่ให้ผลด้วยถูกกรรมชนิดอื่นตัดหน้าให้ผลไป
ก่อนจึงอ่อนกาลังให้ผลไม่ทันและเลิกให้ผลในที่สุดหรือเพราะผู้กระทากรรมนั้นสาเร็จเป็นพระ
อรหันต์นิพพานในชาตินี้แล้วก็ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไปจึงไม่มีตัวตนที่จะต้องมารอรับผลของ
กรรมเปรียบเหมือนพืชสิ้นยางแล้วเพาะไม่ขึ้น๓๗
ดังนั้นอโหสิกรรมจึงหมายถึงการกระทาความดี
ต่างๆ ของพระอรหันต์ด้วยย่อมไม่มีผลเป็นกรรมดีเพราะท่านทาความดีด้วยจิตที่ปราศจากความ
ยึดมั่นถือมั่น๓๘
ไม่คิดทาดีเพื่อหวังผลตอบแทนชั้นนอกรวมทั้งไม่คิดทาดีเพื่อละกิเลสเพราะกิเลส
ได้หมดสิ้นแล้วแต่ยังทาดีต่อไปอย่างต่อเนื่องการทาดีของท่านจึงจัดเป็นเพียงกิริยาไม่จัดเป็นกรรม
และไม่มีวิบาก๓๙
กรรม ๑๒ เป็นความรู้เรื่องการให้ผลในส่วนของ ลาภ ยศ สรรเสริญ และ
เสื่อมลาภ เสื่อมยศนินทาเป็นการกล่าวถึงผลของกรรมโดยเฉพาะที่กล่าวถึงการให้ผลชั้นนอก
เท่านั้นคือให้ผลเป็นโลกธรรมไม่ได้กล่าวถึงการให้ผลชั้นในคือให้ผลทางด้านจิตใจตลอดจนเป็น
การแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างกรรมเก่าในอดีตชาติกับกรรมใหม่ในชาติปัจจุบัน เช่น กรรม
เก่า ในอดีตชาติทาหน้าที่เป็นชนกกรรมแล้วกรรมเก่าในอดีตชาติอย่างอื่นหรือกรรมใหม่ในชาติ
ปัจจุบันอาจทาหน้าที่เป็นอุปัตถัมภกกรรม อุปปีฬกกรรม และอุปฆาตกรรมก็ได้๔๐
และทากรรม
เพียงประเภทเดียวอาจเป็นกรรมได้ถึง ๓ ประเภทพร้อม ๆ กันเช่นถ้าเราฆ่าบิดาเป็นทั้งครุกรรม
เป็นทั้ง ทิฏฐธัมมเวทนียกรรมและเป็นทั้งอุปฆาตกรรม๔๑
๓๖
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, ธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๒, หน้า ๑๒๖.
๓๗
อ้างแล้ว.
๓๘
บรรจบ บรรณรุจิ, เอกสารประกอบการสอนพระไตรปิฎกวิเคราะห์ ๑, หน้า ๑๓๐.
๓๙
บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏิจจสมุปบาท, หน้า ๒๐๑.
๔๐
บรรจบ บรรณรุจิ, เอกสารประกอบการสอนพระไตรปิฎกวิเคราะห์ ๑, หน้า ๑๓๑.
๔๑
แสง จันทร์งาม, พุทธศาสนวิทยา, หน้า ๑๑๕.
๕๙
สรุปได้ว่ากรรม๑๒เป็นมติของอรรถกถาจารย์ที่กล่าวไว้ในอรรถกถาโดยมีวัตถุประสงค์
รวบรวมคาสอนเรื่องกรรมจากพระไตรปิฎกแล้วจัดแบ่งออกเป็น ๓ ประเภทตามทางให้ผลของกรรม
คือ ๑. กรรมให้ผลตามหน้าที่ ๒. กรรมให้ผลก่อนหรือหลัง ๓. กรรมให้ผลตามระยะเวลา การที่
พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายขยายความเรื่องกรรมทาให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ศึกษาตลอดจนผู้สนใจ
ทั้งหลายเพราะทาให้เกิดความเข้าใจชัดเจนขึ้นทาให้ผู้ศึกษามองเห็นภาพเกี่ยวกับกรรมและการให้ผล
ของกรรมเมื่อเข้าใจแล้วจะได้ปฏิบัติถูกต้องไม่มีความสงสัยว่าตนปฏิบัติถูกหรือไม่ถูกอีกต่อไปเมื่อ
รู้แล้วจะได้หาทางป้ องกันไม่ทากรรมที่จะนาตัวเองไปสู่อบายหรือความเสื่อมเช่น ครุกรรม๕ อย่าง
ที่นาผู้ไปสู่ความทุกข์ความเดือดร้อนที่กรรมอื่นไม่สามารถต้านทานไว้ได้ เป็นต้น เมื่อรู้จักกรรมที่
ควรงดเว้นแล้วจะได้หมั่นประกรรมที่ควรประกอบอันจะนาตนเองไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองต่อไป
๓.๓ แนวทัศนะเกี่ยวกับกรรมตามหลักพระพุทธศาสนา
กรรมเป็นหลักธรรมสาคัญอันดับต้น ๆ ในพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าสอนเรื่องกรรม
ให้เชื่อกรรมคือการกระทามากกว่าเชื่ออย่างอื่น เช่น พระองค์ตรัสว่า เวลาใดก็แล้วแต่ที่คนทาดี เวลา
นั้นก็จะเป็นเวลาดีมงคลดีสาหรับคนนั้น และกรรมนั้นก็จะให้ผลในโอกาสต่อไปการให้ผลของกรรม
นั้นแตกต่างจากการให้ผลของสิ่งอื่นคนสองคนทากรรมเหมือนกันแต่อาจจะได้ผลไม่เหมือนกัน
หรือได้ผลเหมือนกันแต่ไม่เท่ากันก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจตนาหรือความตั้งใจของแต่ละคน เช่น
คนหนึ่งทาบุญด้วยศรัทธาอย่างแรงกล้าแล้วปรารถนาในอานิสงส์ของบุญที่ตนทาอีกคนหนึ่งทาบุญ
เพื่อรักษาสถานภาพทางสังคมหรือทาเพื่อรักษาหน้าตาของตัวเองแบบจาใจทาไม่ได้ทาด้วยศรัทธา
คนสองคนนี้จะได้ผลของบุญที่ทาต่างกันอย่างแน่นอนเพราะฉะนั้นทัศนะเกี่ยวกับการให้ผลของ
กรรมในทางพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในฐานสูตรและปพฺพชิตอภิณหสูตรว่า “เรามี
กรรมเป็น ของของตน เรามีกรรมเป็นทายาท เรามีกรรมเป็นกาเนิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์
เรามีกรรมเป็นที่พึ่ง อาศัย เราทากรรมใดไว้จะดีหรือชั่วก็ตาม เราจะต้องได้รับผลของกรรมนั้น”๔๒
นอกจากนี้ยังมีพุทธพจน์หลายแห่งที่พระองค์ตรัสเกี่ยวกับเรื่องกรรมจึงกล่าวได้ว่าพระองค์
ให้ความสาคัญกับเรื่องกรรมมาก ผู้วิจัยจะได้นาเสนอเรื่องกรรมเป็นลาดับไป
๓.๓.๑ ความสาคัญของกรรม
หลักกรรมมีความสาคัญต่อบุคคลและสังคม ดังที่พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)๔๓
๔๒
องฺ. ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๕๗/๙๙-๑๐๐. องฺ. ทสก. (ไทย) ๒๔/๔๘/๑๐๔-๑๐๕.
๔๓
พระธรรมปิฎก, (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม, ฉบับปรับปรุงและขยายความ, หน้า ๒๑๓–๒๑๔.
๖๐
ได้กล่าวถึงคุณค่าทางจริยธรรมของหลักกรรมมี ดังนี้
๑. ให้เป็นผู้หนักแน่นในเหตุผล รู้จักมองเห็นการกระทา และผลการกระทาตามแนวทาง
ของเหตุปัจจัยไม่เชื่อสิ่งงมงาย ตื่นข่าว เช่น เรื่องแม่น้าศักดิ์สิทธิ์เป็นต้น
๒.ให้เห็นว่าผลสาเร็จที่ตนต้องการจุดหมายที่ปรารถนาจะเข้าถึงความสาเร็จได้ด้วยการ
ลงมือทาจึงต้องพึ่งตนและทาความเพียรพยายามไม่รอคอยโชคชะตา หรือหวังผลด้วยการอ้อนวอน
เซ่นสรวงต่อปัจจัยภายนอก
๓.ให้มีความรับผิดชอบต่อตนเองก็จะงดเว้นจากกรรมชั่วและรับผิดชอบต่อผู้อื่น ด้วยการ
กระทาความดีต่อเขา
๔. ให้ถือว่า บุคคลมีสิทธิ์โดยธรรมชาติที่จะทาการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปรับปรุง สร้างเสริม
ตนเองให้ดีขึ้นไปโดยเท่าเทียมกัน สามารถทาตนให้เลวลงหรือให้ดีขึ้น ให้ประเสริฐจนถึงยิ่งกว่า
เทวดาและพรหมได้ทุก ๆ คน
๕. ให้ถือว่าคุณธรรม ความสามารถและความประพฤติปฏิบัติ เป็นเครื่องวัดความทราม
หรือประเสริฐของมนุษย์ไม่ให้มีการแบ่งแยกโดยชั้นวรรณะ
๖. ในแง่กรรมเก่า ให้ถือเป็นบทเรียน และรู้จักพิจารณาเข้าใจตนเองตามเหตุผล ไม่ค่อย
เพ่งโทษแต่ผู้อื่นมองเห็นพื้นฐานของตนเองที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อรู้ที่จะแก้ไขปรับปรุง และวางแผน
สร้างเสริม ความเจริญก้าวหน้าต่อไปได้ถูกต้อง
๗. ให้ความหวังในอนาคตสาหรับสามัญชนทั่วไป
ตามที่พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต)ได้อธิบายความสาคัญของกรรมไว้นั้นพอสรุปได้ว่า
กรรมมีความสาคัญต่อวิถีชีวิตของบุคคลและสังคม ด้วยผู้ที่เชื่อเรื่องกรรม จะเป็นผู้มีเหตุผลรับผิด
ชอบการกระทาของตนและปรับปรุงพัฒนาการกระทาของตนเองด้วยความเพียร โดยมีความหวังถึง
อนาคตที่ดีรออยู่ข้างหน้า ตลอดจนยอมรับนับถือคุณค่าของคนที่มีคุณธรรม
๓.๓.๒ กฏแห่งกรรม
กฎแห่งกรรมตามทัศนะของพระพุทธศาสนาแยกพิจารณาได้ ๒ ประเด็น๔๔
คือ
ก. กฎแห่งกรรมในฐานะกฎธรรมชาติ
พระพุทธศาสนาสอนหลักความจริงที่ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวง มีชีวิตและไม่มีชีวิตล้วน
เป็นไปตามธรรมชาติแห่งเหตุปัจจัย ที่เรียกกันว่า กฎแห่งธรรมชาติ หรือนิยาม๔๕
อันหมายถึงความ
๔๔
สุนทร ณ รังษี, พุทธปรัชญาจากพระไตรปิฎก, พิมพ์ครั้งที่ ๒, หน้า ๑๖๔.
๖๑
เป็นระเบียบ มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัวอยู่แล้วในธรรมชาติ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลอย ๆโดยไม่มีที่มา
และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งอื่น ทุกอย่างล้วนเป็นเหตุเป็นผลกันตามหลักของอิทัปปัจจยตาที่กล่าวมา
“สรรพสิ่งล้วนอิงอาศัยกันและกัน ในฐานะสิ่งหนึ่งเป็นสาเหตุและสิ่งหนึ่งเป็นผล”๔๖
ทั้งนี้ สิ่ง
ทั้งหลายทั้งปวง จึงมีเหตุปัจจัยเกิดจากกฎธรรมชาติมิใช่พระผู้เป็นเจ้า หรือผู้ใดมากาหนดไว้
พระพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาอเทวนิยมกฎแห่งกรรม เป็นกฎแห่งเหตุผลที่มีความสัมพันธ์กัน
ระหว่างกรรมกับผลของกรรมอันเป็นกฎที่แน่นอนและตายตัว กรรมแต่ละประเภทถูกกาหนดไว้
จากธรรมชาติแล้วว่ากรรมแบบไหน ให้ผลแบบไหน เปรียบเทียบได้กับผู้ที่ปลูกต้นมะม่วงย่อม
ได้ผลมะม่วงอย่างแน่นอนจะเป็นผลไม้ชนิดอื่นไม่ได้ กฎแห่งกรรม จึงเป็นกฎแห่งเหตุและผล หรือ
กฎธรรมชาติที่เรียกว่ากรรมนิยาม๔๗
อันเป็นกฎแห่งเหตุและผลที่เกี่ยวกับการกระทาของมนุษย์๔๘
สรุปได้ว่า กฎแห่งกรรมเป็นกฎแห่งเหตุและผลมีความแน่นอนในการให้ผลของกรรม
ซึ่งถูกกาหนดโดยกฎของธรรมชาติไว้แล้วว่า เมื่อทากรรมแบบนี้จะได้รับผลตอบแทนแบบนี้ โดย
ทั้งหมดดาเนินไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา กฎแห่งกรรมจึงมีฐานะเป็นกฎแห่งธรรมชาติ
ข. กฎแห่งกรรมในฐานะเป็นกฎทางศีลธรรม
กฎแห่งกรรมในฐานะเป็นกฎทางศีลธรรม มีความหมายเช่นเดียวกับประเด็นกฎ
ธรรมชาติ คือเป็นกฎแห่งเหตุและผล ประเด็นกฎแห่งธรรมชาติครอบคลุมทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต
ประเด็นกฎแห่งศีลธรรมครอบคลุมเฉพาะสิ่งมีชีวิตที่สามารถมีเจตจานงเสรีได้เท่านั้น๔๙
เพราะ
๔๕
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม, ฉบับปรับปรุงและขยายความ, หน้า ๑๕๒.
๔๖
สมภาร พรมทา, พุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๐), หน้า ๗๕.
๔๗
นิยาม ๕ ที่นอกเหนือจากกรรมนิยามมีอีก ๔ ประการคือ
๑. อุตุนิยาม กฎธรรมชาติเกี่ยวกับอุณหภูมิ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ
๒. พีชนิยาม กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับการสืบพันธ์หรือพันธุกรรม
๓. จิตตนิยาม กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับการทางานของจิต
๔. ธรรมนิยาม กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์และอาการที่เป็นเหตุและผลแก่กันของสิ่ง
ทั้งหลายหรือความเป็นธรรมแห่งเหตุปัจจัย เช่น สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา. ดูเพิ่มเติมใน
พระธรรมปิฎก, (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม, ฉบับปรับปรุงและขยายความ, หน้า ๑๕๒-๑๕๓.
๔๘
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), เชื่อกรรม รู้กรรม แก้กรรม , พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร :
โรงพิมพ์ สหธรรมิก จากัด, ๒๕๔๕), หน้า ๕๔.
๔๙
สุนทร ณ รังษี, พุทธปรัชญาจากพระไตรปิฎก, หน้า ๑๖๖.
๖๒
สามารถกาหนดพฤติกรรมเป็นดีหรือชั่ว ตามมาตรฐานทางศีลธรรมที่ใช้ในสังคมมนุษย์ส่วน
พฤติกรรมที่มาจากสัญชาตญาณไม่สามารถกาหนดด้วยคุณค่าทางศีลธรรมได้กรรมนิยามหรือกฎ
แห่งกรรม คือ กฎธรรมชาติส่วนที่ทาหน้าที่ดูแลการกระทาที่แฝงค่าทางศีลธรรมของมนุษย์ กฎแห่ง
กรรมจะบันทึกการกระทาของบุคคลแต่ละคนและคอยโอกาสให้ผลตอบสนอง๕๐
พระพุทธเจ้าได้
ตรัสถึงกฎแห่งกรรมในฐานะเป็นกฎทางศีลธรรม มีปรากฏในพระไตรปิฎกว่า “คนทากรรมใดไว้
ย่อมเห็นกรรมนั้นในตน คนทากรรมดี ย่อมได้รับผลดี คนทากรรมชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว คนหว่านพืช
เช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น”๕๑
จากพระพุทธพจน์ดังกล่าว เห็นได้ว่า มนุษย์ทุกคนมีกฎแห่งกรรม หรือกรรมนิยาม
กากับ ดูแลพฤติกรรมที่มีคุณค่าทางศีลธรรม และรอคอยเวลาให้ผลตอบแทนตามคุณภาพของกรรม
ตามเหตุและผลที่มีความสัมพันธ์สอดคล้องกัน ถ้าเป็นกรรมดี ผลที่ได้รับเป็นความดี (สุข) ถ้าเป็น
กรรมชั่ว ผลที่ได้รับเป็นความชั่ว (ทุกข์) เปรียบเทียบการให้ผลของกรรม เช่นเดียวกับการปลูกพืช
ปลูกพืชชนิดใดได้ผลพืชชนิดนั้น ปลูกข้าวย่อมได้ข้าว จะเป็นเผือกหรือมันนั้นเป็นไปไม่ได้ กฎแห่ง
กรรมในฐานะเป็นกฎศีลธรรม มีกฎเกณฑ์ตายตัวเหมือนกฎธรรมชาติข้ออื่น ๆ ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว
ไม่มีการยกเว้นหรือยืดหยุ่น แต่เป็นการให้ผลทางด้านจิตใจเท่านั้น การให้ผลชั้นนอกต้องอาศัย
องค์ประกอบอื่น ๆ มาสนับสนุน
สรุปได้ว่า มนุษย์ต้องรับผิดชอบการกระทาของตน โดยมีกฎแห่งกรรมในฐานะกฎ
ศีลธรรมคอยกากับดูแล มีกระบวนการให้ผลที่สัมพันธ์กับเหตุที่เป็นกฎเกณฑ์แน่นอนตายตัวไม่มี
ข้อยกเว้น แต่เป็นผลระดับจิตใจ แต่ก็สามารถหลุดพ้นจากกรรมที่ตนทาได้ ถ้าสามารยกจิตขึ้นสู่
วิปัสสนาพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ทาอาสวะภายในของตนให้หมดสิ้นไป จนเป็นพระอรหันต์ก็จะไม่
ต้องรับกรรมอื่นๆ ที่จะต้องรับต่อไปในภพภูมิข้างหน้าเพราะไม่ได้กลับมาเกิดอีกจึงไม่ต้องรับกรรม
เหล่านั้นหลังจากตายหรือนิพพานที่เป็นอนุปาทิเสสนิพพานคือนิพพานไม่เหลือขันธ์ ๕
๕๐
สมภาร พรมทา, พุทธปรัชญา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๒),
หน้า ๓๑๑-๓๑๒.
๕๑
ขุ.ชา. (ไทย) ๒๗/๓๕๓/๒๐๑.
๖๓
๓.๓.๓ สาเหตุการเกิดกรรม
แนวทัศนะเกี่ยวกับกรรมตามหลักพระพุทธศาสนา ได้แบ่งแหล่งเกิดของกรรมออก ๒
ประเภท คือ๕๒
๑. เกิดจากตัณหา ได้แก่ พอใจ ชอบใจยินดี อยาก รักใคร่ ต้องการ ที่ไม่ดี ไม่สบาย ไม่
เกื้อกูล เป็นอกุศล ๒. เกิดจากฉันทะ ได้แก่ พอใจ ยินดี อยาก รักใคร่ ต้องการ ที่ดีงาม สบาย เกื้อกูล
เป็นกุศล
ตัณหา แปลได้อีกอย่างว่า ความกระหาย ความทะยาน ความอยาก ความเสน่หา ความ
ดิ้นรน ความกระสับกระส่าย กระวนกระวาย ไม่รู้จักอิ่ม ตัณหาเกิดจากเวทนาเป็นปัจจัย โดยมี
อวิชชาเป็นมูลเหตุ กล่าวคือ เมื่อบุคคลรับรู้อารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่น่าชอบใจหรือไม่น่าชอบใจ
ก็ตาม เช่น เห็นรูปสวยหรือน่าเกลียด ได้ยินเสียงไพเราะหรือหนวกหู เป็นต้น แล้วเกิดความรู้สึกสุข
หรือทุกข์ หรือเฉย ๆ ขึ้น ในเวลานั้นตัณหาก็จะเกิดขึ้นในลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งคือ ถ้ารู้สึกสุข
พฤติกรรมที่แสดงออกมาก็ยินดี ชื่นชอบ คล้อยตามไป ติดใจ ใฝ่รัก อยากได้ ถ้ารู้สึกทุกข์ พฤติกรรม
ที่แสดงออกมาก็ยินร้าย ขัดใจ ชัง อยากเลี่ยงหนี หรืออยากให้สูญสิ้นไปเสีย ถ้ารู้สึกเฉย ๆ พฤติกรรม
ที่แสดงออกมาก็เพลินๆ เรื่อยเฉื่อยไป พฤติกรรมเหล่านี้มันเป็นไปของมันได้เอง โดยไม่ต้องใช้
ความคิด ไม่ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจอะไรเลย จึงอาจพูดได้อย่างง่าย ๆ ว่า ตัณหานั่นเองเป็นบ่อเกิด
ของพฤติกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ ดังนั้น ตามหลักพระพุทธศาสนา บทบาทและการทาหน้าที่ของ
ตัณหาเหล่านี้ได้เป็นตัวกาหนดการดาเนินชีวิตส่วนใหญ่ของมนุษย์ ตัณหาที่เป็นบ่อเกิดของกรรม
มนุษย์แบ่งเป็น ๓ ด้านดังนี้๕๓
๑. กามตัณหา คือความกระหายอยากได้อารมณ์ที่น่าชอบใจมาเสพเสวยปรนเปรอตน
หรือความทะยานอยากในกาม
๒. ภวตัณหา คือ ความกระหายอยากในความถาวรมั่นคง มีคงอยู่ตลอดไป ความใหญ่โต
โดดเด่นของตน หรือความทะยานอยากในภพ
๓. วิภวตัณหา คือ ความกระหายอยากในความดับสิ้นขาดสูญ แห่งตัวตน หรือความ
ทะยานอยากในวิภพ
ตัณหาทั้ง ๓ ด้านนี้ย่อมทาให้พฤติกรรมของมนุษย์ดาเนินไปในทิศทางต่างๆ เช่น ได้สิ่ง
ที่ชอบใจ พอใจก็เป็นสุข และแสวงหาสิ่งที่ชอบใหม่ไปเรื่อยๆ ถ้าได้สิ่งที่ไม่น่าชอบใจก็อยากจะไป
๕๒
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ .ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ, พิมพ์ครั้งที่ ๑๑ ,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ บริษัท สหธรรมิก จากัด ,๒๕๔๙), หน้า ๔๙๐.
๕๓
ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๖๓.
๖๔
ให้พ้นจากสิ่งเหล่านั้น ซึ่งพฤติกรรมจะเป็นอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครมีตัณหาทั้งสามด้านนี้มาก
น้อยอย่างไร
ส่วนฉันทะ หมายถึง กุศลธรรม ความพึงพอใจ ความชอบ ความอยากได้ในสิ่งที่ดีงาม
เกื้อกูลต่อชีวิตจิตใจ เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขทั้งแก่ตนและคนอื่น หรือแปลอีกอย่างหนึ่งได้ว่า มี
ความพอใจในความดีงาม ความต้องการในความจริง ความต้องการเล็งไปถึงความรู้ คือเท่ากับพูดว่า
ต้องการรู้ความจริงต้องการเข้าถึงตัวธรรม ดังนั้นกรรมที่เป็นฉันทะนี้ ย่อมมีการแสดงออกมาในทาง
ดีงาม สร้างสรรค์ ใฝ่ดี รักดี เป็นต้น
จากที่กล่าวมาโดยสังเขปนี้ทาให้เห็นความแตกต่างระหว่างกรรมที่ตัณหาเป็นบ่อเกิด
และฉันทะเป็นบ่อเกิดได้ดังนี้
๑. ตัณหา มุ่งประสงค์เวทนา ดังนั้น จึงต้องการสิ่งสาหรับเอามาเสพเสวยเวทนา เอา
อัตตาเป็นศูนย์กลาง กรรมที่แสดงออกมาย่อมเป็นไปอย่างสับสน กระวนกระวาย เป็นทุกข์
๒. ฉันทะ มุ่งประสงค์ที่ประโยชน์ กล่าวคือ ประโยชน์ที่เป็นคุณค่าแท้จริงแก่ชีวิต หรือ
คุณภาพชีวิต ดังนั้น กรรมที่แสดงออกมาจึงมุ่งไปที่ความจริ'สิ่งที่ดีงาม เพราะฉันทะก่อตัวจาก
โยนิโสมนสิการคือความรู้จักคิดหรือคิดถูกวิธีคิดตามสภาวะและเหตุผลเป็นภาวะกลางๆไม่ผูกพัน
กับอัตตาและนาไปสู่อุตสาหะหรือวิริยะคือทาให้เกิดกรรมที่จะแสวงหาสิ่งที่เป็นความดีงามนั่นเอง
บ่อเกิดของกรรมในพระพุทธศาสนาจึงมุ่งเน้นที่มโนกรรมที่มีตัณหาและฉันทะเป็นมูลเหตุและเป็น
สมุฏฐานในการเกิดพฤติกรรมต่างๆของมนุษย์โดยพฤติกรรมที่เกิดขึ้นนั้นมีทั้งดีและไม่ดีและที่เป็น
กลางๆคือไม่ดีไม่ชั่วก็มีทั้งนี้เนื่องมาจากเจตสิกที่มาอาศัยจิตเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดเจตสิกจึงเป็นพลัง
ที่ควบคุมร่างกายมนุษย์ให้กระทาการต่างๆในการแสดงพฤติกรรมทุกๆอย่างที่ปรากฏออกมาทาง
กาย วาจา และใจ
๓.๓.๔ ทางแห่งการทากรรม
ทางหรือทวารแห่งการทากรรม หรือสิ่งที่ทาให้เกิดกรรม มีอยู่ ๓ ทาง คือ
๑. กายกรรม การกระทาทางกาย
๒. วจีกรรม การกระทาทางวาจา
๓. มโนกรรม การกระทาทางใจ๕๔
๕๔
ม.ม. (ไทย) ๑๓/๕๖/๕๕. รายละเอียดว่า “ตปัสสี เราบัญญัติในการทาชั่วในการประพฤติชั่วไว้๓
ประการ คือ ๑. กายกรรม ๒. วจีกรรม ๓. มโนกรรม... ตปัสสี กายกรรมก็อย่างหนึ่ง วจีกรรมก็อย่างหนึ่ง
มโนกรรมก็อย่างหนึ่ง...”
๖๕
ทางแห่งการทากรรม ของบุคคลมี ๓ ทาง คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ขณะที่
บุคคลดาเนินชีวิตประจาวันได้ทากรรมทางใจตลอดเวลา
๓.๓.๕ เกณฑ์ตัดสินกรรมดีกรรมชั่ว
การกระทาที่จัดว่าเป็นกรรมหรือไม่นั้น พระพุทธศาสนาให้ถือหลักของเจตนาเป็นหลัก
ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ส่วนการกระทาใดจัดเป็นกรรมดี หรือกรรมชั่วนั้น๕๕
พระพุทธเจ้าทรงให้
เกณฑ์การตัดสินไว้ดังต่อไปนี้
๑.พิจารณาตามสาเหตุการเกิดกรรม สรุปได้ว่า การกระทาที่มีเจตนามาจาก อโลภะอโทสะ
อโมหะ จัดเป็นกรรมดี การกระทาที่มีเจตนามาจาก โลภะ โทสะ โมหะ จัดเป็นกรรมชั่ว๕๖
๒. พิจารณาตามผลของการกระทาว่า การกระทาที่ “บุคคลทากรรมใดแล้ว ย่อมไม่
เดือดร้อนใจในภายหลัง อิ่มเอิบ ดีใจ เสวยผลกรรมอยู่กรรมนั้นชื่อว่า กรรมดี”๕๗
ส่วนการกระทาที่
“บุคคลกระทากรรมแล้ว ย่อมเดือดร้อนใจในภายหลัง ร้องไห้น้าตานองหน้า เสวยผลกรรมอยู่
กรรมนั้นชื่อว่า เป็นกรรมไม่ดี”
๕๘
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้ให้หลักเกณฑ์ร่วมเพื่อประกอบเกณฑ์การตัดสินกรรม
ดี กรรมชั่ว ไว้ดังต่อไปนี้
๑. ใช้มโนกรรม คือ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตนเองได้หรือไม่ เสียความเคารพ ตน
หรือไม่
๒. พิจารณา ความยอมรับของวิญญูชน หรือนักปราชญ์หรือบัณฑิตชนว่าเป็นสิ่งที่วิญญู
ชนยอมรับหรือไม่ ชื่นชมสรรเสริญ หรือตาหนิติเตียนหรือไม่
๓. พิจารณาลักษณะและผลของการกระทาต่อตนเองต่อผู้อื่น
ก. เป็นการเบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนผู้อื่น ทาตนเองหรือผู้อื่นให้เดือดร้อนหรือไม่
๕๕
ความดี เรียกว่า “กุศลกรรม” บ้าง “สุจริตกรรม” บ้าง “บุญ” บ้าง ไทยแปลว่า “ทาความดี”กรรมชั่ว
เรียกว่า “อกุศลกรรม” บ้าง “ทุจริต” บ้าง “บาป” บ้าง ไทยแปลว่า “ทาความชั่ว” (บรรจบ บรรณรุจิ) “เอกสาร
ประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกวิเคราะห์ ๑,” (กรุงเทพมหานคร : บัณฑิตวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย, ๒๕๔๕ (อัดสาเนา), หน้า ๑๒๖).
๕๖
องฺ ติก. (ไทย) ๒๐/๑๑๒/๓๕๓-๓๕๔, องฺ ฉกฺก. (ไทย) ๒๒/๓๙/๔๙๐.
๕๗
ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๖๘/๔๘.
๕๘
อ้างแล้ว.
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)

Más contenido relacionado

La actualidad más candente

การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์
การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์
การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์
บุษรากร ขนันทอง
 
คุณลักษณะ หลักสูตร 51
คุณลักษณะ หลักสูตร 51คุณลักษณะ หลักสูตร 51
คุณลักษณะ หลักสูตร 51
Narongchai Wanmanee
 
วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร
วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจารวิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร
วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร
Padvee Academy
 
สังคมศึกษา โควต้า มช.
สังคมศึกษา โควต้า มช.สังคมศึกษา โควต้า มช.
สังคมศึกษา โควต้า มช.
Maya NNcuhmmy
 

La actualidad más candente (13)

นวโกวาท
นวโกวาทนวโกวาท
นวโกวาท
 
การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์
การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์
การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์
 
จริยศาสตร์ประเมินบทที่444 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่444 3-ปีจริยศาสตร์ประเมินบทที่444 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่444 3-ปี
 
คุณลักษณะ หลักสูตร 51
คุณลักษณะ หลักสูตร 51คุณลักษณะ หลักสูตร 51
คุณลักษณะ หลักสูตร 51
 
Onet social
Onet socialOnet social
Onet social
 
พระพุทธศาสนากับสังคมสงเคราะห์ ตอน พระพยอม พ่อพระของผู้ยากจน
พระพุทธศาสนากับสังคมสงเคราะห์ ตอน พระพยอม พ่อพระของผู้ยากจน พระพุทธศาสนากับสังคมสงเคราะห์ ตอน พระพยอม พ่อพระของผู้ยากจน
พระพุทธศาสนากับสังคมสงเคราะห์ ตอน พระพยอม พ่อพระของผู้ยากจน
 
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนาเป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
 
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนาเป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
 
พุทธศาสนานิกายมหายาน
พุทธศาสนานิกายมหายานพุทธศาสนานิกายมหายาน
พุทธศาสนานิกายมหายาน
 
ธรรมภาคปฏิบัติ บทที่ ๒ กรรมฐาน และบุรพกิจของการปฏิบัติกรรมฐาน
ธรรมภาคปฏิบัติ บทที่ ๒ กรรมฐาน และบุรพกิจของการปฏิบัติกรรมฐานธรรมภาคปฏิบัติ บทที่ ๒ กรรมฐาน และบุรพกิจของการปฏิบัติกรรมฐาน
ธรรมภาคปฏิบัติ บทที่ ๒ กรรมฐาน และบุรพกิจของการปฏิบัติกรรมฐาน
 
วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร
วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจารวิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร
วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร
 
02 สังคมศึกษา
02 สังคมศึกษา02 สังคมศึกษา
02 สังคมศึกษา
 
สังคมศึกษา โควต้า มช.
สังคมศึกษา โควต้า มช.สังคมศึกษา โควต้า มช.
สังคมศึกษา โควต้า มช.
 

Destacado

กระแสเกาหลี Korean-wave-แก้2
กระแสเกาหลี Korean-wave-แก้2กระแสเกาหลี Korean-wave-แก้2
กระแสเกาหลี Korean-wave-แก้2
MindMaeo
 
สรจักร ผีหัวขาด
สรจักร   ผีหัวขาดสรจักร   ผีหัวขาด
สรจักร ผีหัวขาด
sornblog2u
 
Ask these 5 awesome questions to win sales
Ask these 5 awesome questions to win salesAsk these 5 awesome questions to win sales
Ask these 5 awesome questions to win sales
KUMAR LANG
 
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๓
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๓บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๓
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๓
วัดดอนทอง กาฬสินธุ์
 
Radke garrett visual_resumestoryboard
Radke garrett visual_resumestoryboardRadke garrett visual_resumestoryboard
Radke garrett visual_resumestoryboard
gradke5
 
แปลโดยพยัญชนะเรื่องพราหมณ์ชื่อว่า จูเฬกสาฎก๒
แปลโดยพยัญชนะเรื่องพราหมณ์ชื่อว่า จูเฬกสาฎก๒แปลโดยพยัญชนะเรื่องพราหมณ์ชื่อว่า จูเฬกสาฎก๒
แปลโดยพยัญชนะเรื่องพราหมณ์ชื่อว่า จูเฬกสาฎก๒
วัดดอนทอง กาฬสินธุ์
 

Destacado (20)

การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างละครไทยกับซีรีย์เกาหลี
การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างละครไทยกับซีรีย์เกาหลีการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างละครไทยกับซีรีย์เกาหลี
การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างละครไทยกับซีรีย์เกาหลี
 
เปิดกรุผีไทย ตอนผู้มาจากเมืองมืด (เหม เวชกร)
เปิดกรุผีไทย ตอนผู้มาจากเมืองมืด (เหม เวชกร)เปิดกรุผีไทย ตอนผู้มาจากเมืองมืด (เหม เวชกร)
เปิดกรุผีไทย ตอนผู้มาจากเมืองมืด (เหม เวชกร)
 
กระแสเกาหลี Korean-wave-แก้2
กระแสเกาหลี Korean-wave-แก้2กระแสเกาหลี Korean-wave-แก้2
กระแสเกาหลี Korean-wave-แก้2
 
เปิดกรุผีไทย ตอนเมืองแม่วันทอง (เหม เวชกร)
เปิดกรุผีไทย ตอนเมืองแม่วันทอง (เหม เวชกร)เปิดกรุผีไทย ตอนเมืองแม่วันทอง (เหม เวชกร)
เปิดกรุผีไทย ตอนเมืองแม่วันทอง (เหม เวชกร)
 
สรจักร ผีหัวขาด
สรจักร   ผีหัวขาดสรจักร   ผีหัวขาด
สรจักร ผีหัวขาด
 
วรรณกรรม 50 เรื่องที่ต้องอ่านก่อนโต
วรรณกรรม 50 เรื่องที่ต้องอ่านก่อนโตวรรณกรรม 50 เรื่องที่ต้องอ่านก่อนโต
วรรณกรรม 50 เรื่องที่ต้องอ่านก่อนโต
 
Ask these 5 awesome questions to win sales
Ask these 5 awesome questions to win salesAsk these 5 awesome questions to win sales
Ask these 5 awesome questions to win sales
 
vBrownbag 2013 June 4th - Puppet and Razor - Jonas Rosland
vBrownbag 2013 June 4th - Puppet and Razor - Jonas RoslandvBrownbag 2013 June 4th - Puppet and Razor - Jonas Rosland
vBrownbag 2013 June 4th - Puppet and Razor - Jonas Rosland
 
Research, Monitoring, Transparency
Research, Monitoring, TransparencyResearch, Monitoring, Transparency
Research, Monitoring, Transparency
 
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๓
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๓บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๓
บทความเรื่องการบริหารงานตามหลักฆราวาสธรรม ๓
 
Radke garrett visual_resumestoryboard
Radke garrett visual_resumestoryboardRadke garrett visual_resumestoryboard
Radke garrett visual_resumestoryboard
 
Teamviewer
TeamviewerTeamviewer
Teamviewer
 
Data journalisme
Data journalismeData journalisme
Data journalisme
 
Dulceeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeee
DulceeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeDulceeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeee
Dulceeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeee
 
Web Apps Weekend - Firefox Apps
Web Apps Weekend - Firefox AppsWeb Apps Weekend - Firefox Apps
Web Apps Weekend - Firefox Apps
 
AGU2012 Social Media
AGU2012 Social MediaAGU2012 Social Media
AGU2012 Social Media
 
Hergebruik overheidsinformatie
Hergebruik overheidsinformatieHergebruik overheidsinformatie
Hergebruik overheidsinformatie
 
My Biography
My BiographyMy Biography
My Biography
 
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)
 
แปลโดยพยัญชนะเรื่องพราหมณ์ชื่อว่า จูเฬกสาฎก๒
แปลโดยพยัญชนะเรื่องพราหมณ์ชื่อว่า จูเฬกสาฎก๒แปลโดยพยัญชนะเรื่องพราหมณ์ชื่อว่า จูเฬกสาฎก๒
แปลโดยพยัญชนะเรื่องพราหมณ์ชื่อว่า จูเฬกสาฎก๒
 

Similar a บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)

แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชนแนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
Tongsamut vorasan
 
ลักษณะของจิต
ลักษณะของจิตลักษณะของจิต
ลักษณะของจิต
Wataustin Austin
 
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชนแนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
Tongsamut vorasan
 
บทที่ 4 วิสุทธิ
บทที่ 4 วิสุทธิบทที่ 4 วิสุทธิ
บทที่ 4 วิสุทธิ
Onpa Akaradech
 
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนาการบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา
วัดดอนทอง กาฬสินธุ์
 
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา๒
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา๒การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา๒
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา๒
วัดดอนทอง กาฬสินธุ์
 
สุขอนามัยตามหลักพุทธปรัชญา
สุขอนามัยตามหลักพุทธปรัชญาสุขอนามัยตามหลักพุทธปรัชญา
สุขอนามัยตามหลักพุทธปรัชญา
pentanino
 
บทที่1
บทที่1บทที่1
บทที่1
Ziro Anu
 
บทที่ 1ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจริยธรรม
บทที่ 1ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจริยธรรม บทที่ 1ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจริยธรรม
บทที่ 1ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจริยธรรม
บรรพต แคไธสง
 

Similar a บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง) (20)

แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชนแนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
 
10
1010
10
 
ลักษณะของจิต
ลักษณะของจิตลักษณะของจิต
ลักษณะของจิต
 
Seangdhamma february 13
Seangdhamma february 13Seangdhamma february 13
Seangdhamma february 13
 
จริยศาสตร์ประเมินบทที่222 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่222 3-ปีจริยศาสตร์ประเมินบทที่222 3-ปี
จริยศาสตร์ประเมินบทที่222 3-ปี
 
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชนแนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
 
บทที่ 4 วิสุทธิ
บทที่ 4 วิสุทธิบทที่ 4 วิสุทธิ
บทที่ 4 วิสุทธิ
 
333
333333
333
 
บทที่ ๒ ใหม่
บทที่ ๒ ใหม่บทที่ ๒ ใหม่
บทที่ ๒ ใหม่
 
Lesson 3
Lesson 3Lesson 3
Lesson 3
 
มงคล38
มงคล38มงคล38
มงคล38
 
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนาการบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา
 
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา๒
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา๒การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา๒
การบริหารงานตามหลักอธิปปไตยในพระพุทธศาสนา๒
 
บทที่ ๒ (จริง)๑
บทที่ ๒ (จริง)๑บทที่ ๒ (จริง)๑
บทที่ ๒ (จริง)๑
 
บทความ (สังขาร)
บทความ (สังขาร)บทความ (สังขาร)
บทความ (สังขาร)
 
บทความ (สังขาร)
บทความ (สังขาร)บทความ (สังขาร)
บทความ (สังขาร)
 
สุขอนามัยตามหลักพุทธปรัชญา
สุขอนามัยตามหลักพุทธปรัชญาสุขอนามัยตามหลักพุทธปรัชญา
สุขอนามัยตามหลักพุทธปรัชญา
 
อักษรย่อชื่อคัมภีร์และสารบัญ
อักษรย่อชื่อคัมภีร์และสารบัญอักษรย่อชื่อคัมภีร์และสารบัญ
อักษรย่อชื่อคัมภีร์และสารบัญ
 
บทที่1
บทที่1บทที่1
บทที่1
 
บทที่ 1ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจริยธรรม
บทที่ 1ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจริยธรรม บทที่ 1ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจริยธรรม
บทที่ 1ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจริยธรรม
 

Más de วัดดอนทอง กาฬสินธุ์

Más de วัดดอนทอง กาฬสินธุ์ (20)

กถาวัตถุ
กถาวัตถุกถาวัตถุ
กถาวัตถุ
 
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๓ กสิณ ๑๐
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๓    กสิณ ๑๐กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๓    กสิณ ๑๐
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๓ กสิณ ๑๐
 
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๒
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๒กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๒
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๒) สัปดาห์ที่ ๒
 
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๑) สัปดาห์ที่ ๑
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๑) สัปดาห์ที่ ๑กรรมฐาน (สื่อการสอน ๑) สัปดาห์ที่ ๑
กรรมฐาน (สื่อการสอน ๑) สัปดาห์ที่ ๑
 
กรรมฐาน (เอกสาร ๑)
กรรมฐาน (เอกสาร ๑)กรรมฐาน (เอกสาร ๑)
กรรมฐาน (เอกสาร ๑)
 
เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1
เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1
เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1
 
องค์ประกอบของการสัมมนา๒
องค์ประกอบของการสัมมนา๒องค์ประกอบของการสัมมนา๒
องค์ประกอบของการสัมมนา๒
 
รูปแบบการสัมมนา
รูปแบบการสัมมนารูปแบบการสัมมนา
รูปแบบการสัมมนา
 
เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1
เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1
เอกสารประกอบการสอน วิชา สัมมนาพระพุทธศาสนา1
 
ธรรมภาคปฏิบัติ ๑ รหัส ๐๐๐ ๑๕๑
ธรรมภาคปฏิบัติ ๑ รหัส ๐๐๐ ๑๕๑ธรรมภาคปฏิบัติ ๑ รหัส ๐๐๐ ๑๕๑
ธรรมภาคปฏิบัติ ๑ รหัส ๐๐๐ ๑๕๑
 
ธรรมภาคปฏิบัติ ๓ Ppt
ธรรมภาคปฏิบัติ ๓ Pptธรรมภาคปฏิบัติ ๓ Ppt
ธรรมภาคปฏิบัติ ๓ Ppt
 
ธรรมภาคปฏิบัติ ๓
ธรรมภาคปฏิบัติ ๓ธรรมภาคปฏิบัติ ๓
ธรรมภาคปฏิบัติ ๓
 
ธรรมภาคปฏิบัติ ๕
ธรรมภาคปฏิบัติ ๕ธรรมภาคปฏิบัติ ๕
ธรรมภาคปฏิบัติ ๕
 
๐๐๐ ๒๕๔ ธรรมภาคปฏิบัติ ๔
๐๐๐ ๒๕๔ ธรรมภาคปฏิบัติ ๔๐๐๐ ๒๕๔ ธรรมภาคปฏิบัติ ๔
๐๐๐ ๒๕๔ ธรรมภาคปฏิบัติ ๔
 
รายละเอียดวิชาพระสงฆ์กับภาวะผู้นำ
รายละเอียดวิชาพระสงฆ์กับภาวะผู้นำรายละเอียดวิชาพระสงฆ์กับภาวะผู้นำ
รายละเอียดวิชาพระสงฆ์กับภาวะผู้นำ
 
มคอ ๓ วิชาธรรมภาคปฏิบัติ ๓
มคอ ๓ วิชาธรรมภาคปฏิบัติ ๓มคอ ๓ วิชาธรรมภาคปฏิบัติ ๓
มคอ ๓ วิชาธรรมภาคปฏิบัติ ๓
 
มคอ ๓ วิชาธรรมภาคปฏิบัติ ๕
มคอ ๓ วิชาธรรมภาคปฏิบัติ ๕มคอ ๓ วิชาธรรมภาคปฏิบัติ ๕
มคอ ๓ วิชาธรรมภาคปฏิบัติ ๕
 
รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษ1
รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษ1รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษ1
รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษ1
 
รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษา(2)
รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษา(2)รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษา(2)
รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษา(2)
 
รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษา(1)
รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษา(1)รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษา(1)
รายละเอียดวิชาพระไตรปิฎกศึกษา(1)
 

บทที่ ๓ กรรม (ฉบับปรับปรุง)

  • 1. บทที่ ๓ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับกรรมตามหลักของพระพุทธศาสนา “กรรม”ตามหลักพระพุทธศาสนาเถรวาทเป็นกระบวนธรรมภายในจิตที่ใช้ หลัก ปฏิจจสมุปบาทมาอธิบายและกรรมก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งในกระบวนการแห่งปฏิจจสมุป บาทเป็น การพิจารณาในแง่ของกระบวนการธรรมชาติว่าด้วยตัวกฎหรือสภาวะล้วนๆและเป็นการ มองอย่างกว้างๆตลอดทั้งกระบวนการที่ไม่เน้นจุดใดจุดหนึ่งโดยเฉพาะแต่ในทางปฏิบัติเมื่อมองใน แง่ความ เป็นไปในชีวิตจริงจะเห็นว่าส่วนของปฏิจจสมุปบาทที่ปรากฏเด่นชัดออกมาในการ ดาเนินชีวิต ประจาวันเป็นเรื่องของการแสดงออกและเกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบของคนโดย ตรงที่มีตัวการ และสิ่งแวดล้อมอื่นๆเกี่ยวข้อง ในการศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องกรรม ๓.๑ ความหมายของกรรม คาว่า “กรรม” ในทางพระพุทธศาสนาแปลว่าการกระทา มีความหมายกลาง ๆ ใช้ได้ทั้งในทางดีและทางไม่ดี ถ้าเป็นกรรมดีเรียกว่า กุศลกรรม กรรมไม่ดีเรียกว่า อกุศลกรรม พระพุทธเจ้าได้ตรัสความหมายของกรรมไว้ในนิพเพธิกสูตรว่า “ภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยเหตุนี้ว่า เรากล่าวว่าเจตนาเป็นตัวกรรม บุคคลคิดแล้วจึงกระทาด้วยกาย วาจา และใจ”๑ พระพุทธพจน์นี้นักปราชญ์และนักวิชาการทางพระพุทธศาสนาได้อธิบายความหมาย ของกรรมเพิ่มเติมไว้ดังนี้ พระญาณติโลกะ(Nyanatiloka)อธิบายว่ากรรมคือการกระทาที่มีพื้นฐานมาจากกุศล กับ อกุศลทาให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิดหรือเจตนาเป็นตัวกาหนดที่ไป เจตนาของกรรมคือ การ แสดงออกของการกระทาที่เป็นกุศลหรืออกุศลมีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม กรรมทาง พระพุทธศาสนาจึงมิใช่ตัวกาหนดโชคชะตาหรือสังคมของมนุษย์แต่เป็นเรื่องของการกระทา ซึ่ง ทางตะวันตกมีความเข้าใจว่า พระเจ้าเป็นผู้กาหนด๒ ๑ องฺ. ฉกฺก. (ไทย) ๒๒/(๖๓/๕๗๗. ๒ Nyanatiloka, Bhddhist Dictionary Manual of Buddhist Terms and Doctrines, (Kandy :Buddhist Publication Society, 1980 ) , P. 92.
  • 2. ๔๘ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) อธิบายว่า กรรม แปลตามศัพท์ว่าการงานหรือการ กระทา แต่ในทางธรรมต้องจากัดความจาเพาะลงไปว่า หมายถึง การกระทาที่ประกอบด้วยเจตนา หรือการกระทาที่เป็นไปด้วยความจงใจถ้าเป็นการกระทาที่ไม่มีเจตนาก็ไม่เรียกว่าเป็นกรรมใน ความหมายทางธรรม๓ พระธรรมวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ) อธิบายว่า กรรม แปลว่า การกระทา กรรมนี้เป็น คากลางๆถ้าหากว่าเป็นการกระทาดีท่านเรียกว่ากุศลกรรมถ้าหากว่าเป็นการกระทาชั่วท่านเรียกว่า อกุศลกรรม๔ พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) อธิบายว่า กรรม แปลว่า การกระทา การ กระทาที่แสดงออกทางกายเรียกว่า กายกรรม การกระทาทางวาจาเรียกว่า วจีกรรม ลาพัง ความคิด เรียกว่ามโนกรรม กรรมที่จะมีผลหรือวิบากต้องเป็นการกระทาที่มีเจตนาเป็นตัวนาเสมอ๕ แสง จันทร์งาม อธิบายว่า กรรม แปลว่า การกระทา (action) ที่ประกอบด้วยเจตนา หรือความตั้งใจ (volition) อันมีกิเลสเป็นแรงผลักดัน ฉะนั้นกรรมที่สมบูรณ์จะต้องมีตัวประกอบ กรรม ๓ เสมอ คือ มีกิเลสเป็นแรงกระตุ้น มีความตั้งใจหรือเจตนามีการกระทาหรือการเคลื่อนไหว๖ บรรจบ บรรณรุจิ๗ อธิบายว่า กรรม คือ การกระทาที่ประกอบด้วยเจตนาของคนที่ยังมี กิเลสซึ่งยังมีการให้ผลแบ่งออกได้เป็น ๓ ทางคือกายกรรม (การกระทาทางกาย) วจีกรรม(การ กระทาทางวาจา–พูด) และมโนกรรม (การกระทาทางใจ ความคิด)กรรมทั้ง ๓ มีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว ชะบา อ่อนนาค อธิบายว่า กรรม คือ การกระทาที่ประกอบด้วยเจตนาอันมีพื้นฐานมา ๓ พระพรหมคุณาภรณ์ (ปยุตฺโต), พุทธธรรม, ฉบับปรับปรุงและขยายความ, พิมพ์ครั้งที่ ๑๑, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์บริษัท สหธรรมิก จากัด, ๒๕๔๙), หน้า ๑๕๗. ๔ พระธรรมวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ) , กฎแห่งกรรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๗, (กรุงเทพมหานคร : มหา มกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖), หน้า ๒. ๕ พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูรธมฺมจิตฺโต),กรรมและการเกิดใหม่, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์บริษัท สหธรรมิก จากัด, ๒๕๓๙), หน้า ๒๖. ๖ แสง จันทร์งาม, พุทธศาสนวิทยา, พิมพ์ครั้งที ๔, (กรุงเทพมหานคร : ธีระการพิมพ์, ๒๕๔๕), หน้า ๑๑๒. ๗ บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏิจจสมุปบาท, พิมพ์ครั้งที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร : พรบุญการพิมพ์, ๒๕๓๘), หน้า ๗๖.
  • 3. ๔๙ จากกิเลส แสดงออกทางกาย วาจา ใจ มีทั้งกรรมดี กรรมชั่วและส่งผลต่อผู้กระทา๘ ตามที่นักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับความหมายของกรรม ดังกล่าวมาแล้วสรุปได้ว่า กรรม คือการกระทาที่ ประกอบด้วยเจตนาอันมีพื้นฐานมาจากกิเลส แสดงออกทางกายวาจาใจมีทั้งกรรมดีกรรมชั่วและ ส่งผลต่อผู้กระทา นอกจากนี้คาสอนของ พระพุทธศาสนายึดถือเอาการกระทาของมนุษย์ เป็นเครื่องตัดสินว่าบุคคล นั้นเป็นคนดีหรือคน ชั่ว มิได้ยึดถือเอาเรื่องชาติ โคตร ตระกูล ยศ ความรู้ อานาจ เพศ และวัย เป็นเครื่องวัดหากแต่วัดที่ การแสดงออกหรือการกระทาของแต่ละบุคคล ดังพุทธพจน์ว่า“บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติไม่ เป็นพราหมณ์เพราะชาติแต่เป็นคนถ่อยเพราะ กรรมเป็นพราหมณ์เพราะกรรม”๙ จากพุทธพจน์ ดังกล่าวมานี้จะเห็นได้ว่าลักษณะคาสอนใน พระพุทธศาสนาเป็นกรรมวาทและกิริยาวาท กล่าวคือความดีความชั่วหรือสิ่งที่ดีและสิ่งที่ชั่วล้วนมีความเกี่ยวข้องกันกับการกระทาของมนุษย์ ทั้งสิ้น จึงสรุปได้ว่า คาว่า “กรรม” คือการแสดงออก ทางกายวาจาและใจนั่นเองการแสดงออกทาง กายวาจาที่มีใจเป็นผู้บัญชาการหรือมีใจเป็นหัวหน้าให้กระทาสิ่งต่าง ๆ ทั้งดีและชั่ว ๓.๒. ประเภทของกรรม กรรมเป็นหลักธรรมที่สาคัญที่มีปรากฏในพระไตรปิฎกและอรรถกถา โดยมีการแบ่ง กรรมออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ๓.๒.๑ ประเภทของกรรมในพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกได้แบ่งประเภทของกรรมไว้หลายประเภทด้วยกัน โดยแบ่งตามคุณภาพ หรือมูลเหตุที่เกิดกรรม แบ่งตามทางที่ทากรรมและแบ่งตามกรรมที่มีความสัมพันธ์กับวิบาก ก. กรรมตามคุณภาพหรือสาเหตุที่เกิดกรรม กรรมที่แบ่งตามคุณภาพหรือสาเหตุที่เกิดกรรมนั้นพระไตรปิฎกได้กล่าวไว้ในอกุศลมูล สูตร๑๐ สรุปได้ว่า ๘ ชะบา อ่อนนาค, ”การศึกษาความเชื่อเรื่องกรรมในพระพุทธศาสนาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา: ศึกษากรณีโรงเรียนชลบุรี "สุขบท" จังหวัดชลบุรี”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘ ,(หน้า ๘ . ๙ ขุ.สุตฺต. (บาลี) ๒๕/๑๔๒/๓๖๑., ขุ. สุตฺต. (ไทย) ๒๕/๑๔๒/๕๓๒. ๑๐ องฺ. ทุกฺ. (ไทย) ๒๐/๒๗๕/๒๗๗.
  • 4. ๕๐ อกุศลมูล (รากเหง้าแห่งอกุศล)มี ๓ อย่าง คือ โลภะ โทสะ โมหะ บุคคลทากรรมเพราะมี โลภะ โทสะ โมหะ ทางกาย วาจา ใจ จัดเป็นอกุศลกรรมและมีผลทาให้เป็นทุกข์ลาบาก คับแค้น เดือดร้อนในปัจจุบัน หลังการตายแล้ว ย่อมไปเกิดในทุคติ กุศลมูล (รากเหง้าแห่งกุศล) มี ๓ อย่าง คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ บุคคลทากรรมโดย ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ ทางกาย วาจา ใจ จัดเป็นกุศลกรรมและมีผลทาให้อยู่เป็นสุขไม่ลาบาก ไม่คับแค้น ไม่เดือดร้อนในปัจจุบัน ย่อมปรินิพพานในชาติปัจจุบัน กรรมที่แบ่งตามคุณภาพหรือสาเหตุการเกิดมี ๒อย่าง คือ๑.อกุศลกรรมหมายถึง กรรมชั่ว มีสาเหตุมาจากโลภะ โทสะ โมหะ ๒. กุศลกรรม หมายถึง กรรมดี มีสาเหตุมาจากอโลภะ อโทสะ อโมหะ เรียกว่า กรรม ๒๑๑ ข. กรรมแบ่งตามทางที่ทา กรรมแบ่งตามทางที่ทาพระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงกรรมตามที่เกิดไว้ในพระสูตรอุปาลิวาท สูตร ไว้ว่า ตปัสสีเราบัญญัติในการทาชั่วในการประพฤติชั่วไว้๓ ประการคือ (๑) กายกรรม (๒) วจีกรรม (๓) มโนกรรม…ตปัสสีกายกรรมก็อย่างหนึ่งวจีกรรมก็อย่างหนึงมโนกรรม ก็อย่างหนึ่ง…ตปัสสี บรรดากรรมทั้ง ๓ ประการ ที่จาแนกแยกออกเป็นอย่างนี้ เราบัญญัติ มโนกรรมว่า มีโทษมากกว่าในการทากรรมชั่วในการประพฤติชั่วมิใช่กายกรรมหรือ วจีกรรม๑๒ ค. กรรมแบ่งตามทางที่ทาหรือแสดงออกของกรรมจัดเป็น ๓ ทาง๑๓ คือ ๑. กายกรรม กรรมทาด้วยกาย หรือกระทาทางกาย ๒. วจีกรรม กรรมทาด้วยวาจา หรือการกระทาทางวาจา ๓. มโนกรรม กรรมทาด้วยใจ หรือการกระทาทางใจ มโนกรรมหรือความคิดจัดเป็นกรรมเพราะทุกขณะจิตที่คิดของปุถุชนมีกิเลสเกิดขึ้น ๑๑ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์ครั้งที่ ๙, (กรุงเทพมหานคร : ๒๕๔๓), หน้า ๔. ๑๒ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๕๖/๕๕. ๑๓ พระพรหมคุณาภรณ์ (ปยุตฺโต), พุทธธรรม, ฉบับปรับปรุงและขยายความ, พิมพ์ครั้งที่ ๙, (กรุงเทพมหานคร : ๒๕๔๓), หน้า ๑๖๐.
  • 5. ๕๑ กากับอยู่เสมอและเป็นจุดเริ่มต้นของการทากรรมที่มีผลสืบต่อให้กระทากรรมทางกายและทาง วาจาซึ่งพระพุทธศาสนาจัดว่ามโนกรรมเป็นกรรมที่สาคัญที่สุดมีโทษมากที่สุดมโนกรรมที่ให้ โทษ ร้ายแรงที่สุดคือมิจฉาทิฏฐิและมโนกรรมที่เป็นความดีสูงสุดคือสัมมาทิฏฐิ๑๔ อันเป็น ตัวกาหนดวิถี ชีวิตของบุคคลและสังคมเมื่อบุคคลทากรรมตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ไม่ทางมโนกรรมก็ ทากายกรรม หรือวจีกรรมซึ่งวจีกรรมนอกจากคาพูดแล้วยังหมายถึงผู้ทาใช้ภาษาเป็นเครื่องมือใน การทา๑๕ กรรมอย่างหนึ่งอาจต้องใช้การกระทามากกว่าหนึ่งทางการจะตัดสินว่าเป็นกรรมทางใด ให้ดูว่า กรรมนั้นสาเร็จบริบูรณ์ด้วยอะไรกายวาจาหรือด้วยใจถ้าสาเร็จด้วยทวารใดพึงถือว่าเป็น กรรมทวารนั้น๑๖ เช่น การฆ่าคนที่ไม่ได้ลงมือเอง แต่ใช้วาจาจ้างให้ผู้อื่นทาแทน จัดเป็นกายกรรม แต่ใช้วาจาประกอบ เพราะถือว่าจุดสมบูรณ์อยู่ที่กาย หรือการเขียนหนังสือโกหก ให้คนอ่าน เชื่อ จัดเป็นการกระทาทางวจีกรรม เพราะเป็นเรื่องของภาษาการสื่อสาร ง. แบ่งตามสภาพความสัมพันธ์กับผลที่เกิดขึ้น กรรมของมนุษย์ยังสามารถแบ่งตามสภาพความสัมพันธ์กับผลที่เกิดขึ้นจากกรรมนั้นๆ ได้๔ อย่างคือ๑๗ ๑. กรรมดา มีผลดา ได้แก่ กายสังขาร วจีสังขาร และมโนสังขาร ที่แสดงออกใน ทางเบียดเบียน ตัวอย่างเช่น ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร ฯลฯ ๒. กรรมขาว มีผลขาว ได้แก่ กายสังขาร วจีสังขาร และมโนสังขาร ที่แสดงออกในทาง ไม่เบียดเบียด สร้างสรรค์ เช่น การประพฤติตามกุศลกรรมบถ ๑๐ ๓. กรรมทั้งขาวและดา มีผลทั้งขาวและดา ได้แก่ กายสังขาร วจีสังขาร และมโนสังขาร ที่มีการแสดงออกในทางที่เบียดเบียนบ้าง ไม่เบียดเบียนบ้าง เช่นพฤติกรรมของมนุษย์ทั่วๆ ไป ๔. กรรมไม่ดาไม่ขาว มีผลไม่ดาไม่ขาว กรรมเช่นนี้เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม ได้แก่ เจตนาเพื่อละกรรมทั้งสามดังกล่าวมา หรือกล่าวโดยองค์ธรรม ได้แก่ โพชฌงค์ ๗หรือมรรคมีองค์ ๘ ๑๔ บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏิจจสมุปบาท, หน้า ๗๙. ๑๕ ปิ่น มุทุกันต์, พุทธศาสตร์ ภาค ๒, (กรุงเทพมหานคร : มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕),หน้า ๔๔๖. ๑๖ ปิ่น มุทุกันต์, เรื่องเดียวกัน. หน้า ๔๔๖. ๑๗ ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๓๑๒/๒๙๑ , ม.ม.(ไทย) ๑๓/๘๑/๗๙-๘๑.
  • 6. ๕๒ พระพุทธศาสนาถือว่าการแสดงออกของมนุษย์ทุกอย่างถือว่ากรรมไม่ว่าจะเป็นทาง กาย วาจา ใจ ในบรรดากรรมทั้ง ๓ นี้กรรมที่เกิดทางใจถือว่ามีผลมากกว่ากรรมที่เกิดทางกาย และทาง วาจาเพราะกรรมทางใจเป็นสาเหตุให้บุคคลคนกระทากรรมทางกายและพูดออกมาทาง วาจา ดังพุทธพจน์ว่า “ตปัสสีบรรดากรรมทั้ง ๓ ประการที่จาแนกแยกเป็นอย่างนี้เราบัญญัติ มโนกรรม ว่า มีโทษมากกว่า ในการทากรรมชั่วในการประพฤติกรรมชั่วมิใช่กายกรรมหรือวจีกรรม๑๘ ๓.๒.๒ ประเภทของกรรมในอรรถกถา ในพระไตรปิฎก ได้แบ่งกรรมไว้เป็นประเภทต่าง ๆ แล้ว ยังได้แบ่งระยะเวลาการให้ผล ของกรรม ไว้ในนิพเพธิกสูตร ว่า “วิบากแห่งกรรมเป็นอย่างไร คือ เรากล่าววิบากแห่งกรรมว่า มี ๓ ประเภท คือ ๑. กรรมที่พึงเสวยในปัจจุบัน ๒. กรรมที่พึงเสวยในชาติถัดไป ๓. กรรมที่พึง เสวยในชาติต่อ ๆ ไป๑๙ การแบ่งระยะเวลาการให้ผลของกรรมนั้นมี ๓ ระยะ กล่าวโดยสรุป คือ ชาตินี้ ชาติหน้า และชาติต่อ ๆ ไป ไม่ได้กล่าวถึงอโหสิกรรม ซึ่งมีการแบ่งกรรมออกเป็น หมวดหมู่ที่ชัดเจนกรรมนอกจากปรากฏในพระไตรปิฎกแล้ว ยังมีกรรม ๑๒ ปรากฏในคัมภีร์วิสุทธิ มรรคซึ่งจัดเป็นคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาชั้นอรรถกถา แต่งโดยพระพุทธโฆสาจารย์ได้รวบรวม กรรมในพระไตรปิฎก โดยยึดพระพุทธพจน์เป็นหลัก จัดแบ่งกรรมออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามผล ของกรรมที่ได้รับ มี ๓ ประเภท ประเภทละ ๔ อย่าง ดังรายละเอียดดังต่อไปนี้๒๐ ก. กรรมประเภทที่ ๑ กรรมที่ให้ผลตามหน้าที่ มี ๔ อย่าง คือ ๑. ชนกกรรม กรรมส่งให้เกิด ๒. อุปถัมภกกรรม กรรมสนับสนุนส่งเสริม ๓. อุปปีฬกกรรรม กรรมเบียดเบียน ๔. อุปฆาตกรรม กรรมทาหน้าที่ตัดรอน กรรมให้ผลตามหน้าที่หมายถึง กรรมที่ทาไปนั้น ทั้งดีและไม่ดี ย่อมทาหน้าที่ให้ผล เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนเราดังนี้ ๑๘ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๕๗/๕๕. ๑๙ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๕๗/๕๕. ๒๐ สมเด็จพระพุฒ าจารย์(อาจ อาสภมหาเถร) , คัมภีร์วิสุทธิมรรค, พิมพ์ครั้งที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร : บริษัทประยูรวงศ์พรินติ้ง จากัด, ๒๕๔๖), หน้า ๙๖๙–๑๗๑.
  • 7. ๕๓ ๑. ชนกกรรมกรรมส่งให้เกิดหมายถึงกรรมดีหรือกรรมชั่วที่ทาไว้ส่งให้เกิดในภพภูมิ ต่างๆ ถ้าเป็นกรรมดีส่งไปเกิดในสุคติถ้าเป็นกรรมชั่วส่งไปเกิดในทุคติ๒๑ และยังทาหน้าที่หล่อเลี้ยง ชีวิตใหม่ให้ดารงอยู่และดาเนินกิจกรรมตามสภาพของกรรมจนครบอายุขัย๒๒ ขณะที่ชนกกรรมทา หน้าที่ปฏิสนธิกรรมอื่นจะแทรกแซงไม่ได้เลยชนกกรรมเปรียบเหมือนมารดาคลอดบุตรจะมีใคร มาแย่งหน้าที่เป็นผู้คลอดร่วมไม่ได้๒๓ ๒. อุปัตถัมภกกรรมกรรมสนับสนุนส่งเสริมหมายถึงกรรมที่ทาหน้าที่สนับสนุน ส่งเสริม ชนกกรรมที่ไม่มีโอกาสให้ผลให้ได้ผลและชนกกรรมที่กาลังให้ผลให้ได้ผลเต็มที่ตลอดจน สนับสนุนส่งเสริมชีวิตที่ชนกกรรมให้เกิดและหล่อเลี้ยงไว้ให้เจริญเติบโต และดารงอยู่ได้นาน๒๔ ดังนั้น อุปถัมภกกรรมต้องเป็นกรรมประเภทเดียวกันกับชนกกรรม เช่น ชนกกรรมนาไปเกิดเป็นลูก เศรษฐี อุปถัมภกกรรมฝ่ายกุศลจะมาสนับสนุน ให้เด็กคนนั้นมีความสุขสมบูรณ์ตลอดไป ๓.อุปปีฬกกรรมกรรมเบียดเบียนหมายถึงกรรมที่เบียดเบียนชนกกรรมที่ให้ผลอยู่อ่อน กาลังลงเบียดเบียนชนกกรรมที่กาลังจะให้ผลให้ผลไม่เต็มที่ตลอดจนเบียดเบียนชีวิตที่ชนกกรรม ให้เกิดและหล่อเลี้ยงไว้ไม่ให้เป็นไปตามสภาพของกรรมนั้นอุปปีฬกกรรมจะตรงกันข้ามกับชนกรรม และอุปถัมภกกรรม คอยบั่นทอนผลของกรรมทั้งสองให้สิ้นลง ถ้ามีความสุข ก็จะสุขไม่นานถ้ามี ความทุกข์ก็จะทุกข์ไม่มากและไม่นานเช่นเกิดเป็นลูกเศรษฐีมีความสุขสบายแต่ต่อๆมาฐานะตกต่าลง ๔. อุปฆาตกรรมกรรมตัดรอนหมายถึงกรรมที่ตัดรอนชีวิตที่ชนกกรรมให้เกิดและ หล่อ เลี้ยงไว้มิให้ให้ผลและสูญสิ้นไปตลอดจนตัดรอนชนกกรรมอื่นๆไม่ให้มีโอกาสให้ผลอุป ฆาตกรรม เป็นกรรมที่สนับสนุนอุปปีฬกกรรมและตรงกันข้ามกับชนกกรรมและอุปถัมภกกรรมเช่น ถ้าชนกกรรมและอุปถัมภกกรรมเป็นฝ่ายกุศลอุปปีฬกกรรมจะเป็นฝ่ายอกุศลและอุปฆาตกรรม จะเป็นฝ่าย อกุศลเช่นเดียวกับอุปปีฬกกรรม กรรมชนิดนี้ เมื่อให้ผลจะตัดรอนชนกกรรมและให้ผล แทนที่ทันที เช่น ชนกกรรมฝ่ายกุศลนาไปเกิดเป็นลูกเศรษฐี อุปถัมภกกรรมส่งเสริมให้มีความสุข ๒๑ ทุคติ หรือ อบายภูมิ มี ๔ ภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน สุคติ หมายถึง โลก มนุษย์และสวรรค์. พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร), กรรมทีปนี, เล่ม ๒, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : ดอกหญ้า), หน้า ๕๒๓. ๒๒ บรรจบ บรรณรุจิ, เอกสารประกอบการสอนพระไตรปิฎกวิเคราะห์ ๑ , หน้า ๑๒๗. ๒๓ พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร), กรรมทีปนี, เล่ม ๑, พิมพ์ครั้งที่ ๒ (กรุงเทพมหานคร : ดอกหญ้า), หน้า ๒๖. ๒๔ บรรจบ บรรณรุจิ, เอกสารประกอบการสอนพระไตรปิฎกวิเคราะห์ ๑ ,หน้า ๑๒๗.
  • 8. ๕๔ สมบูรณ์ มีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองเมื่ออุปฆาตกรรมตามมาทาให้เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งที่อยู่ในวัยไม่ สมควร ตายหรือชนกกรรมนาไปให้เกิดเป็นเปรตประเภทปรทัตตูปชีวิกเปรตอุปัตถัมภกกรรมเข้า สนับสนุน ชนกกรรมทาให้เปรตนั้นได้รับความทุกข์ตามสภาพของเปรตวิสัยญาติพี่น้องในโลก มนุษย์ได้ทาบุญ แล้วอุทิศส่วนบุญกุศลไปให้ถ้าบุญกุศลที่ญาติทาแล้วอุทิศไปให้นี้มีกาลังแรงมา เปรตนั้นได้รับ ส่วนกุศลนั้นแล้วก็พ้นจากภาวะของเปรตจุติไปเกิดในสุคติเป็นมนุษย์หรือเทวดา บุญ กุศล ในกรณีนี้ คือ อุปฆาตกรรมที่เข้าให้ผลตัดรอนผลของชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรม๒๕ เห็นได้ว่า อุปฆาตกรรมไม่ใช่กรรมที่หักล้างหรือลบล้างกรรมอื่นเพราะกรรมแต่ละ ประเภทให้ผลของตนเอง ลบล้างกรรมอื่นไม่ได้การให้ผลของกรรมมีเงื่อนไขที่ว่ากรรมมีกาลังให้ผล เกิดอ่อนกาลังลง กรรมอื่นที่กาลังแรงกว่าก็จะให้ผลแทนที่ เปรียบเหมือนกับนักกีฬาวิ่งแข่งขันกัน นักกีฬาคนใดวิ่งเร็วจะแซงนักกีฬาคนอื่นที่วิ่งนาหน้าได้และเป็นผู้ชนะ๒๖ ข. กรรมประเภทที่ ๒ กรรมให้ผลก่อนหรือหลัง (กรรมให้ผลตามลาดับ) มี ๔ อย่าง ๑. ครุกรรม กรรมหนัก ๒. อาสันนกรรม กรรมใกล้ตาย หรือกรรมใกล้ดับจิต ๓. อาจิณณกรรม กรรมที่ทาจนชิน ๔. กตัตตากรรม กรรมสักว่าทา กรรมให้ผลก่อนหรือหลัง หมายถึง กรรมที่ทาไปทั้งดีและไม่ดี ย่อมมีผลให้ไปเกิดใน ภพภูมิต่าง ๆ กัน ขึ้นอยู่กับกรรมหนักหรือกรรมเบา กรรมที่เป็นกรรมหนักจะมีกาลังมากกว่าและ ให้ผลก่อน ๑. ครุกรรม กรรมหนัก หมายถึง กรรมที่ทาแล้วให้ผลเป็นตัวกาหนดชีวิตหลังความตาย ได้แน่นอน ให้ผลแก่เจ้าของกรรมในชาติที่ ๒ หรือชาติหน้า ไม่มีกรรมใดมีอานาจกางกั้นการให้ผล ได้นอกจากครุกรรมด้วยกันที่แรงกว่าครุกรรมที่กาลังอ่อนกว่าจะเป็นเพียงกรรมที่ช่วยอุดหนุนใน ฐานะปัตถัมภกรรมเท่านั้น๒๗ ครุกรรมฝ่ายอกุศลและฝ่ายกุศลจะนาเจ้าของกรรมให้ไปเกิดในทุคติ ๒๕ สุนทร ณ รังษี, พุทธปรัชญาจากพระไตรปิฎก, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๓), หน้า ๒๐๒. ๒๖ วัชระ งามจิตเจริญ, พุทธศาสนาเถรวาท, (กรุงเทพมหานคร : ภาควิชาปรัชญา คณะ ศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๕), หน้า ๑๒๐. ๒๗ พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร), กรรมทีปนี, เล่ม ๑, หน้า ๑๑๗.
  • 9. ๕๕ หรือสุคติ ในชาติหน้าทันทีโดยไม่มีอานาจใดมาเป็นอุปสรรคขัดขวางได้ครุกรรมกรรม หนักฝ่าย อกุศล ได้แก่ กรรมอันเป็นบาปหนัก ได้แก่ ก. นิยตมิจฉาทิฐิ ความเห็นผิดอันดิ่งลงไปแก้ไม่ได้ ได้แก่ ความเห็นว่าทานที่ให้แล้วไม่ มีผล การเซ่นสรวงการบูชาไม่มีผล ผลของกรรมดีและกรรมชั่วไม่มีโลกนี้โลกหน้าไม่มีบิดามารดา ไม่มี สัตว์ผู้อุปปาติกะไม่มี (สัตว์ผู้ผุดเกิดเองไม่มี) ข. อนันตริยกรรม ได้แก่ กรรมอันเป็นบาปหนัก มีอานาจให้ผลในชาติหน้าตามลาดับ มี ๕ ประการ คือ ๑. มาตุฆาต ฆ่ามารดา ๒. ปิตุฆาต ฆ่าบิดา ๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์ ๔. โลหิตุปบาท ทาร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงยังโลหิตให้ห้อขึ้นไป ๕. สังฆเภท ยังสงฆ์ให้แตกกัน ครุกรรมฝ่ายกุศลหรืออนันตริยกรรมฝ่ายกุศล ได้แก่ รูปฌาน ๔ และ อรูปฌาน ๔เรียกว่า สมาบัติ ๘ สมาบัติหรือฌานเพียงขั้นใดขั้นหนึ่ง เช่น รูปฌานที่ ๑ เป็นต้น ครุกรรมฝ่ายกุศล ถ้าผู้ที่ ได้ฌานสมาบัติอยู่แล้วเสื่อมลงสามารถทาได้ใหม่แต่ผู้ที่ทาอนันตริยกรรมฝ่ายอกุศลจะติดตัวอยู่ ตลอดเวลาไม่มีการเสื่อมแบบฝ่ายกุศลแม้ผู้ทาจะสานึกผิดแล้วก็ตามก็ไม่สามารถใช้ความเพียร พยายามเจริญสมาธิให้เกิดฌานได้เพราะกาลังกรรมของอนันตริยกรรมฝ่ายอกุศลจะเป็นนิวรณ์ ปิด กั้นจิตไม่ให้บรรลุองค์ฌานได้ดังนั้นจึงมีคากล่าวว่าอนันตริยกรรมฝ่ายอกุศลย่อมห้ามทั้งสวรรค์และ มรรคผลนิพพานในชาติปัจจุบัน๒๘ ๒. อาสันนกรรมกรรมใกล้ตายหรือกรรมใกล้ดับจิตหมายถึงกรรมดีหรือกรรมชั่วที่ทา ในเวลาใกล้ตายกรรมดีหรือกรรมชั่วที่จิตระลึกถึงเมื่อคราวกาลังจะตายบางทีเป็นกรรมที่ทาไว้นาน แล้วต่อมาระลึกถึงเมื่อตอนใกล้ตายแต่ไม่ใช่กรรมที่เป็นครุกรรมถ้าไม่มีครุกรรมอาสันนกรรมให้ผล ก่อนอาสันนกรรมถึงจะเป็นกรรมที่มีพลังสู้กรรมอื่นไม่ได้แต่สามารถให้ผลของกรรมได้ก่อน กรรมอื่น เปรียบเทียบอาสันนกรรมได้กับโคที่แออัดอยู่ในคอกมีโคแก่อยู่ปากคอกเมื่อเปิดคอกโค ๒๘ สุนทร ณ รังษี, พุทธปรัชญาจากพระไตรปิฎก, หน้า ๒๑๘.
  • 10. ๕๖ แก่สามารถออกจากคอกได้ก่อนโคที่แข็งแรงที่อยู่ข้างใน๒๙ อาสันนกรรมจะทาหน้าที่นาบุคคลไป เกิดตามกรรม ที่ทา ถ้าเป็นอกุศลกรรมจะนาไปเกิดในทุคติ ถ้าเป็น กุศลกรรมจะนาไปเกิดในสุคติ๓๐ อาสันนกรรม หมายถึง ชนกกรรม ในประเภทของกรรมที่ให้ผลตามหน้าที่ จากข้อความดังกล่าวจะเห็นได้ว่าอาสันนกรรมเป็นกรรมเพียงเล็กน้อยไม่มีความรุนแรง มากก็ตามแต่บุคคลไม่ควรประมาทในการทากรรมควรรักษาจิตให้ผ่องใสคุ้นเคยกับความดีเอาไว้ เพราะผลของกรรมที่บุคคลทาไว้นั้นแม้เป็นความชั่วเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทาจิตให้เศร้าหมอง ส่งผลให้ไปเกิดในทุคติได้ อาสันนกรรมอาจหมายถึง ชนกกรรมก็ได้ ๓. อาจิณณกรรม กรรมที่ทาเป็นประจา หมายถึง กรรมดีหรือกรรมชั่วที่ทาเป็นประจา สม่าเสมอส่งผลให้กลายเป็นนิสัยแม้ว่ากรรมชนิดนี้จะเป็นกรรมที่ทาเพียงครั้งละเล็กน้อยแต่เมื่อทา มากเข้า ก็กลายเป็นกรรมที่มากเปรียบได้กับน้าที่หยดลงตุ่มทีละหยด บ่อย ๆ เข้าน้าก็เต็มตุ่มได้ อาจิณณกรรมจึงเรียกได้อีกอย่างว่าพหุลกรรมอาจิณณกรรมอาจหมายถึงกรรมบางอย่างที่ทาด้วย เจตนาอย่างแรงกล้าทั้งก่อนทาขณะทาและหลังทาแต่เป็นกรรมที่ทาไว้เพียงครั้งเดียวและนานมา แล้วและผู้ทาได้คิดถึงกรรมนั้นบ่อยๆจนเกิดความเคยชินเมื่อทาเสร็จแล้วผู้ทาได้คิดถึงการกระทา นั้นบ่อยๆทุกครั้งที่คิดถึงกรรมนั้นถ้าเป็นกรรมดีก็จะมีความรู้สึกสุขปีติและถ้าเป็นกรรมชั่วก็จะรู้สึก เป็นทุกข์เศร้าหมองอาจิณณกรรมจะเป็นตัวกาหนดคติชีวิตที่ไปหลังความตาย ซึ่งขึ้นอยู่กับว่า กรรม ฝ่ายกุศลหรืออกุศลจะมีมากกว่ากันจึงเปรียบเทียบอาจิณณกรรมทั้ง ๒ ฝ่ายเหมือนนักมวยปล้าต่อสู้กัน นักมวยปล้าคนใดมีกาลังมากกว่าจะทาให้คู่ต่อสู้ล้มลงพ่ายแพ้ได้๓๑ ๔. กตัตตากรรมกรรมสักว่าทา หมายถึง กรรมดีหรือชั่วที่ทาด้วยเจตนาหรือความตั้งใจ ไม่แรงเพราะไม่มีเจตนาที่ตั้งใจไว้ก่อนหากไม่มีครุกรรมอาสันนกรรมกรรมนี้จึงจะให้ผลเป็นตัว กาหนดคติชีวิตหลังความตายไปเกิดในทุคติหรือสุคติตามกรรมที่ทากรรมประเภทที่ ๒เป็นกรรมที่จัด ตามลาดับการให้ผลก่อนหรือหลังตามความหนักเบาของกรรมยกเว้นอาสันนกรรมที่ไม่อยู่ในเงื่อนไข นี้ด้วย เป็นกรรมที่ทาในวาระสุดท้ายของจิตส่งผลให้เกิดในทุคติหรือสุคติจึงเป็นกรรมที่ให้ผลใน ชาติที่ ๒ ๒๙ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, ธรรมวิภาค ปริจเฉทที่ ๒, พิมพ์ครั้งที่ ๓๘, (กรุงเทพมหานคร : ๒๕๓๗), หน้า ๑๒๘. ๓๐ สุนทร ณ รังษี, พุทธปรัชญาจากพระไตรปิฎก, หน้า ๒๑๙. ๓๑ พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร), กรรมทีปนี, เล่ม ๑ , หน้า ๑๙๐.
  • 11. ๕๗ ค. กรรมประเภทที่ ๓ กรรมให้ผลตามระยะเวลา มี ๔ อย่างคือ ๑. ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาตินี้ ๒. อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาติหน้า ๓. อปราปริยเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป ๔. อโหสิกรรม กรรมไม่ให้ผล กรรมให้ผลตามระยะเวลา หมายถึง กรรมที่ได้ทาไปแล้ว เป็นกรรมทั้งในส่วนที่ดีและ ไม่ดี ย่อมมีระยะเวลาในการให้ผลต่างกัน กล่าวคือกรรมบางอย่างทาในชาตินี้ ให้ผลในชาตินี้กรรม บางอย่างทาในชาตินี้ ให้ผลในชาติหน้า กรรมบางอย่างทาในชาตินี้ ให้ผลในชาติต่อ ๆ ไปจากชาติ หน้า ๑. ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาตินี้ หมายถึง กรรมดี กรรมชั่ว ที่กระทา ในชาตินี้ ให้ผลในชาตินี้เลย เป็นกรรมแรงจึงให้ผลทันตาเห็น๓๒ กรรมดีให้ผลเป็น ลาภยศสรรเสริญ กรรมชั่วให้ผลเป็นเสื่อมลาภเสื่อมยศนินทา๓๓ มี ๒ อย่างคือกรรมดีหรือกรรมชั่วที่ให้ผล ภายใน ๗ วันและให้ผลภายในชาตินี้กรรมประเภทนี้จะกลายเป็นอโหสิกรรมต่อเมื่อให้ผลแล้วและ ผู้ที่จะรับ ผลตายจะไม่มีการให้ผลข้ามชาติดังนั้นจึงต้องเป็นกรรมที่ทาด้วยเจตนาดีแรงกล้ากระทากับผู้ที่มีคุณ วิเศษมีบุญคุณหรือมีความดีอย่างมาก๓๔ ทิฏฐธัมมเวทนียกรรมจะให้ผลในชาตินี้ได้เลย นั้นต้องไม่ ถูกทิฏฐธัมมเวทนียกรรมฝ่ายตรงข้าม เข้าเบียดเบียนและต้องมีปัจจัยสาคัญเกื้อหนุน ๔ ประการ คือ คติ กาล อุปธิ และปโยค ถ้าเกื้อหนุนทิฏฐธัมมเวทนียกรรมฝ่ายกุศล เรียกว่าสมบัติ ๔ และถ้า เกื้อหนุนทิฏฐธัมมเวทนียกรรมฝ่ายอกุศลเรียกว่าวิบัติ ๔ กรรมประเภทนี้จึงเปรียบได้กับนายพราน เนื้อ ยิงลูกธนูไปยังเนื้อ ถ้าถูกเนื้อ เนื้อก็ตาย ถ้าไม่ถูกเนื้อย่อมวิ่งหนีไม่กลับมาให้ยิงอีกนายพรานจึง เปรียบเหมือนผลของกรรม เนื้อคือ ผู้ทากรรมที่ต้องรับผลของกรรมนั้น๓๕ ๒. อุปปัชชเวทนียกรรมกรรมให้ผลในชาติหน้าหมายถึงกรรมดีหรือกรรมชั่วที่ทาใน ชาตินี้แต่ยังไม่ให้ผล จะให้ผลในชาติถัดไป กรรมประเภทนี้ กลายเป็นอโหสิกรรม ต่อเมื่อให้ผลแล้ว หรือผู้ทากรรมตายลงก่อนได้รับผล จะไม่ข้ามไปผลในชาติต่อ ๆ ไป ๓๒ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, ธรรมวิภาค ปริจเฉทที่ ๒, หน้า ๑๒๖. ๓๓ บรรจบ บรรณรุจิ, เอกสารประกอบการสอนพระไตรปิฎกวิเคราะห์ ๑, หน้า ๑๒๙. ๓๔ บรรจบ บรรณรุจิ, เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๒๙. ๓๕ พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร), กรรมทีปนี, เล่ม ๑, หน้า ๒๕๔.
  • 12. ๕๘ ๓. อปราปริยเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป ถัดจากชาติหน้าหมายถึง กรรมดี หรือกรรมชั่วที่ทาในชาตินี้แล้วจะให้ผลในชาติต่อๆไปถัดจากชาติหน้าชาติใดชาติหนึ่งเมื่อสบโอกาส เปรียบเหมือนสุนัขไล่เนื้อไล่ตามเนื้อทันเข้าในที่ใดย่อมเข้ากัดในที่นั้น๓๖ ดังนั้นกรรมประเภทนี้จึงน่า กลัวกว่ากรรมประเภทที่ ๑ และประเภทที่ ๒ ด้วยว่าผลของกรรมจะติดตามผู้กระทาไปตลอดการ เวียนว่ายตายเกิดจนกว่าจะให้ผลหมดจึงจะกลายเป็นอโหสิกรรม ดังนั้น การให้ผลของกรรม ประเภทที่ ๒ และประเภทที่ ๓ ทาให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในเรื่องผลของกรรมที่มีความ ซับซ้อนส่งผลข้ามภพข้ามชาติ ๔.อโหสิกรรมกรรมที่ให้ผลสาเร็จแล้วหรือกรรมไม่มีผลหมายถึงกรรมดีหรือกรรมชั่ว ที่ทาไว้ให้ผลเสร็จสิ้นแล้วเมื่อไม่มีโอกาสให้ผลในเวลาที่ให้ผลด้วยถูกกรรมชนิดอื่นตัดหน้าให้ผลไป ก่อนจึงอ่อนกาลังให้ผลไม่ทันและเลิกให้ผลในที่สุดหรือเพราะผู้กระทากรรมนั้นสาเร็จเป็นพระ อรหันต์นิพพานในชาตินี้แล้วก็ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไปจึงไม่มีตัวตนที่จะต้องมารอรับผลของ กรรมเปรียบเหมือนพืชสิ้นยางแล้วเพาะไม่ขึ้น๓๗ ดังนั้นอโหสิกรรมจึงหมายถึงการกระทาความดี ต่างๆ ของพระอรหันต์ด้วยย่อมไม่มีผลเป็นกรรมดีเพราะท่านทาความดีด้วยจิตที่ปราศจากความ ยึดมั่นถือมั่น๓๘ ไม่คิดทาดีเพื่อหวังผลตอบแทนชั้นนอกรวมทั้งไม่คิดทาดีเพื่อละกิเลสเพราะกิเลส ได้หมดสิ้นแล้วแต่ยังทาดีต่อไปอย่างต่อเนื่องการทาดีของท่านจึงจัดเป็นเพียงกิริยาไม่จัดเป็นกรรม และไม่มีวิบาก๓๙ กรรม ๑๒ เป็นความรู้เรื่องการให้ผลในส่วนของ ลาภ ยศ สรรเสริญ และ เสื่อมลาภ เสื่อมยศนินทาเป็นการกล่าวถึงผลของกรรมโดยเฉพาะที่กล่าวถึงการให้ผลชั้นนอก เท่านั้นคือให้ผลเป็นโลกธรรมไม่ได้กล่าวถึงการให้ผลชั้นในคือให้ผลทางด้านจิตใจตลอดจนเป็น การแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างกรรมเก่าในอดีตชาติกับกรรมใหม่ในชาติปัจจุบัน เช่น กรรม เก่า ในอดีตชาติทาหน้าที่เป็นชนกกรรมแล้วกรรมเก่าในอดีตชาติอย่างอื่นหรือกรรมใหม่ในชาติ ปัจจุบันอาจทาหน้าที่เป็นอุปัตถัมภกกรรม อุปปีฬกกรรม และอุปฆาตกรรมก็ได้๔๐ และทากรรม เพียงประเภทเดียวอาจเป็นกรรมได้ถึง ๓ ประเภทพร้อม ๆ กันเช่นถ้าเราฆ่าบิดาเป็นทั้งครุกรรม เป็นทั้ง ทิฏฐธัมมเวทนียกรรมและเป็นทั้งอุปฆาตกรรม๔๑ ๓๖ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, ธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๒, หน้า ๑๒๖. ๓๗ อ้างแล้ว. ๓๘ บรรจบ บรรณรุจิ, เอกสารประกอบการสอนพระไตรปิฎกวิเคราะห์ ๑, หน้า ๑๓๐. ๓๙ บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏิจจสมุปบาท, หน้า ๒๐๑. ๔๐ บรรจบ บรรณรุจิ, เอกสารประกอบการสอนพระไตรปิฎกวิเคราะห์ ๑, หน้า ๑๓๑. ๔๑ แสง จันทร์งาม, พุทธศาสนวิทยา, หน้า ๑๑๕.
  • 13. ๕๙ สรุปได้ว่ากรรม๑๒เป็นมติของอรรถกถาจารย์ที่กล่าวไว้ในอรรถกถาโดยมีวัตถุประสงค์ รวบรวมคาสอนเรื่องกรรมจากพระไตรปิฎกแล้วจัดแบ่งออกเป็น ๓ ประเภทตามทางให้ผลของกรรม คือ ๑. กรรมให้ผลตามหน้าที่ ๒. กรรมให้ผลก่อนหรือหลัง ๓. กรรมให้ผลตามระยะเวลา การที่ พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายขยายความเรื่องกรรมทาให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ศึกษาตลอดจนผู้สนใจ ทั้งหลายเพราะทาให้เกิดความเข้าใจชัดเจนขึ้นทาให้ผู้ศึกษามองเห็นภาพเกี่ยวกับกรรมและการให้ผล ของกรรมเมื่อเข้าใจแล้วจะได้ปฏิบัติถูกต้องไม่มีความสงสัยว่าตนปฏิบัติถูกหรือไม่ถูกอีกต่อไปเมื่อ รู้แล้วจะได้หาทางป้ องกันไม่ทากรรมที่จะนาตัวเองไปสู่อบายหรือความเสื่อมเช่น ครุกรรม๕ อย่าง ที่นาผู้ไปสู่ความทุกข์ความเดือดร้อนที่กรรมอื่นไม่สามารถต้านทานไว้ได้ เป็นต้น เมื่อรู้จักกรรมที่ ควรงดเว้นแล้วจะได้หมั่นประกรรมที่ควรประกอบอันจะนาตนเองไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองต่อไป ๓.๓ แนวทัศนะเกี่ยวกับกรรมตามหลักพระพุทธศาสนา กรรมเป็นหลักธรรมสาคัญอันดับต้น ๆ ในพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าสอนเรื่องกรรม ให้เชื่อกรรมคือการกระทามากกว่าเชื่ออย่างอื่น เช่น พระองค์ตรัสว่า เวลาใดก็แล้วแต่ที่คนทาดี เวลา นั้นก็จะเป็นเวลาดีมงคลดีสาหรับคนนั้น และกรรมนั้นก็จะให้ผลในโอกาสต่อไปการให้ผลของกรรม นั้นแตกต่างจากการให้ผลของสิ่งอื่นคนสองคนทากรรมเหมือนกันแต่อาจจะได้ผลไม่เหมือนกัน หรือได้ผลเหมือนกันแต่ไม่เท่ากันก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจตนาหรือความตั้งใจของแต่ละคน เช่น คนหนึ่งทาบุญด้วยศรัทธาอย่างแรงกล้าแล้วปรารถนาในอานิสงส์ของบุญที่ตนทาอีกคนหนึ่งทาบุญ เพื่อรักษาสถานภาพทางสังคมหรือทาเพื่อรักษาหน้าตาของตัวเองแบบจาใจทาไม่ได้ทาด้วยศรัทธา คนสองคนนี้จะได้ผลของบุญที่ทาต่างกันอย่างแน่นอนเพราะฉะนั้นทัศนะเกี่ยวกับการให้ผลของ กรรมในทางพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในฐานสูตรและปพฺพชิตอภิณหสูตรว่า “เรามี กรรมเป็น ของของตน เรามีกรรมเป็นทายาท เรามีกรรมเป็นกาเนิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ เรามีกรรมเป็นที่พึ่ง อาศัย เราทากรรมใดไว้จะดีหรือชั่วก็ตาม เราจะต้องได้รับผลของกรรมนั้น”๔๒ นอกจากนี้ยังมีพุทธพจน์หลายแห่งที่พระองค์ตรัสเกี่ยวกับเรื่องกรรมจึงกล่าวได้ว่าพระองค์ ให้ความสาคัญกับเรื่องกรรมมาก ผู้วิจัยจะได้นาเสนอเรื่องกรรมเป็นลาดับไป ๓.๓.๑ ความสาคัญของกรรม หลักกรรมมีความสาคัญต่อบุคคลและสังคม ดังที่พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)๔๓ ๔๒ องฺ. ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๕๗/๙๙-๑๐๐. องฺ. ทสก. (ไทย) ๒๔/๔๘/๑๐๔-๑๐๕. ๔๓ พระธรรมปิฎก, (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม, ฉบับปรับปรุงและขยายความ, หน้า ๒๑๓–๒๑๔.
  • 14. ๖๐ ได้กล่าวถึงคุณค่าทางจริยธรรมของหลักกรรมมี ดังนี้ ๑. ให้เป็นผู้หนักแน่นในเหตุผล รู้จักมองเห็นการกระทา และผลการกระทาตามแนวทาง ของเหตุปัจจัยไม่เชื่อสิ่งงมงาย ตื่นข่าว เช่น เรื่องแม่น้าศักดิ์สิทธิ์เป็นต้น ๒.ให้เห็นว่าผลสาเร็จที่ตนต้องการจุดหมายที่ปรารถนาจะเข้าถึงความสาเร็จได้ด้วยการ ลงมือทาจึงต้องพึ่งตนและทาความเพียรพยายามไม่รอคอยโชคชะตา หรือหวังผลด้วยการอ้อนวอน เซ่นสรวงต่อปัจจัยภายนอก ๓.ให้มีความรับผิดชอบต่อตนเองก็จะงดเว้นจากกรรมชั่วและรับผิดชอบต่อผู้อื่น ด้วยการ กระทาความดีต่อเขา ๔. ให้ถือว่า บุคคลมีสิทธิ์โดยธรรมชาติที่จะทาการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปรับปรุง สร้างเสริม ตนเองให้ดีขึ้นไปโดยเท่าเทียมกัน สามารถทาตนให้เลวลงหรือให้ดีขึ้น ให้ประเสริฐจนถึงยิ่งกว่า เทวดาและพรหมได้ทุก ๆ คน ๕. ให้ถือว่าคุณธรรม ความสามารถและความประพฤติปฏิบัติ เป็นเครื่องวัดความทราม หรือประเสริฐของมนุษย์ไม่ให้มีการแบ่งแยกโดยชั้นวรรณะ ๖. ในแง่กรรมเก่า ให้ถือเป็นบทเรียน และรู้จักพิจารณาเข้าใจตนเองตามเหตุผล ไม่ค่อย เพ่งโทษแต่ผู้อื่นมองเห็นพื้นฐานของตนเองที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อรู้ที่จะแก้ไขปรับปรุง และวางแผน สร้างเสริม ความเจริญก้าวหน้าต่อไปได้ถูกต้อง ๗. ให้ความหวังในอนาคตสาหรับสามัญชนทั่วไป ตามที่พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต)ได้อธิบายความสาคัญของกรรมไว้นั้นพอสรุปได้ว่า กรรมมีความสาคัญต่อวิถีชีวิตของบุคคลและสังคม ด้วยผู้ที่เชื่อเรื่องกรรม จะเป็นผู้มีเหตุผลรับผิด ชอบการกระทาของตนและปรับปรุงพัฒนาการกระทาของตนเองด้วยความเพียร โดยมีความหวังถึง อนาคตที่ดีรออยู่ข้างหน้า ตลอดจนยอมรับนับถือคุณค่าของคนที่มีคุณธรรม ๓.๓.๒ กฏแห่งกรรม กฎแห่งกรรมตามทัศนะของพระพุทธศาสนาแยกพิจารณาได้ ๒ ประเด็น๔๔ คือ ก. กฎแห่งกรรมในฐานะกฎธรรมชาติ พระพุทธศาสนาสอนหลักความจริงที่ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวง มีชีวิตและไม่มีชีวิตล้วน เป็นไปตามธรรมชาติแห่งเหตุปัจจัย ที่เรียกกันว่า กฎแห่งธรรมชาติ หรือนิยาม๔๕ อันหมายถึงความ ๔๔ สุนทร ณ รังษี, พุทธปรัชญาจากพระไตรปิฎก, พิมพ์ครั้งที่ ๒, หน้า ๑๖๔.
  • 15. ๖๑ เป็นระเบียบ มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัวอยู่แล้วในธรรมชาติ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลอย ๆโดยไม่มีที่มา และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งอื่น ทุกอย่างล้วนเป็นเหตุเป็นผลกันตามหลักของอิทัปปัจจยตาที่กล่าวมา “สรรพสิ่งล้วนอิงอาศัยกันและกัน ในฐานะสิ่งหนึ่งเป็นสาเหตุและสิ่งหนึ่งเป็นผล”๔๖ ทั้งนี้ สิ่ง ทั้งหลายทั้งปวง จึงมีเหตุปัจจัยเกิดจากกฎธรรมชาติมิใช่พระผู้เป็นเจ้า หรือผู้ใดมากาหนดไว้ พระพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาอเทวนิยมกฎแห่งกรรม เป็นกฎแห่งเหตุผลที่มีความสัมพันธ์กัน ระหว่างกรรมกับผลของกรรมอันเป็นกฎที่แน่นอนและตายตัว กรรมแต่ละประเภทถูกกาหนดไว้ จากธรรมชาติแล้วว่ากรรมแบบไหน ให้ผลแบบไหน เปรียบเทียบได้กับผู้ที่ปลูกต้นมะม่วงย่อม ได้ผลมะม่วงอย่างแน่นอนจะเป็นผลไม้ชนิดอื่นไม่ได้ กฎแห่งกรรม จึงเป็นกฎแห่งเหตุและผล หรือ กฎธรรมชาติที่เรียกว่ากรรมนิยาม๔๗ อันเป็นกฎแห่งเหตุและผลที่เกี่ยวกับการกระทาของมนุษย์๔๘ สรุปได้ว่า กฎแห่งกรรมเป็นกฎแห่งเหตุและผลมีความแน่นอนในการให้ผลของกรรม ซึ่งถูกกาหนดโดยกฎของธรรมชาติไว้แล้วว่า เมื่อทากรรมแบบนี้จะได้รับผลตอบแทนแบบนี้ โดย ทั้งหมดดาเนินไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา กฎแห่งกรรมจึงมีฐานะเป็นกฎแห่งธรรมชาติ ข. กฎแห่งกรรมในฐานะเป็นกฎทางศีลธรรม กฎแห่งกรรมในฐานะเป็นกฎทางศีลธรรม มีความหมายเช่นเดียวกับประเด็นกฎ ธรรมชาติ คือเป็นกฎแห่งเหตุและผล ประเด็นกฎแห่งธรรมชาติครอบคลุมทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ประเด็นกฎแห่งศีลธรรมครอบคลุมเฉพาะสิ่งมีชีวิตที่สามารถมีเจตจานงเสรีได้เท่านั้น๔๙ เพราะ ๔๕ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม, ฉบับปรับปรุงและขยายความ, หน้า ๑๕๒. ๔๖ สมภาร พรมทา, พุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๐), หน้า ๗๕. ๔๗ นิยาม ๕ ที่นอกเหนือจากกรรมนิยามมีอีก ๔ ประการคือ ๑. อุตุนิยาม กฎธรรมชาติเกี่ยวกับอุณหภูมิ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ๒. พีชนิยาม กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับการสืบพันธ์หรือพันธุกรรม ๓. จิตตนิยาม กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับการทางานของจิต ๔. ธรรมนิยาม กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์และอาการที่เป็นเหตุและผลแก่กันของสิ่ง ทั้งหลายหรือความเป็นธรรมแห่งเหตุปัจจัย เช่น สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา. ดูเพิ่มเติมใน พระธรรมปิฎก, (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม, ฉบับปรับปรุงและขยายความ, หน้า ๑๕๒-๑๕๓. ๔๘ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), เชื่อกรรม รู้กรรม แก้กรรม , พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ สหธรรมิก จากัด, ๒๕๔๕), หน้า ๕๔. ๔๙ สุนทร ณ รังษี, พุทธปรัชญาจากพระไตรปิฎก, หน้า ๑๖๖.
  • 16. ๖๒ สามารถกาหนดพฤติกรรมเป็นดีหรือชั่ว ตามมาตรฐานทางศีลธรรมที่ใช้ในสังคมมนุษย์ส่วน พฤติกรรมที่มาจากสัญชาตญาณไม่สามารถกาหนดด้วยคุณค่าทางศีลธรรมได้กรรมนิยามหรือกฎ แห่งกรรม คือ กฎธรรมชาติส่วนที่ทาหน้าที่ดูแลการกระทาที่แฝงค่าทางศีลธรรมของมนุษย์ กฎแห่ง กรรมจะบันทึกการกระทาของบุคคลแต่ละคนและคอยโอกาสให้ผลตอบสนอง๕๐ พระพุทธเจ้าได้ ตรัสถึงกฎแห่งกรรมในฐานะเป็นกฎทางศีลธรรม มีปรากฏในพระไตรปิฎกว่า “คนทากรรมใดไว้ ย่อมเห็นกรรมนั้นในตน คนทากรรมดี ย่อมได้รับผลดี คนทากรรมชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว คนหว่านพืช เช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น”๕๑ จากพระพุทธพจน์ดังกล่าว เห็นได้ว่า มนุษย์ทุกคนมีกฎแห่งกรรม หรือกรรมนิยาม กากับ ดูแลพฤติกรรมที่มีคุณค่าทางศีลธรรม และรอคอยเวลาให้ผลตอบแทนตามคุณภาพของกรรม ตามเหตุและผลที่มีความสัมพันธ์สอดคล้องกัน ถ้าเป็นกรรมดี ผลที่ได้รับเป็นความดี (สุข) ถ้าเป็น กรรมชั่ว ผลที่ได้รับเป็นความชั่ว (ทุกข์) เปรียบเทียบการให้ผลของกรรม เช่นเดียวกับการปลูกพืช ปลูกพืชชนิดใดได้ผลพืชชนิดนั้น ปลูกข้าวย่อมได้ข้าว จะเป็นเผือกหรือมันนั้นเป็นไปไม่ได้ กฎแห่ง กรรมในฐานะเป็นกฎศีลธรรม มีกฎเกณฑ์ตายตัวเหมือนกฎธรรมชาติข้ออื่น ๆ ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว ไม่มีการยกเว้นหรือยืดหยุ่น แต่เป็นการให้ผลทางด้านจิตใจเท่านั้น การให้ผลชั้นนอกต้องอาศัย องค์ประกอบอื่น ๆ มาสนับสนุน สรุปได้ว่า มนุษย์ต้องรับผิดชอบการกระทาของตน โดยมีกฎแห่งกรรมในฐานะกฎ ศีลธรรมคอยกากับดูแล มีกระบวนการให้ผลที่สัมพันธ์กับเหตุที่เป็นกฎเกณฑ์แน่นอนตายตัวไม่มี ข้อยกเว้น แต่เป็นผลระดับจิตใจ แต่ก็สามารถหลุดพ้นจากกรรมที่ตนทาได้ ถ้าสามารยกจิตขึ้นสู่ วิปัสสนาพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ทาอาสวะภายในของตนให้หมดสิ้นไป จนเป็นพระอรหันต์ก็จะไม่ ต้องรับกรรมอื่นๆ ที่จะต้องรับต่อไปในภพภูมิข้างหน้าเพราะไม่ได้กลับมาเกิดอีกจึงไม่ต้องรับกรรม เหล่านั้นหลังจากตายหรือนิพพานที่เป็นอนุปาทิเสสนิพพานคือนิพพานไม่เหลือขันธ์ ๕ ๕๐ สมภาร พรมทา, พุทธปรัชญา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๒), หน้า ๓๑๑-๓๑๒. ๕๑ ขุ.ชา. (ไทย) ๒๗/๓๕๓/๒๐๑.
  • 17. ๖๓ ๓.๓.๓ สาเหตุการเกิดกรรม แนวทัศนะเกี่ยวกับกรรมตามหลักพระพุทธศาสนา ได้แบ่งแหล่งเกิดของกรรมออก ๒ ประเภท คือ๕๒ ๑. เกิดจากตัณหา ได้แก่ พอใจ ชอบใจยินดี อยาก รักใคร่ ต้องการ ที่ไม่ดี ไม่สบาย ไม่ เกื้อกูล เป็นอกุศล ๒. เกิดจากฉันทะ ได้แก่ พอใจ ยินดี อยาก รักใคร่ ต้องการ ที่ดีงาม สบาย เกื้อกูล เป็นกุศล ตัณหา แปลได้อีกอย่างว่า ความกระหาย ความทะยาน ความอยาก ความเสน่หา ความ ดิ้นรน ความกระสับกระส่าย กระวนกระวาย ไม่รู้จักอิ่ม ตัณหาเกิดจากเวทนาเป็นปัจจัย โดยมี อวิชชาเป็นมูลเหตุ กล่าวคือ เมื่อบุคคลรับรู้อารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่น่าชอบใจหรือไม่น่าชอบใจ ก็ตาม เช่น เห็นรูปสวยหรือน่าเกลียด ได้ยินเสียงไพเราะหรือหนวกหู เป็นต้น แล้วเกิดความรู้สึกสุข หรือทุกข์ หรือเฉย ๆ ขึ้น ในเวลานั้นตัณหาก็จะเกิดขึ้นในลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งคือ ถ้ารู้สึกสุข พฤติกรรมที่แสดงออกมาก็ยินดี ชื่นชอบ คล้อยตามไป ติดใจ ใฝ่รัก อยากได้ ถ้ารู้สึกทุกข์ พฤติกรรม ที่แสดงออกมาก็ยินร้าย ขัดใจ ชัง อยากเลี่ยงหนี หรืออยากให้สูญสิ้นไปเสีย ถ้ารู้สึกเฉย ๆ พฤติกรรม ที่แสดงออกมาก็เพลินๆ เรื่อยเฉื่อยไป พฤติกรรมเหล่านี้มันเป็นไปของมันได้เอง โดยไม่ต้องใช้ ความคิด ไม่ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจอะไรเลย จึงอาจพูดได้อย่างง่าย ๆ ว่า ตัณหานั่นเองเป็นบ่อเกิด ของพฤติกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ ดังนั้น ตามหลักพระพุทธศาสนา บทบาทและการทาหน้าที่ของ ตัณหาเหล่านี้ได้เป็นตัวกาหนดการดาเนินชีวิตส่วนใหญ่ของมนุษย์ ตัณหาที่เป็นบ่อเกิดของกรรม มนุษย์แบ่งเป็น ๓ ด้านดังนี้๕๓ ๑. กามตัณหา คือความกระหายอยากได้อารมณ์ที่น่าชอบใจมาเสพเสวยปรนเปรอตน หรือความทะยานอยากในกาม ๒. ภวตัณหา คือ ความกระหายอยากในความถาวรมั่นคง มีคงอยู่ตลอดไป ความใหญ่โต โดดเด่นของตน หรือความทะยานอยากในภพ ๓. วิภวตัณหา คือ ความกระหายอยากในความดับสิ้นขาดสูญ แห่งตัวตน หรือความ ทะยานอยากในวิภพ ตัณหาทั้ง ๓ ด้านนี้ย่อมทาให้พฤติกรรมของมนุษย์ดาเนินไปในทิศทางต่างๆ เช่น ได้สิ่ง ที่ชอบใจ พอใจก็เป็นสุข และแสวงหาสิ่งที่ชอบใหม่ไปเรื่อยๆ ถ้าได้สิ่งที่ไม่น่าชอบใจก็อยากจะไป ๕๒ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ .ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ, พิมพ์ครั้งที่ ๑๑ , (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ บริษัท สหธรรมิก จากัด ,๒๕๔๙), หน้า ๔๙๐. ๕๓ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๖๓.
  • 18. ๖๔ ให้พ้นจากสิ่งเหล่านั้น ซึ่งพฤติกรรมจะเป็นอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครมีตัณหาทั้งสามด้านนี้มาก น้อยอย่างไร ส่วนฉันทะ หมายถึง กุศลธรรม ความพึงพอใจ ความชอบ ความอยากได้ในสิ่งที่ดีงาม เกื้อกูลต่อชีวิตจิตใจ เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขทั้งแก่ตนและคนอื่น หรือแปลอีกอย่างหนึ่งได้ว่า มี ความพอใจในความดีงาม ความต้องการในความจริง ความต้องการเล็งไปถึงความรู้ คือเท่ากับพูดว่า ต้องการรู้ความจริงต้องการเข้าถึงตัวธรรม ดังนั้นกรรมที่เป็นฉันทะนี้ ย่อมมีการแสดงออกมาในทาง ดีงาม สร้างสรรค์ ใฝ่ดี รักดี เป็นต้น จากที่กล่าวมาโดยสังเขปนี้ทาให้เห็นความแตกต่างระหว่างกรรมที่ตัณหาเป็นบ่อเกิด และฉันทะเป็นบ่อเกิดได้ดังนี้ ๑. ตัณหา มุ่งประสงค์เวทนา ดังนั้น จึงต้องการสิ่งสาหรับเอามาเสพเสวยเวทนา เอา อัตตาเป็นศูนย์กลาง กรรมที่แสดงออกมาย่อมเป็นไปอย่างสับสน กระวนกระวาย เป็นทุกข์ ๒. ฉันทะ มุ่งประสงค์ที่ประโยชน์ กล่าวคือ ประโยชน์ที่เป็นคุณค่าแท้จริงแก่ชีวิต หรือ คุณภาพชีวิต ดังนั้น กรรมที่แสดงออกมาจึงมุ่งไปที่ความจริ'สิ่งที่ดีงาม เพราะฉันทะก่อตัวจาก โยนิโสมนสิการคือความรู้จักคิดหรือคิดถูกวิธีคิดตามสภาวะและเหตุผลเป็นภาวะกลางๆไม่ผูกพัน กับอัตตาและนาไปสู่อุตสาหะหรือวิริยะคือทาให้เกิดกรรมที่จะแสวงหาสิ่งที่เป็นความดีงามนั่นเอง บ่อเกิดของกรรมในพระพุทธศาสนาจึงมุ่งเน้นที่มโนกรรมที่มีตัณหาและฉันทะเป็นมูลเหตุและเป็น สมุฏฐานในการเกิดพฤติกรรมต่างๆของมนุษย์โดยพฤติกรรมที่เกิดขึ้นนั้นมีทั้งดีและไม่ดีและที่เป็น กลางๆคือไม่ดีไม่ชั่วก็มีทั้งนี้เนื่องมาจากเจตสิกที่มาอาศัยจิตเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดเจตสิกจึงเป็นพลัง ที่ควบคุมร่างกายมนุษย์ให้กระทาการต่างๆในการแสดงพฤติกรรมทุกๆอย่างที่ปรากฏออกมาทาง กาย วาจา และใจ ๓.๓.๔ ทางแห่งการทากรรม ทางหรือทวารแห่งการทากรรม หรือสิ่งที่ทาให้เกิดกรรม มีอยู่ ๓ ทาง คือ ๑. กายกรรม การกระทาทางกาย ๒. วจีกรรม การกระทาทางวาจา ๓. มโนกรรม การกระทาทางใจ๕๔ ๕๔ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๕๖/๕๕. รายละเอียดว่า “ตปัสสี เราบัญญัติในการทาชั่วในการประพฤติชั่วไว้๓ ประการ คือ ๑. กายกรรม ๒. วจีกรรม ๓. มโนกรรม... ตปัสสี กายกรรมก็อย่างหนึ่ง วจีกรรมก็อย่างหนึ่ง มโนกรรมก็อย่างหนึ่ง...”
  • 19. ๖๕ ทางแห่งการทากรรม ของบุคคลมี ๓ ทาง คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ขณะที่ บุคคลดาเนินชีวิตประจาวันได้ทากรรมทางใจตลอดเวลา ๓.๓.๕ เกณฑ์ตัดสินกรรมดีกรรมชั่ว การกระทาที่จัดว่าเป็นกรรมหรือไม่นั้น พระพุทธศาสนาให้ถือหลักของเจตนาเป็นหลัก ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ส่วนการกระทาใดจัดเป็นกรรมดี หรือกรรมชั่วนั้น๕๕ พระพุทธเจ้าทรงให้ เกณฑ์การตัดสินไว้ดังต่อไปนี้ ๑.พิจารณาตามสาเหตุการเกิดกรรม สรุปได้ว่า การกระทาที่มีเจตนามาจาก อโลภะอโทสะ อโมหะ จัดเป็นกรรมดี การกระทาที่มีเจตนามาจาก โลภะ โทสะ โมหะ จัดเป็นกรรมชั่ว๕๖ ๒. พิจารณาตามผลของการกระทาว่า การกระทาที่ “บุคคลทากรรมใดแล้ว ย่อมไม่ เดือดร้อนใจในภายหลัง อิ่มเอิบ ดีใจ เสวยผลกรรมอยู่กรรมนั้นชื่อว่า กรรมดี”๕๗ ส่วนการกระทาที่ “บุคคลกระทากรรมแล้ว ย่อมเดือดร้อนใจในภายหลัง ร้องไห้น้าตานองหน้า เสวยผลกรรมอยู่ กรรมนั้นชื่อว่า เป็นกรรมไม่ดี” ๕๘ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้ให้หลักเกณฑ์ร่วมเพื่อประกอบเกณฑ์การตัดสินกรรม ดี กรรมชั่ว ไว้ดังต่อไปนี้ ๑. ใช้มโนกรรม คือ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตนเองได้หรือไม่ เสียความเคารพ ตน หรือไม่ ๒. พิจารณา ความยอมรับของวิญญูชน หรือนักปราชญ์หรือบัณฑิตชนว่าเป็นสิ่งที่วิญญู ชนยอมรับหรือไม่ ชื่นชมสรรเสริญ หรือตาหนิติเตียนหรือไม่ ๓. พิจารณาลักษณะและผลของการกระทาต่อตนเองต่อผู้อื่น ก. เป็นการเบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนผู้อื่น ทาตนเองหรือผู้อื่นให้เดือดร้อนหรือไม่ ๕๕ ความดี เรียกว่า “กุศลกรรม” บ้าง “สุจริตกรรม” บ้าง “บุญ” บ้าง ไทยแปลว่า “ทาความดี”กรรมชั่ว เรียกว่า “อกุศลกรรม” บ้าง “ทุจริต” บ้าง “บาป” บ้าง ไทยแปลว่า “ทาความชั่ว” (บรรจบ บรรณรุจิ) “เอกสาร ประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกวิเคราะห์ ๑,” (กรุงเทพมหานคร : บัณฑิตวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๔๕ (อัดสาเนา), หน้า ๑๒๖). ๕๖ องฺ ติก. (ไทย) ๒๐/๑๑๒/๓๕๓-๓๕๔, องฺ ฉกฺก. (ไทย) ๒๒/๓๙/๔๙๐. ๕๗ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๖๘/๔๘. ๕๘ อ้างแล้ว.