More Related Content
More from Tongsamut vorasan
More from Tongsamut vorasan (20)
Tri91 33++เอกนิบาต ทุกนิบาต+เล่ม+๑+ภาค+๒
- 1. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 1 พระสุตตันตปฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต - ทุกนิบาต เลมที่ ๑ ภาคที่ ๒ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจาพระองคนั้น เอตทัคคบาลี วรรคที่ ๕ วาดวยภิกษุณีผูมตําแหนงเลิศ ๑๓ ทาน ี [๑๕๐] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย พระมหาปชาบดีโคตมีภกษุณี เลิศ ิกวาพวกภิกษุณีสาวิกาของเราผูรูราตรีนาน. พระเขมาภิกษุณี เลิศกวาพวกภิกษุณีสาวิกาของเราผูมีปญญามาก. พระอุบลวรรณาภิกษุณี เลิศกวาพวกภิกษุณีสาววิกาของเราผูมีฤทธิ์. พระปฏาจาราภิกษุณี เลิศกวาพวกภิกษุณีสาวิกาของเราผูทรงวินัย. พระธรรมทินนาภิกษุณี เลิศกวาพวกภิกษุณีสาวิกาของเราผูเปนธรรมกถึก. พระนันทาภิกษุณี เลิศกวาพวกภิกษุณีสาวิกาของเราผูยินดีในฌาน. พระโสณาภิกษุณี เลิศกวาพวกภิกษุณีสาวิกาของเราผูปรารภความเพียร.
- 2. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 2 พระสกุลาภิกษุณี เลิศกวาพวกภิกษุณีสาวิกาของเราผูมีจักษุทิพย. พระภัททากุณฑลเกสาภิกษุณี เลิศกวาพวกภิกษุณีสาวิกาของเราผูตรัสรูไดเร็วพลัน. พระภัททกาปลานีภิกษุณี เลิศกวาพวกภิกษุณีสาวิกาของเราผูระลึกชาติกอน ๆ ได. พระภัททากัจจานาภิกษุณี เลิศกวาพวกภิกษุณีสาวิกาของเราผูไดบรรลุอภิญญาใหญ. พระกีสาโคตมีภิกษุณี เลิศกวาพวกภิกษุณีสาวิกาของเราผูทรงจีวรเศราหมอง. พระสิคาลมาตาภิกษุณี เลิศกวาพวกภิกษุณีสาวิกาของเราผูพนจากกิเลสไดดวยศรัทธา. จบวรรคที่ ๕
- 3. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 3 เถริบาลี อรรถกถาวรรคที่ ๕ อรรถกถาสูตรที่ ๑ ๑. ประวัติพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี ในสูตรที่ ๑ นั้น พึงทราบวินิจฉัยดังตอไปนี้. ดวยบทวา ยทิท มหาปชาปตี โคตมี ทานแสดงวา พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี เปนเลิศกวาพวกภิกษุณีสาวิกาผูรูราตรีนาน ในปญหากรรมของทาน มีเรื่องที่จะกลาวตามลําดับ ดังนี้:- ไดยินวา พระมหาปชาบดีโคตมีนี้ ครั้งพระพุทธเจาพระนามวาปทุมุตตระ ถือปฏิสนธิในเรือนสกุล กรุงหังสวดี สมัยตอมา กําลังฟงพระธรรมเทศนาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณีรูปหนึ่งไวในตําแหนงเอตทัคคะเปนเลิศกวาพวกภิกษุณีสาวิกาผูรูราตรีนานก็ทํากุศลใหยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตําแหนงนั้น. นางถวายทานรักษาศีลจนตลอดชีวิต จุติจากภพนั้นแลวบังเกิดในเทวโลก จุติจากเทวโลกในพุทธันดรหนึ่งอีก ไปบังเกิดเปนหัวหนาทาสี ในจํานวนทาสี ๕๐๐ คนในกรุงพาราณสี. ครั้งนัน สมัยเขาพรรษา พระปจเจกพุทธเจา ๕๐๐ ้องค ลงจากเงื้อมเขานันทมูลกะ ไปที่ปาอิสิปตนะ เที่ยวบิณฑบาตในกรุงแลวกลับมาปาอิสิปตนะดําริวา ควรเราจักขอหัตถกรรมงานชางฝมือ เพื่อทํากุฎีสําหรับเขาจําพรรษา. เพราะเหตุไร. เพราะผูจะเขาอยูจําพรรษาในฤดูฝน ทั้งปฏิบัตินาลกปฏิปทา จําตองเขาอยูในเสนาสนะ
- 5. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 4ดังพระพุทธดํารัสนี้วา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไมมีเสนาสนะไมพึงเขาอยูจําพรรษา ภิกษุใดฝาฝน ตองอาบัติทุกกฏ ดังนี้. เพราะเหตุนั้น เมื่อใกลฤดูฝน [เขาพรรษา] ถาไดเสนาสนะนั่นก็บุญละ ถาไมได ก็จําตองแสวงหาหัตถกรรมทํา เมื่อไมไดหัตถกรรม ก็พงทําเสียเอง. ภิกษุไมมี ึเสนาสนะไมควรเขาอยูจําพรรษา. นี้เปนธรรมดาประเพณี. เพราะเหตุนั้นพระปจเจกพุทธเจาเหลานั้นคิดวา เราจําจักตองขอหัตถกรรม จึงหมจีวรเขาไปสูพระนครเวลาเย็น ยืนอยูทประตูเรือนของเศรษฐี. นางทาสี ี่หัวหนา ถือหมอน้ํากําลังเดินไปทาน้ํา เห็นเหลาพระปจเจกพุทธเจาเดินเขาพระนคร เศรษฐีรูเหตุที่พระปจเจกพุทธเจาเหลานั้นมาแลว ก็กลาววาขาพเจาไมมีเวลา โปรดไปเถิด. ลําดับนั้น ทาสีหัวหนา ถือหมอน้ําจะเขาไป เห็นพระปจเจกพุทธเจาเหลานั้นกาลังเดินจากพระนคร จึงลดหมอน้ําลง ไหวอยางนอบนอม เผยปากถามวา ทําไมหนอ พระผูเปนเจาทั้งหลาย พอเขาไปแลวก็ออกไป. ทานตอบวา เราพากันมา ก็เพื่อขอหัตถกรรมงานสรางกุฎีสําหรับอยูจําพรรษา. นางจึงถามวา ไดไหมละเจาขา. ตอบวา ไมไดดอก อุบาสิกา. นางถามวา จําเปนหรือที่คนใหญ ๆ เทานั้นจึงจะทํากุฎีนั้นได หรือแมคนยากจนก็ทําได. ทานตอบวาใครๆ ก็ทําได. นางจึงกลาววา ดีละเจาขา พวกดิฉันจักชวยกันทํา ขอโปรดรับอาหารของดิฉันในวันพรุงนี้ นิมนตแลว ก็ถือหมอน้ําพักไวที่ทางทาน้ําที่มาแลว กลาวกับนางทาสีทั้งหลายวา พวกเจาจงอยูตรงนี้กันนะเวลาที่ทาสีเหลานั้นมา ก็กลาววา พวกเจาทั้งหลาย พวกเราจักทํางานเปนทาสีสําหรับคนอื่นกันตลอดไปหรือ หรือวา อยากจะพนจากการเปนทาสีเขา. เหลาทาสีก็ตอบวา พวกเราอยากพนเสียวันนี้นี่แหละ แมเจา. นาง
- 6. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 5จึงกลาววา ถาอยางนั้น เหลาพระปจเจกพุทธเจา ๕๐๐ องค ที่ยังไมไดหัตถกรรม เราก็นิมนตใหฉันในวันพรุงนี้แลว พวกเจาจงใหสามีของพวกเจา ใหงานหัตถกรรมเสียวันหนึ่ง. เหลาทาสีก็รับวา ดีละ แลวบอกพวกสามี เวลาที่เขาออกมาจากดงเวลาเย็น. สามีเหลานั้นรับปากแลวมาประชุมกัน ที่ประตูเรือนทาสีหัวหนา ครั้งนั้น ทาสีหัวหนาจึงกลาววา พอทั้งหลาย พรุงนี้พวกเจาจงถวายหัตถกรรมแกพระปจเจกพุทธเจาทั้งหลายดวย แลวบอกอานิสงส ขูคนที่ไมอยากจะทําดวยโอวาทอันหนักหนวงใหทุกคนยอมรับ. รุงขึ้น นางถวายอาหารแกเหลาพระปจเจกพุทธเจาแลวใหการนัดหมายแกลูกทาสทุกคน. ทันใดนั้นเอง ลูกทาสเหลานั้นก็พากันเขาปา รวบรวมทัพพสัมภาระแลว สรางกุฎีทีละหลังเปนรอย ๆหลัง จัดบริเวณมีที่จงกรมเปนตน วางเตียง ตั่ง น้ําฉัน น้ําใชเปนตนไว ใหพระปจเจกพุทธเจาทั้งหลายรับปฏิญญาทีจะอยูจําพรรษา ณ ที่นั้น ่ตลอดไตรมาส ใหจัดเวรถวายอาหาร. ทาสีผูใดไมอาจถวายในวันเวรของตนได ทาสีหัวหนาก็นําอาหารจากเรือนตนถวายแทนทาสีผูนั้น. ทาสีหัวหนาบํารุงมาตลอดไตรมาสอยางนี้ ใหทาสีคนหนึ่ง ๆ จัดผาสาฎกคนละผืน. รวนเปนผาสาฎกเนื้อหยาบ ๕๐๐ ผืน. นางใหเปลี่ยนแปสงผาสาฎกเนื้อหยาบเหลานั้น ทําเปนไตรจีวรถวายพระปจเจกพุทธเจา ๕๐๐ องค.พระปจเจกพุทธเจาทั้งหลายไปสูเขาคันธมาทนทางอากาศทั้งที่ทาสีเหลานั้นเห็นอยูนั่นแล. ทาสีเหลานั้นทุกคนทํากุศลจนตลอดชีวิต ก็บังเกิดในเทวโลก.บรรดาทาสีเหลานั้น ทาสีหัวหนาจุติจากภพนั้นแลว บังเกิดในเรือนของหัวหนาชางทอหูก ไมไกลกรุงพาราณสี. ตอมาวันหนึ่ง พระปจเจกพุทธ-
- 7. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 6เจา ๕๐๐ องค บุตรนางปทุมวดี ที่พระเจากรุงพาราณสีนิมนตไวมาถึงประตูพระราชนิเวศนไมพบคนใด ๆ ที่จะดูแล จึงกลับออกไปทางประตูกรุง ไปยังหมูบานชางทอหูกนั้น. หญิงผูนั้นเห็นพระปจเจกพุทธ- เจาทั้งหลาย นึกเอ็นดู ก็ไหวหมดทุกองคแลวถวายอาหาร. พระ-ปจเจกพุทธเจาทั้งหลาย ฉันอาหารเสร็จแลว ก็ไปสูเขาคันธมาทนอยางเดิม. แมหญิงผูนั้น ทํากุศลจนตลอดชีวิต ทองเที่ยวอยูในเทวดาและมนุษยแลวถือปฏิสนธิในเรือนของเจามหาสุปปพุทธะ กรุงเทวทหะ กอนพระ-ศาสดาของเราบังเกิด. พระประยูรญาติถวายพระนามของทานวา โคตมีเปนกนิษฐภคินีของพระนางมหามายา [พระพุทธมารดา]. เหลาพราหมณผูชํานาญมนตตรวจดูพระลักษณะแลวพยากรณวา ทารกที่อยูในพระครรภของพระนางทั้งสองพระองค จักเปนจักรพรรดิ. พระเจาสุทโธทน-มหาราชทรงมงคลอภิเษกกับพระนางทั้งสองพระองค เวลาที่ทรงเจริญวัยแลวทรงนําไปอยูพระราชนิเวศนของพระองค. ตอมา พระโพธิสัตวของเราจุติจากสวรรคชั้นดุสิต ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภของพระนางมหามายา-เทวี. ในวันที่ ๗ ตั้งแตวันที่พระโพธิสัตวประสูติแลว พระนางมหามายา-เทวีก็สวรรคต บังเกิดในสวรรคชั้นดุสิต. พระเจาสุทโธทนมหาราชก็ทรงสถาปนาพระนางมหาปชาบดีโคตมี พระมาตุจฉา [พระนานาง]ของพระมหาสัตวไวในตําแหนงพระอัครมเหสี. เวลานั้น นันทกุมารก็ประสูติ. พระมหาปชาบดีน้ี ทรงมอบพระนันทกุมารแกพระพี่เลี้ยงนางนมทรงประคบประหงมบํารุงพระโพธิสัตวดวยพระองคเอง. สมัยตอมา พระ-โพธิสัตวเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ บรรลุพระสัพพัญุตญาณ ทรง
- 8. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 7อนุเคราะหโลก เสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ เสด็จเขาไปบิณฑบาตในพระนคร.ครั้งนั้น พระเจาสุทโธทนมหาราชพุทธบิดา ทรงสดับธรรมกถา ณระหวางถนน เปนพระโสดาบัน. ครั้นวันที่ ๒ พระนันทกุมาร ก็ทรงผนวช. วันที่ ๗ พระราหุล ก็ทรงผนวช. ตอมา พระศาสดา ทรงอาศัยกรุงเวสาลีประทับอยู ณ กูฏาคารศาลา. สมัยนั้น พระเจาสุทโธทนมหาราชทรงทําใหแจงพระอรหัตแลวปรินิพพาน ภายใตพระมหาเศวตฉัตร. ครั้งนั้น พระนางมหาปชาบดี เกิดวาเหวพระหฤทัยจะทรงผนวช.แตนั้น นางปาทปริจาริกา ของพระกุมาร ๕๐๐ พระองค ผูซึ่งเสด็จออกทรงผนวชเมื่อจบกลหวิวาทสูตร ริมฝงแมน้ําโรหิณี ทุกคนมีจิตเปนอันเดียวกันวา พวกเราจักเขาไปเฝาพระนางมหาปชาบดี แลวบวชในสํานักพระศาสดาหมดทุกคน จึงใหพระนางมหาปชาบดีเปนหัวหนา ประสงคจะไปเฝาพระศาสดา. ก็พระนางมหปชาบดีนี้ทรงทูลขอบรรพชากะพระศาสดาครั้งเดียวครั้งแรกเทานั้น ก็ไมได. เพราะเหตุนั้น พระนางจึงรับสั่งเรียกชางกัลบกมาแลวใหตัดพระเกศา ทรงครองผากาสายะ [ผายอมน้ําฝาด]ทรงพาเหลาสากิยานีทั้งหมดนั้น เสด็จถึงกรุงเวสาลี ใหทานพระอานนท-เถระทูลออนวอนพระทศพล ก็ทรงไดบรรพชาอุปสมบทดวยครุธรรม๘ ประการ. สวนเหลาสากิยานีทั้งหมด ก็ไดอุปสมบทพรอมกัน. นี้เปนความสังเขปในเรื่องนี้. สวนเรื่องนี้โดยพิสดารมาแลวในพระบาลี. ก็พระนางมหาปชาบดีครั้นทรงอุปสมบทอยางนี้แลว เขาเฝาพระศาสดาถวายบังคมแลว ประทับ ณ ทีสมควรสวนขางหนึ่ง เวลานั้นพระศาสดาทรงแสดง ่ธรรมโปรดพระนาง พระนางรับกรรมฐานในสํานักพระศาสดาพระองคเดียวก็บรรลุพระอรหัต. ภิกษุณี ๕๐๐ รูปนอกนัน ก็บรรลุพระอรหัต ้
- 9. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 8เมื่อจบนันทโกวาทสูตร. เรื่องนี้เกิดขึ้นดวยประการฉะนี้. ตอมาภายหลังพระศาสดาประทับนั่ง ณ พระเชตวันวิหาร เมื่อทรงสถาปนาภิกษุณีทั้งหลายไวในตําแหนงเอคทัคคะหลายตําแหนง จึงทรงสถาปนาพระมหาปชาบดีไวในตําแหนงเอตทัคคะเปนเลิศกวาพวกภิกษุณีสาวิกา ผูเปนรัตตัญู รูราตรีนาน แล. จบอรรถกถาสูตรที่ ๑ อรรถกถาสูตรที่ ๒ ๒. ประวัติพระเขมาเถรี ในสูตรที่ ๒ พึงทราบวินิจฉัยดังตอไปนี้. บทวา เขมา ไดแก ภิกษุณีมีชื่ออยางนี้. ก็แล ตั้งแตนี้ไป ขาพเจาจะกลาววา ในปญหากรรมของทาน มีเรื่องที่จะกลาวตามลําดับดังนี้แลวจะกลาวขอนี้ควรจะกลาวตั้งแตอภินิหารเปนตนไปไวทุกแหง. ดังไดสดับมา ในอดีตกาลครั้งพระพุทธเจาพระนามวา ปทุมุตตระนางเขมานี้ก็บังเกิดนับเนื่องกับคนอื่น ในกรุงหังสวดี. ตอมา วันหนึ่งนางพบพระสุชาตเถรี อัครสาวิกาของพระผูมีพระภาคเจานั้น กําลังเที่ยวบิณฑบาต จึงถวายขนมตม ๓ กอน ในวันนั้นนั่นแล ก็จัดในเรือนของคนแลวถวายทาน แตพระเถรีทําความปรารถนาวา ดิฉันพึงมีปญญามากเหมือนทาน ในพุทธุปบาทกาลในอนาคต. เปนผูไมประมาทในกุศลกรรมทั้งหลายจนลอดชีวิต ทองเที่ยวอยูในเทวดาและมนุษยแสนกัป-ครั้งพระพุทธเจาพระนามวากัสสปะ ก็ถือปฏิสนธิในพระราชนิเวศนของพระเจากิงกิ เปนพระธิดาอยูระหวางพระพี่นองนาง ๗ พระองค ทรง
- 10. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 9ประพฤติกุมารีพรหมจรรย ในพระราชนิเวศนถึง ๒๐,๐๐๐ ป รวมกับพระพี่นองนางเหลานั้น สรางบริเวณที่ประทับอยูของพระทศพล เวียนวายอยูในเทวดาและมนุษยพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ ก็ถือปฏิสนธิในราชสกุล กรุงสาคละ แควนมัททะ พระประยูรญาติเฉลิมพระนามของพระนางวา เขมา พระนางมีพระฉวีวรรณแหงพระวรกายเลื่อมเรื่อดังน้ําทอง พอเจริญพระชันษา ก็เสด็จไปอยูในพระราชนิเวศน [เปนพระเทวี]ของพระเจาพิมพิสาร. เมื่อพระตถาคตทรงอาศัยกรุงราชคฤหประทับอยูณ พระเวฬุวันวิหาร พระนางทรงสดับวา เขาวา พระศาสดาทรงแสดงโทษในรูป เปนผูมัวเมาในรูปโฉม ไมกลาไปเฝาพระทศพล ดวยทรงกลัววาพระศาสดาจะทรงแสดงโทษในรูปของเรา. พระราชาทรงพระดําริวาเราเปนอัครอุปฐากของพระศาสดา แตอัครมเหสีของอริยสาวกเชนเรา ก็ยังไมไปเฝาพระทศพล ขอนี้เราไมชอบใจเลย. จึงทรงใหเหลากวีประพันธคุณสมบัติของพระเวฬุวันราชอุทยาน รับสั่งวา พวกทานจงขับรองใกล ๆ ที่พระนางเขมาเทวีทรงไดยิน. พระนางทรงสดับคําพรรณนาคุณของพระราชอุทยาน ก็มพระประสงคจะเสด็จไป จึงกราบทูลสอบถามพระ- ีราชา. ทาวเธอตรัสวา ไปอุทยานก็ได แตไมเฝาพระศาสดา อยาไดกลับมานะ พระนางไมถวายคําตอบแดพระราชา ก็เสด็จไปตามทาง. พระ-ราชาตรัสสั่งเหลาบุรุษที่ไปกับพระนางวา ถาพระเทวีเมื่อจะกลับจากสวนเฝาพระทศพลไดอยางนี้นั่นก็เปนบุญ ถาไมเฝา พวกทานก็จงใชราชอํานาจแสดงกะพระนาง. ครั้งนั้น พระนางเสด็จชมพระราชอุทยานเสียจนสิ้นวันเมื่อเสด็จกลับก็ไมเฝาพระทศพล เริมจะเสด็จกลับ. แตเหลาราชบุรุษนํา ่พระนางไปยังสํานักพระศาสดา ทั้งที่พระนางไมชอบพระทัย.
- 11. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 10 พระศาสดาทรงเห็นพระนางกําลังเสด็จมาจึงทรงใชพุทธฤทธิ์เนรมิตเทพอัปสรนางหนึ่งซึ่งกําลังถือกานใบตาลถวายงานพัดอยู. พระนางเขมาเทวีเห็นเทพอัปสรนั้น แลวทรงพระดําริวา เสียหายแลวสิเรา เหลาสตรีที่เทียบกับเทพอัปสรเห็นปานนี้ ยังยืนอยูไมไกลพระทศพล เราแมจะเปนปริจาริกาของสตรีเหลานั้น ก็ยังไมคูควรเลย ก็เพราะเหตุไรเลาเราจึงเปนผูเสียหายดวยอํานาจจิตที่คิดชั่ว เพราะอาศัยความมัวเมา แลวก็ถือนิมตนั้น ยืน ิทอดพระเนตรสตรีนั้นอยู. เมื่อพระนางพิจารณาสตรีนั้นอยูนั้นแล แตดวยกําลังพระอธิฐานของพระตถาคต สตรีนั้นลวงปฐมวัยไป เหมือนตั้งอยูในมัชฌิมวัยฉะนั้น ลวงมัชฌิมวัยไป เหมือนตั้งอยูในปจฉิมวัยฉะนั้นไดเปนผูมีหนังเหี่ยวยน ผมหงอก ฟนหักแลว. แตนั้นเมื่อพระนางกําลังแลดูอยูนั่นแหละ. สตรีนั้นก็ลมลงกลิ้งพรอมกับพัดใบตาล. ลําดับนั้น พระนาง เขมา เมื่ออารมณนั้นมาสูวิถี เพราะเปนผูสมบูรณดวยบุพเหตุ จึงทรงพระดําริอยางนี้วา สรีระมีอยางอยางนี้ ยังถึงความวิบัติอยางนี้ได แมสรีระของเรา ก็จักมีคติอยางนี้เหมือนกัน. ขณะที่พระนางมีพระดําริอยางนี้พระศาสดาจึงตรัสพระคาถาในธรรมบทนี้วา เย ราครตฺตานุปตนฺติ โสต สย กต มกฺกฏโกว ชาล เอตมฺป เฉตฺวาน ปริพฺพชนฺติ อนเปกฺขิโน กามสุข ปหาย. ชนเหลาใด ถูกราคะยอมแลว ยอมตกไป ตามกระแส เหมือนแมลงมุมตกไปตายใยขายที่ตนเอง
- 12. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 11 ทําไว ชนเหลานั้น ตัดกระแสนั้นไดแลว ไมเยื่อใย ละกามสุขเสีย ยอมบวช ดังนี้.จบพระคาถา พระนางประทับยืนในอิริยาบถที่ยืนอยูนั่นแล ก็บรรลุพระอรหัตพรอมดวยปฏิสัมภิทา ธรรมดาวา ผูอยูครองเรือนบรรลุพระอรหัตจําตองปรินิพพานหรือบวชเสียในวันนั้นนั่นแหละ. ก็พระนางรูวาอายุสังขารของพระองคยังเปนไปได ทรงพระดําริวา เราจักใหพระราชาทรงอนุญาตการบวชของพระองค จึงเสด็จกลับพระราชนิเวศน ไมถวายบังคมพระราชาประทับยืนอยู. พระราชาก็ทรงทราบโดยสัญญาณคือพระอาการวาพระนางคงจักบรรลุอริยธรรมแลว. พระราชาจึงตรัสกะพระนางวา พระ-เทวีเสด็จไปเฝาพระศาสดาหรือ. ทูลวา พระมหาราชเจา หมอมฉันประพฤติทัศนะอยางที่พระองคทรงเห็นแลว หมอมฉันไดทําพระทศพลใหเปนผูอันหมอมฉันเห็นดวยดีแลว ขอไดโปรดทรงอนุญาตการบรรพชาแกหมอมฉันเถิด. พระราชาตรัสรับวา ดีละพระเทวี ทรงนําไปยังสํานักภิกษุณีดวยวอทอง ใหทรงผนวช. ครั้งนั้น ความที่พระนางมีพระปญญามาก ปรากฏไปวา ชื่อพระเขมาเถรี บรรลุพระอรหัตทั้งที่อยูในเพศคฤหัสถในขอนี้มีเรื่องดังนี้ . ตอมาภายหลัง พระศาสดาประทับนั่ง ณ พระเชตวันวิหาร เมื่อทรงสถาปนาภิกษุณีทั้งหลายไวในตําแหนงตาง ๆ จึงทรงสถาปนาพระเขมาเถรีไวในตําแหนงเอตทัคคะเปนเลิศกวาพวกภิกษุณ- ีสาวิกา ผูมีปญญามาก แล. จบอรรถกถาสูตรที่ ๒
- 13. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 12 อรรถกถาสูตรที่ ๓ ๓. ประวัติพระอุบลวรรณาเถรี ในสูตรที่ ๓ พึงทราบวินิจฉัยดังตอไปนี้. บทวา อุปฺปลวณฺณา ไดแกพระเถรีมีชื่ออยางนี้ ก็เพราะประกอบดวยผิวพรรณเสมือนหองดอกอุบลขาบ. ไดยินวา พระอุบลวรรณาเถรีนั้น ครั้งพระพุทธเจาพระนามวาปทุมุตตระ ถือปฏิสนธิในครอบครัวในกรุงหังสวดี ภายหลังไปสํานักพระ-ศาสดาพรอมกับมหาชน กําลังฟงธรรมอยู เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณีรูปหนึ่งไวในตําแหนงเอตทัคคะ เปนเลิศกวาพวกภิกษุณีสาวิกาผูมีฤทธิ์ จึงถวายมหาทานแดภิกษุสงฆ มีพระพุทธเจาเปนประมุข ๗ วันปรารถนาตําแหนงนั้น. นางทํากุศลจนตลอดชีวิต เวียนวายอยูในเทวดาและมนุษย ครั้งพระพุทธเจาพระนามวากัสสปะ ถือปฏิสนธิในราชนิเวศนของพระราชาพระนามวากิงกิ กรุงพาราณสี เปนพระธิดาอยูในระหวางพระพี่นองนาง ๗ พระองค ประพฤติพรหมจรรยอยูถง ๒๐,๐๐๐ ป ทําบริเวณ ึถวายภิกษุสงฆ บังเกิดในเทวโลก จุติจากเทวโลกนั้นไปสูมนุษยโลกอีกบังเกิดในถิ่นของคนทํางานดวยมือตนเองเลี้ยงชีพในหมูบานแหงหนึ่ง วันหนึ่ง นางไปยังกระทอมในนา ระหวางทางเห็นดอกปทุมบานแตเชาตรูในสระแหงหนึ่ง ลงสระนันแลวเก็บดอกปทุมนั้นและใบของปทุมเพื่อใสขาว ้ตอก เด็ดรวงขาวสาลีใกลคันนา นั่งในกระทอมคั่วขาวตอก นับได๕๐๐ ดอก. ขณะนั้น พระปจเจกพุทธเจาองคหนึ่งออกจากนิโรธสมาบัติที่เขาคันธมาทน มายืนไมไกลนาง. นางแลเห็นพระปจเจกพุทธเจา ก็ถือ
- 14. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 13ดอกปทุมพรอมทั้งขาวตอกลงจากกระทอม ใสขาวตอกในบาตรของพระ-ปจเจกพุทธเจา ปดบาตรดวยดอกปทุมถวาย. ครั้งนั้น เมื่อพระปจเจก-พุทธเจาไปไดหนอยหนึ่ง นางก็คิดวา ธรรมดาเหลาบรรพชิตไมตองการดอกไม จําเราจักไปเอาดอกไมมาประดับ แลวไปเอาดอกไมจากมือพระ-ปจเจกพุทธเจาแลวคิดอีกวา ถาพระผูเปนเจาไมตองการดอกไมไซร ทานจะไมใหวางดอกไมนั้นไวบนบาตร พระผูเปนเจาจักตองการแนแท แลวไปวางไวบนบาตรอีก ขอขมาแลวทําความปรารถนาวา พระคุณเจาขาดวยผลานิสงสของขาวตอกเหลานี้ ขอจงมีบุตรเทาจํานวนขาวตอก ดวยผลานิสงสของดอกปทุม ขอดอกปทุมจงผุดทุกยางกาวของดิฉัน ในสถานที่เกิดแลว. ทั้งที่นางเห็นอยูนั่นแล พระปจเจกพุทธเจาก็ไปสูเขาคันธ-มาทนทางอากาศ วางดอกปทุมนั้นไวสําหรับเช็ดเทา ใกลบันไดที่พระ-ปจเจกพุทธเจาทั้งหลายเหยียบ ณ เงื้อมเขานันทมูลกะ ดวยผลทานนั้นนางถือปฏิสนธิในเทวโลก. จําเดิมแตเวลาที่นางเกิด. ดอกปทุมขนาดใหญก็ผุดขึ้นทุก ๆ ยางกาวของนาง. นางจุติจากเทวโลกนั้นแลว ก็บงเกิดในหองของดอกปทุม ในสระ ัปทุมแหงหนึ่งใกลเชิงเขาที่ดาบสองคหนึ่งอาศัยเชิงเขาอยู. ดาบสนั้นไปสระแตเชาตรู เพื่อลางหนา เห็นดอกไมนั่นแลวก็คิดวา ดอกนี้ใหญกวาดอกอื่น ๆ ดอกอืน ๆ บาน ดอกนี้ยังตูมอยู คงจะมีเหตุในดอกนั้น แลวจึงลง ่น้ํา จับดอกนั้น. พอดาบสนั้นจับเทานั้น มันก็บาน. ดาบสเห็นเด็กหญิงนอนอยูภายในหองปทุม ไดความสิเนหาดังธิดา นับแตพบเขา จึงนําไปบรรณศาลาพรอมทั้งดอกปทุม ใหนอนบนเตียง. ขณะนั้นดวยบุญญานุภาพ
- 15. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 14ของนาง น้ํานมก็บังเกิดที่นิ้วหัวแมมือ. ดาบสนั้นเมื่อดอกปทุมนั้นเหี่ยวก็นําดอกปทุมดอกอื่นมาแทน ใหเด็กหญิงนั้นหลับนอน. นับตั้งแตเด็กหญิงนั้นสามารถเลนวิ่งมาวิ่งไปได ดอกปทุมก็ผุดทุก ๆ ยางกาว. ผิวพรรณแหงสรีระของนาง เปนเหมือนดอกบัวบก. เด็กหญิงนัน ยังไม ้เจริญวัย ก็ลาผิวพรรณเทวดา ล้ําผิวพรรณมนุษย. เมื่อบิดาไปแสวงหา ้ํผลาผล เด็กหญิงนั้นก็ถูกทิ้งไวที่บรรณศาลา. เมื่อเวลาเจริญวัยแลว อยูมาวันหนึ่ง เมือบิดาไปแสวงหาผลาผล ่พรานปาคนหนึ่งเห็นนางก็คิดวา ขึ้นชื่อวาเหลามนุษยรูปรางอยางนี้ไมมีจําเราจักตรวจสอบนาง แลวนั่งรอการมาของดาบส. เมื่อบิดากลับมานางก็เดินสวนทางไปรับสาแหรกจากมือของดาบสนั้นมาดวยตัวเอง แลวแสดงขอวัตรที่คนควรทําแกดาบสซึ่งนั่งลงแลว. ครั้งนั้น นายพรานปาก็รูวานางเปนมนุษย จึงกราบดาบสแลวนั่งลง ดาบสจึงตอนรับดวยผลหมากรากไมกับน้ําดื่มแลวถามวา ดูกอนบุรุษผูเจริญ ทานจักพักอยูใน ที่นี้หรือจักไป. เขาตอบวา จักไปเจาขา อยูในที่นี้จักทําอะไรได. ดาบสขอรองวา เหตุที่ทานเห็นอยูนี้อยาไดพูดไปเลยนะ. เขารับวา ถาพระผูเปนเจาไมประสงคก็จะพูดไปเพราะเหตุไรเลา แลวไหวดาบส ทํากิ่งไมรอยเทา และเครื่องหมายตนไมไวในเวลาที่จะมาอีก ก็หลีกไป. นายพรานปานั้นไปกรุงพาราณสีเฝาพระราชา. พระราชาตรัสถามวา เหตุไรเจาจึงมา. กราบทูลวา ขาแตเทวะ ขาพระบาทเปนพรานปาของพระองค พบอิตถีรตนะอันนาอัศจรรยที่เชิงเขา จึงมาเฝาพระเจาขา ัแลวทูลเลาเรื่องทั้งหมดถวาย. พระราชาสดับคําของนายพรานปานั้นแลวรีบเสด็จไปเชิงเขา ตั้งคายพักในที่ไมไกลจึงพรอมดวยนายพรานปา และเหลาราชบุรุษอื่น ๆ เสด็จไปที่นั้น เวลาดาบสนั่งฉันอาหาร ทรงอภิวาท
- 16. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 15ปฏิสันถารแลวประทับนั่ง พระราชาทรงวางเครื่องบริขารสําหรับนักบวชไวแทบเทาดาบส ตรัสวา ทานเจาขา พวกเราจะทําอะไรสักอยางก็จะไปดาบสทูลวา โปรดเสด็จไป เถิด มหาบพิตร. ตรัสวา ทานเจาขา ขาพเจาจะไป ไดทราบวาบริษัทที่เปนขาศึกอยูใกลพระผูเปนเจามีอยู บริษัทนั้นไดชื่อวาเปนผูทําใหการปฏิบัติเนิ่นชาสําหรับนักบวชทั้งหลาย ขอบริษัทนั้นจงไปเสียกับขาพเจาเถิด ทานเจาขา. ทูลวา ขึ้นชื่อวาจิตใจของเหลามนุษยรายนัก หญิงผูนี้จักอยูกลางหมูผูคนมากๆ อยางไรได. ตรัสปลอบวาทานเจาขา นับแตขาพเจาชอบใจนางก็จะตั้งนางไวในตําแหนงหัวหนาของคนอื่น ๆ ทะนุบํารุงไว. ดาบสฟงพระราชดํารัสแลว ก็รองเรียกธิดาโดยชื่อที่ตั้งไวครั้งยังเล็ก ๆ วา ลูกปทุมวดีจา. โดยเรียกคําเดียว นางก็ออกมาจากบรรณศาลายืนไหวบิดา. บิดาจึงกลาวกะนางวา ลูกเอย เจาเจริญวัยแลวคงจะอยูในที่นี้ไดไมผาสุก นับแตพระราชาทรงพบแลว จงไปกับพระราชาเสียเถิดนะลูกนะ. นางรับคําบิดาวา เจาคะ ทานพอ ไหวบิดาแลวเดินไปรองไหไป. พระราชาทรงพระดําริวา จําเราจะยึดจิตใจบิดาของหญิงผูนี้ จึงวางนางไวบนกองกหาปณะแลวทรงทําอภิเษก. จําเดิมแตพระราชาทรงพานางมาถึงนครของพระองคแลว ก็ไมทรงเหลียวแลสตรีอื่น ๆ เลย ทรงอภิรมยอยูกับนางเทานั้น. เหลาสตรีอื่น ๆ ก็ริษยา ประสงคจะทํานางใหแตกกันระหวางพระราชา จึงพากันกราบทูลวาขาแตพระมหาราชเจา หญิงผูนี้มิใชชาติมนุษยดอกเพคะ ดอกปทุมทั้ง-หลายที่ปรากฏอยูในที่พวกมนุษยทองเที่ยวไป พระองคเคยพบแลวมิใชหรือ หญิงผูนี้ตองเปนยักษิณีแนแลว โปรดขับไลมันไปเถิดเพคะ. พระ- ราชาทรงสดับคําของสตรีเหลานั้น ก็ไดแตทรงนิ่งอยู. บังเอิญสมัยนั้น
- 17. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 16เมืองทางชายแดน กอการกําเริบ พระนางปทุมวดีก็ทรงพระครรภแกเพราะฉะนั้น พระราชาจึงทรงคงพระนางไวในพระนคร เสด็จไปเมืองชายแดน. ครั้งนั้น สตรีเหลานั้นจึงติดสินบนหญิงผูรับใชพระนางสั่งวาเจาจงนําทารกของพระนางที่พอคลอดแลวออกไป จงเอาทอนไมทอนหนึ่งทาเลือดแลววางไวใกล ๆ แทน. ไมนานนักพระนางปทุมวดีก็ประสูติพระมหาปทุมกุมารอยูในพระครรภพระองคเดียว. นอกนั้นทารก ๔๙๙พระองค ก็บังเกิดเปนสังเสทชะ ในขณะที่พระมหาปทุมกุมารออกจากครรภของพระมารดาแลวบรรทมอยู ขณะนั้นหญิงรับใชพระนางรูวาพระ-นางปทุมวดีนี้ยังไมไดสติก็เอาทอนไมทอนหนึ่งทาเลือดแลววางไวใกล ๆแลวก็ใหสัญญาณนัดหมายแกสตรีเหลานั้น สตรีทง ๕๐๐ คน แตละคน ั้ก็รับทารกคนละองค สงไปสํานักของเหลาชางกลึง ใหนํากลองทั้งหลายมาแลวใหทารกที่แตละคนรับไวนอนในกลองนั้น ทําตราเครื่องหมายไวภายนอกวางไว. ฝายพระนางปทุมวดีรูสึกพระองคแลวถามหญิงรับใชนั้นวา ขาคลอดบุตรหรือจะแมนาง หญิงผูนั้นพูดขูพระนางวา พระนางจักไดทารกแตไหนเลา มีแตทารกที่ออกจากพระครรภพระนางอันนี้ แลวก็วางทอนไมที่เปอนเลือดไวเบื้องพระพักตร. พระนางทอดพระเนตรเห็นแลว ก็เสียพระหฤทัย ตรัสวา เจาจงรีบผาทอนไมนั้นเอาออกไปเสีย ถาใครเขาเห็นจะอับอายขายหนาเขา. หญิงผูนั้นฟงพระราชเสาวนียก็ทําเปนหวังดี ผาทอนไมแลวใสเตาไฟ. ฝายพระราชเสด็จกลับจากเมืองชายแดนแลว รอพระฤกษอยู ตั้งคายพักอยูนอกพระนคร ครั้งนั้นสตรี ๕๐๐ คน ก็มาตอนรับพระราชากราบทูลวา ขาแตพระมหาราชเจา พระองคคงจักไมทรงเชื่อขาพระบาท
- 18. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 17ทั้งหลายวา ที่ขาพระบาทกราบทูลประหนึ่งไมมีเหตุ ขอไดโปรดสอบถามหญิงรับใชพระมเหสีดู พระเทวีประสูติเปนทอนไม พระราชาทรงสอบสวนเหตุนั้นแลวทรงพระดําริวา พระนางคงจักไมใชชาติมนุษยแน ดังนี้แลวทรงขับไลพระนางออกไปจากพระนิเวศน. พอพระนางเสด็จออกพระราชนิเวศนเทานั้น ดอกปทุมทั้งหลายก็อันตรธานไป พระสรีระก็มีผิวพรรณแปลกไป พระนางทรงดําเนินไปในทองถนนพระองคเดียวครั้งนั้นหญิงเจริญวัยผูหนึ่งแลเห็นพระนางก็เกิดสิเนหาพระนางประดุจวาเปนธิดา จึงพูดวา แมคุณจะไปไหนจะ พระนางตรัสวา ดิฉันเปนคนจรกําลังเที่ยวเดินหาที่อยูจะ หญิงชราพูดวา มาอยูเสียที่นี้ซิจะ แลวใหที่อยูจัดแจงอาหารใหเสวย. เมื่อพระนางอยูในที่นั้นโดยทํานองนี้ สตรี ๕๐๐ คนนั้นก็รวมใจกันกราบทูลพระราชาวา ขาแตพระมหาราชเจา เมื่อพระองคประทับคายพัก พวกขาพระบาทมีความปรารถนาวา เมื่อเทวะของพวกขาพระบาทชนะสงครามกลับมา จักทรงเลนกีฬาทางน้ํา เปนพลีกรรมแกเทวดาประจําแมคงคา ขอเทวะโปรดประกาศใหทราบเรื่องนี้เพคะ พระราชาดีพระหฤทัย ดวยคําทูลของสตรีเหลานั้น เสด็จไปทรงกีฬาทางน้ําในแมพระคงคา หญิงเหลานั้นถือกลองที่แตละคนรับไวอยางมิดชิดไปยังแมน้ําหมคลุมเพื่อปกปดกลองเหลานั้น ทําเปนตกน้ําแลวทิ้งกลองทั้งหลายเสียกลองเหลานั้นมารวมกันหมดแลว ติดอยูในขายที่เขาขึงไวใตกระแสน้ํา.แตนั้น เวลาที่พระราชาทรงกีฬาทางน้ําเสด็จขึ้นแลว ราชบุรุษทั้งหลายก็ยกตาขายขึ้นเห็นกลองเหลานั้น จึงนําไปราชสํานัก พระราชาทอดพระ-เนตรเห็นกลองทั้งหลาย จึงตรัสถามวา อะไรในกลอง พอเขากราบทูลวา
- 19. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 18ยังไมทราบพระเจาขา ทาวเธอทรงใหเปดกลองเหลานั้นสํารวจดู ทรงใหเปดกลองใสพระมหาปทุมกุมารเปนกลองแรก ในวันนี้พระกุมารเหลานั้นทั้งหมดบรรทมอยูในกลองทั้งหลาย น้ํานมก็บังเกิดที่หัวนิ้วแมมือ ดวยบุญฤทธิ์ ทาวสักกเทวราชสั่งใหจารึกอักษรไวที่ขางในกลอง เพื่อพระ-ราชาจะไดไมทรงสงสัยวา พระกุมารเหลานี้ประสูติในพระครรภของพระ-นางปทุมวดี เปนโอรสของพระเจากรุงพาราณสี ครั้งนั้นสตรี ๕๐๐ คนซึ่งเปนศัตรูของพระนางปทุมวดี ใสพระกุมารเหลานั้นไวในกลองแลวโยนน้ํา ขอพระราชาโปรดทราบเหตุนี้ พอเปดกลองพระราชาทรงอานอักษรทั้งหลายแลวทอดพระเนตรเห็นทารกทั้งหลาย ทรงยกพระมหาปทุม-กุมารขึ้น ตรัสสั่งวา จงรีบเทียมรถจัดมาไว วันนี้เราจักเขาไปในพระนครทําใหเปนที่รักสําหรับแมบานบางจําพวก แลวเสด็จขึ้นปราสาท ทรงวางถุงทรัพย ๑,๐๐๐ กหาปณะ ไวบนคอชาง โปรดใหตีกลองปาวประกาศวา ผูใดพบพระนางปทุมวดี ผูนั้นจงรับถุงทรัพย ๑,๐๐๐ กหาปณะไป. พระนางปทุมวดี ทรงไดยินคําประกาศนั้นแลว ไดใหสัญญานัดหมายแกมารดาวา แมจา จงรับถุงทรัพย ๑,๐๐๐ กหาปณะ จากคอชางเถิด. หญิงชรากลาววา ขาไมอาจรับทรัพยขนาดนั้นไดดอก.พระนาง แมเมื่อมารดาปฏิเสธ ๒ - ๓ ครั้ง ก็ตรัสวา แมพูดอะไร รับไวเถิดแม. หญิงชราคิดวา ลูกของเราคงพบพระนางปทุมวดี เพราะ-ฉะนั้น จึงกลาววา รับไวเถิด. หญิงชรานั้น จึงจําใจเดินไปรับถุงทรัพย ๑,๐๐๐ กหาปณะ. ขณะนั้น ผูคนทั้งหลายพากันถามหญิงชรานั้นวาคุณแม เห็นพระนางปทุมวดีเทวีหรือ. หญิงชราตอบวา ขาไมเห็นดอกแตลูกสาวของขาเห็น. ผูคนเหลานั้นถามวา ก็ลูกสาวของคุณแมอยูที่ไหน
- 20. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 19เลา แลวก็เดินไปกับหญิงชรานั้น จําพระนางปทุมวดีไดก็พากันหมอบอยูแทบยุคลบาท. ในเวลานั้น หญิงชรานั้นก็ชี้วา นี้พระนางปทุมวดีเทวีแลวกลาววา ผูหญิงทํากรรมหนักหนอ เปนถึงพระมเหสีของพระราชาอยางนี้ ยังอยูปราศจากอารักขา ในสถานที่เห็นปานนี้. ราชบุรุษเหลานั้นเอามานขาววงลอมเปนนิเวศนของพระนางปทุมวดี ตั้งกองอารักขาไวใกลประตู แลวกราบทูลแดพระราชา. พระราชาทรงสงสุวรรณสีวิกา พระ-วอทองไปรับ. พระนางรับสั่งวา เราจะไมไปอยางนี้ เมื่อพวกทานลาดเครื่องลาดอันวิจิตรดวยผาเปลือกไมอยางดี ระหวางตั้งแตสถานที่อยูของเราจนถึงพระราชนิเวศน ใหติดเพดานผาอันวิจิตรดวยดาวทองไวขางบนแลวสงสรรพอาภรณเพื่อประดับไป เราจักเดินไปดวยเทา ชาวพระนครจักเห็นสมบัติของเราอยางนี้ พระราชาตรัสวา พวกทานจงทําตามความชอบใจของปทุมวดี. แตนั้น พระนางปทุมวดี ทรงพระดําริวา เราจักประดับเครื่องประดับทุกอยางเดินไปพระราชนิเวศนแลวเสด็จเดินทาง.ครั้งนั้น ดอกปทุมทั้งหลาย ก็ชําแรกเครื่องลาดอันวิจิตรดวยผาเปลือกไมอยางดี ผุดขึ้นในที่ทุกยางกาวพระบาทของพระนาง. พระนางครั้นแสดงสมบัติของพระองคแกมหาชนแลว เสด็จขึ้นพระราชนิเวศน โปรดประทานเครื่องลาดอันวิจิตรทั้งหมด เปนคาเลี้ยงดูแกหญิงชรานั้น. พระราชารับสั่งใหเรียกสตรี ๕๐๐ คนมาแลวตรัสวา ดูกอนเทวีเราใหหญิงเหลานั้นเปนทาสีของเจา. พระนางทูลวา ดีละเพคะ หมอมฉันขอใหทรงประกาศใหชาวเมืองทั่วไปไดทราบวา หญิงเหลานี้พระราชทานแกหมอมฉันแลว. พระราชาก็โปรดใหตีกลองบาวประกาศวา หญิง ๕๐๐คน ผูประทุษรายพระนางปทุมวดี เราใหเปนทาสีของพระนางพระองค
- 21. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 20เดียว. พระนางปทุมวดีนั้น ทรงทราบวา ในนครทั่วไป กําหนดรูวาหญิงเหลานั้นเปนทาสีแลว จึงทูลถามพระราชาวา ขาแตเทวะ หมอมฉันจะทําทาสีของหมอมฉันใหเปนไท ไดไหมเพคะ. พระราชารับสั่งวาเทวี เจาตองการก็ไดสิ. พระนางกราบทูลวา เมื่อเปนเชนนั้น ขอไดทรงโปรดใหเรียกคนตีกลองปาวประกาศสั่งใหเขาตีกลองปาวประกาศอีกวา พวกทาสี ที่พระองคพระราชทานแกพระนางปทุมวดี พระนางทําใหเปนไทหมดทั้ง ๕๐๐ คนแลว. เมื่อสตรีเหลานั้นเปนไทแลว พระนางก็มอบพระโอรส ๔๙๙ พระองคใหสตรีเหลานั้นเลี้ยงดู สวนพระองคเองทรงรับเลี้ยงดูเฉพาะพระมหาปทุมกุมารเทานั้น. เมื่อถึงเวลาพระราชกุมารเหลานั้นทรงเลนได พระราชาก็โปรดใหสรางสนามเลนตาง ๆ ไวในพระ-ราชอุทยาน. พระราชกุมารเหลานั้น มีพระชันษาได ๖ พรรษา ทุกพระองคก็พรอมกันลงเลนในมงคลโบกขรณี ทีปกคลุมดวยปทุม ใน ่พระราชอุทยาน ทรงเห็นปทุมดอกใหมบาน ดอกเกากําลังหลนจากขั้วก็พิจารณาเห็นวา ดอกปทุมนี้ไมมีใจครอง ยังประสบชราเห็นปานนี้ ก็จะปวยกลาวไปไยถึงสรีระของพวกเราเลา แมสรีระนี้ก็คงจักมีคติอยางนี้เหมือนกัน แลวทรงยึดเปนอารมณ ทุกพระองคบังเกิดปจเจกพุทธญาณแลวพากันลุกขึ้น ประทับนั่งขัดสมาธิ ณ กลีบดอกปทุม ขณะนั้น พวกราชบุรุษที่ไปกันพระราชกุมารเหลานั้นรูวาสายมากแลว จึงทูลวา พระ-ลูกเจา เจาขา ขอไดโปรดทราบเวลาของพระองค. พระราชกุมารทั้งหมดนั้นก็นิ่งเสีย. ราชบุรุษเหลานั้น ก็พากันไปกราบทูลพระราชาวา ขาแตเทวะ. พระราชกุมารทั้งหลายประทับนั่งในกลีบดอกปทุม เมื่อพวกขา-พระบาทกราบทูล ก็ไมทรงเปลงพระวาจาเลย. พระราชาตรัสวา พวก
- 22. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 21เจาจงใหพวกเขานั่งตามชอบใจเถิด. พระราชกุมารเหลานั้น ไดรับอารักขาตลอดคืนยังรุง ก็ประทับนั่งในกลีบดอกปทุมทํานองนั้นนั่นแหละจนอรุณจับฟา พวกราชบุรุษก็กลับไป รุงขึ้น จึงพากันเขาไปเฝาทูลวาขอเทวะทั้งหลาย โปรดทราบเวลาเถิด พระเจาขา. ทุกพระองคตรัสวาพวกเราไมใชเทวะ พวกเราชื่อวา พระปจเจกพุทธะ. พวกเขากราบทูลวา ขาแตพระลูกเจาทั้งหลาย พระองคตรัสพระดํารัสหนัก พระเจาขา.ธรรมดาวา พระปจเจกพุทธะทั้งหลาย ไมเปนเชนพระองคดอก ตองมีหนวดเครา ๒ องคุลี มีบริขาร ๘ สวมพระกายสิพระเจาขา. พระราช-กุมารเหลานั้นเอาพระหัตถขวาลูบพระเศียร. ทันใดนั้นเอง เพศคฤหัสถก็อันตรธานหายไป. กลายเปนผูมีบริขาร ๘ สวมพระวรกาย แลวก็เสด็จไปเงื้อมเขานันทมูลกะ ทังที่มหาชนกําลังมองดูอยูนั่นแล. ้ ฝายพระนางปทุมวดี ก็ทรงเศราโศกพระหฤทัยวา เราก็มีลูกมากแตก็จําพลัดพรากกันไป. เสด็จทิวงคตดวยพระโรคนั้นนั่นแล บังเกิดในสถานของคนทํางานดวยมือตนเองเลี้ยงชีพ ในหมูบานใกลประตูกรุงราช-คฤห. ตอมา นางมีเหยาเรือนแลว วันหนึ่ง กําลังนําขาวยาคูไปใหสามีก็แลเห็นพระปจเจกพุทธะ ๘ องค อยูในจํานวนบุตรเหลานั้นของตนซึ่งกําลังเหาะไปในเวลาแสวงหาอาหาร จึงรีบไปบอกสามีวา เชิญดูพระผูเปนเจาปจเจกพุทธะ ชวยนิมนตทานมา เราจักถวายอาหาร. สามีพูดวาขึ้นชื่อวาพวกนก ก็บินเที่ยวไปอยางนั้น นั่นไมใชพระปจเจกพุทธะดอก.พระปจเจกพุทธะเหลานั้น ก็ลงในที่ไมไกลคนทั้ง ๒ นั้น ซึงกําลังพูดจา ่กันอยู. หญิงนั้นก็ถวายโภชนะคือขาวสวยและกับแกลมสําหรับตนในวันนั้นแดพระปจเจกพุทธะเหลานั้นแลวนิมนตวา พรุงนี้ ทานทั้ง ๘ ขอโปรด
- 23. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 22รับอาหารของดิฉันดวย. พระปจเจกพุทธะเหลานั้นกลาววา ดีละทานอุบาสิกา ทานมีสักการะและมีอาสนะ ๘ ที่เทานั้น ก็พอ เห็นพระปจเจก-พุทธะองคอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น ก็จงคงจิตใจของทานไว. วันรุงขึ้น นางก็ปูอาสนะไว ๘ ที่ นั่งจัดสักการะสําหรับพระปจเจกพุทธะ ๘ องค.พระปจเจกพุทธะทั้งหลายที่รับนิมนตจึงใหสัญญาณนัดหมายแกเหลาพระ-ปจเจกพุทธะนอกนั้นวา ทานผูนิรทุกขทั้งหลาย วันนี้อยาไปที่อื่น ทั้งหมดจงชวยกันสงเคราะหโยมมารดาของพวกทานเถิด. ฟงคําของพระปจเจก-พุทธะ ๘ องคนั้นแลว ทุกองคก็เหาะไปพรอมกัน ปรากฏอยูที่ประตูเรือนของมารดา. แมนางเห็นพระปจเจกพุทธะจํานวนมากกวาสัญญาที่ไดรับคราวแรก ก็มิไดหวันไหว. นิมนตทุกองคเขาไปเรือนใหนั่งเหนือ ่อาสนะ. เมือพระปจเจกพุทธะกําลังนั่งตามลําดับ องคที่ ๙ ก็เนรมิต ่อาสนะเพิ่มขึ้นอีก ๘ ที่ ตนเองนั่งเหนืออาสนะที่ไกล. เรือนก็ขยายตามเทาที่อาสนะเพิ่มขึ้น. เมื่อพระปจเจกพุทธะทุกองคนั่งอยางนั้นแลว หญิงนั้นก็ถวายสักการะที่จัดไวสําหรับพระปจเจกพุทธะ ๘ องค จนเพียงพอเทาพระปจเจกพุทธะ ๕๐๐ องค แลวจึงนําเอาดอกอุบลขาบทั้ง ๘ ดอกที่อยูในมือวางไวแทบเทาของพระปจเจกพุทธะที่นิมนตมาเทานั้น กลาวอธิฐานวา ทานเจาขา ขอผิวกายของดิฉัน จงเปนประดุจผิวภายในหองดอกอุบลขาบเหลานี้ ในสถานที่ที่ดิฉันเกิดแลวเกิดอีกนะเจาขา. พระ-ปจเจกพุทธะทั้งหลาย ทานอนุโมทนาแกมารดาแลวก็ไปสูเขาคันธมาทน. แมหญิงนั้น ทํากุศลจนตลอดชีวิต จุติจากภพนั้นแลวบังเกิดในเทวโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ ก็ถือปฏิสนธิในครอบครัวเศรษฐี. ก็เพราะนางมีผิวพรรณเสมอดวยดอกอุบลขาบ. บิดามารดาจึงขนานนาม
- 24. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 23ของนางวา อุบลวรรณา. เมื่อเวลานางเจริญวัย พระราชาทั่วชมพูทวีปก็สงคนไปสํานักเศรษฐีขอนาง ไมมีราชาพระองคใดที่ไมสงคนไปขอ.แตนั้น เศรษฐีคิดวา เราไมอาจยึดเหนี่ยวจิตใจของคนทุกคนได แตจําเราจะทําอุบายสักอยางหนึ่ง จึงเรียกธิดามาถามวา เจาบวชไดไหมลูก.เพราะเหตุที่นางเกิดในภพสุดทาย คําของบิดานั้นจึงเปนเหมือนน้ํามันเคี่ยว ๑๐๐ ครั้งราดลงบนศีรษะ. เพราะเหตุนั้น นางจึงกลาวกะบิดาวาบวชไดจะพอ. เศรษฐีนน จึงทําสักการะแกนางแลวนําไปสํานักภิกษุณี ั้ใหบวช เมือนางบวชใหม ๆ ถึงเวร [วาระ] ในโรงอุโบสถ. นาง ่ตามประทีปกวาดโรงอุโบสถ ถือเอานิมิตที่เปลวประทีป ตรวจดูบอย ๆก็ทําฌานมีเตโชกสิณเปนอารมณใหฌานบังเกิด แลวทําฌานนั้นใหเปนบาท ก็บรรลุพระอรหัต. พรอมดวยพระอรหัตผลนั่นแล ก็เปนผูช่ําชองชํานาญในการแสดงฤทธิ์ตาง ๆ ตอมา ในวันที่พระศาสดาทรงทํายมกปาฏิหาริย ทานก็บันลือสีหนาทวา ขาแตพระองคผูเจริญขาพระองคจักทําปาฏิหาริยถวาย. พระศาสดาทรงทําเหตุอันนี้ใหเปนอัตถุปปตติ เหตุเกิดเรื่อง ประทับนั่ง ณ พระเชตวันมหาวิหาร เมื่อทรงสถาปนาภิกษุณีทั้งหลายในตําแหนงตาง ๆ ตามลําดับ จึงทรงสถาปนาพระเถรีนี้ไวในตําแหนงเอตทัคคะเปนเลิศกวาพวกภิกษุณีสาวิกา ผูมีฤทธิ์แล. จบอรรถกถาสูตรที่ ๓
- 25. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 24 อรรถกถาสูตรที่ ๔ ๔. ประวัตพระปฏาจาราเถรี ิ ในสูตรที่ ๔ พึงทราบวินิจฉัยดังตอไปนี้. ดวยบทวา วินยธราน ยทิท ปฏาจารา ทานแสดงวา พระ-ปฏาจาราเถรีเปนเลิศกวาพวกภิกษุณีสาวิกาผูทรงวินัย. ดังไดสดับมา พระเถรีนั้น ครั้งพระพุทธเจาพระนามวา ปทุมุตตระถือปฏิสนธิในครอบครัว กรุงหังสวดี ตอมา กาลังฟงพระธรรมเทศนาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณีรูปหนึ่งไวในตําแหนงเอตทัคคะเปนเลิศกวาพวกภิกษุณีสาวิกาผูทรงวินัย ทํากุศลใหยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตําแหนงนั้น. ทานทํากุศลจนตลอดชีวิต เวียนวายอยูในเทวดาและมนุษย ครั้งพระพุทธเจาพระนามวากัสสปะ. ถือปฏิสนธิในพระราชนิเวศนของพระเจากิงกิ เปนพระธิดาพระองคหนึ่งระหวางพระพี่นองนาง ๗ พระองค ประพฤติพรหมจรรยอยูถึง ๒๐,๐๐๐ ปสรางบริเวณถวายภิกษุสงฆ บังเกิดในเทวโลกอีก เสวยสมบัติอยูพุทธันดรหนึ่งในพุทธุปบาทกาลนี้ ถือปฏิสนธิในครอบครัวเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ตอมา นางเจริญวัยไดทําการลักลอบกับลูกจางคนหนึ่งในบานภายหลังกําลังจะมีสามีที่มีชาติเสมอกัน จึงไดทําการนัดหมายกับบุรุษที่ลักลอบกันนันวา ตั้งแตวันพรุงนี้ไป เจาจักไมไดเห็นเรา แมจะประหาร ้สัก ๑๐๐ ครั้ง ถาเจายังรักเรา ก็จงพาเราไปเสียเดี๋ยวนี้. บุรุษผูนั้นรับคําวา ตกลง แลวก็ถอเอาสิ่งของมีคาติดมือไปพอสมควร พานาง ืออกไป ๓-๔ โยชนจากพระนคร อาศัยอยูในหมูบานแหงหนึ่ง ตอมา
- 26. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 25ภายหลังนางตั้งครรภ เมื่อครรภแก จึงกลาววา ที่นี้ไมสมควรแกเราฉันจะไปเรือนสกุลนะนาย. เขาก็ผัดวา วันนี้จะไป พรุงนี้คอยไป แตก็ไมไดไปจนลวงเวลาไป. นางรูเหตุของสามีนั้น คิดวา สามีนี้เขลาจึงไมพาเราไป เมื่อสามีนั้นออกไปนอกบาน จึงเดินไปลําพังคนเดียว ดวยหมายใจจะกลับไปยังครอบครัว. สามีกลับมาไมเห็นนางในเรือน จึงถามคนที่คุนเคยกัน รูวา นางกลับไปยังครอบครัว ก็คิดวา นางเปนธิดาของสกุล อาศัยแตเราไมมีที่พึ่งเลย จึงเดินตามรอยเทาจนทันกัน นางก็ตลอดบุตรเสียในระหวางทางนั้นเอง. สองสามีภริยาปรึกษากันวา ประ-โยชนที่เราจะพึงเดินทางไป ก็สําเร็จแลวในระหวางทาง เดี๋ยวนี้เราจักไปทําไมเลาจึงพากันกลับ . นางก็ตั้งครรภอีก. พึงทําเรื่องใหพิสดารตามนัยกอนนั้นแล. แตในระหวางทาง พอนางคลอดบุตร เมฆฝนก็ตั้งเคามาทั้ง ๔ ทิศ. นางจึงกลาวกะสามีวา นาย ไมใชเวลาแลว เมฆฝนตั้งเคานาทั้ง ๔ ทิศ จงพายามทําที่อยูสําหรับตัวเราเถิด. สามีรับคําวา จักทําเดี๋ยวนี้ เอาทอนไมมาทํากระทอม คิดวาจะหาหญามามุงบัง จึงตัดหญาที่เชิงจอมปลวกใหญแหงหนึ่ง. ทีนั้น งูเหาที่นอนในจอมปลวกก็กัดเทาเขา.บุรุษผูนั้น ก็ลมลงที่นั้นนันเอง. แมนางคิดวาเดี๋ยวเขาคงมา. รอจนตลอด ่ทั้งคืน ก็คิดอีกวา เขาคงจักคิดวา เรานี้ เปนหญิงอนาถา พึ่งไมไดแลวทอดทิ้งไวในทางหนีไปแลว ครั้นเกิดแสงสวางแวบขึ้น จงมองดูตามรอยเทา เห็นสามีลมลงที่เชิงจอมปลวก ก็คร่ําครวญวา เพราะเรา เขาจึงเสีย แลวเอาลูกคนเล็กแนบขาง เอานิ้วมือจูงลูกคนโต เดินไปตานทางระหวางทางพบแมน้ําตื้น ๆ สายหนึ่ง คิดวา เราไมอาจพาลูกไปคราวเดียวกันไดทั้ง ๒ คน จึงวางลูกคนโตไวฝงนี้ นําลูกคนเล็กไปฝงโนน ให
- 27. พระสุตตันตปฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 26นอนบนเบาะเกา ๆ ลงขามแมน้ํา ดวยหมายจะพาลูกคนนี้ไป. เวลาที่นางถึงกลางแมน้ํา เหยียวตัวหนึ่งก็มาโฉบเด็กไปดวยสําคัญวา เปนกอน ่เนื้อ. นางก็ยกมือไลเหยี่ยว. ลูกคนโตเห็นนางทํามืออยางนั้น สําคัญวาแมเรียก ก็ลงขามแมน้ํา ตกไปในกระแสน้ํา ก็ลอยไปตามกระแสน้ําเมื่อนางยังขามไมถึงนั่นเอง เหยี่ยวก็โฉบเอาลูกคนเล็กนั้นไป. นางเศรา-โศกเปนกําลัง ในระหวางทาง ก็เดินขับเพลงรําพัน ดังนี้วา อุโภ ปุตฺตา กาลกตา ปนฺเถ มยฺห ปตี มโต. บุตรสองคนก็ตาย สามีเราก็ตายเสียที่หนทาง. นางรําพันอยางนี้ จนถึงกรุงสาวัตถี ไปหาคนที่ชอบพอกันของสกุลก็กําหนดจําเรือนของตนไมได ดวยอํานาจความเศราโศก สอบถามวาที่ตรงนี้ มีสกุล ชื่ออยางนี้ เรือนอยูไหนเลา. ผูคนทั้งหลายกลาววาเจาสอบถามถึงสกุลนั้นจักทําอะไร เรือนที่อยูของคนเหลานั้น ลมแลวเพราะลมกระหน่ํา คนเหลานั้นในเรือนหลังนั้น เสียชีวิตหมด เขาเผาคนเหลานั้นบนเชิงตะกอนอันเดียวกัน ทั้งเด็กทั้งผูใหญ ดูเสียสิ กลุมควันไฟยังปรากฏอยูนั่น. นางฟงคําบอกเลาแลว ก็พูดวา พวกทานพูดอะไร ก็ทรงผานุงของตนไวไมได ทํานองวันเกิดนั่นแหละ ประคองสองแขนร่ําไห เดินไปสถานที่เชิงตะกอนเผาเหลาญาติ คร่ําครวญเพลงรําพันพิลาปจนครบคาถาวา อุโภ ปุตฺตา กาลกตา ปนฺเถ มยฺห ปตี มโต มาตา ปตา จ ภาตา จ เอกจิตฺตกสฺมึ ฑยฺหเร. บุตรสองคนก็ตาย สามีเราก็ตายเสียที่หนทาง มารดาบิดาและพี่ชาย เขาก็เผาที่เชิงตะกอนเดียวกัน.