SlideShare una empresa de Scribd logo
1 de 19
Descargar para leer sin conexión
รายงาน


 เรื่อง อาชญากรรมคอมพิวเตอร์


             เสนอ
       อ.จุฑารัตน์ ใจบุญ



            จัดทาโดย

นาย จิรวัฒน์ ชูเกิด เลขที่ 2 ม.6/3



โรงเรียนรัษฎานุประดิษฐ์อนุสรณ์

          จังหวัด ตรัง
คานา

       รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี ได้ทาเกิดเพื่อเป็น
สื่อในการเรียนและการสอนและเพื่อให้ผู้ที่สนใจเรื่องอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ได้อ่าน
และศึกษาหากมีข้อผิดพลาดประการใด้ก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย




                                                      จัดทาโดย

                                              นาย จิรวัฒน์ ชูเกิด
สารบัญ

เรื่อง       หน้า
อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ประเภทต่างๆ               1-2

กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์                    2-3

ที่มาของกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์            3-4

สภาพปัญหาในปัจจุบัน                              4-5

ลักษณะของการกระทาความผิด                         5-8

การก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์                    8-11

การกาหนดฐานความผิดและบทกาหนดโทษ                  11-4

อ้างอิง                                          15
อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ประเภทต่างๆ

       อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Cyber-Crime) เป็นการกระทาที่ผิดกฎหมายโดยใช้วิธีการทาง
อิเล็กทรอนิกส์เพื่อโจมตีระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลที่อยู่บนระบบดังกล่าว ส่วนในมุมมองที่กว้างขึ้น
“อาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับคอมพิวเตอร์ ” หมายถึงการกระทาที่ผิดกฎหมายใดๆ ซึ่งอาศัยหรือมีความ
เกี่ยวเนื่องกับระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่าย อย่างไรก็ตาม อาชญากรรมประเภทนี้ไม่ถือเป็นอาชญากรรม
ทางคอมพิวเตอร์โดยตรง
ในการประชุมสหประชาชาติครั้งที่ 10 ว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทาผิด (The
Tenth United Nations Congress on the Prevention of Crime and the Treatment of Offenders) ซึ่งจัดขึ้นที่
กรุงเวียนนา เมื่อวันที่ 10-17 เมษายน 2543 ได้มีการจาแนกประเภทของอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ โดย
แบ่งเป็น 5 ประเภท คือ การเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต, การสร้างความเสียหายแก่ข้อมูลหรือโปรแกรม
คอมพิวเตอร์, การก่อกวนการทางานของระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่าย, การยับยั้งข้อมูลที่ส่งถึง/จากและ
ภายในระบบหรือเครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และการจารกรรมข้อมูลบนคอมพิวเตอร์

       โครงการอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์และการโจรกรรมทรัพย์สินทางปัญญา (Cyber-Crime and
Intellectual Property Theft) พยายามที่จะเก็บรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูล และค้นคว้าเกี่ยวกับอาชญากรรม
ทางคอมพิวเตอร์ 6 ประเภท ที่ได้รับความนิยม ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนและผู้บริโภค
นอกจากนี้ยังทาหน้าที่เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับขอบเขตและความซับซ้อนของปัญหา รวมถึงนโยบายปัจจุบัน
และความพยายามในการปัญหานี้

อาชญากรรม 6 ประเภทดังกล่าวได้แก่

    1. การเงิน – อาชญากรรมที่ขัดขวางความสามารถขององค์กรธุรกิจในการทาธุรกรรม อี-คอมเมิร์ซ
       (หรือพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์)

    2. การละเมิดลิขสิทธิ์ – การคัดลอกผลงานที่มีลิขสิทธิ์ ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและ
       อินเทอร์เน็ตถูกใช้เป็นสื่อในการก่ออาชญากรรม แบบเก่า โดยการโจรกรรมทางออนไลน์หมาย
       รวมถึง การละเมิดลิขสิทธิ์ ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อจาหน่ายหรือเผยแพร่ผลงาน
       สร้างสรรค์ที่ได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์

    3. การเจาะระบบ – การให้ได้มาซึ่งสิทธิในการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายโดยไม่ได้รับ
       อนุญาต และในบางกรณีอาจหมายถึงการใช้สิทธิการเข้าถึงนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้การ
เจาะระบบยังอาจรองรับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ในรูปแบบอื่นๆ (เช่น การปลอมแปลง การ
       ก่อการร้าย ฯลฯ)

   4. การก่อการร้ายทางคอมพิวเตอร์ – ผลสืบเนื่องจากการเจาะระบบ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความ
      หวาดกลัว เช่นเดียวกับการก่อการร้ายทั่วไป โดยการกระทาที่เข้าข่าย การก่อการร้ายทาง
      อิเล็กทรอนิกส์ (e-terrorism) จะเกี่ยวข้องกับการเจาระบบคอมพิวเตอร์เพื่อก่อเหตุรุนแรงต่อบุคคล
      หรือทรัพย์สิน หรืออย่างน้อยก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความหวาดกลัว

   5. ภาพอนาจารทางออนไลน์ – ตามข้อกาหนด 18 USC 2252 และ 18 USC 2252A การประมวลผล
      หรือการเผยแพร่ภาพอนาจารเด็กถือเป็นการกระทาที่ผิดกฎหมาย และตามข้อกาหนด 47 USC 223
      การเผยแพร่ภาพลามกอนาจารในรูปแบบใดๆ แก่เยาวชนถือเป็นการกระทาที่ขัดต่อกฎหมาย
      อินเทอร์เน็ตเป็นเพียงช่องทางใหม่สาหรับอาชญากรรม แบบเก่า อย่างไรก็ดี ประเด็นเรื่องวิธีที่
      เหมาะสมที่สุดในการควบคุมช่องทางการสื่อสารที่ครอบคลุมทั่วโลกและเข้าถึงทุกกลุ่มอายุนี้ได้
      ก่อให้เกิดการถกเถียงและการโต้แย้งอย่างกว้างขวาง

   6. ภายในโรงเรียน – ถึงแม้ว่าอินเทอร์เน็ตจะเป็นแหล่งทรัพยากรสาหรับการศึกษาและสันทนาการ แต่
      เยาวชนจาเป็นต้องได้รับทราบเกี่ยวกับวิธีการใช้งานเครื่องมืออันทรงพลังนี้อย่างปลอดภัยและมี
      ความรับผิดชอบ โดยเป้าหมายหลักของโครงการนี้คือ เพื่อกระตุ้นให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับ
      ข้อกาหนดทางกฎหมาย สิทธิของตนเอง และวิธีที่เหมาะสมในการป้องกันการใช้อินเทอร์เน็ต
      ในทางที่ผิด



กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์

       กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Computer Crime Law) เป็นกฎหมายตัว หนึ่งที่มีความล่าช้า
มากในบรรดากฎหมายสารสนเทศทั้ง 6 ฉบับ ความล่าช้านั้นก็มาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่จะต้อง
ดูตัวอย่างกฎหมายจากหลายๆประเทศที่บังคับใช้ไปก่อนแล้ว เพื่อจะมาปรับเข้ากับบริบทของประเทศไทย
แน่นอนครับว่าการคัดลอกมาทั้งหมดโดยไม่คานึงถึงความแตกต่าง สภาพวัฒนธรรม ความเจริญก้าวหน้าที่
ไม่เท่ากันแล้ว ย่อมจะเกิดปัญหาเมื่อนามาใช้อย่างแน่นอน
อีกทั้งเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องใหม่ในสังคมไทย และในกระบวนการยุติธรรมของบ้านเราด้วย กฎหมายบางเรื่อง
ต้องใช้เวลานานถึง 5 ปีกว่าจะออกมาใช้บังคับได้ บางเรื่องใช้เวลาถึง 10 ปีเลยทีเดียวครับ ปัญหาความล่าช้า
เป็นอุปสรรคที่สาคัญอย่างหนึ่งในการพัฒนาประเทศของเรา ทั้งนี้ เกิดจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น
ระบบงานราชการที่ยุ่งยาก ซับซ้อน ต้องผ่านหลายหน่วยงาน หลายขั้นตอน หรือแม้แต่ระบบการพิจารณาใน
สภา ที่มีการเปลี่ยนรัฐบาลกันบ่อยๆจึงทาให้ขาดความต่อเนื่อง และยังมีสาเหตุอื่นอีกมากที่ทาให้กฎหมายแต่
ละฉบับนั้นออกมาใช้บังคับช้า



ที่มาของกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์



        ทุกวันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคอมพิวเตอร์เข้าไปมีบทบาทในชีวิตมนุษย์มากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะใน
ยุคแห่งข้อมูลข่าวสารอย่างในปัจจุบันนี้ จะเห็นได้ว่ามีพัฒนาการเทคโนโลยีใหม่ๆเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
รวมทั้งพัฒนาการเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย แต่ถึงแม้ว่าพัฒนาการทางเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นจะถูก
นามาประยุกต์ใช้และก่อให้เกิดประโยชน์มากมายก็ตาม หากนาไปใช้ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบแล้วก็อาจ
ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมได้

ดังนั้นจึงเกิดรูปแบบใหม่ของอาชญากรรมที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการกระทาผิดขึ้น จึง
จาเป็นต้องมีการพัฒนา กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Computer Crime Law) ขึ้น



ในบางประเทศอาจเรียกว่า กฎหมายเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ในทางมิชอบ (Computer Misuse Law) หรือ
ในบางประเทศอาจต้องมีการปรับปรุงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาเพื่อให้รองรับกับความผิดในรูปแบบ
ใหม่ๆได้ ด้วยการกาหนดฐานความผิดและบทลงโทษสาหรับการก่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ขึ้นเพื่อให้
เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ สามารถเอาผิดกับผู้กระทาความผิดได



้ในต่างประเทศนั้น มีลักษณะการบัญญัติกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ 2 รูปแบบ คือ การบัญญัติใน
ลักษณะแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เช่น ประเทศเยอรมนี แคนาดา อิตาลี และสวิสเซอร์แลนด์
ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งคือ การบัญญัติเป็นกฎหมายเฉพาะ เช่น ประเทศอังกฤษ สิงคโปร์ มาเลเซีย และ
สหรัฐอเมริกา

สาหรับประเทศไทยนั้น เลือกใช้ในแบบที่สองคือบัญญัติเป็นกฎหมายเฉพาะ โดยมีชื่อว่า พระราชบัญญัติ
อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ….(ประกาศใช้ปีไหน ก็ใส่ พ.ศ. เข้าไปแทนจุดครับ-ผู้เขียน)

จะเห็นได้ว่าแม้รูปแบบกฎหมายของแต่ละประเทศอาจจะแตกต่างกัน แต่การกาหนดฐานความผิดที่เป็นหลัก
ใหญ่นั้นมักจะคล้ายคลึงกัน ทั้งนี้ โดยมากแล้วต่างก็คานึงถึงลักษณะของการใช้คอมพิวเตอร์ในการกระทา
ความผิดเป็นสาคัญ กฎหมายที่ออกมาจึงมีลักษณะที่ใกล้เคียงกัน

สภาพปัญหาในปัจจุบัน

           ปัญหาข้อกฎหมายของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์คือ หลักของกฎหมายอาญาที่ระบุว่า ไม่มีโทษโดย
ไม่มีกฎหมาย (Nulla poena sinelege) และมุ่งคุ้มครองวัตถุที่มีรูปร่างเท่านั้น แต่ในยุคไอทีนั้น ข้อมูลข่าวสาร
เป็นวัตถุที่ไม่มีรูปร่าง เอกสารไม่ได้อยู่ในแผ่นกระดาษอีกต่อไป ซึ่งกฎหมายที่มีอยู่ไม่อาจขยายการคุ้มครอง
ไปถึงได้

           ตัวอย่างของการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ได้แก่ การโจรกรรมเงินในบัญชีลูกค้าของ
ธนาคาร การโจรกรรมความลับของบริษัทต่างๆที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ การปล่อยไวรัสเข้าไปใน
คอมพิวเตอร์ การใช้คอมพิวเตอร์ในการปลอมแปลงเอกสารต่างๆ รวมไปถึงการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการก่อ
วินาศกรรมด้วย

รูปแบบการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันทวีความซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทาให้
เจ้าหน้าที่ตารวจผู้ทาหน้าที่สืบสวนทางานได้อย่างยากลาบาก

ทั้งยังต้องอ้างอิงอยู่กับกฎหมายอาญาแบบเดิมซึ่งยากที่จะเอาตัวผู้กระทาความผิดมาลงโทษ

นักกฎหมายจึงต้องเปลี่ยนแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะในเรื่องทรัพย์ที่ไม่มีรูปร่าง ซึ่ง
เป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตัวอย่างเช่น การขโมยโดเมนเนม (Domain
Name) ซึ่งไม่มีรูปร่าง ไม่สามารถจับต้องและถือเอาได้ แต่ก็ถือเป็นทรัพย์และยอมรับกันว่ามีมูลค่ามหาศาล
ปัญหาอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์คือเรื่อง พยานหลักฐาน เพราะ
พยานหลักฐานที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาและกระทาได้ง่าย แต่ยากต่อ
การสืบหา รวมทั้งยังสูญหายได้ง่ายอีกด้วย เช่น ข้อมูลที่ถูกบันทึกอยู่ในสื่อบันทึกข้อมูลถาวรของเครื่อง
(Hard Disk) นั้น หากระหว่างการเคลื่อนย้ายได้รับความกระทบกระเทือนหรือเกิดการกระแทก หรือ
เคลื่อนย้ายผ่านจุดที่เป็นสนามแม่เหล็ก ข้อมูลที่บันทึกใน Hard Disk ดังกล่าวก็อาจสูญหายได้

นอกจากนี้เรื่องอานาจในการออกหมายค้นก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาเช่นกัน เพราะการค้นหาพยานหลักฐานใน
Hard Disk นั้นต้องกาหนดให้ศาลมีอานาจบังคับให้ผู้ต้องสงสัยบอกรหัสผ่านแก่เจ้าหน้าที่ที่ทาการสืบสวน
เพื่อให้ทาการค้นหาหลักฐานใน Hard Disk ได้ด้วย

นอกจากนั้น ปัญหาเรื่องขอบเขตพื้นที่ก็เป็นเรื่องที่มีความสาคัญ เพราะผู้กระทาความผิดอาจกระทาจากที่
อื่นๆที่ไม่ใช่ประเทศไทย ซึ่งอยู่นอกเขตอานาจของศาลไทย ดังนั้นกฎหมายควรบัญญัติให้ชัดเจนด้วยว่าศาล
มีเขตอานาจที่จะลงโทษผู้กระทาผิดได้ถึงไหนเพียงไร และถ้ากระทาความผิดในต่างประเทศจะถือเป็น
ความผิดในประเทศไทยด้วยหรือไม

ส่วนประเด็นที่สาคัญอีกประการหนึ่งที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบก็คือประเด็นเรื่องอายุของ
ผู้กระทาความผิด เพราะผู้กระทาความผิดทางอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ส่วนมาก โดยเฉพาะ Hacker และ
Cracker นั้น มักจะเป็นเด็กและเยาวชน และอาจกระทาความผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือเพราะความคึก
คะนองหรือความซุกซนก็เป็นได้

ลักษณะของการกระทาความผิด

         พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2545 (ฉบับรวมหลักการของกฎหมาย
เกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และกฎหมายเกี่ยวกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เข้าด้วยกัน) ซึ่งมีผลใช้
บังคับไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2545 ที่ผ่านมาพูดถึงบ้านเมืองเรานี่ก็แปลกนะครับ กฎหมาย
บังคับใช้ก็ไม่ไปประกาศในหนังสือพิมพ์ที่มีคนอ่านเยอะๆ แต่ไปประกาศในราชกิจนุเบกษา เชื่อไหมครับว่า
เรื่องอะไรสาคัญๆ กฎหมายเอย กฎกระทรวงเอย กฎอะไรต่างๆนาๆที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม ใครสร้างถนน
สร้างสะพาน ย้ายใคร แต่งตั้งผู้ใครและเรื่องอื่นๆอีกมากมายก่ายกองก็จะต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และอะไรก็ตามเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้ว ก็จะถือว่าทุกคนได้ทราบแล้วโดยปริยายครับ จะ
อ้างว่าไม่รู้ไม่เคยอ่านไม่ได้
ก็เหมือนเวลาเราโดนตารวจจับนั่นแหละครับ เราจะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ นี่แหละครับความสาคัญของ
หนังสือที่ว่านี้ ลองหามาอ่านกันดูนะครับ

ลักษณะของการกระทาผิดหรือการก่อให้เกิดภยันตรายหรือความเสียหายอันเนื่องมา

        จากการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์นั้น อาจแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ จาแนกตามวัตถุหรือ
ระบบที่ถูกกระทา คือ

1. การกระทาต่อระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System)

2. การกระทาต่อระบบข้อมูล (Information System)

3. การกระทาต่อระบบเครือข่ายซึ่งใช้ในการติดต่อสื่อสาร (Computer Network)



“ระบบคอมพิวเตอร์”

“ระบบคอมพิวเตอร์” หมายถึง อุปกรณ์อิเล็กทรออิกส์หรือชุดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ

ซึ่งมีการตั้งโปรแกรมให้ทาหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ ดังนั้น “ระบบคอมพิวเตอร์” จึง
ได้แก่ ฮาร์ดแวร์ (Hardware) และซอฟต์แวร์ (Software) ที่พัฒนาขึ้นเพื่อประมูลผลข้อมูลดิจิทัล (Digital
Data) อันประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์รอบข้าง (Peripheral) ต่างๆ ในการเข้ารับหรือป้อน
ข้อมูล (Input) นาออกหรือแสดงผลข้อมูล (Output) และบันทึกหรือเก็บข้อมูล (Store and Record)

ดังนั้น ระบบคอมพิวเตอร์จึงอาจเป็นอุปกรณ์เพียงเครื่องเดียว หรือหลายเครื่องอันอาจมีลักษณะเป็นชุด
เชื่อมต่อกัน ทั้งนี้ โดยอาจเชื่อมต่อกันผ่านระบบเครือข่าย และมีลักษณะการทางานโดยอัตโนมัติตาม
โปรแกรมที่กาหนดไว้และไม่มีการแทรกแทรงโดยตรงจากมนุษย์ ส่วนโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้นจะ
หมายถึง ชุดคาสั่งที่ทาหน้าที่สั่งการให้คอมพิวเตอร์ทางาน



“ระบบข้อมูล”
“ระบบข้อมูล” หมายถึง กระบวนการประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ สาหรับสร้าง ส่ง
รับ เก็บรักษาหรือประมวลผลข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์

การให้ความหมายของคาว่า ระบบข้อมูล ตามความหมายข้างต้น เป็นการให้ความหมายตามพระราชบัญญัติ
ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และหากเราพิจารณาความหมายตามกฎหมายดังกล่าวซึ่งตราขึ้นเพื่อ
รองรับผลทางกฎหมายของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ อันเป็นการรับรองข้อความที่อยู่บนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ให้
เท่าเทียมกับข้อความที่อยู่บนแผ่นกระดาษ จึงหมายความรวมถึง ข้อความที่ได้สร้าง ส่ง เก็บรักษา หรือ
ประมวลผลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น วิธีการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ จดหมาย
อิเล็กทรอนิกส์ โทรเลข โทรพิมพ์ โทรสาร เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์โดยการคุกคามหรือก่อให้เกิดความเสียหาย คงจะไม่ใช่
เพียงแต่กับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ในความหมายดังกล่าวเท่านั้น เพราะการกระทาความผิดทางคอมพิวเตอร์
นั้น อาจเป็นการกระทาต่อข้อมูล ซึ่งไม่ได้สื่อความหมายถึงเรื่องราวต่างๆ ทานองเดียวกับข้อความแต่อย่าง
ใด ตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่เป็นรหัสผ่าน หรือลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

กระนั้นก็ตาม แม้ข้อมูลจะมีลักษณะหลากหลาย แล้วแต่การสร้างและวัตถุประสงค์ของการใช้งาน แต่ข้อมูล
ที่กล่าวถึงทั้งหมดนี้ ต้องมีลักษณะที่สาคัญร่วมกันประการหนึ่งคือ ต้องเป็น “ข้อมูลดิจิทัล (Digital Data)”
เท่านั้น

ข้อมูลอีกรูปแบบหนึ่งที่มีความสาคญอย่างมากต่อการรวบรวมพยานหลักฐานอันสาคัญยิ่งต่อการสืบสวน
สอบสวนในคดีอาญา คือ ข้อมูลจราจร (Traffic Data) ซึ่งเป็นข้อมูลที่บันทึกวงจรการติดต่อสื่อสาร ตั้งแต่ต้น
ทางถึงปลายทาง ทาให้ทราบถึงจานวนปริมาณข้อมูลที่ส่งผ่านระบบคอมพิวเตอร์ในแต่ละช่วงเวลา สาหรับ
ข้อมูลต้นทางนั้น ได้แก่ หมายเลขโทรศัพท์ เลขที่อยู่ไอพี (Internet Protocol Address) หรือ IP Address
นั่นเอง

ส่วนข้อมูลปลายทางนั้น ได้แก่ เลขที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Email Address) หรือที่อยู่เวบไซต์ (URL)
ที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตแวะเข้าไปดูข้อมูล นอกจากข้อมูลต้นทางและปลายทางแล้ว ยังรวมถึงข้อมูลต่างๆที่
เกี่ยวกับเวลาที่มีการติดต่อสื่อสารหรือการใช้บริการ เช่น การติดต่อในรูปของไปรษณีอิเล็กทรอนิกส์ หรือ
การโอนแฟ้มข้อมูล เป็นต้น

“ระบบเครือข่าย”
ระบบเครือข่าย หมายความถึง การเชื่อมต่อเส้นทางการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์
เข้าด้วยกันเป็นทอดๆ ซึ่งอาจเป็นระบบเครือข่ายแบบปิด คือ ให้บริการเชื่อมต่อเฉพาะสมาชิกเท่านั้น หรือ
ระบบเครือข่ายแบบเปิด อันหมายถึง การเปิดกว้างให้ผู้ใดก็ได้ใช้บริการในการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายหรือ
การติดต่อสื่อสาร เช่น อินเทอร์เน็ต เป็นต้น

คงพอจะทราบกันแล้ว ว่าลักษณะของการกระทาความผิดของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์นั้นมีอะไรบ้าง และ
อาจกระทาต่ออะไรได้บ้าง รวมทั้งความหมายของคาต่างๆที่ใช้ในกฎหมายดังกล่าว อาจจะดูวิชาการไปบ้าง
แต่ก็เพื่อจะปูพื้นฐานให้มีความเข้าใจเมื่อกล่าวถึงในบทต่อๆไ



การก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์

        การกระทาความผิดทางคอมพิวเตอร์นั้นโดยมากแล้วมักจะเป็นการคุกคามหรือลักลอบเข้าไปใน
ระบบโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือโดยไม่มีอานาจให้กระทาการดังกล่าว

การกระทาดังกล่าวนั้นเป็นการกระทาอันเทียบเคียงได้กับการบุกรุกในทางกายภาพ หรือเปรียบเทียบได้กับ
การบุกรุกกันจริงๆนั่นเอง และในปัจจุบันมักมีพัฒนาการด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในรูปแบบต่างๆ โดย
กาหนดคาสั่งให้กระทาการใดๆ อันก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นได้ด้วย เช่น

- Virus Computer ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อทาลายระบบและมักมีการแพร่กระจายตัวได้ง่ายและรวด

เร็ว ชาวไอทีทุกท่านคงจะทราบและรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพราะ Virus Computer นั้นติดเชื้อและ
แพร่กระจายได้รวดเร็วมาก และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยอาจทาให้เครื่อง Computer ใช้งานไม่ได้
หรืออาจทาให้ข้อมูลใน Hard Disk เสียหายไปเลย

- Trojan Horse เป็นโปรแกรมที่กาหนดให้ทางานโดยแฝงอยู่กับโปรแกรมทางานทั่วไป ทั้งนี้

เพื่อจุดประสงค์ใดจุดประสงค์หนึ่ง เช่น การลักลอบขโมยข้อมูล เป็นต้น โดยมากจะเข้าใจกันว่าเป็น Virus
Computer ชนิดหนึ่ง Trojan Horse เป็นอีกเครื่องมือยอดนิยมชนิดหนึ่งที่บรรดา Hacker ใช้กันมาก



- Bomb เป็นโปรแกรมที่กาหนดให้ทางานภายใต้เงื่อนไขที่กาหนดขึ้นเหมือนกับการระเบิด
ของระเบิดเวลา เช่น Time Bomb ซึ่งเป็นโปรแกรมที่มีการตั้งเวลาให้ทางานตามที่กาหนดเวลาไว้ หรือ Logic
Bomb ซึ่งเป็นโปรแกรมที่กาหนดเงื่อนไขให้ทางานเมื่อมีเหตุการณ์หรือเงื่อนไขใดๆเกิดขึ้น เป็นต้น กล่าว
โดยรวมแล้ว Bomb ก็คือ รูปแบบการก่อให้เกิดความเสียหายเมื่อครบเงื่อนไขที่ผู้เขียนตั้งไว้นั่นเอง

- Rabbit เป็นโปรแกรมที่กาหนดขึ้นเพื่อให้สร้างตัวมันเองซ้าๆ เพื่อให้ระบบไม่สามารถ

ทางานได้ เช่น ทาให้พื้นที่ในหน่วยความจาเต็มเพื่อให้ Computer ไม่สามารถทางานต่อไปเป็นต้น เป็น
วิธีการที่ผู้ใช้มักจะใช้เพื่อทาให้ระบบของเป้าหมายล่ม หรือไม่สามารถทางานหรือให้บริการได้

- Sniffer เป็นโปรแกรมเล็กๆที่สร้างขึ้นเพื่อลักลอบดักข้อมูลที่ส่งผ่านระบบเครือข่าย ซึ่งถูก

สั่งให้บันทึกการ Log On ซึ่งจะทาให้ทราบรหัสผ่าน (Passward) ของบุคคลซึ่งส่งหรือโอนข้อมูลผ่านระบบ
เครือข่าย โดยจะนาไปเก็บไว้ในแฟ้มลับที่สร้างขึ้น กรณีน่าจะเทียบได้กับการดักฟัง ซึ่งถือเป็นความผิดตาม
กฎหมายอาญา และเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง

- Spoofing เป็นเทคนิคการเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ระยะทางไกล โดยการปลอม

แปลงที่อยู่อินเทอร์เนต (Internet Address) ของเครื่องที่เข้าได้ง่ายหรือเครื่องที่เป็นพันธมิตร เพื่อค้นหาจุดที่
ใช้ในระบบรักษาความปลอดภัยภายใน และลักลอบเข้าไปในคอมพิวเตอร์

- The Hole in the Web เป็นข้อบกพร่องใน world wide web เนื่องจากโปรแกรมที่ใช้

ในการปฏิบัติการของ Website จะมีหลุมหรือช่องว่างที่ผู้บุกรุกสามารถทาทุกอย่างที่เจ้าของ Websit สามารถ
ทาได้

นอกจากนี้อาจแบ่งประเภทของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ตามกระบวนการได้ดังนี้

การก่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ในขั้นของกระบวนการนาเข้า (Input Process) นั้น อาจทาได้โดยการ

- การสับเปลี่ยน Disk ในที่นี้หมายความรวม Disk ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น Hard

Disk,Floppy Disk รวมทั้ง Disk ชนิดอื่นๆด้วย ในที่นี้น่าจะหมายถึงการกระทาในทางกายภาพ โดยการ
Removable นั่นเอง ซึ่งเป็นความผิดชัดเจนในตัวของมันเองอยู่แล้ว
- การทาลายข้อมูล ไม่ว่าจะใน Hard Disk หรือสื่อบันทึกข้อมูลชนิดอื่นที่ใช้ร่วมกับ

คอมพิวเตอร์โดยไม่ชอบ กรณีการทาลายข้อมูลนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ถือเป็นความผิดทั้งสิ้น

- การป้อนข้อมูลเท็จ ในกรณีที่เป็นผู้มีอานาจหน้าที่อันอาจเข้าถึงเครื่องคอมพิวเตอร์

นั้นๆได้ หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่มีอานาจเข้าถึงก็ตาม แต่ได้กระทาการอันมิชอบในขณะที่ตนเองอาจเข้าถึงได้

- การลักข้อมูลข่าวสาร (Data) : (Computer Espionage) ไม่ว่าโดยการกระทาด้วยวิธี

การอย่างใดๆให้ได้ไปซึ่งข้อมูลอันตนเองไม่มีอานาจหรือเข้าถึงโดยไม่ชอบ กรณีการลักข้อมูลข่าวสารนั้นจะ
พบได้มากในปัจจุบันที่ข้อมูลข่าวสารถือเป็นทรัพย์อันมีค่ายิ่ง

- การลักใช้บริการหรือเข้าไปใช้โดยไม่มีอานาจ (Unauthorized Access) อาจกระทา

โดยการเจาะระบบเข้าไป หรือใช้วิธีการอย่างใดๆเพื่อให้ได้มาซึ่งรหัสผ่าน (Password) เพื่อให้ตนเองเข้าไป
ใช้บริการได้โดยไม่ต้องลงทะเบียนเสียค่าใช้จ่าย

ปัจจุบันพบได้มากตามเวบบอร์ดทั่วไป ซึ่งมักจะมี Hacker ซึ่งได้ Hack เข้าไปใน Server ของ ISP แล้วเอา
Account มาแจกฟรี ตรงนี้ผมมีความเห็นโดยส่วนตัวว่า ผู้ที่รับเอา Account นั้นไปใช้น่าจะมีความผิดตาม
กฎหมายอาญาฐานรับของโจรด้วย

ส่วนกระบวนการ Data Processing นั้น อาจกระทาความผิดได้โดย

- การทาลายข้อมูลและระบบโดยใช้ไวรัส (Computer Subotage) ซึ่งได้อธิบายการ

ทางานของ Virus ดังกล่าวไว้แล้วข้างต้น

- การทาลายข้อมูลและโปรแกรม (Damage to Data and Program) อันนี้ก็ตรงตัวนะ

ครับ การทาลายข้อมูลโดยไม่ชอบย่อมจะต้องเป็นความผิดอยู่แล้ว

- การเปลี่ยนแปลงข้อมูลและโปรแกรม (Alteration of Data and Program) เช่นกัน

ครับ การกระทาใดๆที่ก่อให้เกิดความเสียหายโดยไม่มีอานาจก็จะถือเป็นความผิด

ส่วนกระบวนการนาออก (Output Process) นั้น อาจกระทาความผิดได้โดย
- การขโมยขยะ (Sewaging) อันนี้หมายถึงขยะจริงๆเลยครับ คือ ข้อมูลที่เราไม่ใช้แล้ว

แต่ยังไม่ได้ทาลายนั่นเอง การขโมยขยะถือเป็นความผิดครับ ถ้าขยะที่ถูกขโมยไปนั้นอาจทาให้เจ้าของต้อง
เสียหายอย่างใดๆ อีกทั้งเจ้าของอาจจะยังมิได้มีเจตนาสละการครอบครองก็ได้ ต้องดูเป็นกรณีๆไปครับ

- การขโมย Printout ก็คือ การขโมยงานหรือข้อมูลที่ Print ออกมาแล้วนั่นเอง กรณีนี้

อาจผิดฐานลักทรัพย์ด้วย เพราะเป็นการขโมยเอกสารอันมีค่า ผิดเหมือนกันครับ

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แนวโน้มการก่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ก็มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นทุกปี

ทั้งนี้ หน่วยงาน National Computer Security Center ของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รายงานเมื่อปี คศ. 2000
ว่า หน่วยงานทั้งของภาครัฐและเอกชนถูกรุกรานจากการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์สูงถึงร้อยละ 64
และมี สัดส่วนการเพิ่มขึ้นในแต่ละปีถึงร้อยละ 16 ซึ่งหมายความว่า มูลค่าความเสียหายจากการก่อ
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ก็จะต้องเพิ่มสูงขึ้นทุกปีเช่นกัน



การกาหนดฐานความผิดและบทกาหนดโทษ

        การพัฒนากฎหมายอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ในเบื้องต้นนั้น พัฒนาขึ้นโดยคานึงถึงลักษณะการ
กระทาความผิดต่อระบบคอมพิวเตอร์ ระบบข้อมูล และระบบเครือข่าย ซึ่งอาจสรุปความผิดสาคัญได้ 3 ฐาน
ความผิด คือ

- การเข้าถึงโดยไม่มีอานาจ (Unauthorised Access)

- การใช้คอมพิวเตอร์โดยไม่ชอบ (Computer Misuse)

- ความผิดเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ (Computer Related Crime)

ทั้งนี้ ความผิดแต่ละฐานที่กาหนดขึ้นดังที่สรุปไว้ข้างต้น มีวัตถุประสงค์ในการให้ความ

คุ้มครองที่แตกต่างกัน ดังนี้

1. ความผิดฐานเข้าถึงโดยไม่มีอานาจหรือโดยฝ่าฝืนกฎหมาย และการใช้คอมพิวเตอร์ในทางมิชอบ
การกระทาความผิดด้วยการเข้าถึงโดยไม่มีอานาจหรือโดยฝ่าฝืนกฎหมาย และการใช้คอมพิวเตอร์ในทางมิ
ชอบ ถือเป็นการกระทาที่คุกคามหรือเป็นภัยต่อความปลอดภัย (Security) ของระบบคอมพิวเตอร์และระบบ
ข้อมูล

เมื่อระบบไม่มีความปลอดภัยก็จะส่งผลกระทบต่อความครบถ้วน (Integrity) การรักษาความลับ
(Confidential) และเสถียรภาพในการใช้งาน (Availability) ของระบบข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์

(1) การเข้าถึงโดยไม่มีอานาจ

การฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายนี้ อาจเกิดได้หลายวิธี เช่น การเจาะระบบ (Hacking or Cracking) หรือ
การบุกรุกทางคอมพิวเตอร์ (Computer Trespass) เพื่อทาลายระบบคอมพิวเตอร์หรือเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไข
ข้อมูล หรือเพื่อเข้าถึงข้อมูลที่เก็บรักษาไว้เป็นความลับ เช่น รหัสลับ (Passwords) หรือความลับทางการค้า
(Secret Trade) เป็นต้น

ทั้งนี้ ยังอาจเป็นที่มาของการกระทาผิดฐานอื่นๆต่อไป เช่น การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อฉ้อโกงหรือปลอมแปลง
เอกสาร ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อเนื่องเป็นมูลค่ามหาศาลได้

คาว่า “การเข้าถึง (Access)” ในที่นี้ หมายความถึง การเข้าถึงทั้งในระดับกายภาพ เช่น ผู้กระทาความผิด
กระทาโดยวิธีใดวิธีหนึ่งโดยนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นั้นเอง และหมายความรวมถึง การเข้าถึงระบบ
คอมพิวเตอร์ซึ่งแม้บุคคลที่เข้าถึงจะอยู่ห่างโดยระยะทางกับเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่สามารถเจาะเข้าไปใน
ระบบที่ตนต้องการได้

“การเข้าถึง” ในที่นี้จะหมายถึง การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ได้ ดังนั้น จึงอาจ
หมายถึง การเข้าถึงฮาร์ดแวร์ หรือส่วนประกอบต่างๆของคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลที่ถูกบันทึกเก็บไว้ใน
ระบบเพื่อใช้ในการส่งหรือโอนถึงอีกบุคคลหนึ่ง เช่น ข้อมูลจราจร เป็นต้น

นอกจากนี้ “การเข้าถึง” ยังหมายถึงการเข้าถึงโดยผ่านทางเครือข่ายสาธารณะ เช่น อินเทอร์เนต อันเป็นการ
เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายหลายๆเครือข่ายเข้าด้วยกัน และยังหมายถึง การเข้าถึงโดยผ่านระบบเครือข่าย
เดียวกันด้วยก็ได้ เช่น ระบบ LAN (Local Area Network) อันเป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ใน
พื้นที่ใกล้ๆกันเข้าด้วยกัน สาหรับมาตราดังกล่าวนี้ กาหนดให้การเข้าถึงโดยมิชอบเป็นความผิด แม้ว่า
ผู้กระทาจะมิได้มีมูลเหตุจูงใจเพื่อก่อให้เกิดความเสียหายก็ตาม ทั้งนี้ เพราะเห็นว่าการกระทาดังกล่าวนั้น
สามารถก่อให้เกิดการกระทาผิดฐานอื่นหรือฐานที่ใกล้เคียงค่อนข้างง่ายและอาจก่อให้เกิดความเสียหาย
ร้ายแรง อีกทั้งการพิสูจน์มูลเหตุจูงใจกระทาได้ค่อนข้างยาก

(2) การลักลอบดักข้อมูล

มาตรานี้บัญญัติฐานความผิดเกี่ยวกับการลักลอบดักข้อมูลโดยฝ่าฝืนกฎหมาย (Illegal Interception) เนื่องจาก
มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัวในการติดต่อสื่อสาร (The Right of Privacy of Data
Communication) ในทานองเดียวกับการติดต่อสื่อสารรูปแบบเดิมที่ห้ามดักฟังโทรศัพท์หรือแอบบันทึกเทป
ลับ เป็นต้น

“การลักลอบดักข้อมูล” หมายถึง การลักลอบดักข้อมูลโดยวิธีการทางเทคนิค (Technical Means) เพื่อลักลอบ
ดักฟัง ตรวจสอบหรือติดตามเนื้อหาสาระของข่าวสารที่สื่อสารถึงกันระหว่างบุคคล หรือกรณีเป็นการ
กระทาอันเป็นการล่อลวงหรือจัดหาข้อมูลดังกล่าวให้กับบุคคลอื่น รวมทั้งการแอบบันทึกข้อมูลที่สื่อสารถึง
กันด้วย

ทั้งนี้ วิธีการทางเทคนิคยังหมายถึง อุปกรณ์ที่มีสายเชื่อมต่อกับระบบเครือข่าย และหมายรวมถึงอุปกรณ์
ประเภทไร้สาย เช่น การติดต่อผ่านทางโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น

อย่างไรก็ดี การกระทาที่เป็นความผิดฐานลักลอบดักข้อมูลนั้น ข้อมูลที่ส่งต้องมิใช่ข้อมูลที่ส่งและเปิดเผยให้
สาธารณชนรับรู้ได้ (Non-Public Transmissions)

การกระทาความผิดฐานนี้จึงจากัดเฉพาะแต่เพียงวิธีการส่งที่ผู้ส่งข้อมูลประสงค์จะส่งข้อมูลนั้นให้แก่บุคคล
หนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะเจาะจงเท่านั้น ดังนั้น มาตรานี้จึงมิได้มีประเด็นที่ต้องพิจารณาถึงเนื้อหาสาระของ
ข้อมูลที่ส่งด้วยแต่อย่างใด

(3) ความผิดฐานรบกวนระบบ

ความผิดดังกล่าวนี้คือ การรบกวนทั้งระบบข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์ (Data and System Interference)
โดยมุ่งลงโทษผู้กระทาความผิดที่จงใจก่อให้เกิดความเสียหายต่อข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์ โดยมุ่ง
คุ้มครอง ความครบถ้วนของข้อมูล และเสถียรภาพในการใช้งานหรือการใช้ข้อมูลหรือโปรแกรม
คอมพิวเตอร์ที่บันทึกไว้บนสื่อคอมพิวเตอร์ได้เป็นปกติ
ตัวอย่างของการกระทาความผิดฐานดังกล่าวนี้ ได้แก่ การป้อนข้อมูลที่มีไวรัสทาลายข้อมูลหรือโปรแกรม
คอมพิวเตอร์ หรือการป้อนโปรแกรม Trojan Horse เข้าไปในระบบเพื่อขโมยรหัสผ่านของผู้ใช้คอมพิวเตอร์
สาหรับเพื่อใช้ลบ เปลี่ยนแปลง แก้ไขข้อมูลหรือกระทาการใดๆอันเป็นการรบกวนข้อมูลและระบบ หรือ
การป้อนโปรแกรมที่ทาให้ระบบปฏิเสธการทางาน (Daniel of Service) ซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก หรือการทาให้
ระบบทางานช้าลง เป็นต้น

(4) การใช้อุปกรณืในทางมิชอบ

มาตรานี้จะแตกต่างจากมาตราก่อนๆ เนื่องจากเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการผลิต แจก

จ่าย จาหน่าย หรือครอบครองอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการกระทาความผิด เช่น อุปกรณ์สาหรับเจาะ
ระบบ (Hacker Tools) รวมถึงรหัสผ่านคอมพิวเตอร์ รหัสการเข้าถึง หรือข้อมูลอื่นในลักษณะคล้ายคลึงกัน
ด้วย

แต่ทั้งนี้ ไม่รวมถึง อุปกรณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อปกป้องระบบหรือทดสอบระบบ แต่การจะนาอุปกรณ์เหล่านี้มา
ใช้ได้ก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องมีอานาจหรือได้รับอนุญาตให้กระทาได้เท่านั้น

สาหรับการแจกจ่ายนั้น ให้รวมถึงการส่งข้อมูลที่ได้รับเพื่อให้ผู้อื่นอีกทอดหนึ่ง (Forward) หรือการเชื่อมโยง
ฐานข้อมูลเข้าด้วยกัน (Hyperlinks) ด้วย

สาหรับเรื่องอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ของประเทศไทย เราก็คงจะว่ากันอย่างคร่าวๆเพียงเท่านี้ เพื่อให้มีพื้นที่
ว่างสาหรับเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจด้วย เพราะว่ากฎหมายไอทีนั้น มีอยู่มากมายหลายชนิด ต้องแบ่งๆกันไปครับ
อ้างอิง

http://itfuture.wordpress.com/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%
E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%81%E
0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%
B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E/

http://www.lawyerthai.com/articles/it/028.php

http://www.microsoft.com/thailand/piracy/cybercrime.aspx
รายงาน

Más contenido relacionado

La actualidad más candente

La actualidad más candente (12)

ตุก Pdf
ตุก Pdfตุก Pdf
ตุก Pdf
 
โบว์Pdf
โบว์Pdfโบว์Pdf
โบว์Pdf
 
รายงานคอม
รายงานคอมรายงานคอม
รายงานคอม
 
อาชญากรรม บอล
อาชญากรรม บอลอาชญากรรม บอล
อาชญากรรม บอล
 
อาชญากรรม เอ๋
อาชญากรรม เอ๋อาชญากรรม เอ๋
อาชญากรรม เอ๋
 
อาชญากรรมคอมฯ
อาชญากรรมคอมฯอาชญากรรมคอมฯ
อาชญากรรมคอมฯ
 
รายงานคอม12
รายงานคอม12รายงานคอม12
รายงานคอม12
 
ณรงค์ชัย
ณรงค์ชัยณรงค์ชัย
ณรงค์ชัย
 
รายงาน
รายงานรายงาน
รายงาน
 
อาชญากรรม
อาชญากรรมอาชญากรรม
อาชญากรรม
 
นิติศักดิ์
นิติศักดิ์นิติศักดิ์
นิติศักดิ์
 
อาชญากรรม ก้อง
อาชญากรรม   ก้องอาชญากรรม   ก้อง
อาชญากรรม ก้อง
 

Destacado

รายงาน 4 2
รายงาน 4 2รายงาน 4 2
รายงาน 4 2Varid Tunyamat
 
รายงาน เรื่องเครือข่ายคอมพิวเตอร์
รายงาน เรื่องเครือข่ายคอมพิวเตอร์รายงาน เรื่องเครือข่ายคอมพิวเตอร์
รายงาน เรื่องเครือข่ายคอมพิวเตอร์Rungnapa Tamang
 
รายงานทรัพย์สินทางปัญญา
รายงานทรัพย์สินทางปัญญารายงานทรัพย์สินทางปัญญา
รายงานทรัพย์สินทางปัญญาshikapu
 
บทที่6การสร้างรายงาน
บทที่6การสร้างรายงานบทที่6การสร้างรายงาน
บทที่6การสร้างรายงานniwat50
 

Destacado (6)

รายงาน 4 2
รายงาน 4 2รายงาน 4 2
รายงาน 4 2
 
รายงาน
รายงานรายงาน
รายงาน
 
รายงาน (1) (2)
รายงาน (1) (2)รายงาน (1) (2)
รายงาน (1) (2)
 
รายงาน เรื่องเครือข่ายคอมพิวเตอร์
รายงาน เรื่องเครือข่ายคอมพิวเตอร์รายงาน เรื่องเครือข่ายคอมพิวเตอร์
รายงาน เรื่องเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
รายงานทรัพย์สินทางปัญญา
รายงานทรัพย์สินทางปัญญารายงานทรัพย์สินทางปัญญา
รายงานทรัพย์สินทางปัญญา
 
บทที่6การสร้างรายงาน
บทที่6การสร้างรายงานบทที่6การสร้างรายงาน
บทที่6การสร้างรายงาน
 

Similar a รายงาน

จิรทีปต์+..
จิรทีปต์+..จิรทีปต์+..
จิรทีปต์+..Sirisak Promtip
 
อาชญากรรม เอ๋
อาชญากรรม เอ๋อาชญากรรม เอ๋
อาชญากรรม เอ๋AY'z Felon
 
งานน้องNat
งานน้องNatงานน้องNat
งานน้องNatNat Ty
 
งานน องออน
งานน องออนงานน องออน
งานน องออนAaonchutimon
 
งานน้องออน
งานน้องออนงานน้องออน
งานน้องออนAaon LadyFirst
 
คอมเปา
คอมเปาคอมเปา
คอมเปาdowsudarat
 
คอมเปา
คอมเปาคอมเปา
คอมเปาpaotogether
 
คอมน องใหม
คอมน องใหม คอมน องใหม
คอมน องใหม dowsudarat
 
คอมน องใหม
คอมน องใหม คอมน องใหม
คอมน องใหม Nongniiz
 
อาชญากรรม ก้อง
อาชญากรรม   ก้องอาชญากรรม   ก้อง
อาชญากรรม ก้องA'waken P'Kong
 
อาชญากรรม ก้อง
อาชญากรรม   ก้องอาชญากรรม   ก้อง
อาชญากรรม ก้องA'waken P'Kong
 

Similar a รายงาน (20)

เกียรติภูมิ
เกียรติภูมิเกียรติภูมิ
เกียรติภูมิ
 
รายงาน
รายงานรายงาน
รายงาน
 
จิรทีปต์+..
จิรทีปต์+..จิรทีปต์+..
จิรทีปต์+..
 
จิรทีปต์ ณ นคร
จิรทีปต์  ณ นครจิรทีปต์  ณ นคร
จิรทีปต์ ณ นคร
 
อาชญากรรม เอ๋
อาชญากรรม เอ๋อาชญากรรม เอ๋
อาชญากรรม เอ๋
 
งานน้องNat
งานน้องNatงานน้องNat
งานน้องNat
 
งานน องออน
งานน องออนงานน องออน
งานน องออน
 
งานน้องออน
งานน้องออนงานน้องออน
งานน้องออน
 
คอมเปา
คอมเปาคอมเปา
คอมเปา
 
คอมเปา
คอมเปาคอมเปา
คอมเปา
 
คอมเปา
คอมเปาคอมเปา
คอมเปา
 
รายงานเจียบ
รายงานเจียบรายงานเจียบ
รายงานเจียบ
 
ตุก Pdf
ตุก Pdfตุก Pdf
ตุก Pdf
 
รายงานคอม
รายงานคอมรายงานคอม
รายงานคอม
 
รายงานคอม
รายงานคอมรายงานคอม
รายงานคอม
 
คอมน องใหม
คอมน องใหม คอมน องใหม
คอมน องใหม
 
คอมน องใหม
คอมน องใหม คอมน องใหม
คอมน องใหม
 
อาชญากรรมคอมฯ
อาชญากรรมคอมฯอาชญากรรมคอมฯ
อาชญากรรมคอมฯ
 
อาชญากรรม ก้อง
อาชญากรรม   ก้องอาชญากรรม   ก้อง
อาชญากรรม ก้อง
 
อาชญากรรม ก้อง
อาชญากรรม   ก้องอาชญากรรม   ก้อง
อาชญากรรม ก้อง
 

รายงาน

  • 1. รายงาน เรื่อง อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ เสนอ อ.จุฑารัตน์ ใจบุญ จัดทาโดย นาย จิรวัฒน์ ชูเกิด เลขที่ 2 ม.6/3 โรงเรียนรัษฎานุประดิษฐ์อนุสรณ์ จังหวัด ตรัง
  • 2. คานา รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี ได้ทาเกิดเพื่อเป็น สื่อในการเรียนและการสอนและเพื่อให้ผู้ที่สนใจเรื่องอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ได้อ่าน และศึกษาหากมีข้อผิดพลาดประการใด้ก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย จัดทาโดย นาย จิรวัฒน์ ชูเกิด
  • 3. สารบัญ เรื่อง หน้า อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ประเภทต่างๆ 1-2 กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ 2-3 ที่มาของกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ 3-4 สภาพปัญหาในปัจจุบัน 4-5 ลักษณะของการกระทาความผิด 5-8 การก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ 8-11 การกาหนดฐานความผิดและบทกาหนดโทษ 11-4 อ้างอิง 15
  • 4. อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ประเภทต่างๆ อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Cyber-Crime) เป็นการกระทาที่ผิดกฎหมายโดยใช้วิธีการทาง อิเล็กทรอนิกส์เพื่อโจมตีระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลที่อยู่บนระบบดังกล่าว ส่วนในมุมมองที่กว้างขึ้น “อาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับคอมพิวเตอร์ ” หมายถึงการกระทาที่ผิดกฎหมายใดๆ ซึ่งอาศัยหรือมีความ เกี่ยวเนื่องกับระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่าย อย่างไรก็ตาม อาชญากรรมประเภทนี้ไม่ถือเป็นอาชญากรรม ทางคอมพิวเตอร์โดยตรง ในการประชุมสหประชาชาติครั้งที่ 10 ว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทาผิด (The Tenth United Nations Congress on the Prevention of Crime and the Treatment of Offenders) ซึ่งจัดขึ้นที่ กรุงเวียนนา เมื่อวันที่ 10-17 เมษายน 2543 ได้มีการจาแนกประเภทของอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ โดย แบ่งเป็น 5 ประเภท คือ การเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต, การสร้างความเสียหายแก่ข้อมูลหรือโปรแกรม คอมพิวเตอร์, การก่อกวนการทางานของระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่าย, การยับยั้งข้อมูลที่ส่งถึง/จากและ ภายในระบบหรือเครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และการจารกรรมข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ โครงการอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์และการโจรกรรมทรัพย์สินทางปัญญา (Cyber-Crime and Intellectual Property Theft) พยายามที่จะเก็บรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูล และค้นคว้าเกี่ยวกับอาชญากรรม ทางคอมพิวเตอร์ 6 ประเภท ที่ได้รับความนิยม ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนและผู้บริโภค นอกจากนี้ยังทาหน้าที่เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับขอบเขตและความซับซ้อนของปัญหา รวมถึงนโยบายปัจจุบัน และความพยายามในการปัญหานี้ อาชญากรรม 6 ประเภทดังกล่าวได้แก่ 1. การเงิน – อาชญากรรมที่ขัดขวางความสามารถขององค์กรธุรกิจในการทาธุรกรรม อี-คอมเมิร์ซ (หรือพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์) 2. การละเมิดลิขสิทธิ์ – การคัดลอกผลงานที่มีลิขสิทธิ์ ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและ อินเทอร์เน็ตถูกใช้เป็นสื่อในการก่ออาชญากรรม แบบเก่า โดยการโจรกรรมทางออนไลน์หมาย รวมถึง การละเมิดลิขสิทธิ์ ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อจาหน่ายหรือเผยแพร่ผลงาน สร้างสรรค์ที่ได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ 3. การเจาะระบบ – การให้ได้มาซึ่งสิทธิในการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายโดยไม่ได้รับ อนุญาต และในบางกรณีอาจหมายถึงการใช้สิทธิการเข้าถึงนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้การ
  • 5. เจาะระบบยังอาจรองรับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ในรูปแบบอื่นๆ (เช่น การปลอมแปลง การ ก่อการร้าย ฯลฯ) 4. การก่อการร้ายทางคอมพิวเตอร์ – ผลสืบเนื่องจากการเจาะระบบ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความ หวาดกลัว เช่นเดียวกับการก่อการร้ายทั่วไป โดยการกระทาที่เข้าข่าย การก่อการร้ายทาง อิเล็กทรอนิกส์ (e-terrorism) จะเกี่ยวข้องกับการเจาระบบคอมพิวเตอร์เพื่อก่อเหตุรุนแรงต่อบุคคล หรือทรัพย์สิน หรืออย่างน้อยก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความหวาดกลัว 5. ภาพอนาจารทางออนไลน์ – ตามข้อกาหนด 18 USC 2252 และ 18 USC 2252A การประมวลผล หรือการเผยแพร่ภาพอนาจารเด็กถือเป็นการกระทาที่ผิดกฎหมาย และตามข้อกาหนด 47 USC 223 การเผยแพร่ภาพลามกอนาจารในรูปแบบใดๆ แก่เยาวชนถือเป็นการกระทาที่ขัดต่อกฎหมาย อินเทอร์เน็ตเป็นเพียงช่องทางใหม่สาหรับอาชญากรรม แบบเก่า อย่างไรก็ดี ประเด็นเรื่องวิธีที่ เหมาะสมที่สุดในการควบคุมช่องทางการสื่อสารที่ครอบคลุมทั่วโลกและเข้าถึงทุกกลุ่มอายุนี้ได้ ก่อให้เกิดการถกเถียงและการโต้แย้งอย่างกว้างขวาง 6. ภายในโรงเรียน – ถึงแม้ว่าอินเทอร์เน็ตจะเป็นแหล่งทรัพยากรสาหรับการศึกษาและสันทนาการ แต่ เยาวชนจาเป็นต้องได้รับทราบเกี่ยวกับวิธีการใช้งานเครื่องมืออันทรงพลังนี้อย่างปลอดภัยและมี ความรับผิดชอบ โดยเป้าหมายหลักของโครงการนี้คือ เพื่อกระตุ้นให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับ ข้อกาหนดทางกฎหมาย สิทธิของตนเอง และวิธีที่เหมาะสมในการป้องกันการใช้อินเทอร์เน็ต ในทางที่ผิด กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Computer Crime Law) เป็นกฎหมายตัว หนึ่งที่มีความล่าช้า มากในบรรดากฎหมายสารสนเทศทั้ง 6 ฉบับ ความล่าช้านั้นก็มาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่จะต้อง ดูตัวอย่างกฎหมายจากหลายๆประเทศที่บังคับใช้ไปก่อนแล้ว เพื่อจะมาปรับเข้ากับบริบทของประเทศไทย แน่นอนครับว่าการคัดลอกมาทั้งหมดโดยไม่คานึงถึงความแตกต่าง สภาพวัฒนธรรม ความเจริญก้าวหน้าที่ ไม่เท่ากันแล้ว ย่อมจะเกิดปัญหาเมื่อนามาใช้อย่างแน่นอน
  • 6. อีกทั้งเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องใหม่ในสังคมไทย และในกระบวนการยุติธรรมของบ้านเราด้วย กฎหมายบางเรื่อง ต้องใช้เวลานานถึง 5 ปีกว่าจะออกมาใช้บังคับได้ บางเรื่องใช้เวลาถึง 10 ปีเลยทีเดียวครับ ปัญหาความล่าช้า เป็นอุปสรรคที่สาคัญอย่างหนึ่งในการพัฒนาประเทศของเรา ทั้งนี้ เกิดจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ระบบงานราชการที่ยุ่งยาก ซับซ้อน ต้องผ่านหลายหน่วยงาน หลายขั้นตอน หรือแม้แต่ระบบการพิจารณาใน สภา ที่มีการเปลี่ยนรัฐบาลกันบ่อยๆจึงทาให้ขาดความต่อเนื่อง และยังมีสาเหตุอื่นอีกมากที่ทาให้กฎหมายแต่ ละฉบับนั้นออกมาใช้บังคับช้า ที่มาของกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ทุกวันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคอมพิวเตอร์เข้าไปมีบทบาทในชีวิตมนุษย์มากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะใน ยุคแห่งข้อมูลข่าวสารอย่างในปัจจุบันนี้ จะเห็นได้ว่ามีพัฒนาการเทคโนโลยีใหม่ๆเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมทั้งพัฒนาการเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย แต่ถึงแม้ว่าพัฒนาการทางเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นจะถูก นามาประยุกต์ใช้และก่อให้เกิดประโยชน์มากมายก็ตาม หากนาไปใช้ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบแล้วก็อาจ ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมได้ ดังนั้นจึงเกิดรูปแบบใหม่ของอาชญากรรมที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการกระทาผิดขึ้น จึง จาเป็นต้องมีการพัฒนา กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Computer Crime Law) ขึ้น ในบางประเทศอาจเรียกว่า กฎหมายเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ในทางมิชอบ (Computer Misuse Law) หรือ ในบางประเทศอาจต้องมีการปรับปรุงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาเพื่อให้รองรับกับความผิดในรูปแบบ ใหม่ๆได้ ด้วยการกาหนดฐานความผิดและบทลงโทษสาหรับการก่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ขึ้นเพื่อให้ เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ สามารถเอาผิดกับผู้กระทาความผิดได ้ในต่างประเทศนั้น มีลักษณะการบัญญัติกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ 2 รูปแบบ คือ การบัญญัติใน ลักษณะแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เช่น ประเทศเยอรมนี แคนาดา อิตาลี และสวิสเซอร์แลนด์
  • 7. ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งคือ การบัญญัติเป็นกฎหมายเฉพาะ เช่น ประเทศอังกฤษ สิงคโปร์ มาเลเซีย และ สหรัฐอเมริกา สาหรับประเทศไทยนั้น เลือกใช้ในแบบที่สองคือบัญญัติเป็นกฎหมายเฉพาะ โดยมีชื่อว่า พระราชบัญญัติ อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ….(ประกาศใช้ปีไหน ก็ใส่ พ.ศ. เข้าไปแทนจุดครับ-ผู้เขียน) จะเห็นได้ว่าแม้รูปแบบกฎหมายของแต่ละประเทศอาจจะแตกต่างกัน แต่การกาหนดฐานความผิดที่เป็นหลัก ใหญ่นั้นมักจะคล้ายคลึงกัน ทั้งนี้ โดยมากแล้วต่างก็คานึงถึงลักษณะของการใช้คอมพิวเตอร์ในการกระทา ความผิดเป็นสาคัญ กฎหมายที่ออกมาจึงมีลักษณะที่ใกล้เคียงกัน สภาพปัญหาในปัจจุบัน ปัญหาข้อกฎหมายของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์คือ หลักของกฎหมายอาญาที่ระบุว่า ไม่มีโทษโดย ไม่มีกฎหมาย (Nulla poena sinelege) และมุ่งคุ้มครองวัตถุที่มีรูปร่างเท่านั้น แต่ในยุคไอทีนั้น ข้อมูลข่าวสาร เป็นวัตถุที่ไม่มีรูปร่าง เอกสารไม่ได้อยู่ในแผ่นกระดาษอีกต่อไป ซึ่งกฎหมายที่มีอยู่ไม่อาจขยายการคุ้มครอง ไปถึงได้ ตัวอย่างของการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ได้แก่ การโจรกรรมเงินในบัญชีลูกค้าของ ธนาคาร การโจรกรรมความลับของบริษัทต่างๆที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ การปล่อยไวรัสเข้าไปใน คอมพิวเตอร์ การใช้คอมพิวเตอร์ในการปลอมแปลงเอกสารต่างๆ รวมไปถึงการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการก่อ วินาศกรรมด้วย รูปแบบการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันทวีความซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทาให้ เจ้าหน้าที่ตารวจผู้ทาหน้าที่สืบสวนทางานได้อย่างยากลาบาก ทั้งยังต้องอ้างอิงอยู่กับกฎหมายอาญาแบบเดิมซึ่งยากที่จะเอาตัวผู้กระทาความผิดมาลงโทษ นักกฎหมายจึงต้องเปลี่ยนแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะในเรื่องทรัพย์ที่ไม่มีรูปร่าง ซึ่ง เป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตัวอย่างเช่น การขโมยโดเมนเนม (Domain Name) ซึ่งไม่มีรูปร่าง ไม่สามารถจับต้องและถือเอาได้ แต่ก็ถือเป็นทรัพย์และยอมรับกันว่ามีมูลค่ามหาศาล
  • 8. ปัญหาอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์คือเรื่อง พยานหลักฐาน เพราะ พยานหลักฐานที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาและกระทาได้ง่าย แต่ยากต่อ การสืบหา รวมทั้งยังสูญหายได้ง่ายอีกด้วย เช่น ข้อมูลที่ถูกบันทึกอยู่ในสื่อบันทึกข้อมูลถาวรของเครื่อง (Hard Disk) นั้น หากระหว่างการเคลื่อนย้ายได้รับความกระทบกระเทือนหรือเกิดการกระแทก หรือ เคลื่อนย้ายผ่านจุดที่เป็นสนามแม่เหล็ก ข้อมูลที่บันทึกใน Hard Disk ดังกล่าวก็อาจสูญหายได้ นอกจากนี้เรื่องอานาจในการออกหมายค้นก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาเช่นกัน เพราะการค้นหาพยานหลักฐานใน Hard Disk นั้นต้องกาหนดให้ศาลมีอานาจบังคับให้ผู้ต้องสงสัยบอกรหัสผ่านแก่เจ้าหน้าที่ที่ทาการสืบสวน เพื่อให้ทาการค้นหาหลักฐานใน Hard Disk ได้ด้วย นอกจากนั้น ปัญหาเรื่องขอบเขตพื้นที่ก็เป็นเรื่องที่มีความสาคัญ เพราะผู้กระทาความผิดอาจกระทาจากที่ อื่นๆที่ไม่ใช่ประเทศไทย ซึ่งอยู่นอกเขตอานาจของศาลไทย ดังนั้นกฎหมายควรบัญญัติให้ชัดเจนด้วยว่าศาล มีเขตอานาจที่จะลงโทษผู้กระทาผิดได้ถึงไหนเพียงไร และถ้ากระทาความผิดในต่างประเทศจะถือเป็น ความผิดในประเทศไทยด้วยหรือไม ส่วนประเด็นที่สาคัญอีกประการหนึ่งที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบก็คือประเด็นเรื่องอายุของ ผู้กระทาความผิด เพราะผู้กระทาความผิดทางอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ส่วนมาก โดยเฉพาะ Hacker และ Cracker นั้น มักจะเป็นเด็กและเยาวชน และอาจกระทาความผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือเพราะความคึก คะนองหรือความซุกซนก็เป็นได้ ลักษณะของการกระทาความผิด พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2545 (ฉบับรวมหลักการของกฎหมาย เกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และกฎหมายเกี่ยวกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เข้าด้วยกัน) ซึ่งมีผลใช้ บังคับไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2545 ที่ผ่านมาพูดถึงบ้านเมืองเรานี่ก็แปลกนะครับ กฎหมาย บังคับใช้ก็ไม่ไปประกาศในหนังสือพิมพ์ที่มีคนอ่านเยอะๆ แต่ไปประกาศในราชกิจนุเบกษา เชื่อไหมครับว่า เรื่องอะไรสาคัญๆ กฎหมายเอย กฎกระทรวงเอย กฎอะไรต่างๆนาๆที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม ใครสร้างถนน สร้างสะพาน ย้ายใคร แต่งตั้งผู้ใครและเรื่องอื่นๆอีกมากมายก่ายกองก็จะต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา และอะไรก็ตามเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้ว ก็จะถือว่าทุกคนได้ทราบแล้วโดยปริยายครับ จะ อ้างว่าไม่รู้ไม่เคยอ่านไม่ได้
  • 9. ก็เหมือนเวลาเราโดนตารวจจับนั่นแหละครับ เราจะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ นี่แหละครับความสาคัญของ หนังสือที่ว่านี้ ลองหามาอ่านกันดูนะครับ ลักษณะของการกระทาผิดหรือการก่อให้เกิดภยันตรายหรือความเสียหายอันเนื่องมา จากการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์นั้น อาจแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ จาแนกตามวัตถุหรือ ระบบที่ถูกกระทา คือ 1. การกระทาต่อระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System) 2. การกระทาต่อระบบข้อมูล (Information System) 3. การกระทาต่อระบบเครือข่ายซึ่งใช้ในการติดต่อสื่อสาร (Computer Network) “ระบบคอมพิวเตอร์” “ระบบคอมพิวเตอร์” หมายถึง อุปกรณ์อิเล็กทรออิกส์หรือชุดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ ซึ่งมีการตั้งโปรแกรมให้ทาหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ ดังนั้น “ระบบคอมพิวเตอร์” จึง ได้แก่ ฮาร์ดแวร์ (Hardware) และซอฟต์แวร์ (Software) ที่พัฒนาขึ้นเพื่อประมูลผลข้อมูลดิจิทัล (Digital Data) อันประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์รอบข้าง (Peripheral) ต่างๆ ในการเข้ารับหรือป้อน ข้อมูล (Input) นาออกหรือแสดงผลข้อมูล (Output) และบันทึกหรือเก็บข้อมูล (Store and Record) ดังนั้น ระบบคอมพิวเตอร์จึงอาจเป็นอุปกรณ์เพียงเครื่องเดียว หรือหลายเครื่องอันอาจมีลักษณะเป็นชุด เชื่อมต่อกัน ทั้งนี้ โดยอาจเชื่อมต่อกันผ่านระบบเครือข่าย และมีลักษณะการทางานโดยอัตโนมัติตาม โปรแกรมที่กาหนดไว้และไม่มีการแทรกแทรงโดยตรงจากมนุษย์ ส่วนโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้นจะ หมายถึง ชุดคาสั่งที่ทาหน้าที่สั่งการให้คอมพิวเตอร์ทางาน “ระบบข้อมูล”
  • 10. “ระบบข้อมูล” หมายถึง กระบวนการประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ สาหรับสร้าง ส่ง รับ เก็บรักษาหรือประมวลผลข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ การให้ความหมายของคาว่า ระบบข้อมูล ตามความหมายข้างต้น เป็นการให้ความหมายตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และหากเราพิจารณาความหมายตามกฎหมายดังกล่าวซึ่งตราขึ้นเพื่อ รองรับผลทางกฎหมายของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ อันเป็นการรับรองข้อความที่อยู่บนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ให้ เท่าเทียมกับข้อความที่อยู่บนแผ่นกระดาษ จึงหมายความรวมถึง ข้อความที่ได้สร้าง ส่ง เก็บรักษา หรือ ประมวลผลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น วิธีการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ จดหมาย อิเล็กทรอนิกส์ โทรเลข โทรพิมพ์ โทรสาร เป็นต้น จะเห็นได้ว่าการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์โดยการคุกคามหรือก่อให้เกิดความเสียหาย คงจะไม่ใช่ เพียงแต่กับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ในความหมายดังกล่าวเท่านั้น เพราะการกระทาความผิดทางคอมพิวเตอร์ นั้น อาจเป็นการกระทาต่อข้อมูล ซึ่งไม่ได้สื่อความหมายถึงเรื่องราวต่างๆ ทานองเดียวกับข้อความแต่อย่าง ใด ตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่เป็นรหัสผ่าน หรือลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น กระนั้นก็ตาม แม้ข้อมูลจะมีลักษณะหลากหลาย แล้วแต่การสร้างและวัตถุประสงค์ของการใช้งาน แต่ข้อมูล ที่กล่าวถึงทั้งหมดนี้ ต้องมีลักษณะที่สาคัญร่วมกันประการหนึ่งคือ ต้องเป็น “ข้อมูลดิจิทัล (Digital Data)” เท่านั้น ข้อมูลอีกรูปแบบหนึ่งที่มีความสาคญอย่างมากต่อการรวบรวมพยานหลักฐานอันสาคัญยิ่งต่อการสืบสวน สอบสวนในคดีอาญา คือ ข้อมูลจราจร (Traffic Data) ซึ่งเป็นข้อมูลที่บันทึกวงจรการติดต่อสื่อสาร ตั้งแต่ต้น ทางถึงปลายทาง ทาให้ทราบถึงจานวนปริมาณข้อมูลที่ส่งผ่านระบบคอมพิวเตอร์ในแต่ละช่วงเวลา สาหรับ ข้อมูลต้นทางนั้น ได้แก่ หมายเลขโทรศัพท์ เลขที่อยู่ไอพี (Internet Protocol Address) หรือ IP Address นั่นเอง ส่วนข้อมูลปลายทางนั้น ได้แก่ เลขที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Email Address) หรือที่อยู่เวบไซต์ (URL) ที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตแวะเข้าไปดูข้อมูล นอกจากข้อมูลต้นทางและปลายทางแล้ว ยังรวมถึงข้อมูลต่างๆที่ เกี่ยวกับเวลาที่มีการติดต่อสื่อสารหรือการใช้บริการ เช่น การติดต่อในรูปของไปรษณีอิเล็กทรอนิกส์ หรือ การโอนแฟ้มข้อมูล เป็นต้น “ระบบเครือข่าย”
  • 11. ระบบเครือข่าย หมายความถึง การเชื่อมต่อเส้นทางการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ เข้าด้วยกันเป็นทอดๆ ซึ่งอาจเป็นระบบเครือข่ายแบบปิด คือ ให้บริการเชื่อมต่อเฉพาะสมาชิกเท่านั้น หรือ ระบบเครือข่ายแบบเปิด อันหมายถึง การเปิดกว้างให้ผู้ใดก็ได้ใช้บริการในการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายหรือ การติดต่อสื่อสาร เช่น อินเทอร์เน็ต เป็นต้น คงพอจะทราบกันแล้ว ว่าลักษณะของการกระทาความผิดของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์นั้นมีอะไรบ้าง และ อาจกระทาต่ออะไรได้บ้าง รวมทั้งความหมายของคาต่างๆที่ใช้ในกฎหมายดังกล่าว อาจจะดูวิชาการไปบ้าง แต่ก็เพื่อจะปูพื้นฐานให้มีความเข้าใจเมื่อกล่าวถึงในบทต่อๆไ การก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ การกระทาความผิดทางคอมพิวเตอร์นั้นโดยมากแล้วมักจะเป็นการคุกคามหรือลักลอบเข้าไปใน ระบบโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือโดยไม่มีอานาจให้กระทาการดังกล่าว การกระทาดังกล่าวนั้นเป็นการกระทาอันเทียบเคียงได้กับการบุกรุกในทางกายภาพ หรือเปรียบเทียบได้กับ การบุกรุกกันจริงๆนั่นเอง และในปัจจุบันมักมีพัฒนาการด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในรูปแบบต่างๆ โดย กาหนดคาสั่งให้กระทาการใดๆ อันก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นได้ด้วย เช่น - Virus Computer ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อทาลายระบบและมักมีการแพร่กระจายตัวได้ง่ายและรวด เร็ว ชาวไอทีทุกท่านคงจะทราบและรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพราะ Virus Computer นั้นติดเชื้อและ แพร่กระจายได้รวดเร็วมาก และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยอาจทาให้เครื่อง Computer ใช้งานไม่ได้ หรืออาจทาให้ข้อมูลใน Hard Disk เสียหายไปเลย - Trojan Horse เป็นโปรแกรมที่กาหนดให้ทางานโดยแฝงอยู่กับโปรแกรมทางานทั่วไป ทั้งนี้ เพื่อจุดประสงค์ใดจุดประสงค์หนึ่ง เช่น การลักลอบขโมยข้อมูล เป็นต้น โดยมากจะเข้าใจกันว่าเป็น Virus Computer ชนิดหนึ่ง Trojan Horse เป็นอีกเครื่องมือยอดนิยมชนิดหนึ่งที่บรรดา Hacker ใช้กันมาก - Bomb เป็นโปรแกรมที่กาหนดให้ทางานภายใต้เงื่อนไขที่กาหนดขึ้นเหมือนกับการระเบิด
  • 12. ของระเบิดเวลา เช่น Time Bomb ซึ่งเป็นโปรแกรมที่มีการตั้งเวลาให้ทางานตามที่กาหนดเวลาไว้ หรือ Logic Bomb ซึ่งเป็นโปรแกรมที่กาหนดเงื่อนไขให้ทางานเมื่อมีเหตุการณ์หรือเงื่อนไขใดๆเกิดขึ้น เป็นต้น กล่าว โดยรวมแล้ว Bomb ก็คือ รูปแบบการก่อให้เกิดความเสียหายเมื่อครบเงื่อนไขที่ผู้เขียนตั้งไว้นั่นเอง - Rabbit เป็นโปรแกรมที่กาหนดขึ้นเพื่อให้สร้างตัวมันเองซ้าๆ เพื่อให้ระบบไม่สามารถ ทางานได้ เช่น ทาให้พื้นที่ในหน่วยความจาเต็มเพื่อให้ Computer ไม่สามารถทางานต่อไปเป็นต้น เป็น วิธีการที่ผู้ใช้มักจะใช้เพื่อทาให้ระบบของเป้าหมายล่ม หรือไม่สามารถทางานหรือให้บริการได้ - Sniffer เป็นโปรแกรมเล็กๆที่สร้างขึ้นเพื่อลักลอบดักข้อมูลที่ส่งผ่านระบบเครือข่าย ซึ่งถูก สั่งให้บันทึกการ Log On ซึ่งจะทาให้ทราบรหัสผ่าน (Passward) ของบุคคลซึ่งส่งหรือโอนข้อมูลผ่านระบบ เครือข่าย โดยจะนาไปเก็บไว้ในแฟ้มลับที่สร้างขึ้น กรณีน่าจะเทียบได้กับการดักฟัง ซึ่งถือเป็นความผิดตาม กฎหมายอาญา และเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง - Spoofing เป็นเทคนิคการเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ระยะทางไกล โดยการปลอม แปลงที่อยู่อินเทอร์เนต (Internet Address) ของเครื่องที่เข้าได้ง่ายหรือเครื่องที่เป็นพันธมิตร เพื่อค้นหาจุดที่ ใช้ในระบบรักษาความปลอดภัยภายใน และลักลอบเข้าไปในคอมพิวเตอร์ - The Hole in the Web เป็นข้อบกพร่องใน world wide web เนื่องจากโปรแกรมที่ใช้ ในการปฏิบัติการของ Website จะมีหลุมหรือช่องว่างที่ผู้บุกรุกสามารถทาทุกอย่างที่เจ้าของ Websit สามารถ ทาได้ นอกจากนี้อาจแบ่งประเภทของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ตามกระบวนการได้ดังนี้ การก่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ในขั้นของกระบวนการนาเข้า (Input Process) นั้น อาจทาได้โดยการ - การสับเปลี่ยน Disk ในที่นี้หมายความรวม Disk ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น Hard Disk,Floppy Disk รวมทั้ง Disk ชนิดอื่นๆด้วย ในที่นี้น่าจะหมายถึงการกระทาในทางกายภาพ โดยการ Removable นั่นเอง ซึ่งเป็นความผิดชัดเจนในตัวของมันเองอยู่แล้ว
  • 13. - การทาลายข้อมูล ไม่ว่าจะใน Hard Disk หรือสื่อบันทึกข้อมูลชนิดอื่นที่ใช้ร่วมกับ คอมพิวเตอร์โดยไม่ชอบ กรณีการทาลายข้อมูลนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ถือเป็นความผิดทั้งสิ้น - การป้อนข้อมูลเท็จ ในกรณีที่เป็นผู้มีอานาจหน้าที่อันอาจเข้าถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ นั้นๆได้ หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่มีอานาจเข้าถึงก็ตาม แต่ได้กระทาการอันมิชอบในขณะที่ตนเองอาจเข้าถึงได้ - การลักข้อมูลข่าวสาร (Data) : (Computer Espionage) ไม่ว่าโดยการกระทาด้วยวิธี การอย่างใดๆให้ได้ไปซึ่งข้อมูลอันตนเองไม่มีอานาจหรือเข้าถึงโดยไม่ชอบ กรณีการลักข้อมูลข่าวสารนั้นจะ พบได้มากในปัจจุบันที่ข้อมูลข่าวสารถือเป็นทรัพย์อันมีค่ายิ่ง - การลักใช้บริการหรือเข้าไปใช้โดยไม่มีอานาจ (Unauthorized Access) อาจกระทา โดยการเจาะระบบเข้าไป หรือใช้วิธีการอย่างใดๆเพื่อให้ได้มาซึ่งรหัสผ่าน (Password) เพื่อให้ตนเองเข้าไป ใช้บริการได้โดยไม่ต้องลงทะเบียนเสียค่าใช้จ่าย ปัจจุบันพบได้มากตามเวบบอร์ดทั่วไป ซึ่งมักจะมี Hacker ซึ่งได้ Hack เข้าไปใน Server ของ ISP แล้วเอา Account มาแจกฟรี ตรงนี้ผมมีความเห็นโดยส่วนตัวว่า ผู้ที่รับเอา Account นั้นไปใช้น่าจะมีความผิดตาม กฎหมายอาญาฐานรับของโจรด้วย ส่วนกระบวนการ Data Processing นั้น อาจกระทาความผิดได้โดย - การทาลายข้อมูลและระบบโดยใช้ไวรัส (Computer Subotage) ซึ่งได้อธิบายการ ทางานของ Virus ดังกล่าวไว้แล้วข้างต้น - การทาลายข้อมูลและโปรแกรม (Damage to Data and Program) อันนี้ก็ตรงตัวนะ ครับ การทาลายข้อมูลโดยไม่ชอบย่อมจะต้องเป็นความผิดอยู่แล้ว - การเปลี่ยนแปลงข้อมูลและโปรแกรม (Alteration of Data and Program) เช่นกัน ครับ การกระทาใดๆที่ก่อให้เกิดความเสียหายโดยไม่มีอานาจก็จะถือเป็นความผิด ส่วนกระบวนการนาออก (Output Process) นั้น อาจกระทาความผิดได้โดย
  • 14. - การขโมยขยะ (Sewaging) อันนี้หมายถึงขยะจริงๆเลยครับ คือ ข้อมูลที่เราไม่ใช้แล้ว แต่ยังไม่ได้ทาลายนั่นเอง การขโมยขยะถือเป็นความผิดครับ ถ้าขยะที่ถูกขโมยไปนั้นอาจทาให้เจ้าของต้อง เสียหายอย่างใดๆ อีกทั้งเจ้าของอาจจะยังมิได้มีเจตนาสละการครอบครองก็ได้ ต้องดูเป็นกรณีๆไปครับ - การขโมย Printout ก็คือ การขโมยงานหรือข้อมูลที่ Print ออกมาแล้วนั่นเอง กรณีนี้ อาจผิดฐานลักทรัพย์ด้วย เพราะเป็นการขโมยเอกสารอันมีค่า ผิดเหมือนกันครับ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แนวโน้มการก่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ก็มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ทั้งนี้ หน่วยงาน National Computer Security Center ของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รายงานเมื่อปี คศ. 2000 ว่า หน่วยงานทั้งของภาครัฐและเอกชนถูกรุกรานจากการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์สูงถึงร้อยละ 64 และมี สัดส่วนการเพิ่มขึ้นในแต่ละปีถึงร้อยละ 16 ซึ่งหมายความว่า มูลค่าความเสียหายจากการก่อ อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ก็จะต้องเพิ่มสูงขึ้นทุกปีเช่นกัน การกาหนดฐานความผิดและบทกาหนดโทษ การพัฒนากฎหมายอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ในเบื้องต้นนั้น พัฒนาขึ้นโดยคานึงถึงลักษณะการ กระทาความผิดต่อระบบคอมพิวเตอร์ ระบบข้อมูล และระบบเครือข่าย ซึ่งอาจสรุปความผิดสาคัญได้ 3 ฐาน ความผิด คือ - การเข้าถึงโดยไม่มีอานาจ (Unauthorised Access) - การใช้คอมพิวเตอร์โดยไม่ชอบ (Computer Misuse) - ความผิดเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ (Computer Related Crime) ทั้งนี้ ความผิดแต่ละฐานที่กาหนดขึ้นดังที่สรุปไว้ข้างต้น มีวัตถุประสงค์ในการให้ความ คุ้มครองที่แตกต่างกัน ดังนี้ 1. ความผิดฐานเข้าถึงโดยไม่มีอานาจหรือโดยฝ่าฝืนกฎหมาย และการใช้คอมพิวเตอร์ในทางมิชอบ
  • 15. การกระทาความผิดด้วยการเข้าถึงโดยไม่มีอานาจหรือโดยฝ่าฝืนกฎหมาย และการใช้คอมพิวเตอร์ในทางมิ ชอบ ถือเป็นการกระทาที่คุกคามหรือเป็นภัยต่อความปลอดภัย (Security) ของระบบคอมพิวเตอร์และระบบ ข้อมูล เมื่อระบบไม่มีความปลอดภัยก็จะส่งผลกระทบต่อความครบถ้วน (Integrity) การรักษาความลับ (Confidential) และเสถียรภาพในการใช้งาน (Availability) ของระบบข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์ (1) การเข้าถึงโดยไม่มีอานาจ การฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายนี้ อาจเกิดได้หลายวิธี เช่น การเจาะระบบ (Hacking or Cracking) หรือ การบุกรุกทางคอมพิวเตอร์ (Computer Trespass) เพื่อทาลายระบบคอมพิวเตอร์หรือเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไข ข้อมูล หรือเพื่อเข้าถึงข้อมูลที่เก็บรักษาไว้เป็นความลับ เช่น รหัสลับ (Passwords) หรือความลับทางการค้า (Secret Trade) เป็นต้น ทั้งนี้ ยังอาจเป็นที่มาของการกระทาผิดฐานอื่นๆต่อไป เช่น การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อฉ้อโกงหรือปลอมแปลง เอกสาร ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อเนื่องเป็นมูลค่ามหาศาลได้ คาว่า “การเข้าถึง (Access)” ในที่นี้ หมายความถึง การเข้าถึงทั้งในระดับกายภาพ เช่น ผู้กระทาความผิด กระทาโดยวิธีใดวิธีหนึ่งโดยนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นั้นเอง และหมายความรวมถึง การเข้าถึงระบบ คอมพิวเตอร์ซึ่งแม้บุคคลที่เข้าถึงจะอยู่ห่างโดยระยะทางกับเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่สามารถเจาะเข้าไปใน ระบบที่ตนต้องการได้ “การเข้าถึง” ในที่นี้จะหมายถึง การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ได้ ดังนั้น จึงอาจ หมายถึง การเข้าถึงฮาร์ดแวร์ หรือส่วนประกอบต่างๆของคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลที่ถูกบันทึกเก็บไว้ใน ระบบเพื่อใช้ในการส่งหรือโอนถึงอีกบุคคลหนึ่ง เช่น ข้อมูลจราจร เป็นต้น นอกจากนี้ “การเข้าถึง” ยังหมายถึงการเข้าถึงโดยผ่านทางเครือข่ายสาธารณะ เช่น อินเทอร์เนต อันเป็นการ เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายหลายๆเครือข่ายเข้าด้วยกัน และยังหมายถึง การเข้าถึงโดยผ่านระบบเครือข่าย เดียวกันด้วยก็ได้ เช่น ระบบ LAN (Local Area Network) อันเป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ใน พื้นที่ใกล้ๆกันเข้าด้วยกัน สาหรับมาตราดังกล่าวนี้ กาหนดให้การเข้าถึงโดยมิชอบเป็นความผิด แม้ว่า ผู้กระทาจะมิได้มีมูลเหตุจูงใจเพื่อก่อให้เกิดความเสียหายก็ตาม ทั้งนี้ เพราะเห็นว่าการกระทาดังกล่าวนั้น
  • 16. สามารถก่อให้เกิดการกระทาผิดฐานอื่นหรือฐานที่ใกล้เคียงค่อนข้างง่ายและอาจก่อให้เกิดความเสียหาย ร้ายแรง อีกทั้งการพิสูจน์มูลเหตุจูงใจกระทาได้ค่อนข้างยาก (2) การลักลอบดักข้อมูล มาตรานี้บัญญัติฐานความผิดเกี่ยวกับการลักลอบดักข้อมูลโดยฝ่าฝืนกฎหมาย (Illegal Interception) เนื่องจาก มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัวในการติดต่อสื่อสาร (The Right of Privacy of Data Communication) ในทานองเดียวกับการติดต่อสื่อสารรูปแบบเดิมที่ห้ามดักฟังโทรศัพท์หรือแอบบันทึกเทป ลับ เป็นต้น “การลักลอบดักข้อมูล” หมายถึง การลักลอบดักข้อมูลโดยวิธีการทางเทคนิค (Technical Means) เพื่อลักลอบ ดักฟัง ตรวจสอบหรือติดตามเนื้อหาสาระของข่าวสารที่สื่อสารถึงกันระหว่างบุคคล หรือกรณีเป็นการ กระทาอันเป็นการล่อลวงหรือจัดหาข้อมูลดังกล่าวให้กับบุคคลอื่น รวมทั้งการแอบบันทึกข้อมูลที่สื่อสารถึง กันด้วย ทั้งนี้ วิธีการทางเทคนิคยังหมายถึง อุปกรณ์ที่มีสายเชื่อมต่อกับระบบเครือข่าย และหมายรวมถึงอุปกรณ์ ประเภทไร้สาย เช่น การติดต่อผ่านทางโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น อย่างไรก็ดี การกระทาที่เป็นความผิดฐานลักลอบดักข้อมูลนั้น ข้อมูลที่ส่งต้องมิใช่ข้อมูลที่ส่งและเปิดเผยให้ สาธารณชนรับรู้ได้ (Non-Public Transmissions) การกระทาความผิดฐานนี้จึงจากัดเฉพาะแต่เพียงวิธีการส่งที่ผู้ส่งข้อมูลประสงค์จะส่งข้อมูลนั้นให้แก่บุคคล หนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะเจาะจงเท่านั้น ดังนั้น มาตรานี้จึงมิได้มีประเด็นที่ต้องพิจารณาถึงเนื้อหาสาระของ ข้อมูลที่ส่งด้วยแต่อย่างใด (3) ความผิดฐานรบกวนระบบ ความผิดดังกล่าวนี้คือ การรบกวนทั้งระบบข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์ (Data and System Interference) โดยมุ่งลงโทษผู้กระทาความผิดที่จงใจก่อให้เกิดความเสียหายต่อข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์ โดยมุ่ง คุ้มครอง ความครบถ้วนของข้อมูล และเสถียรภาพในการใช้งานหรือการใช้ข้อมูลหรือโปรแกรม คอมพิวเตอร์ที่บันทึกไว้บนสื่อคอมพิวเตอร์ได้เป็นปกติ
  • 17. ตัวอย่างของการกระทาความผิดฐานดังกล่าวนี้ ได้แก่ การป้อนข้อมูลที่มีไวรัสทาลายข้อมูลหรือโปรแกรม คอมพิวเตอร์ หรือการป้อนโปรแกรม Trojan Horse เข้าไปในระบบเพื่อขโมยรหัสผ่านของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ สาหรับเพื่อใช้ลบ เปลี่ยนแปลง แก้ไขข้อมูลหรือกระทาการใดๆอันเป็นการรบกวนข้อมูลและระบบ หรือ การป้อนโปรแกรมที่ทาให้ระบบปฏิเสธการทางาน (Daniel of Service) ซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก หรือการทาให้ ระบบทางานช้าลง เป็นต้น (4) การใช้อุปกรณืในทางมิชอบ มาตรานี้จะแตกต่างจากมาตราก่อนๆ เนื่องจากเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการผลิต แจก จ่าย จาหน่าย หรือครอบครองอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการกระทาความผิด เช่น อุปกรณ์สาหรับเจาะ ระบบ (Hacker Tools) รวมถึงรหัสผ่านคอมพิวเตอร์ รหัสการเข้าถึง หรือข้อมูลอื่นในลักษณะคล้ายคลึงกัน ด้วย แต่ทั้งนี้ ไม่รวมถึง อุปกรณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อปกป้องระบบหรือทดสอบระบบ แต่การจะนาอุปกรณ์เหล่านี้มา ใช้ได้ก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องมีอานาจหรือได้รับอนุญาตให้กระทาได้เท่านั้น สาหรับการแจกจ่ายนั้น ให้รวมถึงการส่งข้อมูลที่ได้รับเพื่อให้ผู้อื่นอีกทอดหนึ่ง (Forward) หรือการเชื่อมโยง ฐานข้อมูลเข้าด้วยกัน (Hyperlinks) ด้วย สาหรับเรื่องอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ของประเทศไทย เราก็คงจะว่ากันอย่างคร่าวๆเพียงเท่านี้ เพื่อให้มีพื้นที่ ว่างสาหรับเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจด้วย เพราะว่ากฎหมายไอทีนั้น มีอยู่มากมายหลายชนิด ต้องแบ่งๆกันไปครับ