Más contenido relacionado
La actualidad más candente (20)
Similar a ความหมายของนิเวศวิทยา (20)
ความหมายของนิเวศวิทยา
- 1. ความหมายของนิเวศวิทยา
คำาว่า ecology ได้รากศัพท์มาจากภาษากรีก คือ oikos หมายความถึง "บ้าน" หรือ "ที่
อยู่อาศัย" และ ology หมายถึง "การศึกษา" ecology หรือนิเวศวิทยาจึงเป็นศาสตร์
แขนงหนึ่งว่าด้วยการศึกษาสิ่งมีชีวตใน แหล่งอาศัยและกินความกว้างไปถึงการศึกษา
ิ
ความสัมพันธ
ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ นิเวศวิทยามีความเกี่ยวข้องกับ
สาขาวิชาหลัก 4 สาขาวิชาคือ พันธุศาสตร์ วิวัฒนาการ สรีรวิทยา และพฤติกรรม
ทฤษฎีของ นิเวศวิทยา
นิเวศวิทยามีหลักการของการพัฒนาและทฤษฎี 6 ประการ (Grubb and Whittaker,
2532) สามารถสรุปได้ดังนี้
1. หลักการของมัลธัส (Malthus, 2331) กล่าวว่า ประชากรต้องพบกับขีดจำากัดของ
ประชากร ถ้าไม่ถูกกำาจัดด้วยการล่า โรคภัย หรืออันตรายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากปัจจัย
สภาพแวดล้อม
2. หลักการของดาร์วิน (Darwin, 2402) กล่าวว่า สิ่งมีชีวตชนิดหนึ่งจะต้องถูกแทนที่
ิ
ด้วยสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง ภายใต้สภาวะที่สิ่งมีชีวิตชนิดที่สองนั้นมีการเจริญพันธุ์ที่สูง
กว่าหรือมีี อัตราการตายที่น้อยกว่า
3. หลักการของเกาส์ (Gause, 2477) กล่าวว่า สิ่งมีชีวิตตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปสามารถ
อยู่ร่วมกันได้ก็ต่อเมื่อมีบทบาท หน้าที่และความต้องการที่แตกต่างกันออกไป หรืออยู่
ภายใต้อิทธิพลของการแก่งแย่งระหว่างสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันสูงกว่า การแก่งแย่ง
ระหว่างสิ่งมีชีวิต
ต่างชนิดกัน
4. หลักการของฮัฟเฟเกอร์ (Huffaker, 2501) กล่าวว่า สิ่งมีชีวตที่เป็นเหยื่อและผู้ล่า
ิ
ี่
ไม่สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้ตลอดไป ยกเว้นในกรณีที่สิ่งแวดล้อมนั้นไม่สามารถมีความ
สอดคล้องเป็นเนื้อเดียวกัน
5. หลักการของเมย์ (May, 2517) กล่าวว่า ผลของปัจจัยต่างๆ ขึนอยูกับความหนา
้ ่
แน่นของประชากร การรักษาเสถียรภาพของขนาดประชากรทำาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ของจำานวนประชากร เป็นวงจร หรือเกิดความผิดปกติ ซึงขึ้นอยูกับระดับความสัมพันธ์ที่
่ ่
ไม่เป็นเส้นตรงระหว่างประชากรในวงจร อายุปัจจุบนกับวงจรอายุที่ผานมาหนึ่งช่วง
ั ่
6. หลักการของลินเดอร์มานน์ (Lindermann, 2485) กล่าวว่า พลังงานที่สามารถนำา
ไปใช้ประโยชน์ได้จะลดลงในแต่ละขั้นของการกินกันเป็นทอดๆ
ระบบนิเวศ
ความหมายของระบบ นิเวศ
- 2. ระบบนิเวศ หมายถึง หน่วยของความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวตในแหล่งที่อยู่แหล่งใดแหล่ง
ิ
หนึ่ง มาจากรากศัพท์ในภาษากรีก 2 คำา คือ Oikos แปลว่า บ้าน, ที่อยู่อาศัย Logos
แปลว่า เหตุผล, ความคิด
ความหมายของคำา ต่างๆ ในระบบนิเวศ
-สิ่งมีชีวิต (Organism) หมายถึง สิ่งที่ต้องใช้พลังงานในการดำารงชีวิต ซึงมีลักษณะที่
่
สำาคัญดังนี้
1. ต้องมีการเจริญเติบโต
2. เคลื่อนไหวได้ด้วยพลังงานที่เกิดขึนในร่างกาย
้
3. สืบพันธุ์ได้
4. สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
5. ประกอบไปด้วยเซลล์
6. มีการหายใจ
7. มีการขับถ่ายของเสีย
8. ต้องกินอาหาร หรือแร่ธาตุตางๆ
่
-ประชากร(Population)หมายถึง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เป็นชนิดเดียวกัน อาศัยอยู่ใน
แหล่งที่อยู่เดียวกัน ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
-กลุ่มสิ่งมีชีวิต(Community)หมายถึง สิ่งมีชีวตต่างๆ หลายชนิด มาอาศัยอยู่รวมกัน
ิ
ในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง โดยสิ่งมีชีวตนันๆ มีความสัมพันธ์กน โดยตรงหรือโดยทาง
ิ ้ ั
อ้อม
-โลกของสิ่งมีชีวต(Biosphere)หมายถึง ระบบนิเวศหลายๆ ระบบนิเวศมารวมกัน
ิ
-แหล่งที่อยู่(Habitat)หมายถึง บริเวณ หรือสถานที่ที่ใช้สำาหรับผสมพันธุ์วางไข่ เป็น
แหล่งที่อยู่ เช่น บ้าน สระนำ้า ซอกฟัน ลำาไส้เล็ก
-สิ่งแวดล้อม(Environment)หมายถึง สรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเราแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1. สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ ได้แก่ มนุษย์ สัตว์ พืช และสิ่งมีชีวตขนาดเล็ก
ิ
2. สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
-สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ คือ ดิน นำ้า ป่าไม้ อากาศ แสง ฯลฯ
-สิ่งมีชีวิตที่มนุษย์สร้างขึนได้แก่ สิ่งก่อสร้าง โบราณสถานศิลปกรรม ขนบธรรมเนียม
้
ประเพณี และวัฒนธรรม เป็นต้น
สิ่ง แวดล้อมแต่ละบริเวณจะมีความแตกต่างกันไปตามสภาพภูมศาสตร์ และสภาพภูมิ
ิ
อากาศทำาให้
มีกลุ่มสิ่งมีชีวต (community) อาศัยอยูในแต่ละบริเวณแตกต่างกันไปด้วย
ิ ่
องค์ประกอบของระบบ นิเวศ
องค์ประกอบภายในระบบนิเวศจะ ประกอบไปด้วยส่วนสำาคัญ 2 ส่วนดังนี้
1. องค์ประกอบที่ไม่มีชีวิต ( Abiotic Components )
ได้แก่ ส่วนประกอบที่ไม่มีชีวต แบ่งออกเป็น
ิ
1.1 อนินทรียสาร เช่นคาร์บอน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปตัสเซี่ยมนำ้า และออกซิเจน
- 3. เป็นต้น สารอนินทรียดังกล่าวเป็นองค์ปะรกอบของเซลสิ่งมีชีวต สารเหล่านี้จะเกี่ยวข้อง
์ ิ
กับการหมุนเวียนของแร่ธาตุในวัฏจักร
1.2 อินทรีย์สาร เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน ฮิวมัส เป็นต้น สารอินทรีย์เหล่านี้
จำาเป็นต่อชีวต ทำาหน้าที่เป็นตัวเกียวโยง ระหว่างสิ่งมีชีวตและไม่มีชีวิต
ิ ่ ิ
1.3 สภาพแวดล้อมทางกายภาพ เช่น แสง อุณหภูมิ อากาศ ความเป็นกรดเป็นด่าง
ความเค็ม ความชื้น ที่อยู่อาศัยเป็นต้น
2. องค์ประกอบที่มีชีวต ( Biotic Components )
ิ
ได้แก่สิ่งมี ชีวตทุกชนิด สามารถจำาแนกองค์ประกอบที่มีชีวตตามบทบาทหน้าที่ได้ 3
ิ ิ
ชนิด ดังนี้
2.1 ผูผลิต ( Producer ) หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่สามารถสร้างอาหารได้เอง โดยวิธการ
้ ี
สังเคราะห์ด้วยแสง ดังนัน สิ่งมีชีวิตที่มีบทบาทเป็นผูผลิต คือ พืช แบคทีเรียบางชนิด
้ ้
ส่วนใหญ่เป็นพืชที่มีสีเขียว แพลงตอน พืชซึ่งมีรงควัตถุสีเขียว คือคลอโรฟีลล์ไว้คอย
จับพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้เป็นปัจจัยร่วมในการเกิด ปฏิกิริยาเคมี ระหว่างนำ้ากับ
คาร์บอนไดออกไซด์ ทำาให้เกิดเป็นสารประกอบคาร์โบไฮเดรตขึ้น พืชบางชนิดแม้ว่า
สามารถสร้างอาหารได้ด้วยตนเองแล้ว ยังจับสิ่งมีชีวตอืนมาเป็นอาหารอีก เช่น ว่าน
ิ ่
กาบหอยแครง หยาดนำ้าค้าง ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง เป็นต้น ถึงแม้พืชพวกนี้จะบริโภค
สัตว์เป็นอาหารได้ แต่ก็จดพืชพวกนี้เป็น
ั
“ ผูผลิต ”
้
2.2 ผูบริโภค ( Consumer ) หมายถึงสิ่งที่มีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารได้เอง แต่ได้
้
รับอาหารจากแหล่งอื่น สิ่งมีชีวตที่มีบทบาทเป็นผูบริโภค คือพวกสัตว์ต่าง ๆ แบ่งได้เป็น
ิ ้
3 ประเภท
ก. ผู้บริโภคปฐมภูมิ ( Primary Consumer ) เป็นส่งมีชีวิตที่กนพืชเป็นอาหารอย่าง
ิ
เดียว เรียกว่า ผูบริโภคพืช
้
( Herbivores ) เช่น แมลง กระต่าย วัว ควาย ช้าง ม้า ปลาที่กนพืชเล็ก ๆ เป็นต้น
ิ
ข. ผูบริโภคทุติยภูมิ ( Secondary Consumer ) เรียกว่าเป็นผูบริโภคสัตว์
้ ้
( Carnivores ) เป็นสิ่งมีชีวตที่กินสัตว์ด้วยกันเป็นอาหารอย่างเดียว เช่น กบ งู ปลากิน
ิ
เนื้อ เสือ สุนัขจิ้งจอก นกฮูก นกเค้าแมว จระเข้ สิงโต เป็นต้น
ค. ผู้บริโภคตติยภูมิ ( Tertiary Consumer ) เป็นสิ่งมีชีวตที่กินทั้งสัตว์และพืชเป็น
ิ
อาหาร เรียกว่า พวก Omnivore หรือ top carnivore เช่น คน นก ไก่ หมู สุนัข แมว
เป็ด เป็นต้น นอกจากนั้นยังได้แก่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับขันการกินสูงสุด ซึงหมายถึง
้ ่
สัตว์ที่ไม่ถกกิน โดยสัตว์อื่น ๆ ต่อไป เป็นสัตว์ที่อยู่ในอันดับสุดท้ายของการถูกกินเป็น
ู
อาหาร ซึงได้แก่มนุษย์
่
2.3 ผูย่อยสลาย ( Decomposer ) หมายถึงสิ่งมีชีวตที่ไม่สามารถสร้างอาหารได้เอง
้ ิ
แต่จะได้อาหารจากการผลิตเอนไซม์ออกมา ย่อยสลายซาก ของสิ่งมีชีวต ของเสีย ิ
กากอาหาร ให้เป็นสารที่มีขนาดโมเลกุลเล็กลง แล้วจึงดูดซึมไปใช้เป็นอาหารบางส่วน
ส่วนที่เหลือ ปลดปล่อยออกไป สู่ระบบนิเวศ ซึงผู้ผลิตจะสามารถเอาไปใช้สร้างอาหาร
่
ต่อไป สิ่งมีชีวิตที่มบทบาทเป็นผูย่อยสลายส่วนใหญ่ได้แก่ พวกแบคทีเรีย เห็ด และรา
ี ้
จึงนับว่าในระบบนิเวศหนึ่ง ๆ ผู้ย่อยสลายเป็นส่วนสำาคัญที่ทำาให้สารอาหารหมุนเวียน
เป็นวัฏจักรได้
ปั จจัยท่ีมีความสัมพันธ์ต่อระบบนิ เวศ
1. แสง
ยังมีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการออกหากินของสัตว์ต่างๆ สัตว์ส่วนใหญ่จะ
- 4. ออกหากินเวลากลางวันแต่ก็มีสัตว์อีกหลายชนิ ดท่ีออกหากินเวลา กลางคืนเช่น
ค้างคาว นกฮูก เป็ นต้น
2. อุณหภูมิ
ส่ิงมีชีวิตแต่ละชนิ ดจะดำารงชีวิตอยู่ได้ในอุณหภูมิประมาณ 10 – 30 องศา
เซลเซียส ในท่ีท่ีมีอุณหภูมิสูงมากหรืออุณหภูมิตำ่ามากจะมีส่ิงมี ชีวิตอาศัยอยู่น้อยทัง
้
ชนิ ดและจำานวน หรืออาจไม่มีส่ิงมีชีวิตอยู่ได้เลย เช่น แถบขัวโลก และบริเวณทะเล
้
ทราย ในแหล่งนำ ้ าท่ีอุณหภูมิไม่ค่อยเปล่ียนแปลง
แต่ส่ิงมีชีวิตก็มีการปรับตัว เช่น ในบางฤดูกาลมีสัตว์และพืชหลายชนิ ด ต้องพัก
ตัวหรือจำาศีล เพ่ ือหลีกเล่ียงการเปล่ียนแปลงดังกล่าว สัตว์ประเภทอพยพไปสู่ถ่ินใหม่
ท่ีมีอุณหภูมิเหมาะสมเป็ นการชัวคราวในบง ฤดู เช่น นกนางแอ่นอพยพจากประเทศจีน
่
มาหากินในประเทศไทยในช่วงฤดูหนาว และอาจเลยไปถึงมาเลเซียราวเดือนกันยายน
ทุกปี
4
ส่ิงมีชีวิตจะมีรูปร่างลักษณะหรือสีท่ีสัมพันธ์กับอุณหภูมิของแหล่งท่ีอยู่ เฉพาะแตกต่าง
กันไปด้วย เช่น สุนัข ในประเทศท่ีมีอากาศหนาว จะเป็ นพันธ์ท่ีมีขนยาวปุกปุย แต่ใน
ุ
แถบร้อนจะเป็ นพันธ์ุขนเกรียน ต้นไม้ เมืองหนาวก็มความเฉพาะ เช่น ป่ าสน จะอยู่ใน
ี
เขตหนาวแตกต่างจากพืชในป่ าดิบช้ืนในเขตร้อน
3. แร่ธาตุ
แร่ธาตุต่างๆ จะมีอยู่ในอากาศท่ีห่อหุ้มโลก อย่ในดินและละลายอยู่ในนำ ้ า แร่
ู
ธาตุท่ีสำาคัญ ได้แก่ ออกซิเจน คาร์บอน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และแร่
ธาตุ อ่ ืนๆ เป็ นส่ิงจำาเป็ นท่ทุกชีวิตต้องการในกระบวนการดำารงชีพ แต่ส่ิงมีชีวิตแต่ละ
ี
ชนิ ดต้องการแร่ธาตุเหล่านี้ในปริมาณท่ีแตกต่างกัน และ ระบบนิ เวศแต่ละระบบจะมีแร่
ธาตุตางๆ เป็ นองค์ประกอบในปริมาณท่ีแตกต่างกัน
่
4. ความช้ืน
ความช้นในบรรยากาศจะแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคของโลกและยังเปล่ียน
ื
เแปลงไปตามฤดูกาล ความช้ืนมีผลต่อการระเหยของนำ ้ าออกจากร่างกายของส่ิงมี ชีวิต
ทำาให้จำากัดชนิ ดและการกระจายของส่ิงมีชีวิตในแหล่งท่ีอยู่ด้วย ในเขตร้อนจะมี
ความช้นสูง เน่ องจากมีฝนตกชุกและสมำ่าเสมอ และจะมีความ อุดมสมบูรณ์ จึงมีความ
ื ื
หลากหลายของชนิ ดและปริมาณของส่ิงมีชีวิตมากกว่าใน เขตอบอุ่นหรือเขตหนาว
ความสัมพันระหว่างส่ิงมีชีวิต
1. ความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิตกับส่ิงแวดล้อม
ความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิตกับส่ิงแวดล้อมในระบบนิ เวศ แบ่งออกได้เป็ น ๒
ลักษณะ คือ
1. เป็ นความผูกพัน พ่ ึงพากัน หรือส่งผลต่อกันระหว่างส่ิงมีชีวิตด้วยกันเอง
2. เป็ นความเก่ียวข้องสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตกับส่ิงไม่มีชีวิตท่ีแวดล้อม มันอยู่
- 5. ซ่ึงลักษณะความสัมพันธ์ทัง 2 ประการนี้ จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน และมีอยู่ในทุก
้
ระบบนิ เวศและความสำาคัญของความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตกับ ส่ิงแวดล้อมก็คือ การ
ถ่ายทอดพลังงานและการแลกเปล่ียนสสารซ่ึงเป็ นความสัมพันธ์ท่ีเป็ นไปตาม กฎเกณฑ์
อย่างมีระเบียบภายในระบบ ทำาให้ระบบอยู่ในภาวะท่ีสมดุลนั ้นคือ การดำารงชีวิตของส่ิง
มีชีวิตจะได้พลังงานโดยตรงมาจากดวงอาทิตย์ซ่ึงพลังงาน จากดวงอาทิตย์จะถูกตรึงไว้
ในชีวบริเวณด้วยขบวนการสังเคราะห์แสงของพืชสี เขียว ทำาให้มีการเจริญเติบโตและ
เป็ นอาหารให้กับสัตว์ ขณะเดียวกันตลอดระยะเวลาของการเติบโตของพืชสีเขียว มันก็
จะปล่อยก๊าซออกซิเจนท่ีเป็ นประโยชน์ต่อกระบวนการหายใจของพืชและสัตว์ น่คือ ี
ตัวอย่างของการถ่ายทอดพลังงานและการแลกเปล่ียนสสารระหว่างส่ิงมีชีวิต กับส่ิง
แวดล้อมในระบบนิ เวศ
2. ความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิตต่างชนิ ดกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตต่างชนิ ดกัน เป็ นความสัมพันธ์ท่ีเกิดขึ้นในลักษณะต่างๆ
ดังนี้
1. ภาวะการเป็ นผู้อาศัย เป็ นความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิต ๒ ชนิ ดท่ีอาศัยอยู่
ร่วมกันฝ่ ายผู้อาศัยเป็ นผู้ได้รับประโยชน์ ผู้ท่ีให้อาศัยเป็ นผู้เสียประโยชน์ เช่น ต้นกาฝาก
ซ่ึงเกิดบนต้นไม้ใหญ่ มีรากพิเศษท่ีเจาะลงไปยังท่อนำ ้ าและท่ออาหารของต้นไม้เพ่ ือดูด
นำ ้ าและธาตุ อาหารหรือสัตว์ประเภทหมัด เรือด เห็บ ปลิง ทาก เหา ไร เป็ นต้น
2. การล่าเหย่ ือ เป็ นการอย่ร่วมกันของส่ิงมีชีวิตท่ีชีวิตหน่ ึงต้องตกเป็ นอาหารของอีก
ู
ชีวิต หน่ ง เช่น กวางเป็ นอาหารของสัตว์ ปลาเป็ นอาหารของมนุษย์ ซ่ึงส่ิงมีชีวิตล่าชีวิต
ึ
อ่ ืนเป็ นอาหาร เรียกว่า ผู้ล่า และชีวิตทีต้องตกเป็ นอาหารนั ้น เรียกว่า เหย่ ือ
3. การได้ประโยชน์ร่วมกัน เป็ นการอย่ร่วมกันระหว่างส่ิงมีชีวิต ๒ ชนิ ด ท่ีต่างฝ่ ายต่าง
ู
ได้รับประโยชน์กันและกัน แต่ไม่จำาเป็ นต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา นั่ นคือบางครังอาจอยู่ ้
ด้วยกัน บางครังก็อาจแยกใช้ชีวิตอยู่ตามลำาพังได้ เช่น นกเอียงกับ*** การ
้ ้
5
ท่ีนกเอียงเกาะอย่บนหลัง***นั ้นมันจะจิกกินเห็บให้กับ*** ขณะเดียวกันก็จะส่งเสียง
้ ู
เตือนภัยให้กับความเม่ ือมีศัตรูมาทำาอันตราย***
4. ภาวะแห่งการเก้ือฉั นล เป็ นความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิต ๒ ชนิ ด ท่ีฝ่ายหน่ ึงได้
ประโยชน์ ส่วนอีกฝ่ ายไม่เสียประโยชน์ แต่ก็ไม่ได้ประโยชน์อย่างเช่น กล้วยไม้ป่า ท่ีเกาะ
อยู่ตามเปลือกของต้นไม้ใหญ่ในป่ า อาศัยความช้ืนและธาตุอาหารจากเปลือกไม้ แต่ก็ไม่
ได้ชอนไชรากเข้าไปทำาอันตรายกับลำาต้นของต้นไม้ ต้นไม้จึงไม่เสียผลประโยชน์ แต่ก็ไม่
ได้ประโยชน์จากการเกาะของกล้วยไม้นั้น
5. ภาวะท่ีต้องพ่ ึงพากันและกัน เป็ นการอยู่ร่วมกันของส่ิงมีชีวิต ๒ ชนิ ด ท่ีไม่สามารถ
มีชีวิตอยู่ได้ ถ้าแยกจากกัน เช่นไลเคน ซ่ึงประกอบด้วยราและสาหร่าย สาหร่ายนั ้น
สามารถสร้างอาหารได้เอง แต่ต้องอาศัยความช้ืนจากราและราก็ได้อาหารจากสาหร่าย
6. ภาวะของการสร้างสารปฎิชีวนะ เป็ นการอยู่ร่วมกันของส่ิงมีชีวิตท่ีฝ่ายหน่ ึงไม่ได้รับ
- 6. ประโยชน์ แต่อีกฝ่ ายหน่งต้องเสียประโยชน์เกิดขึ้นเน่ ือง
ึ
7. ภาวะการกีดกัน เป็ นภาวะท่ีการดำารงอยู่ของส่ิงมีชีวิต ไปมีผลต่อการอยู่รอดของส่ิง
มีชีวิตอีกชนิ ดหน่ ึง เช่น ต้นไม้ใหญ่บังแสงไม่ให้ส่องถึงไม้เล็กท่ีอยู่ข้างล่าง ทำาให้ไม้เล็ก
ไม่อาจเติบโตได้
8. ภาวะของการแข่งขัน เป็ นความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิต ๒ ชีวิต ซ่ ึงอาจเป็ นชนิ ด
เดียวกันหรือต่างชนิ ดกัน ท่ีมความต้องการท่ีอยู่อาศัยหรืออาหารอย่างเดียวกันในการ
ี
ดำารงชีวิตและ ปั จจัยดังกล่าวนั ้นมีจำากัด
9. ภาวะการเป็ นกลาง เป็ นการอย่ร่วมกันของส่ิงมีชีวิต ๒ ชีวิตใน ชุมชนเดียวกันแต่
ู
ต่างดำารงชีวิตเป็ นอิสระแก่กนโดยไม่ให้และไม่เสียประโยชน์ ต่อกัน
ั
10. ภาวะการย่อยสลาย เป็ นการดำารงชีวิตของพวกเห็ดรา บัคเตรีท่ีมีชีวิตอยู่ด้วยการ
หลังสารเอนไซม์ออกมานอกร่างกาย เพ่ ือย่อยซากส่ิงมีชีวิตให้เป็ นรูปของเหลว แล้วดูด
่
ซึมเข้าสู่ร่างกาย ในรูปของเหลว