More Related Content
Similar to ประวัติศาสตร์ ม.2
Similar to ประวัติศาสตร์ ม.2 (20)
ประวัติศาสตร์ ม.2
- 4. ครับ สำหรับหลักฐานและองค์ความรู้ประวัติศาสตร์ไทยนั้นก็แบ่งออกเป็น ลักษณะด้วยกัน คือ 1. จารหรือจารึก (1) “ จาร ” หมายถึง การใช้เหล็กแหลมเขียนลงบนใบลานให้เป็นตัวหนังสือ (2) “ จารึก ” หมายถึง การเขียนรอยลึกให้เป็นตัวอักษรบนแผ่นศิลาหรือโลหะ (3) ความหมายของ “ จารึก ” ทางประวัติศาสตร์ หมายถึง บันทึกหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวต่างๆ ของมนุษย์ เป็นการบอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เพื่อให้เป็นหลักฐานแก่คนรุ่นหลัง จารึก เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชั้นต้น ( Primary Sources ) หรือหลักฐานร่วมสมัย ซึ่งผู้จัดทำเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ ลักษณะสำคัญของจารึก คือ (1) มีกำหนดสถานที่ เวลา และผู้จัดทำไว้อย่างชัดเจน (2) ข้อจำกัดของจารึก คือ ภาษาที่ใช้เป็นภาษาโบราณ ซึ่งแปลความหมายให้เข้าใจได้ยากและตัวจารึกมักมีปัญหาความไม่สมบูรณ์ตามสภาพกาลเวลา เช่น ชำรุด แตกหัก หรือลบเลือน เป็นต้น
- 5. 2. ตำนาน 2.1 “ ตำนาน ” คือเรื่องราวที่สืบต่อๆ กันมาเป็นเวลานานหลายชั่วอายุคน ต่อมามีการนำมาบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น ตำนานเมืองหริภุญชัย ตำนานจามเทวีวงศ์ และตำนานสิงหนวัติ เป็นต้น นักวิชาการถือว่า “ ตำนาน ” เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีอายุเก่าแก่มาก 2.2 ข้อมูลหรือเรื่องราวที่ปรากฏในตำนานส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา มีลักษณะเป็นการผสมผสานอย่างกลมกลืนระหว่างข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ นิทานพื้นบ้าน ความเชื่อของคนในท้องถิ่น และสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติ ส่วนใหญ่บันทึกเป็นภาษาบาลี 2.3 เนื้อหาสาระของตำนาน สะท้อนถึงอิทธิพลของพระพุทธศาสนาที่มีต่อสังคมไทย มักจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ การเผยแพร่พระพุทธศาสนาของพระมหากษัตริย์องค์ต่างๆ รวมทั้งเรื่องราวการสร้างบ้านแปลงเมืองในสมัยโบราณ เป็นต้น 2.4 คุณค่าของตำนาน จัดว่าเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่าน้อย เพราะขาดหลักฐาน การอ้างอิงที่หน้าเชื่อถือ ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้แต่ง และมักสอดแทรกเรื่องราวลี้ลับและอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ มากจนไม่น่าเชื่อ แต่เหมาะสำหรับการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
- 6. 3. พงศาวดาร 3.1 หมายถึง การบันทึกเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเทศชาติและพระมหากษัตริย์ เช่น พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ เขียนขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้รับยกย่องว่ามีเนื้อหาสมบูรณ์ที่สุด 3.2 เนื้อหาสาระของพงศาวดาร สะท้อนถึงอิทธิพลของอาณาจักรและบทบาทของพระมหากษัตริย์ เช่น พระราชกรณียกิจด้านการทำสงคราม ละวันเดือนปีที่เกิดเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ เป็นต้น โดยบันทึกเป็นภาษาไทย
- 7. 4. ประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบัน 4.1 งานเขียนประวัติศาสตร์ไทยสมัยปัจจุบันเริ่มมีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา โดยได้รับถ่ายทอดปรัชญาแนวความคิดจากนักประวัติศาสตร์ชาติตะวันตะคนสำคัญ คือ เลโอปอล์ด ฟอน รังเกอ ซึ่งกำหนดให้มี “ วิธีการทางประวัติศาสตร์ ” 4.2 วิธีการทางประวัติศาสตร์ ช่วยให้การศึกษาประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบันมีระเบียบแบบแผนน่าเชื่อถือเน้นการใช้หลักฐาน มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมีเหตุผล เพื่อให้ได้ขอเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องและชัดเจนมากที่สุด 4.3 สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็นผู้นำวิธีศึกษาประวัติศาสตร์แผนใหม่ดังกล่าวมาใช้เป็นพระองค์แรก ทำให้ได้ภาพความจริงเก่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น จึงทรงได้รับยกย่องให้เป็น “ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย ”
- 10. อ่อ ! การใช้หลักฐานศึกษาพัฒนาการของมนุษยชาติ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และสมัยประวัติศาสตร์
- 11. 1. การใช้หลักฐานศึกษาพัฒนาการของมนุษยชาติ “ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ” แหล่งอารยธรรมของมนุษย์ในภูมิภาคต่าง ๆ มีการพัฒนาการความเจริญเร็วหรือช้าไม่เท่ากัน ลักษณะความเจริญในด้านต่างๆ ก็แตกต่างกัน หลักฐานที่นำมาใช้เพื่อศึกษาเรื่องราวความเป็นมาของ “ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ” จึงย่อมแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค อาจจำแนกออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1 โบราณวัตถุ เช่น เครื่องหินขัด ภาชนะเครื่องปั้นดินเผา อาวุธและภาชนะเครื่องใช้ต่างๆ ที่ทำด้วยทองแดง สำริด และเหล็ก ซากโครงสร้างกระดูกมนุษย์ และลูกปัดหินสีต่างๆ เป็นต้น 2 โบราณสถาน เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยหรือสถานที่ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อต่างๆ เช่น ถ้ำ เนผาหิน สถานที่ฝังศพ ซากเนินดินเมืองโบราณ ฯลฯ 3 โบราณศิลปกรรม ได้แก่ ภาพเขียนสีตามผนังถ้ำ และภาพแกะสลักนูนต่ำตามผนังถ้ำ เช่น ภาพเขียนสีที่ผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้นครับ
- 12. การใช้หลักฐานศึกษาพัฒนาการของมนุษยชาติ “ สมัยประวัติศาสตร์ ” มนุษย์ก้าวเข้าสู่ยุค “ สมัยประวัติศาสตร์ ” เมื่อประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้ ซึ่งแหล่งอารยธรรมในภูมิภาคต่างๆ ของโลกต่างเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ ในระยะเวลาไม่พร้อมกัน โดยทราบจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ค้นพบ ในที่นี้ จำแนกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ 1 หลักฐานทางโบราณคดี เช่น โบราณสถานสิ่งก่อสร้างต่างๆ โบราณวัตถุจำพวกอาวุธ ภาชนะเครื่องมือและเครื่องใช้ต่างๆ ที่ทำด้วยเหล็ก โลหะสำริด เครื่องเคลือบ เหรียญตรา ฯลฯ 2 หลักฐานที่เป็นรายลักษณ์อักษร แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ (1) หลักฐานชั้นต้น เป็นอกสารร่วมสมัยซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์นั้นๆ เช่น หลักศิลาจารึก จดหมายเหตุ บันทึกของบุคคลสำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ หนังสือพิมพ์ หนังสือเอกสารของทางราชการ และบทสัมภาษณ์บุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ เป็นต้น (2) หลักฐานชั้นรอง เป็นเอกสารที่จัดทำขึ้นภายหลังเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ เช่น บทความทางวิชาการ งานวิจัยทางประวัติศาสตร์ หนังสือและตำราแบบเรียนทางประวัติศาสตร์ เป็นต้น
- 14. งานเขียนประวัติศาสตร์โบราณ งานเขียนประวัติศาสตร์สมัยโบราณมีลักษณะ ดังนี้ 9.1 งานเขียนสมัยโบราณในระยะแรก มีลักษณะเป็นกึ่งประวัติศาสตร์และตำนานทางศาสนา โดยกล่าวถึงเรื่องราวของพระเจ้ามากกว่ามนุษย์ 9.2 งานเขียนสมัยโบราณระยะหลัง เน้นบทบาทและความสำคัญของมนุษย์มากขึ้นตามความคิดแบบมนุษย์นิยม ซึ่งเชื่อว่ามนุษย์เป็นผู้กำหนดและเปลี่ยนแปลงสังคม มิใช่เกิดจากพระเจ้าเป็นผู้กำหนดเหมือนดังแต่ก่อน 9.3 นักประวัติศาสตร์สมัยโบราณที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คือ เฮโรโดตัส นักปราชญ์ชาวกรีก เป็นผู้ริเริ่มงานเขียนทางประวัติศาสตร์ที่มีเหตุผลน่าเชื่อถือ โดยเน้นบทบาทของมนุษย์ มีการระบุช่วงเวลาและสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์นั้นๆ อย่างชัดเจน จึงได้รับยกย่องให้เป็น “ บิดาแห่งวิชาประวัติศาสตร์ ” ของโลก
- 15. งานเขียนประวัติศาสตร์สมัยกลาง ลักษณะงานเขียนทางประวัติศาสตร์สมัยกลาง มีดังนี้ 1 เน้นรับใช้ศาสนาและพระเจ้า เนื่องจากในช่วงประวัติศาสตร์ “ สมัยกลาง ” คริสต์ศาสนามีอิทธิพลต่อวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษยชาติอย่างมาก ทั้งในหมู่ชนชั้นปกครองและราษฎรในแว่นแคว้นต่างๆ ของยุโรป งานเขียนทางประวัติศาสตร์จึงเน้นเรื่องราวของพระเจ้าและคริสต์จักรเป็นศรัทธาและความจงรักภักดีต่อพระเจ้า 2 นักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของสมัยกลาง คือ นักบุญออกัสติน มีงานเขียนทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ คือ “ เทวนคร ” เน้นให้มนุษย์มีความศรัทธาและจงรักภักดีต่อพระเจ้า
- 16. งานเขียนประวัติศาสตร์สมัยใหม่ งานเขียนประวัติศาสตร์สมัยใหม่มีลักษณะสำคัญ ดังนี้ 1 ได้รับอิทธิพลจากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของมนุษยชาติ ทำให้นักประวัติศาสตร์ให้ความสำคัญกับเหตุผลและหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากขึ้น เพื่อค้นคว้าหาความจริงที่เกดขึ้นในอดีต 2 นักประวัติศาสตร์คนสำคัญของสมัยใหม่ คือ เลโอปอล์ด ฟอน รังเกอ ชาวเยอรมัน โดยเป็นผู้คิด “ ระเบียบวิธีการทางประวัติศาสตร์ ” เพื่อใช้ศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ตามแนวทางวิทยาศาสตร์ ส่งผลให้วิชาประวัติศาสตร์พัฒนาก้าวหน้าไปมากในปัจจุบัน
- 18. ความสัมพันธ์ระหว่างประวัติศาสตร์สมัยโบราณกับสมัยกลาง 1 ประวัติศาสตร์สากล “ สมัยโบราณ ” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอารยธรรมของชนชาติตะวันตก ซึ่งนักประวัติศาสตร์ถือเอาเหตุการณ์ล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก เมื่อปี ค . ศ . 476 เป็นการสิ้นสุดยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ของ “ สมัยโบราณ ” 2 ประวัติศาสตร์สมัยโบราณมีความสัมพันธ์เชื่อมต่อสมัยกลาง โดยข้อเท็จจริงประวัติศาสตร์สมัยโบราณยังไม่สิ้นสุดลงในทันทีทันใด แต่ยังคงมีอารยธรรมในด้านต่างๆ มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมาถึง “ สมัยกลาง ” เฉพาะที่สำคัญ มีดังนี้ (1) มรดกอารยธรรมของจักรวรรดิโรมัน ยังคงมีอิทธิพลต่อเนื่องมาถึง “ สมัยกลาง ” เช่น งานสถาปัตยกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม การปกครอง และศิลปะวิทยาการแขนงต่างๆ (2) คริสต์ศาสนา เมื่อผู้นำของจักรวรรดิโรมันตะวันตกยอมรับนับถือคริสต์ศาสนาอย่างเป็นทางการ ทำให้คริสต์ศาสนามีฐานะมั่นคงและเป็นรากฐานอารยธรรมของชาติตะวันตกหรือยุโรปสืบต่อมา จนเมื่อเข้าสู่ “ สมัยกลาง ” พระสันตะปาปา ประมุขของคริสตจักรที่สำนักวาติกัน มีฐานะ บทบาท ความสำคัญ และมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนและฝ่ายบ้านเมืองอย่างมาก
- 20. มีอยู่ด้วยกัน 2 สมัย คือ 1. ความสัมพันธ์ระหว่างประวัติศาสตร์สมัยอยุธยากับสมัยธนบุรี 1.1 เมื่ออารณจักรกรุงศรีอยุธยาล่มสลาย ในปี พ . ศ . 2310 ถือเป็นการสิ้นสุดอำนาจการปกครองของอาณาจักรหรือราชธานีเดิม แต่อารยธรรมความเจริญของกรุงศรีอยุธยาในด้านต่างๆ มิได้สิ้นสุดลงแต่อย่างใดแต่ได้รับการสืบทอดให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของคนไทยในสมัยธนบุรีและสมัยรัตนโกสินทร์สืบต่อมา 1.2 ประวัติศาสตร์ไทยสมัยธนบุรี ( พ . ศ . 2310-2325) สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพยายามสร้างความเจริญรุ่งเรืองของกรุงธนบุรีให้เหมือนเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เช่น ด้านการปกครอง ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ แต่มีอุปสรรคในด้านต่างๆ เช่น บ้านเมืองติดศึกสงครามไม่ว่างเว้น และฐานะทางเศรษฐกิจ ไม่เอื้ออำนวย เป็นต้น ครับ
- 21. 2. ความสัมพันธ์ระหว่างประวัติศาสตร์สมัยอยุธยากับสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็น ราชธานี เมื่อ พ . ศ . 2325 ทรงตั้งพระทัยจะสร้างราชธานีแห่งใหม่ให้เจริญรุ่งเรืองเหมือนกรุงศรีอยุธยาโดยจำลองรูปแบบความเจริญในด้านต่างๆ ของกรุงศรีอยุธยามาไว้ที่กรุงเทพ ฯ เช่น 2.1 ด้านปกครอง ยังคงใช้รูปแบบการปกครองสมัยอยุธยา เช่น การปกครองแบบจุสดมภ์ในส่วนกลาง และการปกครองหัวเมืองในส่วนภูมิภาค เป็นต้น 2.2 ด้านเศรษฐกิจ การหารายได้เข้าท้องพระคลังหลวงยังคงใช้ระบบการผูกขาดการค้าโดยรัฐโดยการทำหน้าที่ของ “ พระคลังสินค้า ” เหมือนเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี 2.3 ด้านสังคม เน้นให้บ้านเมืองมีสภาพสังคมคล้ายคลึงกับสมัยอยุธยา ดังนี้ (1) ประชาชนอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข โดยชำระกฎหมายใหม่ให้เป็นระเบียบ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสร้างความสงบสุขให้แก่สังคม เรียกว่า “ กฎหมายตราสามดวง ” (2) ความมั่นคงของสถาบันพระพุทธศาสนา เพื่อให้เป็นที่พึ่งทางจิตใจของอาณาประชาราษฎร์ โดยการจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ใหม่ และทำสังคายนาพระไตรปิฎก เป็นต้น