SlideShare a Scribd company logo
1 of 25
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
maruays@hotmail.com
30 พฤษภาคม 2565
Authors: Raymond M. Kethledge and Michael S. Erwin
Published: Jun 13, 2017
Publisher: Bloomsbury Publishing
Lead Yourself First is a book on leadership that highlights the importance of solitude, putting order in your mind and growing
self-awareness before you lead others, and how to do it by setting strong goals which align with those around you, making
them want to follow your lead and take initiative on those defined objectives.
เกริ่นนา
 ภาวะผู้นา (Leadership) เป็นทักษะที่หลายคนสับสนกับการมีอานาจ หรืออานาจที่มาพร้อมกับสถานะ
ทางสังคมบางอย่าง เพราะภาวะผู้นา เป็ นอารมณ์ที่เกิดขึ้ นในจิตใจของผู้นา แล้วถ่ายทอดให้ผู้ติดตาม
รู้สึกเชื่อมโยงภายใต้เป้าหมายเดียวกัน
 ผู้นาทาให้คนของพวกเขาต้องการติดตามและมีส่วนร่วมในการบรรลุเป้าหมายร่วมกัน และผู้นา
กระทาโดยมีจรรยาบรรณและความมั่นใจ
 ผู้นาไม่ได้เป็ นเสมือนเจ้านายผู้กาหนดงาน แต่อธิบายงานนั้นแล้วมอบหมายงานให้ผู้ติดตาม
 การจะเป็ นผู้นาได้นั้น ก่อนอื่น ต้องเรียนรู้วิธีจัดการกับความคิดและความไม่มั่นคงของตนเอง
ภาวะผู้นา
 การเป็ นผู้นานั้นยาก และมักจะรู้สึกเหงา
 ผู้นาต้องอาศัยความเชื่อมั่นส่วนบุคคล สร้างฉันทามติ ท้าทายข้อตกลงหรือระบบราชการ และมัก
เผชิญความไม่พอใจของคนบางคน ในการทางานเพื่อส่วนรวม
 คุณจะต้องฝึกฝนการยืนหยัดในสถานการณ์วิกฤต อยู่เคียงกับผู้อื่นในขณะที่คุณพิจารณาหนทาง
ข้างหน้าอย่างมีสติสัมปชัญญะ
การอยู่เพียงลาพัง
 การอยู่เพียงลาพัง (Solitude) ย่อมให้ความกระจ่างว่า เส้นทางที่ง่ายเป็นเส้นทางที่ผิด และการอยู่
เพียงลาพังผสมผสานกับจิตใจและจิตวิญญาณ ทาให้เกิดความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งขึ้นในตัวผู้นา ซึ่งจะ
ทาให้เขา/เธอมีความกล้าหาญทางศีลธรรม ที่ไม่ยอมคล้อยตามและยอมรับผลที่ตามมา
 การอยู่เพียงลาพัง ตามที่ผู้ประพันธ์ให้คาจากัดความไว้ว่าว่า (ไม่จาเป็นต้องถอยกลับไปสู่ธรรมชาติ
เพื่อไตร่ตรอง แม้ว่ามันอาจจะเป็นไปได้) เป็นสภาวะของจิตวิสัย ที่จิตแยกจากความคิดของผู้อื่น
แล้วพินิจพิจารณาแก้ปัญหานั้นด้วยตัวเอง
การอยู่เพียงลาพัง (ต่อ)
 การอยู่เพียงลาพังในแง่นี้ ไม่ได้เป็ นเพียงการแยกตัวจากผู้อื่นหรือการอยู่ร่วมกับธรรมชาติเท่านั้น
 การอยู่เพียงลาพัง ที่ใช้ในที่นี้ พบได้โดยง่ายขณะนั่งอยู่คนเดียวในร้านอาหาร หรือบนภูเขา แล้วเกิด
แนวคิดที่ไม่ใช่ แนวคิดเชิงรูปธรรม (objective concept) แต่เป็น แนวคิดเชิงความคิดเห็น
(subjective concept) ซึ่งเป็นสภาวะของจิตใจที่แยกออกจากข้อมูลความคิดเห็นของผู้อื่น แล้วเกิดการ
แก้ปัญหาด้วยตัวเอง
 หรือการอยู่เพียงลาพัง อาจเกิดเป็นช่วงๆ ไม่ต่อเนื่องก็ได้ เช่น คนที่กาลังอ่านหนังสือ (ซึ่งแน่นอนว่า
เป็นการรวบรวมความคิดของคนอื่น) แล้วหยุดคิดเป็ นครั้งคราว เพื่อพิจารณาความหมายของ
ข้อความ
การอยู่เพียงลาพังถูกปิดล้อม
 แต่ในทุกวันนี้ การอยู่เพียงลาพังอยู่ภายใต้การถูกปิดล้อม เพราะการเชื่อมต่อและการทางานร่วมกัน
อย่างต่อเนื่อง ที่ถูกมองอย่างกว้างขวางว่า เป็นอุดมคติในสถานที่ทางานในปัจจุบัน
 เทคโนโลยีเครือข่ายใหม่ ๆ การจัดการโครงการ และเครื่องมือส่งข้อความ มีการใช้ในองค์กรด้วย
ความเร็วที่ทาให้บุคลากรเรียนรู้ได้ยากลาบาก ทาให้ผู้ที่ต้องการแสวงหาเวลาสาหรับตัวเอง ถูกมอง
ด้วยความสงสัย ราวกับว่าพวกเขาไม่ใช่บุคคลในทีม ต่อต้านสังคม เป็นผู้ผิด
 อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์พกพาติดตัวที่เรารู้สึกว่าขาดไม่ได้ ให้ข้อมูลและความบันเทิงในปริมาณที่นับ
ไม่ถ้วน ทาให้เราทุกคนหันมามองโทรศัพท์เป็นประจา ซึ่ง Kethledge และ Erwin (ผู้ประพันธ์) เตือน
เราว่า เราสามารถเลือกที่จะวางมันลง และให้เวลาสาหรับการอยู่เพียงลาพังในชีวิตของเรา พวกเขา
ยืนกรานว่า ผู้นามีหน้าที่ต้องทาเช่นนั้น
ผลของการอยู่เพียงลาพัง
 การอยู่เพียงลาพัง แตกต่างจากการทาสมาธิและการวิ่ง ไปจนถึงการเขียนและการไตร่ตรองอย่างสงบ
แต่ได้ผลลัพธ์ก็เหมือนกันคือ การปราศจากความฟุ้งซ่านและการป้อนข้อมูลโดยตรงจากผู้อื่น เพื่อให้
ความคิดได้สังเคราะห์และเชื่อมต่อกับเสียงภายในของคุณ นาทาง และให้ความมั่นใจแก่คุณ เพื่อ
เชื่อมต่อกับบางสิ่งในตัวคุณ และบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวคุณเอง
 ผลของการอยู่เพียงลาพัง ให้ความชัดเจนในการวิเคราะห์ สัญชาตญาณ ความคิดสร้างสรรค์ ความ
สมดุลทางอารมณ์ การยอมรับ การระบาย ความใจกว้าง และความกล้าหาญทางศีลธรรม (analytical
clarity, intuition, creativity, emotional balance, acceptance, catharsis, magnanimity, and moral
courage)
ประโยชน์ของการอยู่เพียงลาพัง
 โครงสร้างของหนังสือเล่มนี้ เน้นประโยชน์ของการอยู่เพียงลาพังสี่ประการคือ ความชัดเจน ความคิด
สร้างสรรค์ ความสมดุลทางอารมณ์ และความกล้าหาญทางศีลธรรม (clarity, creativity, emotional
balance, and moral courage)
 แม้ว่าผลสองประการแรกจะเป็นคุณสมบัติที่สาคัญสาหรับผู้นา แต่ผลสองประการหลังควรได้รับการ
เน้นย้า เพราะเป็นคุณลักษณะและการมีอยู่ของผู้นา
 บทเรียนที่ได้คือ ให้เวลากับการอยู่เพียงลาพัง ถอดปลั๊กไฟ กาหนดการที่มีพื้นที่ว่าง ๆ เป็นสิ่งที่คุ้มค่า
สาหรับผู้นาและผู้ติดตาม เพราะความคิดสร้างสรรค์ ความชัดเจน ความสมดุลทางอารมณ์ และ
ความกล้าหาญทางศีลธรรม ไม่ได้เกิดขึ้ นเอง แต่เป็ นสิ่งที่ควรจะแสวงหา
ความชัดเจน
 ความชัดเจน เป็ นสิ่งยากสาหรับผู้นาที่จะได้รับ เพราะความซับซ้อนที่มากขึ้ นกว่าเดิมคือ ข้อมูลล้นเกิน
(information overload) ซึ่งผู้นาถูกบุกรุกด้วยข้อมูลนาเข้า (ผ่านอีเมล การประชุม และโทรศัพท์) ซึ่งจะ
ทาให้เสียสมาธิและรบกวนความคิดของเขา
 การอยู่เพียงลาพัง ทาให้ผู้นาได้รับความชัดเจนมากขึ้ น ผู้นาที่สงบจิตใจของเขาจากสิ่งรบกวนภายนอก
แต่ภายในนั้น สามารถได้ยินเสียงอันละเอียดอ่อนของสัญชาตญาณ ซึ่งอาจสร้างความเชื่อมโยงกับ
จิตสานึกของเขา
 ผู้นาที่สร้างแรงบันดาลใจมากที่สุด คือผู้ที่ค้นพบความชัดเจนของความหมายของงานที่ทาอยู่
ความคิดสร้างสรรค์
 หากความชัดเจนใช้เพื่อระบุว่า ตัวเลือกใดที่มีอยู่จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดสาหรับผู้นา ความคิด
สร้างสรรค์ จะพัฒนาความเป็นไปได้ที่ผู้นาไม่เคยรู้มาก่อน
 ตามที่ Mihaly Csikszentmihalyi อธิบายไว้ในหนังสือเรื่อง Creativity ว่า ผลงานที่สร้างสรรค์หรือแนวคิด
ขึ้ นอยู่กับการปฏิเสธบรรทัดฐานที่กาหนดไว้มาก่อน บางครั้งงานสร้างสรรค์ไม่ใช่เพราะปฏิเสธสิ่งที่มีมา
ก่อน แต่เพราะว่ามีเนื้ อหาใหม่ และในบางครั้งความคิดสร้างสรรค์เกิดเพราะมีพื้นฐานมาจากการ
เชื่อมต่อระหว่างสิ่งที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันในตอนแรก
 เช่นเดียวกับความชัดเจน เส้นทางโดยสัญชาตญาณสู่ความคิดสร้างสรรค์ เป็นงานที่เป็นไปได้สาหรับผู้นา
หากเพียงแต่เขาจะหยุดเพื่อฟัง
สมดุลทางอารมณ์
 ผู้นาที่มีประสิทธิภาพคือบุคคลที่สามารถรักษาสมดุลและไตร่ตรองได้ ในขณะที่ผู้คนจานวนมากรอบตัวมี
ปฏิกิริยาตอบสนอง นายพลนาวิกโยธินสี่ดาว James Mattisที่เกษียณอายุแล้วกล่าว ถ้าผมจะสรุปปัญหา
ที่ใหญ่ที่สุดเพียงปัญหาเดียวของผู้นาระดับสูงในยุคข้อมูลข่าวสารคือ ขาดการไตร่ตรอง (lack of
reflection) เขากล่าว เราต้องการอยู่เพียงลาพัง เพื่อมุ่งความสนใจไปที่การตัดสินใจในอนาคต มากกว่า
ที่จะตอบสนองต่อปัญหาที่เกิดขึ้ นทันที คุณมีแรงกระตุ้นจากภายนอก จากนั้นคุณกลับไปสู่ประสบการณ์
การศึกษาของคุณ แล้วคุณจะเห็นว่าต้องทาอะไร
 ผู้นาทุกระดับในทุกวันนี้ รู้สึกถึงแรงกดดันจากภายนอกและภายในหากไม่มีการจัดการ แรงกดดันที่เพิ่ม
มากขึ้ น อาจทาให้ผู้นาเกิดความอ่อนแอทางอารมณ์ ผู้ประพันธ์ให้เหตุผลว่า การอยู่เพียงลาพัง ทาหน้าที่
เป็น "วาล์วระบายแรงดัน (a pressure-relief valve)"
ความกล้าหาญทางศีลธรรม
 การตัดสินใจของผู้นาบางอย่างทาให้เกิดผลกระทบมาก บ่อยครั้งที่จะอยู่ในรูปแบบของการถูกวิจารณ์ทาง
ศีลธรรม ซึ่งฝ่ ายตรงข้ามไม่เพียงวิพากษ์วิจารณ์ผลการตัดสินใจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบุคคลผู้ที่กล้า
ตัดสินใจนั้นด้วย
 ประเด็นหลักของการวิพากษ์วิจารณ์ด้านศีลธรรมคือ ต้องการบังคับให้เกิดความสอดคล้อง (กับความคิด
ของตนว่าถูก) และเพื่อป้องกันผู้นาจากการตัดสินใจเหล่านั้นตั้งแต่แรก
 ความกล้าหาญทางศีลธรรม คือสิ่งที่ช่วยให้ผู้นาทาได้ ซึ่งไม่เพียงต้องการความชัดเจนเท่านั้น แต่ยัง
ต้องการความเชื่อมั่นด้วย และเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและความกล้าหาญทางศีลธรรม ผู้นาต้องมีส่วน
ร่วมกับจิตวิญญาณของเขา
3 บทเรียนจากหนังสือ
 1. ผู้นาที่ยิ่งใหญ่ใช้การอยู่เพียงลาพัง จัดการกับสี่ด้านของชีวิต (Great leaders use solitude to deal
with four aspects of their life)
 2. ความกลัวที่จะพลาด (FOMO - Fear Of Missing Out) เป็นกับดักอันตรายสาหรับทุกคนที่จริงจังกับ
ความรับผิดชอบของตน (FOMO is a dangerous trap for anyone who is serious about their
responsibilities)
 3. การอยู่เพียงลาพัง สามารถช่วยบรรเทาอารมณ์เชิงลบและสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ (Solitude can help
you alleviate negative emotions and triggers)
บทที่ 1: การอยู่เพียงลาพังคือความสุข หากคุณยอมรับ และเรียนรู้ที่จะใช้ในการควบคุมมุมมองสี่ด้านที่
สาคัญของชีวิต
 การอยู่เพียงลาพัง เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดของผู้นา
 ทาไมหรือ เพราะมันช่วยให้มีเวลาสาหรับจิตใจ ที่จะดาเนินการกระบวนการทางปัญญาที่ลึกซึ้ งยิ่งขึ้ น
 บ่อยครั้ง สิ่งนี้ นาไปสู่การค้นพบที่ล้าหน้าและการประสานงานของกิจกรรมที่ดีขึ้น ถ้าเรายอมรับและ
เลือกที่จะไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกทั้งหมด (หรือคลื่นสึนามิของปัจจัยนาเข้า ตามที่ผู้ประพันธ์
เรียกสิ่งเหล่านั้น)
บทที่ 1 (ต่อ)
 ตั้งแต่การตอบกลับอีเมลไปจนถึงการแจ้งเตือนแบบต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็ นส่วนหนึ่งที่ผู้นายุคใหม่
พยายามตอบสนองให้สาเร็จ น่าเสียดาย ที่มันทาให้ผลิตภาพและความคิดสร้างสรรค์ลดลง รวมถึง
ความวิตกกังวลและความหงุดหงิดที่เพิ่มขึ้ นด้วย
 ดังนั้น ในหนังสือจึงแนะนาให้ใช้การอยู่เพียงลาพังเพื่อให้ได้ประโยชน์ใน 4 ด้าน คือ ความชัดเจน
ความคิดสร้างสรรค์ ความสมดุลทางอารมณ์ และความกล้าหาญทางศีลธรรม (clarity, creativity,
emotional balance, and moral courage)
บทที่ 1 (ต่อ)
 เนื่องจากจุดประสงค์ของหนังสือเล่มนี้ คือการช่วยให้คุณเป็ นผู้นาที่ดีขึ้ น ความชัดเจน หมายถึงการปิด
การเชื่อมต่อของคุณกับโลกภายนอกเป็ นครั้งคราว เพื่อให้คุณมีเวลาในการเติมพลังและมีมุมมองที่
ชัดเจนยิ่งขึ้ น
 การรบกวนสมาธิอย่างต่อเนื่องอาจทาให้คุณเสียสมดุล และคุณไม่ควรทนต่อไป
 การนั่งอยู่เพียงคนเดียวและฝึกวิปัสสนา คือสิ่งที่ผู้นาที่ยิ่งใหญ่ทา และการกระทาเช่นนั้นจะช่วยให้
แนวคิดดีๆ มาสู่คุณได้ง่ายขึ้ น
บทที่ 2: เอาชนะความกลัวที่จะพลาด และมุ่งความสนใจไปที่งานของคุณ
 ความกลัวที่จะพลาด (FOMO - fear of missing out) ทาให้คนจานวนมากอยู่ในวงจรอุบาทว์ ที่พวกเขา
พบว่ายากที่จะทาลายและมักอ้างด้วยเหตุผลต่างๆ ! สิ่งเร้าที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องที่ทาให้เราต้อง
ตรวจสอบ เช่น การแจ้งเตือนแบบป๊ อปอัป อีเมล ข่าวสาร และเราจะรู้สึกแย่เมื่อเราไม่ได้ตรวจดู
 มีกี่คนที่ยอมรับตรงๆ ได้ว่า ถ้าได้รับข้อความมาถึงแล้วคุณจะไม่รีบเข้าไปดู? มีไม่มาก! อย่างไรก็
ตาม เมื่อเราทางานหรือทาธุระบางอย่าง FOMO สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของเราจากงานได้ ซึ่ง
อาจส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ของงานที่ไม่ดี
บทที่ 2 (ต่อ)
 ดังนั้น หากคุณคิดว่าคุณสามารถทางานหลายอย่างพร้อมกันได้ คุณควรคิดใหม่อีกครั้ง
 ผู้ประพันธ์มั่นใจว่า คุณควรมุ่งเน้นไปที่งานของคุณ 100% และอย่าปล่อยให้สิ่งเร้าภายนอกมา
เกี่ยวข้อง มิฉะนั้น ผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายของคุณจะมีคุณภาพต่า
 ความคิดสร้างสรรค์และความฉลาดทางอารมณ์ของเรา จะเติบโตขึ้ นเมื่อมีการอยู่เพียงลาพัง และ
สมองของเรามี ช่วงเวลาแห่งการพักหายใจ เพื่อติดตามความคิดและข้อมูลเชิงลึก
บทที่ 2 (ต่อ)
 การปิดโทรศัพท์และการห้ามสิ่งรบกวน จะเป็นประโยชน์อย่างมากในระยะยาว แม้เราจะรู้สึกว่าเรา
จะพลาดการอัปเดตที่สาคัญ
 สงบสติอารมณ์จากความคิดที่ว่าคุณกาลังพลาด โดยบอกตัวเองว่า คุณสามารถตามทันได้ทุกเมื่อ
 ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากคุณดึงตัวเองออกจากโลกภายนอกสักครู่เป็ นครั้งคราว
บทที่ 3: ผู้นาทั่วโลกใช้การอยู่เพียงลาพังเป็นที่หลบภัยเพื่อรักษาและกลับมาแข็งแกร่งขึ้ น คุณก็เช่นกัน
 หากคุณดูบุคคลสาคัญในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ คุณจะสังเกตเห็นความคล้ายคลึงของรูปแบบทั่วไป
บางประการ เหนือสิ่งอื่นใด ผู้นาที่มีความกล้าทั้งในด้านความคิดและความพยายาม ไม่กลัวที่จะพูดสิ่ง
ที่เขาคิด และพวกเขามักจะฝึกการอยู่เพียงลาพัง
 อันที่จริง การปล่อยวางจิตใจ และปล่อยใจให้ประสานกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้ น รวมทั้งร่างกายและจิต
วิญญาณของพวกเขา คือสิ่งสร้างความแข็งแกร่งและความกล้าหาญแก่พวกเขา
 ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ การแยกตัวเองออกจากปัจจัยที่รบกวนการทางานของคุณเป็ นสิ่งสาคัญอย่าง
ยิ่ง อย่างไรก็ตาม บางครั้งก็เป็ นเรื่องยากเมื่อคุณพยายามฝึกฝนการอยู่เพียงลาพัง นั่นคือตัวคุณเอง
บทที่ 3 (ต่อ)
 ถูกต้องแล้ว การทาจิตให้กระจ่างขึ้ นจากภายใน และการห้ามปัจจัยภายนอก เป็ นส่วนเสริมกัน
 จิตใจที่ว้าวุ่น การคิดมาก และอารมณ์ด้านลบ ล้วนสามารถแทรกแซงและรบกวนจิตใจเราได้ ด้วย
เหตุนี้ ขอแนะนาให้ทาสมาธิในการอยู่เพียงลาพัง
 ซึ่งที่จริงแล้ว วิธีการใดๆ ที่ทาให้จิตใจของคุณหยุดเครียดหรือหยุดคิดอยู่ตลอดเวลานั้น ล้วนแต่มี
ประโยชน์
บทที่ 3 (ต่อ)
 การดูเฝ้าดูลมหายใจทางานเป็นสิ่งน่าทึ่ง และเป็นเวลาที่ใช้เพื่อสะท้อนชีวิตและจิตวิญญาณภายใน
 เช่นเดียวกันกับผู้นาที่ยิ่งใหญ่ทั่วโลกและบุคคลในประวัติศาสตร์ ที่ได้ให้การสนับสนุนแนวทางปฏิบัติ
ดังกล่าวมาโดยตลอด การอยู่เพียงลาพังทาให้พวกเขาเปิ ดสมองด้านที่สร้างสรรค์มากขึ้น
 นอกจากนี้ การอยู่เพียงลาพัง ยังทาให้มีพื้นที่ว่างมากขึ้ นสาหรับแนวคิดดีๆ ที่จะเกิดขึ้ น
บทสรุป
 Lead Yourself First เป็นแนวทางสาหรับผู้นาและผู้ที่กาลังแสวงหาการเป็นผู้นา เป็นการบอกถึงวิธี
ค้นหาความมั่นใจ และมุมมองที่เป็นประโยชน์จากการอยู่เพียงลาพัง
 ด้วยการเรียนรู้วิธีการปิดเสียงรบกวนที่ไม่จาเป็นจากภายนอกและภายใน ผู้นาสามารถใช้พลังของ
ตนเองเพื่อค้นพบข้อมูลเชิงลึกที่ยอดเยี่ยม ความชัดเจน พัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ และหล่อเลี้ยง
ความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขา
- Kristen Butler

More Related Content

More from maruay songtanin

100 อสาตรูปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
100 อสาตรูปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....100 อสาตรูปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
100 อสาตรูปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
098 กูฏวาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
098 กูฏวาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...098 กูฏวาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
098 กูฏวาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
097 นามสิทธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
097 นามสิทธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...097 นามสิทธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
097 นามสิทธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
096 เตลปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
096 เตลปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....096 เตลปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
096 เตลปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
095 มหาสุทัศนะชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
095 มหาสุทัศนะชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...095 มหาสุทัศนะชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
095 มหาสุทัศนะชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
094 โลมหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
094 โลมหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....094 โลมหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
094 โลมหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
093 วิสสาสโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
093 วิสสาสโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...093 วิสสาสโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
093 วิสสาสโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
092 มหาสารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
092 มหาสารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx092 มหาสารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
092 มหาสารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
091 ลิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
091 ลิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx091 ลิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
091 ลิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
090 อกตัญญุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
090 อกตัญญุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....090 อกตัญญุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
090 อกตัญญุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
089 กุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
089 กุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx089 กุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
089 กุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
087 มังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
087 มังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx087 มังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
087 มังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
085 กิมปักกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
085 กิมปักกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....085 กิมปักกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
085 กิมปักกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
084 อัตถัสสทวารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
084 อัตถัสสทวารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...084 อัตถัสสทวารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
084 อัตถัสสทวารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...maruay songtanin
 
083 กาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
083 กาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...083 กาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
083 กาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
082 มิตตวินทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
082 มิตตวินทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...082 มิตตวินทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
082 มิตตวินทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
081 สุราปานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
081 สุราปานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....081 สุราปานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
081 สุราปานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
080 ภีมเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
080 ภีมเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx080 ภีมเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
080 ภีมเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

100 อสาตรูปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
100 อสาตรูปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....100 อสาตรูปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
100 อสาตรูปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
098 กูฏวาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
098 กูฏวาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...098 กูฏวาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
098 กูฏวาณิชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
097 นามสิทธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
097 นามสิทธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...097 นามสิทธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
097 นามสิทธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
096 เตลปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
096 เตลปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....096 เตลปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
096 เตลปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
095 มหาสุทัศนะชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
095 มหาสุทัศนะชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...095 มหาสุทัศนะชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
095 มหาสุทัศนะชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
094 โลมหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
094 โลมหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....094 โลมหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
094 โลมหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
093 วิสสาสโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
093 วิสสาสโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...093 วิสสาสโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
093 วิสสาสโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
092 มหาสารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
092 มหาสารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx092 มหาสารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
092 มหาสารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
091 ลิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
091 ลิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx091 ลิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
091 ลิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
090 อกตัญญุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
090 อกตัญญุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....090 อกตัญญุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
090 อกตัญญุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
089 กุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
089 กุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx089 กุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
089 กุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
087 มังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
087 มังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx087 มังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
087 มังคลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
085 กิมปักกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
085 กิมปักกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....085 กิมปักกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
085 กิมปักกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
084 อัตถัสสทวารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
084 อัตถัสสทวารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...084 อัตถัสสทวารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
084 อัตถัสสทวารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
 
083 กาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
083 กาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...083 กาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
083 กาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
082 มิตตวินทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
082 มิตตวินทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...082 มิตตวินทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
082 มิตตวินทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
081 สุราปานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
081 สุราปานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....081 สุราปานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
081 สุราปานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
080 ภีมเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
080 ภีมเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx080 ภีมเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
080 ภีมเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 

นำตนเองก่อน Lead Yourself First.pptx

  • 2. Authors: Raymond M. Kethledge and Michael S. Erwin Published: Jun 13, 2017 Publisher: Bloomsbury Publishing Lead Yourself First is a book on leadership that highlights the importance of solitude, putting order in your mind and growing self-awareness before you lead others, and how to do it by setting strong goals which align with those around you, making them want to follow your lead and take initiative on those defined objectives.
  • 3. เกริ่นนา  ภาวะผู้นา (Leadership) เป็นทักษะที่หลายคนสับสนกับการมีอานาจ หรืออานาจที่มาพร้อมกับสถานะ ทางสังคมบางอย่าง เพราะภาวะผู้นา เป็ นอารมณ์ที่เกิดขึ้ นในจิตใจของผู้นา แล้วถ่ายทอดให้ผู้ติดตาม รู้สึกเชื่อมโยงภายใต้เป้าหมายเดียวกัน  ผู้นาทาให้คนของพวกเขาต้องการติดตามและมีส่วนร่วมในการบรรลุเป้าหมายร่วมกัน และผู้นา กระทาโดยมีจรรยาบรรณและความมั่นใจ  ผู้นาไม่ได้เป็ นเสมือนเจ้านายผู้กาหนดงาน แต่อธิบายงานนั้นแล้วมอบหมายงานให้ผู้ติดตาม  การจะเป็ นผู้นาได้นั้น ก่อนอื่น ต้องเรียนรู้วิธีจัดการกับความคิดและความไม่มั่นคงของตนเอง
  • 4. ภาวะผู้นา  การเป็ นผู้นานั้นยาก และมักจะรู้สึกเหงา  ผู้นาต้องอาศัยความเชื่อมั่นส่วนบุคคล สร้างฉันทามติ ท้าทายข้อตกลงหรือระบบราชการ และมัก เผชิญความไม่พอใจของคนบางคน ในการทางานเพื่อส่วนรวม  คุณจะต้องฝึกฝนการยืนหยัดในสถานการณ์วิกฤต อยู่เคียงกับผู้อื่นในขณะที่คุณพิจารณาหนทาง ข้างหน้าอย่างมีสติสัมปชัญญะ
  • 5. การอยู่เพียงลาพัง  การอยู่เพียงลาพัง (Solitude) ย่อมให้ความกระจ่างว่า เส้นทางที่ง่ายเป็นเส้นทางที่ผิด และการอยู่ เพียงลาพังผสมผสานกับจิตใจและจิตวิญญาณ ทาให้เกิดความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งขึ้นในตัวผู้นา ซึ่งจะ ทาให้เขา/เธอมีความกล้าหาญทางศีลธรรม ที่ไม่ยอมคล้อยตามและยอมรับผลที่ตามมา  การอยู่เพียงลาพัง ตามที่ผู้ประพันธ์ให้คาจากัดความไว้ว่าว่า (ไม่จาเป็นต้องถอยกลับไปสู่ธรรมชาติ เพื่อไตร่ตรอง แม้ว่ามันอาจจะเป็นไปได้) เป็นสภาวะของจิตวิสัย ที่จิตแยกจากความคิดของผู้อื่น แล้วพินิจพิจารณาแก้ปัญหานั้นด้วยตัวเอง
  • 6. การอยู่เพียงลาพัง (ต่อ)  การอยู่เพียงลาพังในแง่นี้ ไม่ได้เป็ นเพียงการแยกตัวจากผู้อื่นหรือการอยู่ร่วมกับธรรมชาติเท่านั้น  การอยู่เพียงลาพัง ที่ใช้ในที่นี้ พบได้โดยง่ายขณะนั่งอยู่คนเดียวในร้านอาหาร หรือบนภูเขา แล้วเกิด แนวคิดที่ไม่ใช่ แนวคิดเชิงรูปธรรม (objective concept) แต่เป็น แนวคิดเชิงความคิดเห็น (subjective concept) ซึ่งเป็นสภาวะของจิตใจที่แยกออกจากข้อมูลความคิดเห็นของผู้อื่น แล้วเกิดการ แก้ปัญหาด้วยตัวเอง  หรือการอยู่เพียงลาพัง อาจเกิดเป็นช่วงๆ ไม่ต่อเนื่องก็ได้ เช่น คนที่กาลังอ่านหนังสือ (ซึ่งแน่นอนว่า เป็นการรวบรวมความคิดของคนอื่น) แล้วหยุดคิดเป็ นครั้งคราว เพื่อพิจารณาความหมายของ ข้อความ
  • 7. การอยู่เพียงลาพังถูกปิดล้อม  แต่ในทุกวันนี้ การอยู่เพียงลาพังอยู่ภายใต้การถูกปิดล้อม เพราะการเชื่อมต่อและการทางานร่วมกัน อย่างต่อเนื่อง ที่ถูกมองอย่างกว้างขวางว่า เป็นอุดมคติในสถานที่ทางานในปัจจุบัน  เทคโนโลยีเครือข่ายใหม่ ๆ การจัดการโครงการ และเครื่องมือส่งข้อความ มีการใช้ในองค์กรด้วย ความเร็วที่ทาให้บุคลากรเรียนรู้ได้ยากลาบาก ทาให้ผู้ที่ต้องการแสวงหาเวลาสาหรับตัวเอง ถูกมอง ด้วยความสงสัย ราวกับว่าพวกเขาไม่ใช่บุคคลในทีม ต่อต้านสังคม เป็นผู้ผิด  อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์พกพาติดตัวที่เรารู้สึกว่าขาดไม่ได้ ให้ข้อมูลและความบันเทิงในปริมาณที่นับ ไม่ถ้วน ทาให้เราทุกคนหันมามองโทรศัพท์เป็นประจา ซึ่ง Kethledge และ Erwin (ผู้ประพันธ์) เตือน เราว่า เราสามารถเลือกที่จะวางมันลง และให้เวลาสาหรับการอยู่เพียงลาพังในชีวิตของเรา พวกเขา ยืนกรานว่า ผู้นามีหน้าที่ต้องทาเช่นนั้น
  • 8. ผลของการอยู่เพียงลาพัง  การอยู่เพียงลาพัง แตกต่างจากการทาสมาธิและการวิ่ง ไปจนถึงการเขียนและการไตร่ตรองอย่างสงบ แต่ได้ผลลัพธ์ก็เหมือนกันคือ การปราศจากความฟุ้งซ่านและการป้อนข้อมูลโดยตรงจากผู้อื่น เพื่อให้ ความคิดได้สังเคราะห์และเชื่อมต่อกับเสียงภายในของคุณ นาทาง และให้ความมั่นใจแก่คุณ เพื่อ เชื่อมต่อกับบางสิ่งในตัวคุณ และบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวคุณเอง  ผลของการอยู่เพียงลาพัง ให้ความชัดเจนในการวิเคราะห์ สัญชาตญาณ ความคิดสร้างสรรค์ ความ สมดุลทางอารมณ์ การยอมรับ การระบาย ความใจกว้าง และความกล้าหาญทางศีลธรรม (analytical clarity, intuition, creativity, emotional balance, acceptance, catharsis, magnanimity, and moral courage)
  • 9. ประโยชน์ของการอยู่เพียงลาพัง  โครงสร้างของหนังสือเล่มนี้ เน้นประโยชน์ของการอยู่เพียงลาพังสี่ประการคือ ความชัดเจน ความคิด สร้างสรรค์ ความสมดุลทางอารมณ์ และความกล้าหาญทางศีลธรรม (clarity, creativity, emotional balance, and moral courage)  แม้ว่าผลสองประการแรกจะเป็นคุณสมบัติที่สาคัญสาหรับผู้นา แต่ผลสองประการหลังควรได้รับการ เน้นย้า เพราะเป็นคุณลักษณะและการมีอยู่ของผู้นา  บทเรียนที่ได้คือ ให้เวลากับการอยู่เพียงลาพัง ถอดปลั๊กไฟ กาหนดการที่มีพื้นที่ว่าง ๆ เป็นสิ่งที่คุ้มค่า สาหรับผู้นาและผู้ติดตาม เพราะความคิดสร้างสรรค์ ความชัดเจน ความสมดุลทางอารมณ์ และ ความกล้าหาญทางศีลธรรม ไม่ได้เกิดขึ้ นเอง แต่เป็ นสิ่งที่ควรจะแสวงหา
  • 10. ความชัดเจน  ความชัดเจน เป็ นสิ่งยากสาหรับผู้นาที่จะได้รับ เพราะความซับซ้อนที่มากขึ้ นกว่าเดิมคือ ข้อมูลล้นเกิน (information overload) ซึ่งผู้นาถูกบุกรุกด้วยข้อมูลนาเข้า (ผ่านอีเมล การประชุม และโทรศัพท์) ซึ่งจะ ทาให้เสียสมาธิและรบกวนความคิดของเขา  การอยู่เพียงลาพัง ทาให้ผู้นาได้รับความชัดเจนมากขึ้ น ผู้นาที่สงบจิตใจของเขาจากสิ่งรบกวนภายนอก แต่ภายในนั้น สามารถได้ยินเสียงอันละเอียดอ่อนของสัญชาตญาณ ซึ่งอาจสร้างความเชื่อมโยงกับ จิตสานึกของเขา  ผู้นาที่สร้างแรงบันดาลใจมากที่สุด คือผู้ที่ค้นพบความชัดเจนของความหมายของงานที่ทาอยู่
  • 11. ความคิดสร้างสรรค์  หากความชัดเจนใช้เพื่อระบุว่า ตัวเลือกใดที่มีอยู่จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดสาหรับผู้นา ความคิด สร้างสรรค์ จะพัฒนาความเป็นไปได้ที่ผู้นาไม่เคยรู้มาก่อน  ตามที่ Mihaly Csikszentmihalyi อธิบายไว้ในหนังสือเรื่อง Creativity ว่า ผลงานที่สร้างสรรค์หรือแนวคิด ขึ้ นอยู่กับการปฏิเสธบรรทัดฐานที่กาหนดไว้มาก่อน บางครั้งงานสร้างสรรค์ไม่ใช่เพราะปฏิเสธสิ่งที่มีมา ก่อน แต่เพราะว่ามีเนื้ อหาใหม่ และในบางครั้งความคิดสร้างสรรค์เกิดเพราะมีพื้นฐานมาจากการ เชื่อมต่อระหว่างสิ่งที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันในตอนแรก  เช่นเดียวกับความชัดเจน เส้นทางโดยสัญชาตญาณสู่ความคิดสร้างสรรค์ เป็นงานที่เป็นไปได้สาหรับผู้นา หากเพียงแต่เขาจะหยุดเพื่อฟัง
  • 12. สมดุลทางอารมณ์  ผู้นาที่มีประสิทธิภาพคือบุคคลที่สามารถรักษาสมดุลและไตร่ตรองได้ ในขณะที่ผู้คนจานวนมากรอบตัวมี ปฏิกิริยาตอบสนอง นายพลนาวิกโยธินสี่ดาว James Mattisที่เกษียณอายุแล้วกล่าว ถ้าผมจะสรุปปัญหา ที่ใหญ่ที่สุดเพียงปัญหาเดียวของผู้นาระดับสูงในยุคข้อมูลข่าวสารคือ ขาดการไตร่ตรอง (lack of reflection) เขากล่าว เราต้องการอยู่เพียงลาพัง เพื่อมุ่งความสนใจไปที่การตัดสินใจในอนาคต มากกว่า ที่จะตอบสนองต่อปัญหาที่เกิดขึ้ นทันที คุณมีแรงกระตุ้นจากภายนอก จากนั้นคุณกลับไปสู่ประสบการณ์ การศึกษาของคุณ แล้วคุณจะเห็นว่าต้องทาอะไร  ผู้นาทุกระดับในทุกวันนี้ รู้สึกถึงแรงกดดันจากภายนอกและภายในหากไม่มีการจัดการ แรงกดดันที่เพิ่ม มากขึ้ น อาจทาให้ผู้นาเกิดความอ่อนแอทางอารมณ์ ผู้ประพันธ์ให้เหตุผลว่า การอยู่เพียงลาพัง ทาหน้าที่ เป็น "วาล์วระบายแรงดัน (a pressure-relief valve)"
  • 13. ความกล้าหาญทางศีลธรรม  การตัดสินใจของผู้นาบางอย่างทาให้เกิดผลกระทบมาก บ่อยครั้งที่จะอยู่ในรูปแบบของการถูกวิจารณ์ทาง ศีลธรรม ซึ่งฝ่ ายตรงข้ามไม่เพียงวิพากษ์วิจารณ์ผลการตัดสินใจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบุคคลผู้ที่กล้า ตัดสินใจนั้นด้วย  ประเด็นหลักของการวิพากษ์วิจารณ์ด้านศีลธรรมคือ ต้องการบังคับให้เกิดความสอดคล้อง (กับความคิด ของตนว่าถูก) และเพื่อป้องกันผู้นาจากการตัดสินใจเหล่านั้นตั้งแต่แรก  ความกล้าหาญทางศีลธรรม คือสิ่งที่ช่วยให้ผู้นาทาได้ ซึ่งไม่เพียงต้องการความชัดเจนเท่านั้น แต่ยัง ต้องการความเชื่อมั่นด้วย และเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและความกล้าหาญทางศีลธรรม ผู้นาต้องมีส่วน ร่วมกับจิตวิญญาณของเขา
  • 14. 3 บทเรียนจากหนังสือ  1. ผู้นาที่ยิ่งใหญ่ใช้การอยู่เพียงลาพัง จัดการกับสี่ด้านของชีวิต (Great leaders use solitude to deal with four aspects of their life)  2. ความกลัวที่จะพลาด (FOMO - Fear Of Missing Out) เป็นกับดักอันตรายสาหรับทุกคนที่จริงจังกับ ความรับผิดชอบของตน (FOMO is a dangerous trap for anyone who is serious about their responsibilities)  3. การอยู่เพียงลาพัง สามารถช่วยบรรเทาอารมณ์เชิงลบและสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ (Solitude can help you alleviate negative emotions and triggers)
  • 15. บทที่ 1: การอยู่เพียงลาพังคือความสุข หากคุณยอมรับ และเรียนรู้ที่จะใช้ในการควบคุมมุมมองสี่ด้านที่ สาคัญของชีวิต  การอยู่เพียงลาพัง เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดของผู้นา  ทาไมหรือ เพราะมันช่วยให้มีเวลาสาหรับจิตใจ ที่จะดาเนินการกระบวนการทางปัญญาที่ลึกซึ้ งยิ่งขึ้ น  บ่อยครั้ง สิ่งนี้ นาไปสู่การค้นพบที่ล้าหน้าและการประสานงานของกิจกรรมที่ดีขึ้น ถ้าเรายอมรับและ เลือกที่จะไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกทั้งหมด (หรือคลื่นสึนามิของปัจจัยนาเข้า ตามที่ผู้ประพันธ์ เรียกสิ่งเหล่านั้น)
  • 16. บทที่ 1 (ต่อ)  ตั้งแต่การตอบกลับอีเมลไปจนถึงการแจ้งเตือนแบบต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็ นส่วนหนึ่งที่ผู้นายุคใหม่ พยายามตอบสนองให้สาเร็จ น่าเสียดาย ที่มันทาให้ผลิตภาพและความคิดสร้างสรรค์ลดลง รวมถึง ความวิตกกังวลและความหงุดหงิดที่เพิ่มขึ้ นด้วย  ดังนั้น ในหนังสือจึงแนะนาให้ใช้การอยู่เพียงลาพังเพื่อให้ได้ประโยชน์ใน 4 ด้าน คือ ความชัดเจน ความคิดสร้างสรรค์ ความสมดุลทางอารมณ์ และความกล้าหาญทางศีลธรรม (clarity, creativity, emotional balance, and moral courage)
  • 17. บทที่ 1 (ต่อ)  เนื่องจากจุดประสงค์ของหนังสือเล่มนี้ คือการช่วยให้คุณเป็ นผู้นาที่ดีขึ้ น ความชัดเจน หมายถึงการปิด การเชื่อมต่อของคุณกับโลกภายนอกเป็ นครั้งคราว เพื่อให้คุณมีเวลาในการเติมพลังและมีมุมมองที่ ชัดเจนยิ่งขึ้ น  การรบกวนสมาธิอย่างต่อเนื่องอาจทาให้คุณเสียสมดุล และคุณไม่ควรทนต่อไป  การนั่งอยู่เพียงคนเดียวและฝึกวิปัสสนา คือสิ่งที่ผู้นาที่ยิ่งใหญ่ทา และการกระทาเช่นนั้นจะช่วยให้ แนวคิดดีๆ มาสู่คุณได้ง่ายขึ้ น
  • 18. บทที่ 2: เอาชนะความกลัวที่จะพลาด และมุ่งความสนใจไปที่งานของคุณ  ความกลัวที่จะพลาด (FOMO - fear of missing out) ทาให้คนจานวนมากอยู่ในวงจรอุบาทว์ ที่พวกเขา พบว่ายากที่จะทาลายและมักอ้างด้วยเหตุผลต่างๆ ! สิ่งเร้าที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องที่ทาให้เราต้อง ตรวจสอบ เช่น การแจ้งเตือนแบบป๊ อปอัป อีเมล ข่าวสาร และเราจะรู้สึกแย่เมื่อเราไม่ได้ตรวจดู  มีกี่คนที่ยอมรับตรงๆ ได้ว่า ถ้าได้รับข้อความมาถึงแล้วคุณจะไม่รีบเข้าไปดู? มีไม่มาก! อย่างไรก็ ตาม เมื่อเราทางานหรือทาธุระบางอย่าง FOMO สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของเราจากงานได้ ซึ่ง อาจส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ของงานที่ไม่ดี
  • 19. บทที่ 2 (ต่อ)  ดังนั้น หากคุณคิดว่าคุณสามารถทางานหลายอย่างพร้อมกันได้ คุณควรคิดใหม่อีกครั้ง  ผู้ประพันธ์มั่นใจว่า คุณควรมุ่งเน้นไปที่งานของคุณ 100% และอย่าปล่อยให้สิ่งเร้าภายนอกมา เกี่ยวข้อง มิฉะนั้น ผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายของคุณจะมีคุณภาพต่า  ความคิดสร้างสรรค์และความฉลาดทางอารมณ์ของเรา จะเติบโตขึ้ นเมื่อมีการอยู่เพียงลาพัง และ สมองของเรามี ช่วงเวลาแห่งการพักหายใจ เพื่อติดตามความคิดและข้อมูลเชิงลึก
  • 20. บทที่ 2 (ต่อ)  การปิดโทรศัพท์และการห้ามสิ่งรบกวน จะเป็นประโยชน์อย่างมากในระยะยาว แม้เราจะรู้สึกว่าเรา จะพลาดการอัปเดตที่สาคัญ  สงบสติอารมณ์จากความคิดที่ว่าคุณกาลังพลาด โดยบอกตัวเองว่า คุณสามารถตามทันได้ทุกเมื่อ  ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากคุณดึงตัวเองออกจากโลกภายนอกสักครู่เป็ นครั้งคราว
  • 21. บทที่ 3: ผู้นาทั่วโลกใช้การอยู่เพียงลาพังเป็นที่หลบภัยเพื่อรักษาและกลับมาแข็งแกร่งขึ้ น คุณก็เช่นกัน  หากคุณดูบุคคลสาคัญในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ คุณจะสังเกตเห็นความคล้ายคลึงของรูปแบบทั่วไป บางประการ เหนือสิ่งอื่นใด ผู้นาที่มีความกล้าทั้งในด้านความคิดและความพยายาม ไม่กลัวที่จะพูดสิ่ง ที่เขาคิด และพวกเขามักจะฝึกการอยู่เพียงลาพัง  อันที่จริง การปล่อยวางจิตใจ และปล่อยใจให้ประสานกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้ น รวมทั้งร่างกายและจิต วิญญาณของพวกเขา คือสิ่งสร้างความแข็งแกร่งและความกล้าหาญแก่พวกเขา  ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ การแยกตัวเองออกจากปัจจัยที่รบกวนการทางานของคุณเป็ นสิ่งสาคัญอย่าง ยิ่ง อย่างไรก็ตาม บางครั้งก็เป็ นเรื่องยากเมื่อคุณพยายามฝึกฝนการอยู่เพียงลาพัง นั่นคือตัวคุณเอง
  • 22. บทที่ 3 (ต่อ)  ถูกต้องแล้ว การทาจิตให้กระจ่างขึ้ นจากภายใน และการห้ามปัจจัยภายนอก เป็ นส่วนเสริมกัน  จิตใจที่ว้าวุ่น การคิดมาก และอารมณ์ด้านลบ ล้วนสามารถแทรกแซงและรบกวนจิตใจเราได้ ด้วย เหตุนี้ ขอแนะนาให้ทาสมาธิในการอยู่เพียงลาพัง  ซึ่งที่จริงแล้ว วิธีการใดๆ ที่ทาให้จิตใจของคุณหยุดเครียดหรือหยุดคิดอยู่ตลอดเวลานั้น ล้วนแต่มี ประโยชน์
  • 23. บทที่ 3 (ต่อ)  การดูเฝ้าดูลมหายใจทางานเป็นสิ่งน่าทึ่ง และเป็นเวลาที่ใช้เพื่อสะท้อนชีวิตและจิตวิญญาณภายใน  เช่นเดียวกันกับผู้นาที่ยิ่งใหญ่ทั่วโลกและบุคคลในประวัติศาสตร์ ที่ได้ให้การสนับสนุนแนวทางปฏิบัติ ดังกล่าวมาโดยตลอด การอยู่เพียงลาพังทาให้พวกเขาเปิ ดสมองด้านที่สร้างสรรค์มากขึ้น  นอกจากนี้ การอยู่เพียงลาพัง ยังทาให้มีพื้นที่ว่างมากขึ้ นสาหรับแนวคิดดีๆ ที่จะเกิดขึ้ น
  • 24. บทสรุป  Lead Yourself First เป็นแนวทางสาหรับผู้นาและผู้ที่กาลังแสวงหาการเป็นผู้นา เป็นการบอกถึงวิธี ค้นหาความมั่นใจ และมุมมองที่เป็นประโยชน์จากการอยู่เพียงลาพัง  ด้วยการเรียนรู้วิธีการปิดเสียงรบกวนที่ไม่จาเป็นจากภายนอกและภายใน ผู้นาสามารถใช้พลังของ ตนเองเพื่อค้นพบข้อมูลเชิงลึกที่ยอดเยี่ยม ความชัดเจน พัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ และหล่อเลี้ยง ความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขา

Editor's Notes

  1. Lead Yourself First is a book on leadership that highlights the importance of solitude, putting order in your mind and growing self-awareness before you lead others, and how to do it by setting strong goals which align with those around you, making them want to follow your lead and take initiative on those defined objectives.
  2. Leadership is a skill that many confuse with authority or the power that comes with a certain social status. However, leadership is an emotion born into the mind of the leader. It transcends all the way to those that follow their lead, making them feel connected under the same goal. Leaders make their people want to follow and participate in accomplishing the common goal. And they do this by setting a prime example of great work ethic and confidence. Unlike a boss, a leader doesn’t impose certain tasks, but defines them and then delegates them. To become a leader, one must first learn how to deal with their own thoughts and insecurities.
  3. Leadership is hard, and can often feel lonely. It requires personal conviction, building consensus, defying convention, bucking bureaucracy, and usually bearing the displeasure of some in the service of the greater whole. You’ll need to cultivate an ability to stay grounded in crisis, to be in the moment with others as you converse and consider a way forward, to have presence, and presence of mind.
  4. Solitude yields to the clarity to know when the easy path is the wrong one. And solitude, through its fusion of mind and soul, produces within the leader the stronger alloy of conviction, which in turn braces her with the moral courage not to conform, and to bear the consequences that result. Solitude, as defined by the authors, isn’t necessarily retreating into nature to contemplate —though it could be, “It is simply, a subjective state of mind, in which the mind, isolated from input from other minds, works through a problem on its own.”
  5. Solitude in this sense is not merely physical separation from others or togetherness with nature, although for some people it might involve those things. Solitude, as the term is used here, can be found as readily while sitting alone in a restaurant as it can on Mount Rainier. It is not an objective concept but a subjective one. It is, simply, a subjective state of mind, in which the mind, isolated from input from other minds, works through a problem on its own. Or it can be intermittent, as it might be for a person who reads a book—which of course is a collection of someone else’s thoughts—and then pauses occasionally to think through a passage’s meaning.
  6. But solitude is under siege today. Constant connectivity and collaboration is widely viewed as the ideal in the workplace these days. New networking technologies, project management and messaging tools, are being introduced into our organizations at a pace that makes them hard to even learn, let alone manage. Those who seek time to themselves are looked at askance, as if they’re not team-players, antisocial, wrong. However addictive handheld devices that deliver immeasurable quantities of information and entertainment now have virtually everyone instead staring down at their phones, Kethledge and Erwin remind us that we can choose to put them down and make space for solitude in our lives. Leaders, they insist, have an obligation to do so.
  7. The methods used for solitude and clarity differ, from meditation and running, to writing and quiet contemplation, but the result is the same: some time free from distraction and the direct input of others to let ideas synthesize and connect, to let your inner voice guide you and give you conviction, to connect to something both in yourself, and something greater than yourself. It can provide analytical clarity, intuition, creativity, emotional balance, acceptance, catharsis, magnanimity, and moral courage.
  8. The book’s structure is built on four fruits of solitude: clarity, creativity, emotional balance, and moral courage. While the first two fruits are important qualities to in a leader, it’s the latter two that merit emphasis for they speak to a leader’s character and presence. The lesson is clear. Make time for solitude. Unplug. Schedule white space. It will be worth it for leaders and for those being led. Creativity, clarity, emotional balance, and moral courage do not passively just appear. They ought to be sought after.
  9. Clarity Clarity is often a difficult thing for a leader to obtain. Compounding the difficulty, now more than ever, is what ergonomists call information overload, where a leader is overrun with inputs—via e-mails, meetings, and phone calls—that only distract and clutter his thinking. Solitude offers ways for leaders to obtain greater clarity. A leader who silences the din not only around his mind, but inside it, can then hear the delicate voice of intuition, which may have already made connections that his conscious mind has not. The most inspiring leaders are ones who find a clarity of meaning that transcends the tasks at hand.
  10. Creativity If clarity serves to identify which of the available options will be most effective for a leader, creativity serves to develop a possibility the leader was not aware of before. Sometimes, as Mihaly Csikszentmihalyi describes in his seminal book Creativity, a creative work or idea is one based on rejection of established norms in the relevant field. On other occasions a work is creative not because it rejects what came before, but simply because its content is new. And on still other occasions an idea is creative because it is based on horizontal connections between things that at first seem unrelated. As with clarity, there is an intuitive path to creativity, on which much of the work is already done for the leader, if only he will pause to listen.
  11. Emotional Balance “An effective leader is the person who can maintain their balance and reflect, when a lot of people around them are reacting,” says James Mattis, a retired four-star Marine Corps General. “If I was to sum up the single biggest problem of senior leadership in the information age, it’s a lack of reflection,” he says “We need solitude to refocus on prospective decision-making, rather than just reacting to problems as they arise. You have some external stimulus, then you go back to your experience, your education, and you see what needs to be done.” Today’s leaders at all levels feel the weight of external and internal pressures. Left unmanaged, these ever-increasing pressures could leave a leader emotionally weakened. The authors argue that solitude acts as “a pressure-relief valve.”
  12. Moral Courage Some leadership decisions bring consequences that are more than professional. Frequently those consequences take the form of moral criticism, where opponents criticize not only the decision itself, but the person who would dare make it. The very point of these criticisms is to enforce conformity, and thus to prevent the leader from making these decisions in the first place. Moral courage is what enables a leader to make them nonetheless. It requires not only clarity, but conviction. And to have conviction, and thus moral courage, the leader must get his soul involved.
  13. 3 lessons learned from the book 1. Great leaders use solitude to deal with four aspects of their life. 2. FOMO (Fear Of Missing Out) is a dangerous trap for anyone who is serious about their responsibilities. 3. Solitude can help you alleviate negative emotions and triggers.
  14. Lesson 1: Solitude is bliss if you embrace it and learn to control four essential aspects of your life with it Solitude is one of the most powerful tools of a leader. Why? Because it allows for unstructured time for the mind to recenter and run deeper cognitive processes. Oftentimes, this leads to breakthrough discoveries and better coordination of activities, if we embrace it and choose not to respond to all external stimuli, or the tsunami of inputs, as the author calls them. 
  15. Lesson 1 (cont.) From responding to emails to spot-checking notifications, these are all part of the super-human model that modern leaders are trying to achieve. Unfortunately, it leads to decreased productivity and creativity, and an increase in anxiety and frustration.  Therefore, the book suggests using solitude to gain leverage over four aspects: clarity, creativity, emotional balance, and moral courage.
  16. Lesson 1 (cont.) We’ll focus more on clarity, as the purpose of this book is to help you become a better leader. Clarity implies switching off your connection to the outside world once in a while to have time to recharge and gain a clearer perspective.  The constant input of distractions can throw you off your balance, and you can’t afford that. Sitting in solitude and practicing introspection is what great leaders do. And doing so will facilitate great ideas coming to you.
  17. Lesson 2: Get over your fear of missing out and focus on your work The fear of missing out (FOMO) keeps many people in the same vicious loop they find hard to break and for a reason! The constant flux of stimuli rewired us to constantly check pop-up notifications, emails, news, and feel bad when we don’t.  How many of you can honestly say that if you receive a message, you won’t jump to check it out? Not too many! However, when we’re engaged in a task or we’re running some errands, FOMO can really distract our attention from work, which will likely result in a poor outcome. 
  18. Lesson 2 (cont.) Hence, if you think you can multitask, you’ll have to think again. The author is firm that you should focus 100% on your craft and not give course to external stimuli. Otherwise, your final product is going to be of lower quality. In solitude, our creativity and emotional intelligence grow. And our brain has a “moment of respiro” to catch up on ideas and insights. 
  19. Lesson 2 (cont.) Turning off our phones and banning distractions will be highly beneficial in the long run. Even though we feel that we’ll be missing out on important updates. Make peace with the thought that you’re missing out by telling yourself that you can catch up any time. And that it’s no big deal if you subtract yourself from the outside world for a few moments once in a while.
  20. Lesson 3: Worldwide leaders use solitude as a retreat to heal and come back stronger, and so should you If you look at the great figures in the history of humankind, you’ll notice a few similarities and common patterns. Above all, leaders are brave both in their thoughts and endeavors, are not afraid to speak their minds, and they often practice solitude.  In fact, decluttering their mind and allowing it to sync with everything going on, plus their body and spirit, is what gives them strength and courage. As previously mentioned, it’s particularly important to detach yourself from the factors that interfere with your workflow. However, sometimes there’s something more difficult to let go of when you’re trying to practice solitude: yourself. 
  21. Lesson 3 (cont.) That’s right! At times, decluttering our minds starts from within, and banning outside factors is just complementary.  Mind chatter, overthinking, and negative emotions, can all interfere with our minds and disturb us. For this reason, meditation in solitude is highly recommended. In fact, any healthy approach to getting your mind to stop stressing and thinking all the time is beneficial. 
  22. Lesson 3 (cont.) Breathwork does an amazing job, and so does unstructured time spent reflecting on your life and inner spirit. Great leaders around the world and historical personalities have always been advocates of such practices. They allowed them to open up more creative sides of their brains. It also leaves more room for great ideas to emerge.
  23. Conclusion Lead Yourself First is a guide for leaders and those who are struggling with becoming leading figures, as it teaches its readers how to find confidence and perspective in solitude. By learning how to shut down unnecessary noise from outside and within, a leader can tap into their own power and discover great insights, clarity, grow their emotional intelligence, and nurture their creativity.