More Related Content
Similar to บทที่4โลกของเราม 2 (20)
More from Wichai Likitponrak (20)
บทที่4โลกของเราม 2
- 2. โลกตาวเคราะห์บริวารดวงที่ 3 ของดวงอาทิตย์
โลกของเรามีรูปร่างเป็นทรงกลม มีเส้นผ่านศูนย์กลางจากขั้วโลกเหนือถึงขั้วโลกใต้ยาว
12711 กิโลเมตร และสั้นกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางในแนวเส้นศูนย์สูตรซึ่งมีค่าประมาณ
12755 กิโลเมตร ขณะที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์นั้น แกนของโลกจะเอียงทามุมประมาณ
23.5 องศา กับเส้นที่ตั้งฉากกับระนาบการโคจรของโลก ทาให้เกิดฤดูกาลต่างๆ
- 3. 1.1 โครงสร้างของโลก
โครงสร้างของโลก แบ่งออกเป็น 3 ชั้นดังนี้
1. เปลือกโลก (crust) เป็นชั้นนอกสุด มีความหนาน้อยที่สุด ประมาณ 70
กิโลเมตร ประกอบด้วย แผ่นดินประมาณ 1 ส่วนใน 4 ส่วน และพื้น้าประมาณ 3 ส่วน
แบ่งเป็น 2 ชั้น ดังนี้
1.1 เปลือกโลกส่วนบน เป็นส่วนนอกสุด ประกอบด้วยชั้นดินและกลุ่มไซอัล
(sial) ซึ่งส่วนใหญ่มีองค์ประกอบเป็นซิลิกา และอลูมินา
1.2 เปลือกโลกส่วนล่าง เป็นส่วนที่เป็นมหาสมุทร ประกอบด้วย หินที่เป็นเบส
ปานกลางหรือไซมา ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นซิลิกา และ แมกนิเซียม
2. เนื้อโลก (mantle) เป็นชั้นของโลกที่อยู่ลึกถัดจากชั้นเปลือกโลก
ประกอบด้วย หินและแร่ธาตุหลายชนิด มีอุณหภูมิประมาณ 2000-3700 ํc มีความหนา
ประมาณ 3000 กิโลเมตร
- 4. 1.1 โครงสร้างของโลก
3. แกนโลก (core) อยู่ชั้นในสุดหรือเป็นแก่นกลางของโลก แบ่งเป็น 2 ชั้น คือ แก่นโลกชั้นนอก
เป็นชั้นของเหลวที่ร้อนจัด และแก่นโลกชั้นใน เป็นชั้นของแข็ง ประกอบด้วยธาตุเหล็ก และนิกเกิล
แก่นโลกมีความหนามากประมาณ 3440 กม. มีอุณหภูมิสูงประมาณ 4300-6400 ํc
- 7. กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาบนเปลือกโลก
1. การผุพังอยู่กับที่ (Weathering) หมายถึง การที่หินผุพังทาลายลงด้วยกรรมวิธีต่างๆ
จากลมฟ้ าอากาศกับน้าฝน รวมทั้งการกระทาของต้นไม้กับแบคทีเรียตลอดจนการแตกตัวทาง
กลศาสตร์ มีการเพิ่ม-ลดอุณหภูมิสลับกัน เป็นต้น สาเหตุของการผุพังอยู่กับที่ ได้แก่ ความร้อน ความ
เย็น น้า น้าแข็ง แก็สออกซิเจนและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ
ประเภทของการผุพังอยู่กับที่ การผุพังอยู่กับที่แบ่งไก้เป็น 2 ประเภทคือ
1)การผุพังเชิงกล : ความร้อนและความเย็น การแข็งตัวและการละลาย การเจริญเติบโตของต้นไม้ การ
ครูดถู การกระทาของสัตว์ การกัดเซาะของแม่น้า
2)การผุพังเชิงเคมี : น้าเป็นตัวการสาคัญที่สุด แก็สออกซิเจน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ สิ่งมีชีวิต
ซึ่งการผุพังทั้งสองประเภทนี้จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ แต่เมื่อผ่านไปนานๆก็สามารถทาให้หินหรือสสาร
อื่นๆพังทลายลงได้
- 14. ภูเขา (mountain)
คือ บริเวณที่มีความสูงมากกว่า 3,000 ฟุตขึ้นไป จากพื้นดิน
กระบวนการเกิดภูเขา ดังนี้
1. ภูเขาเกิดจากการเลื่อนตัวของหิน ส่วนหนึ่งของหินเปลือกโลก เลื่อนขึ้น อีกส่วนหนึ่งจะเลื่อนลง
ภูเขาแบบนี้มีหน้าผาสูงชัน เช่น เขาพระวิหาร ภูเขาเพชรบูรณ์
2. ภูเขาเกิดจากการดันของแมกมา แมกมาหรือหินจะดันให้เปลือกโลกสูงขึ้น แต่แมกมาเย็นตัวก่อนที่
จะไหลออกมาถึงผิวโลก จึงเกิดภูเขาซึ่งมียอดซึ่งมียอดมนกลมเชิงเขาแผ่กว้าง คือ ภูเขารูปดดม
เช่น ภูเขาแบลคฮิลค์และเฮนรีของสหรัฐอเมริกา ภูเขาแกรนิตทางทิศตะวันตกของภาคกลาง
ได้แก่ ภุเขาลพบุรี ภูเขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี
3. ภูเขาเกิดจากการโค้งงอ การชนกันของแผ่นเปลือกโลกสองแผ่น แต่ละแผ่นจะโค้งงอ เนื่องจากมี
แรงผลักซึ่งกันและกันดันให้ส่วนโค้งงอนี้ค่อยๆ สูงขึ้น เช่น ภูเขาหิมาลัย เกิดจากแผ่นออสเตรเลีย
ชนกับแผ่นยูเรเซีย และเทือกเขาภูพาน
4. ภูเขาเกิดจากการโค้งงอ ผิวโลกมีความทนทานต่อการกร่อนไม่เท่ากัน ส่วนที่ไม่แข็งจะถูกกักร่อน
ทาลายไป ส่วนที่แข็งยังคงอยู่จึงเกิดเป็นภูเขาขึ้น เช่น ภูกระดึง จังหวัดเลย
- 16. กระบวนการเกิดหินงอก หินย้อย
หินงอกหินย้อย คือปรากฏการณ์ชนิดหนึ่งที่เกิดต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายๆ พันหรือหมื่นปี ซึ่ง
ส่วนใหญ่นั้นมักเกิดขึ้นในถ้าหินปูน เพราะมีความชื้นอันเป็นปัจจัยของการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์
ประเภทนี้ ลักษณะของหินงอกหินย้อยนั้น เป็นหินที่ยื่นหรือหยดเข้าหากันคล้ายกับเป็นของเหลว
โดยมากเราเรียกหินที่หยดลงมาจากด้านบนว่าหินย้อย และเรียกหินที่ยื่นขึ้นไปจากทางด้านล่างว่าหิน
งอก ซึ่งกระบวนการต่างๆ ที่ทาให้เกิดสภาพนี้นั้นสามารถอธิบายได้ดังต่อไปนี้
1. หินงอกหินย้อยเกิดจากความชื้นต่างๆ ที่สะสมอยู่ในดิ้น คือเมื่อปลายยุคน้าแข็ง หิมะเริ่มละลายตัว และ
ความชื้นต่างๆ ก็ไหลมาสะสมในดิน หรือช่องว่างระหว่างดิน กลายเป็นธารน้าใต้ดิน
2. เมื่อน้าใต้ดินนั้นรวมตัวกับคาร์บอนไดออกไซด์ ทาให้เกิดกระบวนการสึกกร่อน และเกิดเป็นกรดคาร์
บอนิก ซึ่งเป็นกรดอ่อนชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อหินปูนนั้นเจอกับกรดคาร์บอนิกที่สามารถกัดกร่อนหินปูน
ได้นั้น ก็จะทาให้เกิดช่องว่างขึ้น เล็กบ้างใหญ่บ้าง ซึ่งเราเรียกช่องว่างที่เกิดขึ้นใหม่นี้ว่า ถ้า
- 17. กระบวนการเกิดหินงอก หินย้อย
3. หินย้อย เกิดได้จากกระบวนการเหล่านี้เอง คือกล่าวกันได้ว่า หินย้อยคือหินปูนที่ จับตัวกันเป็นแท่ง
หรือแผ่นย้อยลงมาจากเพดานถ้า ซึ่งเมื่อมีน้าที่มีหินปูนสะสมอยู่หยดลงมาตามรอยแตกหรือรอยแยก
ซึ่งเมื่อน้านั้นสูญเสียคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป ก็จะทาให้เกิดสารประกอบประเภทคาร์บอเนต
จากนั้นเมื่อเกิดการสะสมตัวพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ทาให้เกิดเป็นแท่งหินที่ย้อยลงมาจากเพดานถ้า
โดยมากมักมีลักษณะกลวงด้านใน
4. หินงอก เป็นกระบวนการที่คล้ายกันก็คือ เกิดจากน้าที่มีหินปูนสะสมอยู่ที่หยดลงมาจากเพดานถ้า สู่
ชั้นหินเบื้องล่าง ความที่น้านั้นมีตะกอนหินปูนอยู่มาก เมื่อเกิดการสูญเสียคาร์บอนไดออกไซด์ไปจึง
ทาให้เกิดสะสมเป็นแท่ง ยื่นไปในอากาศสูงจากพื้นถ้า ซึ่งกระบวนการเกิดหินงอกหินย้อยนี้มี
ความสัมพันธ์กัน ดังนั้นเมื่อเกิดหินย้อยแล้วต้องมีหินงอกด้วย (ยกเว้นถ้าที่ไม่มีพื้น) และเมื่อมีหิน
งอกต้องมีหินย้อยด้วยเช่นกัน
- 19. การอนุรักษ์ภูมิลักษณ์ของโลก
การที่จะให้บรรลุเป้ าหมาย คือ การที่จะทาให้มีทรัพยากรธรรมชาติไว้ใช้และอยู่คู่กับโลกตลอดไปได้
นั้น มีหลักการอนุรักษ์ 3 ประการ คือ
1. ใช้อย่างฉลาด การจะใช้ ต้องพิจารณาให้รอบคอบถึงผลดี ผลเสีย ความขาดแคลนหรือความหายากใน
อนาคต อีกทั้งพิจารณาหลักเศรษฐศาสตร์ถึงต้นทุนและผลตอบแทนอย่างถี่ถ้วน
2. ประหยัด (เก็บ รักษา สงวน) ของที่หายาก หมายถึง ทรัพยากรใดที่มีน้อยหรือหายาก ควรเก็บรักษาไว้
มิให้สูญไป บางครั้งถ้ามีของบางชนิดที่พอจะใช้ได้ ต้องใช้อย่างประหยัด
3. ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีหรือเสื่อมโทรมให้ดีขึ้น (ซ่อมแซม ปรับปรุง) กล่าวคือ ทรัพยากรใดก็ตามมี
สภาพล่อแหลมต่อการสูญเปล่า หรือจะหมดไปถ้าดาเนินการไม่ถูกต้องตามหลักวิชา ควรหาทาง
ปรับปรุงให้อยู่ในลักษณะที่ดีขึ้น