More Related Content
Similar to Waterรวมวารีดุริยางค์
Similar to Waterรวมวารีดุริยางค์ (20)
More from maerimwittayakom school
More from maerimwittayakom school (16)
Waterรวมวารีดุริยางค์
- 1. เนื้อหาแปลวิเคราะห์โวหาร๑.แทบฝั่งธารที่เราเฝ้าฝันถึง เสียงน้ำซึ่งกระซิบสาดปราศจากเสียงจักรวาลวุ่นวายไร้สำเนียง โลกนี้เพียงแผ่นภพสงบเย็นณ ฝั่งน้ำที่เราเฝ้าใฝ่ฝันถึง ไม่ได้ยินเสียงกระซิบของน้ำ เสียงวุ่นวายไม่ได้ตามมารบกวน สถานที่นี้จึงเป็นพื้นโลกที่สงบเย็นใช้โวหารภาพพจน์โดยวิธีปฏิพากย์หรือปฏิทรรศน์ คือ การกล่าวแสดงความคิดเห็นซึ่งมองเพียงผิวเผินว่าขัดแย้งกัน แต่เมื่อพิจารณาโดยถ่องแท้แล้วจะไม่ขัดกันและเป็นไปได้ เช่น เสียงกระซิบซึ่งไม่มีเสียง จักรวาลวุ่นวายแต่ไม่มีเสียงดัง นอกจากนี้ยังมีการใช้ภาพพจน์แบบบุคลาธิษฐานหรือบุคคลวัตรแสดงลักษณะการกระซิบของเสียงน้ำ ซึ่งเป็นการนำเอากริยากระซิบของมนุษย์มาใช้กับธรรมชาติคือเสียงของน้ำ๒.เพื่อชื่นชมรมณีย์กับชีวิต ที่จะคิดจะทำตามคิดถึง ระเรื่อยเรื่อยเฉื่อยฉ่ำลืมลำเค็ญ ลืมความเป็นปรัศนีย์ของชีวิตเพื่อชื่นชมกับสิ่งที่ควรทำให้ชีวิตที่จะทำตามความคิดเห็นอย่างอิสระ ความร่มรื่นที่ชื่นฉ่ำทำให้ลืมความทุกข์และปัญหาของชีวิตมีการใช้คำอัพภาส คือ ระเรื่อย และมีการใช้คำซ้ำ คือ เรื่อย เรื่อย เพื่อทำให้เกิดความงามของภาษามีการใช้คำในลักษณะของนามนัย คือ คำว่า ปรัศนี ในความหมายถึงปัญหาของชีวิต๓.หางนกยูงระย้าเรี่ยคลอเคลียน้ำ แพนดอกฉ่ำช้อยช่อวรวิจิตร งามดังเปลวเพลิงป่ามานิรมิต สร้อยโสภิตอภิรุมพุ่มหัวใจหางนกยูงเป็นพวงอยู่เรื่อยๆ น้ำ ดอกที่แผ่กระจายออกไปเป็นช่อที่สวยงามยิ่ง ความดังเปลวเพลิงป่า (เพราะมีสีแดง) ที่มาเนรมิตร ดอกหางนกยูงเป็นพุ่มมีรูปทรงเหมือนฉัตรใช้โวหารภาพพจน์แบบบุคลาธิษฐาน หรือบุคคลสมมติ ที่กล่าวว่าดอกหางนกยูงทำกริยาคลอเคลีย(ซึ่งเป็นกริยาของคน)กับน้ำ และใช้โวหารภาพพจน์แบบอุปมาโดยการเปรียบดอกหางนกยูงกับเปลวไฟป่าโดยใช้คำเปรียบว่าดุจเนื้อหาแปลวิเคราะห์โวหาร๔.เพชรน้ำค้างค้างหล่นบนพรมหญ้า เย็นหยาดฟ้ามาผันหลงวันใหม่ เคล้าเคลียหยอกดอกหญ้าอย่างอาลัย เมื่อแฉกดาวใบไผ่ไหวตะวันน้ำค้างที่บริสุทธิ์มีประกายเหมือนเพชร หล่นมาค้างอยู่ที่ใบหญ้าที่เรียบราบเสมอกัน งามดั่งปูพรม ยังมีน้ำค้างบางหยดหลงเหลืออยู่จนถึงรุ่งเช้าวันใหม่ ดุจอาลัยดอกหญ้า ภาพดาวที่เกิดจากใบไผ่แหลมพลิ้วลมแสดงแดดส่องผ่านทำให้เกิดเงาเป็นแฉกคล้ายภาพดาวที่พื้นดินเพชรน้ำค้าง พรมหญ้า และแฉกดาวใบไผ่ นับเป็น โวหารภาพพจน์แบบอุปลักษณ์ โดยเปรียบน้ำค้างเป็นเพชร หญ้าเป็นพรม และ ใบไผ่เป็นดาว นอกจากนี้ยังมีการใช้โวหารแบบบุคลาธิษฐาน คือ การที่น้ำค้างคลอเคลียกับดอกหญ้าอย่างอาลัย เป็นการนำเอากริยาของมนุษย์มาใช้กับธรรมชาติ คือ น้ำค้าง ๕.มโหรีจากราวป่ามาเรื่อยรี่ ราชินีแห่งน้ำค้างจะห่างหัน ผักต้อยติ่งแตกจังหวะประชันกัน จักจั่นจี่เจื้อยรับเรื่อยร้องเสียงต่าง ๆ ที่ดังมาจากราวป่าประดุจเสียงมโหรี ยอดน้ำค้างก็จะหายไป เสียงผักต้อยติ่ง (ที่ถูกน้ำค้าง) แตกดังเป็นจังหวะ เสียงจักจั่นและแมลงชนิดหนึ่ง (จี่) ร้องเจื้อยแจ้วรับกันเป็นจังหวะมีการใช้โวหารภาพพจน์แบบนามนัย โดยการนำเอาเสียงธรรมชาติในป่าเปรียบเป็นเสียงมโหรีมีการใช้โวหารภาพพจน์แบบนามนัย โดยการนำเอาลักษณะที่โดดเด่นของราชินีมาเปรียบกับน้ำค้าง๖.ลมระเริงลู่หวิวพลิ้วระรอก สัพยอกยอดไม้ไปลิ่วล่อง แล้วใบไม้ก็ไหวขึงข่ายกรอง ทอแสงทอดทอดประทับรับน้ำค้างลมพัดต้องใบไม้พลิ้วเป็นระลอก เหมือนกับจะล้อยอดไม้ที่แกว่งไกวไปมา ใบไม้ส่าย (เพราะแรงลม) เป็นข่าวกรองแสงแดดประดุจแสงทองส่องมีการใช้ภาพพจน์แบบบุคลาธิษฐาน กล่าวว่า ลม ทำกริยา ระเริงและสัพยอก กับยอดไม้ <br />เนื้อหาแปลวิเคราะห์โวหาร๗.ดอกไม้ป่าปรุงกลิ่นประทินป่า อบบุหงามาลัยที่ไพรกว้าง หอมจนหอบหัวใจไปเคว้งคว้าง เคลิ้มถวิลกลิ่นปรางอบกลางทรวงดอกไม้ป่าส่งกลิ่นหอมไปทั่วป่า เหมือนป่ากว้างนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นบุหงาและมาลัยหอมจนพาหัวใจล่องลอยเคว้งคว้างไปจนเคลิบเคลิ้มถึงกลิ่นแก้มหอมอบอวลอยู่ในหัวใจมีการใช้ภาพพจน์แบบบุคลาธิษฐาน กล่าวว่า ดอกไม้ป่า ทำกริยา ปรุงกลิ่น อย่างมนุษย์ และมีการใช้โวหารแบบอติพจน์ การกล่าวเกินจริง ว่ากลิ่นหอมของดอกไม้หอบให้หัวใจลอยเคว้งคว้างได้๘.ผีเสื้อสวยแต้มสีที่กลีบแก้ม ชมพูแย้มแดงระยับสลับม่วง ก้านเกสรอ่อนฉ่ำน้ำผึ้งรวง หยาดหยดพวงพุ่มระย้าจากคาคบผีเสื้อสีสวยมาเกาะดอกไม้ บางตัวมีสีชมพู สีแดงระยับ สลับกับสีม่วง เกสรดอกไม้หอมหวาน เหมือนน้ำผึ้งรวงที่หยดมาจากรวงผึ้งที่คาคบไม้ มีการใช้ภาพพจน์แบบบุคลาธิษฐาน กล่าวว่า ผีเสื้อทำกริยาอย่างมนุษย์ คือ แต้มสี ที่กลีบของดอกไม้ มี การใช้โวหารภาพพจน์แบบอุปลักษณ์ โดยเปรียบน้ำหวานของดอกไม้เป็นน้ำผึ้งรวง๙. และเราลิ้มรสหวามของความหวาน จากสายธารที่ไหลไม่รู้จบ จากสายใจไหลย้อนซอกซอนซบ เงียบสงบระงับลงตรงมุมนี้เมื่อได้รับรสสัมผัสของความสงบ จากการที่ได้มาอยู่ริมฝั่งธารนี้แล้ว ใจที่วุ่นวายก็สงบลงมีการใช้คำซ้ำ คือ จากสายธาร และ จากสายใจ เพื่อ ทำให้เกิดความงามของภาษา<br />เนื้อหาแปลวิเคราะห์โวหาร๑๐.เลิกความคิดขันแข่งปรุงแต่งจิต เลิกชีวิตวุ่นวายในทุกที่ เลือกเดือดร้อนดิ้นรนคนใยดี ไม่ต้องมีปรารถนาในอารมณ์เลิกคิดต่อสู้แข่งขันชิงดีซึ่งเป็นกิเลสปรุงแต่งจิต เลิกชีวิตที่วุ่นวายไม่เดือดร้อนดิ้นรนสนใจความใยดีของใคร และไม่มีความปรารถนาใด ๆ ในอารมณ์อีกมีการใช้คำซ้ำ คือ เลิก เพื่อ เน้นย้ำให้เลิก๑๑.ฟังต้นไม้สายน้ำย้ำให้หยุด หยุดเสียเถิดมนุษย์หยุดสะสม หยุดปรุงแต่งแสร้งความตามนิยม สร้างสังคมโสโครกโลกจึงร้อนฟังต้นไม้-สายน้ำที่ขอร้องให้มนุษย์หยุดสะสมวัตถุ หรืออุปทานความยึดมั่นต่าง ๆ หยุดนิยมยินดีในสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาตามความนิยม เมื่อสร้างสมสิ่งโสโครกเหล่านี้ไว้มาก ๆ โลกจึงเกิดความเดือดร้อนวุ่นวายมีการใช้คำซ้ำ คือ หยุด เพื่อ เน้นย้ำให้หยุด และ มีการใช้โวหารแบบบุคลาธิษฐาน คือ ต้นไม้สายน้ำ ทำกริยาย้ำให้หยุด๑๒.จงหยุดชมชื่นใจในใจเถิด ทุกสิ่งเกิดก่อไว้ในใจก่อน สมมุติจากหัวใจไปทุกตอน ใจจึงซ่อนทุกสิ่งจริงลวงไว้จงหยุดความชื่นชมในใจ เพราะอะไร ๆ ก็ย่อมเกิดจากใจก่อน ใจตกลงยอมรับการปรุงแต่งให้เป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ใจจึงซ่อนทุกสิ่งไว้ ทั้งสิ่งจริงและสิ่งหลอกลวงมีการใช้คำซ้ำ คือ ใจ เพื่อ แสดงถึงความสำคัญของ ใจ ว่า ใจ เป็นที่เกิดของทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งความจริงและความเท็จ<br />เนื้อหาแปลวิเคราะห์โวหาร๑๓.สงสารใจ ใจเจ้าเอ๋ยไม่เคยนิ่ง วนและวิ่งคืนและวันหวั่นไหว เหมือนถูกกายกำบังกักขังไว้ ใจจึงได้ดิ้นรนทุกหนทางใจคนเราไม่เคยหยุดนิ่ง คิดวนเวียนไปทุกอย่างตามอารมณ์ เพราะใจนั้นเหมือนถูกขังไว้ใน ร่างกาย จึงต้องพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางมีการใช้ภาพพจน์แบบบุคลาธิษฐาน ใช้กริยาวิ่งซึ่งเป็นกริยาของคนกับใจ มีการเล่นคำสัมผัส อักษร วน วิ่ง หวั่น ไหว และ ใช้คำที่มีความหมายตรงข้าม คือ คืน กับ วัน ๑๔. กลางคืนคอยเป็นควันอัดอั้นไว้ กลางวันก็เป็นไฟไปทุกอย่าง ร่างกายถูกผูกพันสรรพางค์ เป็นสื่อกลางแก่ใจรับให้การกลางคืนจิตใจก็เป็นควัน คือมีด้วยกิเลสตัณหา พอกลางวันก็จะเป็นไฟ คือราคะโทสะโมหะ ร่างกายถูกใจบงการให้ทำงานต่าง ๆ ตามที่ใจปรารถนามี การใช้โวหารภาพพจน์แบบอุปลักษณ์ เปรียบใจเป็น ควัน และ ไฟ๑๕.เมื่อใจทุกข์กายก็ต้องทนครองทุกข์ ครั้นใจสุขกายก็สุขสนุกสนาน วนเวียนหว่างทุกข์สุขทุกวันวาน แล้วสะสมสันดานการเป็นตนกายกับใจเป็นสิ่งเนื่องกัน เมื่อใจเป็นทุกข์ กายก็พลอยทุกข์ไปด้วย เมื่อใจสุข กายก็พลอยเป็นสุข ความสุข-ความทุกข์ หมุนเวียนเปลี่ยนไปทุกวันเวลา นี่แหละคือความเป็นคนมีการใช้โวหารภาพพจน์แบบปฏิพากย์ ใช้คำที่มีความหมายตรงข้ามกันคือ ทุกข์ กับ สุข <br />เนื้อหาแปลวิเคราะห์โวหาร๑๖.ทุกวิถีที่ใจได้ท่องเที่ยว ย่อมขึ้นล่องอยู่ระหว่างกลางปลายต้น ที่โคจรของใจไม่เคยจน ไม่เคยพ้นเคยพรากจากวงจรทุกวิถีทางที่ใจคิดไปย่อมวนเวียนอยู่ที่ต้น กลางปลายที่เที่ยวไปของใจมีมากมาย ไม่เคยพ้นจากการคิดดังกล่าวนี้ไปได้เลยมีการใช้ภาพพจน์แบบบุคลาธิษฐาน ใช้คำว่าเที่ยวท่องกับใจ คล้ายกับสิ่งมีชีวิตเช่น คนหรือสัตว์๑๗.ใจจึงหน่ายจึงเหนื่อยจึงเมื่อยล้า วุ่นผวาว่อนไหวถูกไล่ต้อน เกิดแล้วก่อล่อแล้วเร้นเย็นแล้วร้อน ไม่พักผ่อนเพียงสักคราวเฝ้าแฟบฟูดังนั้นใจจึงเกิดการเหนื่อยหน่ายและอ่อนเพลีย ถูกอารมณ์ต่าง ๆ ไล่ต้อนตลอดเวลา เกิด สร้าง ล่อ หนี เดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อน คือ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ อยู่ตลอดเวลามีการใช้โวหารภาพพจน์แบบปฏิพากย์ ใช้คำที่มีความหมายตรงข้ามกันคือ ล่อ กับ เร้น เย็น กับ ร้อน แฟบ กับ ฟู และใช้คำสัมผัสอักษร คือ เกิด ก่อ แฟบ ฟู๑๘.รู้และเห็นเป็นไปตามใจอยาก จึงเหมือนฉากขวากขวางกำบังอยู่ หยุดเสียทีหยุดเสียเถิดเปิดประตู เพื่อได้รู้และได้เห็นตามเป็นจริงอยากรู้อยากเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามที่ใจปรารถนา จึงเป็นเหมือนฉากกั้นไม่ให้มองเห็นความจริง หยุดคิดเสียเถิดทำใจให้สงบ แล้วใช้ปัญญามองดูโลกตามความเป็นจริง อย่ามองโลกตามอำนาจกิเลสตัณหามีการใช้โวหารภาพพจน์แบบอุปมา เปรียบความอยาก เป็นเหมือน ฉาก กับ ขวาก ที่คอยปิดบังอยู่<br />เนื้อหาแปลวิเคราะห์โวหาร๑๙.ขอกายเจ้าจงเป็นเช่นต้นไม้ ยืนอยู่ได้โดยพบสงบนิ่ง เพื่อแผ่ร่มให้เป็นหลักเพื่อพักพิง แต่งดอกพริ้งผลัดฤดูอยู่ชั่วกาลขอให้ร่างกายเป็นเหมือนต้นไม้ คืออยู่อย่างสงบเพื่อความร่มเย็น เป็นที่พักพิงและสวยงามทุกกาลเวลามีการใช้โวหารภาพพจน์แบบอุปลักษณ์ โดยเปรียบกายเป็นต้นไม้และเปรียบร่มไม้เป็นที่พักพิง๒๐.และใจเจ้าจักเป็นเช่นสายน้ำ ใสเย็นฉ่ำชื่นแล้วไหลแผ่วผ่าน เพื่อเลี้ยงชีพโลมไล้ให้เบิกบาน เพียงพ้องพานผิวแผ่วแล้วผ่านเลยและขอให้ใจเป็นดังสายน้ำ คือ ใสเย็น สงบ เบิกบาน เมื่อมีอารมณ์อะไรมากระทบก็ไม่ยึดมั่น ปล่อยวางเสียมีการใช้โวหารภาพพจน์แบบอุปลักษณ์ โดยเปรียบใจเป็นสายน้ำ๒๑.อิสระเสรีที่จะไหล ด้วยเพลงไพเราะล้ำร่ำเฉลย ชมดอกไม้สายลมพรมรำเพย และชื่นชมกับชีวิตทุกทิศทางใจย่อมมีอิสระเสรีเพราะไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของความปรารถนา เป็นใจที่อยู่กับธรรมชาติ และชื่นชมกับชีวิตทุกอย่างมีการใช้โวหารภาพพจน์แบบบุคลาธิษฐาน โดยใช้กริยา เฉลย ชม ชื่นเชย ซึ่งเป็นกริยาของคนไปเปรียบกริยาของน้ำ<br />เนื้อหาแปลวิเคราะห์โวหาร๒๒.วงของน้ำทำประกายกับสายแดด ร้อนจะแผดเผาทรายพริบพรายพร่าง ราวกากเพชรเกล็ดโปรดโรยระวาง หาดทรายกว้างกลางน้ำเริ่มคร่ำครวญน้ำย่อมทำประกายเมื่อถูกแดดเผา ความร้อนจะทำให้ทรายเกิดระยิบระยับดุจโปรยด้วยกากเพชรมีการใช้โวหารภาพพจน์แบบอุปมา เปรียบความระยิบระยับของวงน้ำเหมือนกากเพชร โดยใช้คำเปรียบว่า ราวและมีการใช้โวหารภาพพจน์แบบบุคลาธิษฐาน โดยใช้กริยา คร่ำครวญ ซึ่งเป็นกริยาของคนไปเปรียบกริยาของกรวดที่ไหลไปตามน้ำ๒๓.ไม่ไยดีปรีดาประสาโลก ไม่ทุกข์โศกเสียใจหรือไห้หวน มีสุขอยู่ทุกยามตามที่ควร ไม่ปั่นป่วนไปตามความเร่าร้อนเมื่อมีสิ่งใดมากระทบตามวิถีทางแห่งโลก มนุษย์ก็ไม่ทุกข์ โศกเสียใจหรือร่ำไห้ ทำใจให้เป็นสุข ไม่เร่าร้อนไปตามความรู้สึกหรืออารมณ์ที่มากระทบมีการใช้โวหารภาพพจน์แบบบุคลาธิษฐาน กำหนดให้กรวดทำกริยา ไยดีปรีดา ทุกข์โศก ไห้หวน มีความสุข ปั่นป่วน เช่นเดียวกับคนหรือสัตว์๒๔.รู้จักเพียงพอที่จักรับ ความเกิดดับธรรมดาอุทาหรณ์ พร้อมความรู้สึกตามวิสัยไปทุกตอน เหมือนก้อนกรวดทรายย่อมคล้ายกันรู้จักความพอดีที่จะรับอารมณ์ รู้เท่าทันธรรมดาโลก เช่น ความเกิด ความดับ ต้องรู้ทันไปทุกตอน กล่าวคือต้องทำตัวประดุจก้อนกรวดทราย ไม่หวั่นไหว รับสิ่งที่มากระทบอารมณ์ด้วยจิตใจที่สงบและเยือกเย็นมีการใช้โวหารภาพพจน์แบบอุปมา เปรียบคนเราที่เข้าใจธรรมดาโลกเหมือนก้อนกรวดทราย<br />แนวคิดเรื่องวารีดุริยางค์ ให้แนวคิดสำคัญ ดังนี้<br />ธรรมชาติมีความสวยงามและรื่นรมย์<br />ธรรมชาติเป็นที่พักพิงให้ความสงบทั้งกายและใจ<br />ธรรมชาติเป็นอนุสติเตือนให้เกิดความคิดในทางสร้างสรรค์<br />ค่านิยมเรืองวารีดุริยางค์ แสดงให้เห็นค่านิยมบางประการ ดังนี้<br />ความงามของธรรมชาติมีคุณค่าเหนือความงามที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น<br />นอกเหนือจากประโยชน์ของตนเองแล้วมนุษย์ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่นด้วย<br />คนเราควรทำใจให้สงบ ไม่คิดฟุ้งซ่าน เพื่อความสุขสงบอย่างแท้จริง<br />จิตใจ มีความสำคัญมากกว่าร่างกาย กายจะเป็นสุขได้ก็ต่อเมื่อใจเป็นสุขแล้ว<br />ใจความสำคัญ<br />ธรรมชาติแวดล้อมตัวเรามีความงดงาม เราควรใช้ธรรมชาติเป็นที่พักผ่อนอันรื่นรมย์ สงบจิตใจอันว้าวุ่นสับสน นำธรรมชาติมาเป็นเครื่องเตือนสติ ทำตนให้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ให้กายเปรียบเหมือนต้นไม้ยืนต้นสงบมั่นคง ผลิดอกประดับโลกให้สวยงาม มีร่มเงาเป็นที่พักพิง ทำใจประดุจสายน้ำที่ไหลไปตามทิศทาต่าง ๆ ได้อย่างอิสรเสรี ให้ความฉ่ำชื่นแก่ชีวิตทั้งหลาย หรือ ให้เหมือนก้อนกรวดทรายที่ไม่หวั่นไหว รับความกระทบกระเทือนทั้งปวงอย่างสงบนิ่งด้วยความรู้เท่าทันธรรมดาโลก<br />