More Related Content Similar to บทที่ 2 ทฤษฎีพื้นฐานเกี่ยวกับการจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ Similar to บทที่ 2 ทฤษฎีพื้นฐานเกี่ยวกับการจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ (20) More from Srion Janeprapapong More from Srion Janeprapapong (11) บทที่ 2 ทฤษฎีพื้นฐานเกี่ยวกับการจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ5. 1. ทรัพยากรสารสนเทศ (information resources)
- คือ วัสดุที่บันทึกสารสนเทศ มีหลากหลายชนิด เช่น หนังสือ เอกสารเทปเสียง
สารานุกรมบนแผ่นซีดี e-Journal สารสนเทศบน WWW ฯลฯ วัสดุเหล่านั้นถูก
จัดเก็บและให้บริการในห้องสมุด เพื่อสนองความต้องการด้านต่าง ๆ ของผู้ใช้
- การแบ่งประเภทของ IR ทาได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่ง
1) แบ่งตามรูปลักษณ์ของสื่อที่ใช้จัดเก็บ คือ สื่อสิ่งพิมพ์
สื่อโสตทัศน์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์
2) แบ่งตามสาขาวิชา เป็น มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี
3) แบ่งตามการจัดการด้วยคอมพิวเตอร์ คือ แอนะล็อก และดิจิทัล
6. 4) แบ่งตามแหล่งสารสนเทศ หรือ แหล่งที่มา/การผลิต หรือ ตามความใหม่
เก่าของตัวเนื้อหา แบ่งออกเป็นแหล่งปฐมภูมิ แหล่งทุติยภูมิ และแหล่งตติยภูมิ
1. แหล่งข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Sources)
= งานที่เขียนขึ้นเป็นครั้งแรก ข้อเขียนใหม่เฉพาะเรื่อง รายงานการค้นพบใหม่ๆ
ไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อน เช่น รายงานการวิจัย/ทดลอง วิทยานิพนธ์ งานวิจัย
บทความในวารสาร สิทธิบตร ั มาตรฐาน ฯลฯ
2. แหล่งข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Sources)
= งานที่ผ่านกระบวนการคัดเลือก ขัดเกลา ย่อ/สรุป วิจารณ์ -------> เรียบเรียงใหม่
จัดอยู่ในรูปแบบใหม่ เช่น บทความในวารสาร บทคัดย่อ พจนานุกรม สารานุกรม
ดรรชนีและสาระสังเขป ฯลฯ
3. แหล่งข้อมูลตติยภูมิ (Tertiary Sources)
= งานเขียนที่กลั่นกรอง และรวบรวมจาก 1 + 2 เช่น หนังสือตาราวิชาการ เป็นต้น
7. 2. ฐานข้อมูล (database)
คือ แหล่งสะสมข้อเท็จจริงต่าง ๆ โดยมีการรวบรวมข้อมูลที่มีความสัมพันธ์
กันไว้ด้วยกัน และมีโปรแกรมระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS -- Database
Management System) มาช่วยในการจัดเก็บ จัดเรียง และสืบค้นได้
ในระบบสารสนเทศและห้องสมุด ฐานข้อมูลเป็นที่รวมของระเบียนทรัพยากร
สารสนเทศต่าง ๆ ที่มีในห้องสมุด ซึ่งก็คือ “ฐานข้อมูลทรัพยากรสารสนเทศของ
ห้องสมุด” และหมายรวมถึง “ฐานข้อมูลเฉพาะสาขาวิชาที่ห้องสมุดพัฒนาขึ้นเอง”
“ฐานข้อมูลซีดีรอม” และ”ฐานข้อมูลออนไลน์” ด้วย
12. 3. ผู้ใช้ (User)
ประเภทของผู้ใช้สามารถแบ่งได้หลายประเภท ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่ง
โดยทั่วไปแบ่งผู้ใช้ออกเป็นดังนี้
3.1 แบ่งตามหน้าที่ในหน่วยงานบริการสารสนเทศ
3.2 แบ่งตามความชานาญ หรือประสบการณ์ในการค้นหาสารสนเทศ
13. 3. ผู้ใช้ (User) (ต่อ)
3.1 แบ่งตามหน้าที่ในหน่วยงานบริการสารสนเทศ คือ
3.1.1 ผู้ใช้ที่เป็นตัวกลาง (intermediary/ mediator) หมายถึง
ผู้ให้บริการค้นคืนสารสนเทศ อาทิ บรรณารักษ์ นักเอกสารสนเทศ เป็นต้น ซึ่ง
ทาหน้าที่ค้นคืนสารสนเทศให้แก่ผู้ใช้
3.1.2 ผู้ใช้ปลายทาง (end user) ได้แก่ ผู้ใช้ที่มีความต้องการ
สารสนเทศของตนเอง อาจเป็นนักวิจัย ผู้บริหาร นักศึกษา อาจารย์ หรือ
ประชาชนทั่วไป โดยมีการแสวงหาสารสนเทศด้วยตนเอง หรือขอความช่วยเหลือ
จากผู้ให้บริการสารสนเทศ
14. 3. ผู้ใช้ (User) (ต่อ)
3.2 แบ่งตามความชานาญ หรือประสบการณ์ในการค้นหาสารสนเทศ
เป็นการแบ่งผู้ใช้ที่เป็นตัวกลางและผู้ใช้ปลายทางออกเป็น
1) ผู้ใช้ที่มีความชานาญเป็นอย่างดี
2) ผู้ใช้ที่มีความชานาญระดับปานกลาง
3) ผู้ที่ไม่เคยใช้ระบบมาก่อน
15. เป็นกระบวนการในการจับคูระหว่างทรัพยากรสารสนเทศที่มีอยู่กับความต้องการ
่
สารสนเทศของผู้ใช้ หากจับคู่ได้ตรงกัน ย่อมได้ผลการค้นคืน หากจับคู่ไม่ตรงกัน
ผลจะเป็นศูนย์
องค์ประกอบของตัวแบบพื้นฐาน
1. เอกสารที่ได้คัดเลือก หรือเรียกว่า “เอกสาร (document)”
2. ตัวแทนเอกสาร (document surrogate/ representation)
3. ความต้องการสารสนเทศ (information need)
4. ตัวแทนความต้องการสารสนเทศ
5. การจับคู่ระหว่างตัวแทนความต้องการสารสนเทศกับตัวแทนเอกสาร
(matching process)
16. 1. เอกสารที่ได้คัดเลือก หรือเรียกว่า “เอกสาร (document)”
คือ ทรัพยากรสารสนเทศ ที่ได้รับการคัดเลือก หรือคัดสรรตามนโยบายของหน่วยงานบริการ
สารสนเทศแห่งนั้น
2. ตัวแทนเอกสาร (document surrogate/ representation)
คือ การสร้างตัวแทนเอกสารในรูปแบบต่าง ๆ อย่างมีมาตรฐาน แล้วจัดเก็บในรูปของฐานข้อมูล
เช่น
- การสร้างข้อมูลบรรณานุกรม เพื่อเป็นตัวแทนโครงสร้างเอกสาร เช่น ถ้าเป็น
หนังสือ จะมีโครงสร้างของตัวแทนหนังสือ ประกอบด้วย ชื่อผู้แต่ง ชื่อเรื่อง สถานที่พิมพ์
สานักพิมพ์ ปีพิมพ์ หัวเรื่อง คาสาคัญ เป็นต้น
- การกาหนดตัวแทนสาระ หรือดรรชนี
- การสรุปย่อเนื้อหาสาคัญในรูปของสาระสังเขป
ฯลฯ
17. 3. ความต้องการสารสนเทศ (information need)
หรือบางครั้งเรียกว่า “ความต้องการของผู้ใช้”
สารสนเทศที่ผู้ใช้ต้องการมีหลากหลายแตกต่างกันไป และเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัย
และเวลา ไม่คงที่แน่นอน
4. ตัวแทนความต้องการสารสนเทศ
หมายถึงการสร้าง หรือกาหนดตัวแทนความต้องการสารสนเทศในรูปแบบของ
“คาศัพท์” หรือคาค้นที่คิดว่าสามารถแทนความต้องการสารสนเทศได้ตรงและถูกต้อง
ที่สุด
18. 5. การจับคู่ระหว่างตัวแทนความต้องการสารสนเทศกับตัวแทนเอกสาร (matching
process)
กล่าวคือ กระบวนการจับคู่เป็นกลไกสาคัญในการค้นคืนสารสนเทศ
หากจับคู่ได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพ ผู้ใช้จะได้ผลการค้นคืนที่เข้าเรื่อง (relevant)
หรือ ตรงกับความต้องการสารสนเทศของตน (pertinent)
“จานวนรายการที่ค้นคืนได้ (retrieved item)” เป็นประเด็นสาคัญที่ต้องพิจารณา
เช่นกัน
ดังนั้นจึงควรมีการจัดอันดับรายการที่ค้นคืนได้ (ranking) เพื่อให้เอกสารที่คาดว่า
เข้าเรื่องที่สุดอยู่ในอันดับต้น และเอกสารเข้าเรื่องน้อยกว่าอยู่ในอันดับรองลง
มาตามลาดับ
20. เป็นกระบวนการในการจับคูระหว่างทรัพยากรสารสนเทศที่มีอยู่กับความต้องการ
่
สารสนเทศของผู้ใช้
เพื่อ
ได้ผลการสืบค้นที่เข้าเรื่อง (ถูกต้องตรงตามความต้องการของผู้ใช้)
สามารถจัดอันดับรายการที่ค้นคืนได้ (เอกสารที่เข้าเรื่องที่สุดอยู่ในอันดับต้น)
สามารถค้นคืนได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งการที่ระบบค้นคืนสารสนเทศจะมีประสิทธิภาพต้องมีการดาเนินการการจัดเก็บ
เอกสาร (document) การจัดทาระเบียนเอกสาร (โครงสร้างของเอกสาร)
และ การจัดทาดรรชนี (เพื่อใช้เป็นตัวแทนเนื้อหาสาระของเอกสาร) อย่างมี
ประสิทธิภาพเช่นกัน
หมายรวมถึงผู้ใช้เองก็ต้องมีความสามารถในการกาหนดคาค้นได้ด้วยตนเอง
23. ข้อมูล การ ผลลัพธ์
นาเข้า ประมวล หรือ ผล
ผล ผลการค้น ป้อนกลับ
• เอกสาร
หรือ • การจัด คืน • ความ
ตัวแทน หมวดหมู่ คิดเห็น
เอกสาร • การแยก • เอกสาร หรือ ของผู้ใช้
• ข้อคาถามของ ประเภท ตัวแทนเอกสาร ต่อผลการ
ผู้ใช้ • จัดเรียง ที่เข้าเรื่อง ค้นคืน
ฯลฯ และปัญหา
ที่พบ
ฯลฯ
24. ตามแนวคิดของรองศาสตราจารย์ ดร. สมพร พุทธาพิทักษ์ผล (2545:1: 44) กล่าวว่าระบบ
ค้นคืนสารสนเทศมีหน้าที่สาคัญ 3 ประการ คือ
1. การวิเคราะห์เนื้อหา หรือสาระของเอกสารที่ได้คัดเลือกมา
2. การวิเคราะห์ข้อคาถาม หรือความต้องการสารสนเทศของผู้ใช้
3. การจับคูระหว่างข้อคาถาม หรือตัวแทนความต้องการสารสนเทศของผู้ใช้ กับเอกสาร
่
และ/หรือตัวแทนเอกสาร
25. 1. การวิเคราะห์เนื้อหา หรือสาระของเอกสารที่ได้คัดเลือกมา
เพื่อสร้างตัวแทนเอกสาร และ คาแทนสาระของเอกสาร
บางระบบอาจมีสาระสังเขปของเอกสาร หรือเอกสารฉบับเต็มด้วย
2. การวิเคราะห์ข้อคาถาม หรือความต้องการสารสนเทศของผู้ใช้
คือ การสร้างกลยุทธ์การสืบค้นเพื่อค้นหาสารสนเทศที่ต้องการ โดยการใช้
- คาค้นเพียงคาเดียว
- ใช้คาสั่งระบุเขตข้อมูล (ให้ไปค้นหาคาค้นที่เขตข้อมูลหัวเรื่อง ผู้แต่ง ฯลฯ)
- ใช้ตรรกบูลเชื่อมคาค้นหลาย ๆ คา
- ระบุภาษา หรือ ปีค.ศ. ของเอกสาร
โดยระบบค้นคืนสารสนเทศจะแปลงคาสั่งการสืบค้นของผู้ใช้ให้เป็นคาสั่ง หรือ
ภาษาที่ระบบนั้น ๆ เข้าใจเพื่อดาเนินการสืบค้นต่อไป
26. 3. การจับคูระหว่างข้อคาถาม หรือตัวแทนความต้องการสารสนเทศของผู้ใช้ กับเอกสาร
่
และ/หรือตัวแทนเอกสาร
เพื่อดึงสารสนเทศเฉพาะรายการที่เข้าเรื่อง หรือตรงกับข้อคาถามของผู้ใช้ออกมา
เป็นผลการค้นคืน
27. จากหนังสือการค้นคืนสารสนเทศ (Information Retrieval) ของอาจารย์เดชา
นันทพิชัย (2546: 22-23) ได้อธิบายภารกิจและหน้าทีของระบบค้นคืนสารสนเทศว่าสรุป
่
ได้ ดังนี้
1. การวิเคราะห์เอกสารและการจัดระบบสารสนเทศ คือ การสร้างฐานข้อมูลเอกสาร
ได้แก่ การจัดทาโครงสร้างเอกสาร การวิเคราะห์เนื้อหา การจัดทาดรรชนี
2. การวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ และเตรียมกลยุทธ์การสืบค้น
3. การสืบค้น (Searching) และการเปรียบเทียบความต้องการผูใช้กับฐานข้อมูล
้
4. การประเมินผลลัพธ์ที่ได้
28. (เดชา นันทพิชัย, 2546: 23)
Information Analysis and Organized
Sources Representation Information
Retrieval Matching
Information
Users Query Analyzed
Analysis Queries
(search statement)
29. จากภาพข้างต้นอาจารย์เดชา นันทพิชัย (2546: 23) สรุปว่าถ้าแบ่งภาระงาน (Task) ของ
ระบบการค้นคืนสารสนเทศก็สามารถจาแนกออกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ
1. งานที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์เนื้อหา และหัวเรื่อง
ได้แก่ งานวิเคราะห์ จัดระบบ และจัดเก็บสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง
2. งานที่เกี่ยวกับการสืบค้น และค้นคืน
ได้แก่ งานเกี่ยวกับกระบวนการค้นหา และค้นคืน รวมถึงงานวิเคราะห์คาร้อง
ของผู้ใช้ และสร้างสูตรการค้นคืน
30. Lancaster (อ้างถึงในสมพร พุทธาพิทักษ์ผล, 2545: 1: 44-47) อธิบายระบบค้น
คืนสารสนเทศว่าประกอบด้วยระบบย่อย 6 ระบบ ได้แก่
1. ระบบย่อยการคัดเลือกเอกสาร (Document Selection Subsystem)
2. ระบบย่อยการจัดทาดรรชนี (Indexing Subsystem)
3. ระบบย่อยคาศัพท์ (Vocabulary Subsystem)
4. ระบบย่อยการสืบค้น (Searching Subsystem)
5. ระบบย่อยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างระบบค้นคืนสารสนเทศกับผู้ใช้ (Subsystem of
Interaction Between the User and the System)
6. ระบบย่อยการจับคู่ (Matching Subsystem)
31. 1. ระบบย่อยการคัดเลือกเอกสาร (Document Selection Subsystem)
ทาหน้าที่ในการคัดเลือกเอกสารตามนโยบายของหน่วยงานบริการสารสนเทศนั้น ๆ
2. ระบบย่อยการจัดทาดรรชนี (Indexing Subsystem)
ทาหน้าทีวิเคราะห์เนื้อหาของเอกสาร และกาหนดคาศัพท์ที่เรียกว่า “ดรรชนี” ขึ้น
่
แทนเนื้อหาสาระของเอกสาร รวมถึงทาดรรชนีของคาที่ปรากฏใน
สาระสังเขป หรือเอกสารฉบับเต็มเพื่อให้สามารถค้นคืนได้ดวย
้
ระเบียน (record) หรือ ตัวแทนเอกสาร
ตัวแทนเอกสาร หรือ ระเบียน (record) เหล่านี้จะถูกจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูล ซึ่ง
จานวนระเบียนจะใช้เป็นเกณฑ์ในการบอกขนาดของฐานข้อมูล
32. 3. ระบบย่อยคาศัพท์ (Vocabulary Subsystem)
ทาหน้าทีเ่ ป็นคลังศัพท์ดรรชนี หรือศัพท์สาคัญที่ใช้ในการจัดทาดรรชนี
ระบบย่อยนี้มีประโยชน์ทั้งในการจัดทาดรรชนี และการค้น เพราะหากผู้ใช้
กาหนดคาศัพท์ที่จะค้นได้ตรงกับศัพท์ที่ใช้ในการทาดรรชนี ย่อมได้ผล
การค้นคืนที่เข้าเรื่อง
4. ระบบย่อยการสืบค้น (Searching Subsystem)
เป็นการวิเคราะห์ความต้องการสารสนเทศของผู้ใช้ และกาหนดกลยุทธ์การค้น
รวมถึงการแปลงกลยุทธ์การค้นให้อยู่ในรูปของคาสั่ง หรือภาษาที่ใช้ใน
ระบบค้นคืนสารสนเทศนั้น ๆ (มีการใช้เทคนิคการค้นคืนที่แตกต่างกัน)
อาจใช้คลังศัพท์ดรรชนี หรือศัพท์สาคัญของระบบฯ นั้นช่วยในการค้นก็ได้
33. 5. ระบบย่อยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างระบบค้นคืนสารสนเทศกับผู้ใช้ (Subsystem of
Interaction Between the User and the System)
เป็นการสื่อสารระหว่างผู้ใช้กับระบบค้นคืนสารสนเทศในขณะทาการค้น
การปฏิสัมพันธ์อาจอยู่ในรูปแบบของการออกแบบหน้าจอ (Screen Design)
เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
มีข้อความที่ช่วยแนะนาผู้ใช้หากกระทาผิดพลาด (Error Message)
มีสารสนเทศที่ช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ (Help Information)
มีทางเลือกให้ผู้ใช้สามารถออกคาสั่งได้ตามสะดวกด้วยตนเอง หรือด้วยการเลือก
ตัวเลือกที่หน้าจอ
34. 6. ระบบย่อยการจับคู่ (Matching Subsystem)
คือ การจับคู่ระหว่างตัวแทนเอกสารกับตัวแทนความต้องการสารสนเทศของผู้ใช้
โดยการจับคู่ย่อมขึ้นอยู่กับซอฟต์แวร์ที่ใช้กับโครงสร้างระบบฐานข้อมูลเป็นสาคัญ
ผู้ใช้จะไม่เห็นการทางานของระบบย่อยนี้
การทางานของระบบย่อยทั้ง 6 ในระบบค้นคืนสารสนเทศจะสัมพันธ์กับหน้าที่ของระบบ
ค้นคืนสารสนเทศทั้ง 3 ประการคือ 1) การวิเคราะห์เนื้อหาของเอกสาร 2) การวิเคราะห์
ข้อคาถามของผู้ใช้ และ 3) การจับคู่ระหว่างข้อคาถามกับเอกสาร หรือตัวแทนเอกสาร
36. การวิเคราะห์เนื้อหา หรือสาระ การจับคู่ระหว่างข้อคาถามกับ การวิเคราะห์ข้อคาถาม
ของเอกสารที่ได้คัดเลือกมา เอกสาร หรือตัวแทนเอกสาร หรือ ความต้องการผู้ใช้
ระบบย่อยการคัดเลือกเอกสาร ระบบย่อยการสืบค้น
ระบบย่อยการจัดทาดรรชนี ระบบย่อยคาศัพท์
ระบบย่อยการปฏิสัมพันธ์
ระบบย่อยการจับคู่
38. คือ
พฤติกรรมทั้งมวลของบุคคลหนึ่ง ซึ่งเชือมโยงบุคคลผู้นั้นให้เข้าถึงแหล่งสารสนเทศ
่
ต่างๆ โดยใช้ช่องทางในการเผยแพร่และในการได้สารสนเทศมาโดยตรง หรือ
ทางอ้อม
พฤติกรรมสารสนเทศเป็นคาที่มีความหมายกว้าง ครอบคลุมพฤติกรรมการแสวงหา
สารสนเทศ และพฤติกรรมการค้นหาสารสนเทศ โดยลาดับ
39. 1. พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ (Information-seeking Behavior) แตกต่างจาก
พฤติกรรมการค้นหาสารสนเทศ (Information Search Behavior) อย่างไร
2. จงอธิบายแผนภาพตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศในหน้า 54
3. ตัวแบบทั่วไปของพฤติกรรมสารสนเทศ (หน้า55-57) มีลักษณะแตกต่างจากตัวแบบ
พฤติกรรมสารสนเทศ (หน้า 53-54) อย่างไร
4. สมมุติว่าท่านกาลังท่องเว็บเพื่อค้นหาสารสนเทศเกี่ยวกับ Google Desktop Search
ให้ท่านใช้ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของวิลสันอธิบายขั้นตอนที่ท่านใช้ใน
การแสวงหาสารสนเทศ (ดูที่ขอ 3 ของหน้า 59-60)
้
40. 1. พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ (Information-seeking Behavior) แตกต่างจาก
พฤติกรรมการค้นหาสารสนเทศ (Information Search Behavior) อย่างไร
พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ (Information-seeking Behavior) เป็นพฤติกรรมที่
เกิดจากผู้ใช้มีความต้องการสารสนเทศในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จึงเกิดการแสวงหา
สารสนเทศอย่างมีวัตถุประสงค์ขึ้น ซึ่งพฤติกรรมข้างต้นกว้างกว่าและครอบคลุม
พฤติกรรมการค้นหาสารสนเทศด้วย เช่น...
พฤติกรรมการค้นหาสารสนเทศ (Information Search Behavior) เป็นพฤติกรรมที่ผู้ใช้
มีปฏิสัมพันธ์กับระบบสารสนเทศ ไม่ว่าจะเป็นในระดับปฏิบัติ (เช่น การใช้เม้าส์) หรือ
ในระดับการใช้ความคิด สติปัญญาและความรู้ (เช่น การใช้ตรรกบูล) หรือ การ
ตัดสินใจเลือกสารสนเทศที่ดีที่สุด หรือการพิจารณาว่าสารสนเทศที่ได้มาตรงกับความ
ต้องการของตนหรือไม่ อย่างไร
41. 2. จงอธิบายแผนภาพตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศในหน้า 54
เป็นตัวแบบแรกทีวิลสันพัฒนาขึ้นเพื่อใช้อธิบายพฤติกรรมสารสนเทศ (ดูหน้า 53
่
และแผนภาพหน้า 54)
ต่อมาได้ศึกษาวิจัยและปรับปรุงจนได้ตัวแบบที่สองซึ่งเรียกว่า “ตัวแบบทั่วไปของ
พฤติกรรมสารสนเทศ”
42. 3. ตัวแบบทั่วไปของพฤติกรรมสารสนเทศ (หน้า55-57) มีลักษณะแตกต่างจากตัวแบบ
พฤติกรรมสารสนเทศ (หน้า 53-54) อย่างไร
ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศ อธิบายพฤติกรรมสารสนเทศในด้านต่าง ๆ คือ ความต้องการ
สารสนเทศ และกิจกรรมต่าง ๆ อันเป็นผลจากความต้องการนั้น โดยแสดงขั้นตอนของ
กิจกรรมต่าง ๆ ทั้งในการค้นหา และการแลกเปลี่ยนสารสนเทศ และการใช้สารสนเทศ
ด้วย
ตัวแบบทั่วไปของพฤติกรรมสารสนเทศ อธิบาย พฤติกรรมสารสนเทศในเชิงมหภาค
พฤติกรรมสารสนเทศเป็นผลมาจากความต้องการสารสนเทศ กลไก หรือภาวะที่
สนับสนุน หรือเป็นอุปสรรคต่อการแสวงหาสารสนเทศ การแสวงหาสารสนเทศทั้งที่
ผู้ใช้ริเริ่มด้วยตนเอง หรือมิได้ริเริ่มด้วยตนเอง และการประมวล และการใช้สารสนเทศ
43. ครูต้องการสารสนเทศ เรื่อง ISAR
กลไก หรือตัวแปรที่กระตุ้นให้เกิดการแสวงหาสารสนเทศ คือ
- เป็นครู จบปริญญาโท
- มีความสามารถในการสืบค้นสารสนเทศในขั้นสูง
- รู้จักแหล่งสารสนเทศทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ
- ต้องหาสารสนเทศเพื่อใช้ในการสอน
- ต้องการให้นักศึกษาเข้าใจเนื้อหาที่เรียน
เกิดพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศซึ่งริเริ่มด้วยตนเอง
พบสารสนเทศที่ต้องการก็คัดเลือก รวบรวม เรียบเรียงเป็น PPT ใช้สอน
44. 4. ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของวิลสันอธิบายขั้นตอนในการแสวงหา
สารสนเทศด้วยการท่องเว็บเพื่อค้นหาสารสนเทศเกี่ยวกับ Google Desktop Search ได้ดังนี้
1. การเริ่มต้น ด้วยการตัดสินใจท่อง WWW
2. การสารวจเลือกดู โดยการใช้เครื่องมือช่วยค้นประเภท Search Tools เพื่อค้นหา
เว็บไซต์ที่มีสารสนเทศที่เกี่ยวกับ Google Desktop Search
3. การแยกแยะ ด้วยการพิจารณาว่าแหล่งใดจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่า (โดยใช้
เกณฑ์การประเมินค่า Internet Resources ช่วย)
4. การดึงสารสนเทศที่สามารถนาไปใช้ได้ทันทีออกมาจากตัวเอกสาร เช่น ความหมาย
ลักษณะ ขั้นตอนการใช้ Google Desktop Search เป็นต้น
5. การตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร โดยเปรียบเทียบกับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหา
เหมือนกัน หรือจากหนังสือวิชาการ หรือจากการสอบถามผู้รู้
6. การจบ เป็นการเก็บรวบรวมสารสนเทศที่แสวงหาทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพราะแน่ใจ
ว่าได้สารสนเทศในระดับทีต้องการแล้ว
่
45. ตัวแบบพื้นฐานในการจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศมุ่งเน้นไปที่การจับคู่ระหว่าง
ทรัพยากรสารสนเทศที่มีอยู่กับความต้องการสารสนเทศของผู้ใช้ เพื่อบรรลุ
วัตถุประสงค์ คือการค้นคืนสารสนเทศให้ได้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด
แต่ตัวแบบทั่วไปของพฤติกรรมสารสนเทศอธิบายพฤติกรรมการแสวงหาและการใช้
สารสนเทศโดยเน้นที่ผู้ใช้เป็นสาคัญ เพราะผู้ใช้มีพฤติกรรมสารสนเทศที่หลากหลาย
ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาวะ หรือกลไกที่มีผลต่อพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ เช่น
สภาวะทางอารมณ์- - ทางสติปัญญา ตัวแปรทางสังคมที่มีการแข่งขันในที่ทางานสูง
หน้าที่การงาน ความสามารถในการสืบค้นสารสนเทศ ฯลฯ
ดังนั้นระบบค้นคืนสารสนเทศควรให้ความสาคัญกับสภาวะ หรือกลไกที่มีผลต่อ
พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของผู้ใช้ด้วย เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ได้สารสนเทศตามที่
ต้องการอย่างแท้จริง
46. เดชา นันทพิชัย. 2546. การค้นคืนสารสนเทศ (Information Retrieval).
พิมพ์ครั้งที่ 2. นครศรีธรรมราช: หลักสูตรการจัดการสารสนเทศ สานักวิชา
สารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์.
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. 2545. แนวการศึกษาชุดวิชาการจัดเก็บและการค้นคืน
สารสนเทศ (Information Storage and Retrieval) หน่วยที่ 1-15. นนทบุรี:
สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
สมพร พุทธาพิทักษ์ผล. 2545. “ทฤษฎีพนฐานเกี่ยวกับการจัดเก็บและการค้นคืน
ื้
สารสนเทศ.” ใน ประมวลสาระชุดวิชาการจัดเก็บและการค้นคืนสารสนเทศ
(Information Storage and Retrieval), หน่วยที่ 1-4, หน้า 31-62.
นนทบุรี: สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.