Más contenido relacionado
La actualidad más candente (17)
Similar a ยาปฏิชีวนะ : วันนี้โลกต้องทบทวนและยกเครื่องระบบสุขภาพใหม่ (20)
ยาปฏิชีวนะ : วันนี้โลกต้องทบทวนและยกเครื่องระบบสุขภาพใหม่
- 1. ถอดความจากการนาเสนอในที่ประชุมเวทีวิชาการ เรื่อง "ยาปฏิชีวนะ : วันนี้โลกต้องทบทวนและยกเครื่องระบบสุขภาพใหม่" โดย แพทย์หญิง
เขมรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ จัดโดยสถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติ วิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต ในวันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน 2559 เวลา 13.00 –
16.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 4 อาคารพร้อมพันธุ์ 1 ลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร
สถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติ วิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต
วิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต
แพทย์หญิง เขมรัฐ เหล่าธรรมทัศน์
ความเป็นมาของ “ยาปฏิชีวนะ”
ก่อนที่จะมียาปฏิชีวนะ มนุษย์ไม่ค่อยมีชีวิตยืนยาวสักเท่าไร ติดเชื้อเล็กน้อยก็อาจเสียชีวิตได้ การ
ผ่าตัด ถือเป็นความเสี่ยงสูงมาก เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แม้แต่การผ่าตัดไส้ติ่ง ที่ในสมัยนี้ดูเป็นเรื่องง่าย
แต่หากเป็นยุคก่อนจะมียาปฏิชีวนะ ต้องลุ้นมากว่าจะได้ออกมาจากห้องผ่าตัดหรือไม่
มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนพยายามคิดค้นยาปฏิชีวนะตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918)
แต่ยังไม่มีใครสามารถสกัดยาออกมาได้ จนกระทั่งในปี 1928 อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง (Alexander Flem-
ing) นักชีววิทยาและนักเภสัชวิทยาชาวสก็อตแลนด์ ได้ค้นพบวิธีการสกัดยาเพนิซิลิน(Penicillin) ยา
ปฏิชีวนะตัวแรกของโลกได้สาเร็จ แต่มีข้อจากัดคือ ไม่สามารถผลิตได้มากเพียงพอสาหรับนาไปใช้ใน
สงครามโลก เนื่องจากรัฐบาลอังกฤษไม่มีเงินทุนมากพอในการสนับสนุน เพราะอังกฤษเองบอบช้าจาก
สงครามมาก
1
เอกสารวิชาการ
ฉบับที่ 1 /2559
ยาปฏิชีวนะ
วันนี้โลกต้องทบทวนและยกเครื่องระบบสุขภาพใหม่
- 2. ในสงคราม ทหารต้องเข้าไปอยู่ในสนามเพลาะ ประกอบกับอากาศที่ชื้นและหนาวทาให้เท้าติดเชื้อจนต้อง
ตัดทิ้ง และมีทหารตายด้วยสาเหตุนี้เป็นจานวนมาก แพทย์จึงเริ่มตระหนักว่าหากมียามารักษาการติดเชื้อนี้ จะ
สามารถรักษาชีวิตทหารไว้ได้จานวนมาก จนกระทั่ง ปี 1941 นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียกับ
บริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) บริษัทผลิตยาขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ตัดสินใจร่วมมือกันผลิตยาเพนิซิลินออก
มาเป็นจานวนมาก เพื่อนาไปใช้ในครามโลกครั้งที่ 2
ขณะนั้น บริษัทไฟเซอร์ ต้องใช้เงินลงทุนหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นเงินที่สูงมากในสมัยนั้น และเป็นสิ่ง
ใหม่ที่ไม่เคยมีใครทา จึงคิดหนักมากว่าควรลงทุนหรือไม่ จนสุดท้าย ได้ข้อสรุปว่านี่เป็นสิ่งที่ควรลงทุน แม้ว่าบริษัท
จะขาดทุน เพราะอาจจะเป็นหนทางที่จะช่วยชีวิตมนุษยชาติในอนาคตได้อีกมาก
จนถึงวันนี้ ยาเพนิซิลิน ยังถือว่าเป็นยาปฏิชีวนะที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดและมีความปลอดภัยมาก
ที่สุดนับตั้งแต่การค้นพบยาปฏิชีวนะมา
คุณสมบัติของยาปฏิชีวนะ
ยาปฏิชีวนะใช้รักษาโรคติดเชื้อ ที่เกิดจากเชื้อโรค 4 กลุ่ม ดังนี้ 1) Viral (เชื้อไวรัส) 2) Bacterial (เชื้อ
แบคทีเรีย) 3) Fungal (เชื้อรา) และ 4) Parasitic (เชื้อปรสิต)
โดยทั่วไป การรักษาคนไข้ที่มีอาการแนวโน้มอาจติดเชื้อ แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะหว่านกันไว้ก่อน ซึ่งการใช้
ยาปฏิชีวนะหว่านก่อนในขั้นแรกนั้น ไม่ถือว่าเป็นสิ่งเลวร้าย เนื่องจากหากคนไข้มีอาการติดเชื้อ แต่แพทย์ไม่ได้ให้ยา
ปฏิชีวนะ อาจทาให้การติดเชื้อลุกลาม และอาจส่งผลต่อชีวิตได้ เพียงแต่เมื่อทราบว่าอาการติดเชื้อนั้นเกิดจากสาเหตุ
ใด และต้องใช้ยาปฏิชีวนะตัวใดในการรักษา ก็ปรับให้เหมาะสมกับอาการ โดยหลักการใช้ยาปฏิชีวนะมีดังนี้
1. Signs of infection ดูสัญญาณว่าเป็นอาการของการติดเชื้อหรือไม่ เช่น วัดอุณหภูมิร่างกาย จานวนเม็ด
เลือดขาว อัตราการหายใจ เป็นต้น
2. Culture data หลังจากพิจารณา Signs of infection แล้วก็จะทาการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ หรืออาจจะ
เจาะน้าตรงหัวเข่า มาเพาะเชื้อดูว่ามีอาการติดเชื้อหรือไม่ ขั้นตอนนี้ใช้เวลา 3-5 วัน ซึ่งจากขั้นตอนนี้จะทาให้ทราบ
ว่าเป็นเชื้อโรคตัวไหน และนอกจากนั้นยังทราบว่าจะใช้ยาปฏิชีวนะตัวไหนมารักษาต่อไป
3. Broad spectrum antibiotics ในขั้นแรก เป็นการใช้ยาปฏิชีวนะฆ่าหว่านไปทั่ว เพราะยังไม่รู้ว่ามีเชื้อโรค
ตัวไหนบ้าง
4. Narrowing antibiotics เมื่อทราบว่าเป็นเชื้อโรคตัวไหน จากการตรวจแบบ Culture data ก็จะเริ่มใช้ยา
ปฏิชีวนะแบบเจาะจง
5. Duration of treatment ระยะเวลาการรักษา ใช้ยากี่วัน
สถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติ วิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต
2
- 3. สถานการณ์การใช้ยาปฏิชีวนะในปัจจุบัน
ปัจจุบัน คนทั่วไปใช้ยาปฏิชีวนะในทางที่ผิดและใช้มากเกินไป โดยที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้อง
เกี่ยวกับยาปฏิชีวนะ ทาให้เกิดเชื้อโรคดื้อยา และมีแนวโน้มว่าจะมีเชื้อโรคที่ดื้อยามากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น มีเชื้อ
โรคอีโคไลบางตัวที่เกิดการต้านยาคอลิสติน (Colistin) ซึ่งเป็นยาตัวที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพสูงและมีผลข้างเคียง
ค่อนข้างรุนแรง แพทย์หลายคนจึงมักหลีกเลี่ยง แต่ในกรณีนี้ ยาตัวอื่นไม่สามารถจัดการเชื้อตัวนี้ได้ จึงนามาใช้แล้ว
พบว่า เชื้ออีโคไลนี้สามารถต้านยาคอลิสตินได้ โดยพบเชื้ออีโคไลตัวนี้ที่ประเทศจีนเป็นที่แรก ต่อมาพบที่มาเลเซีย
พม่า และล่าสุดพบที่สหรัฐอเมริกา
เชื้อดื้อยาปฏิชีวนะอาจเกิดจากหลายปัจจัย ดังนี้
1) ความต้องการของคนไข้ คนไข้ขอให้แพทย์จ่ายยาให้ ทั้งที่บางครั้งเกินความจาเป็น
2) เมื่อได้ยามาก็ใช้ยาไม่ครบคอร์สตามที่แพทย์สั่ง ดังเช่น แพทย์สั่งให้ทานยา 7 วัน แต่ทานยาแค่ 3 วันแล้ว
เลิก
3) คนไข้ไปซื้อยาทานเองจากร้านขายยา
4) แพทย์สั่งยาปฏิชีวนะผิดตัว
5) การนายาปฏิชีวนะไปใช้ในการปศุสัตว์ เช่น หมู สัตว์ เพื่อเร่งการเติบโต
การคิดค้นยาปฏิชีวนะ หยุดอยู่แค่ปี 1980 นับตั้งแต่นั้นไม่มีการคิดค้นยาปฏิชีวนะใหม่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยา
ปฏิชีวนะมีราคาค่อนข้างถูก บริษัทยาต่างๆ มองว่าไม่คุ้มที่จะลงทุนทาการวิจัยและพัฒนา เพราะยาประเภทอื่นได้
เงินสูงกว่า เช่น ยาหัวใจและยาคลอเรสเตอรอล รวมถึงบรรยากาศการทางานในปัจจุบันไม่คึกคักเช่นในอดีต แต่ใน
อดีต บริษัทไฟเซอร์ยอมลงทุนทาผลิตยาเพนิซิลิน แม้ไม่รู้ว่าจะขาดทุนหรือไม่ เพราะมองเห็นถึงความจาเป็นของ
ยา นอกจากนี้ยังแบ่งความรู้เหล่านี้ให้แก่บริษัทยาอื่นๆ อีกด้วย
ข้อเสนอแนะ
มีข้อกังวลว่าอนาคตจะมีเชื้อโรคดื้อยาที่ไม่มียาปฏิชีวนะตัวใดสามารถต้านได้หรือไม่ และจะทาให้การใช้ชีวิต
ลาบากมากขึ้นเพียงใด หากแค่แผลที่ถูกกระดาษบาดอาจทาให้เสียชีวิตได้ หรือไม่สามารถทาการผ่าตัดได้
เนื่องจากไม่มียาปฏิชีวนะที่ต้านเชื้อโรคได้ ดังนั้น เราต้องกลับมาคิดทบทวนถึงแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง โดย
เริ่มที่ตัวเราเอง คือ การล้างมือ(Hand hygiene) ยังเป็นสิ่งที่สาคัญอย่างหนึ่งที่เราทากันได้ โดยเฉพาะใน
โรงพยาบาล และการกินโพรไบออติกส์ (Probiotics) เช่น ที่มีในโยเกิร์ต เป็นการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง
แม้ไม่ส่งผลทันทีแต่อาจส่งผลในระยะยาว นอกจากนี้ ในด้านการวิจัยและการพัฒนา ควรมีหน่วยงานให้เงิน
สนับสนุนบริษัทยา เพื่อวิจัยพัฒนายาปฏิชีวนะต่อไป โดยเฉพาะในประเทศไทยเอง เนื่องจากเราใช้ความรู้จาก
3
สถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติวิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต
3
- 4. ตะวันตกเสียมาก เราควรทาเองมากขึ้น หายาที่เหมาะสมกับคนไทยและสภาพภูมิอากาศ และเกิดองค์ความรู้ใหม่
ในประเทศด้วย
และในปัจจุบัน ประเทศไทยให้ความสาคัญกับวงการแพทย์มาก ในขณะที่ ให้ความสาคัญกับสาธารณสุขน้อย
ทั้งๆ ที่การแพทย์เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ คือเมื่อเจ็บป่วยแล้วจึงไปรักษา แต่สาธารณสุขมีบทบาทในการ
ป้องกันการเกิดโรค ดังนั้น เราจึงควรส่งเสริมบทบาทของสาธารณสุขในการป้ องกันโรคต่างๆ เพราะเป็นการ
แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ นอกจากนี้ควรสร้างสานึกพื้นฐาน (Basic awareness) ในเรื่องการรักษาสุขภาพและการ
ดูแลตัวเองให้ประชาชน ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่การให้การศึกษาในเด็ก ให้ความรู้ความเข้าใจ เพื่อให้คนใช้ชีวิตอย่าง
ประณีตมากขึ้น
จากการที่คนทั่วไปสามารถซื้อยาปฏิชีวนะได้ง่ายมากตามร้านขายยาต่างๆ จนเกิดการดื้อยาเป็นวงกว้าง
เกิดคาถามตามมาว่า เรายังควรที่จะอนุญาตให้ร้านขายยาทั่วไป ขายยาปฏิชีวนะหรือไม่? ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้ว
จาเป็นต้องอนุญาตให้ขายต่อไป เนื่องจากบางกรณี คนไข้สามารถซื้อยาเองได้ เช่น ผู้หญิงที่เคยเป็นโรคกระเพาะ
ปัสสาวะอักเสบ จะทราบอาการ และสามารถไปซื้อยาเฉพาะได้ โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจโรค
อย่างไรก็ตาม ควรมีการควบคุมการจ่ายยาปฏิชีวนะ เพราะปัจจุบัน ไม่จาเป็นต้องเป็นแพทย์ระบาดวิทยา ก็
สามารถจ่ายยาปฏิชีวนะได้ ดังนั้น จึงควรมีการจากัดการจ่ายยาในกรณีที่เป็นยา last resource จากัดให้
เฉพาะแพทย์ระบาดวิทยาที่สามารถจ่ายได้ แต่ในกรณีที่บางพื้นที่ไม่มีแพทย์ระบาดวิทยา อาจจะต้องทา
ข้อยกเว้นในแต่ละพื้นที่
สุดท้ายแล้ว การต่อสู้กับแบคทีเรีย เราเอาชนะไม่ได้ เพราะวงจรการขยายตัวของแบคทีเรีย เป็นไปอย่าง
รวดเร็ว เมื่อใช้ยาปฏิชีวนะสักตัว ก็จะมีเชื้อตัวใหม่ที่ต้านยาได้เกิดขึ้น ที่เราทาได้คือต้องพยายามแข่งอย่างไรให้เรา
พอมีอาวุธที่สู้กับแบคทีเรียได้ และทุกครั้งที่จะใช้ยาปฏิชีวนะ ขอให้ตระหนักถึงผลกระทบต่อคนอื่น หากเกิด
เชื้อดื้อยาขึ้นมา ผู้ที่จะได้รับผลกระทบก่อนคือผู้ที่มีภูมิต้านทานต่า คนชรา และเด็ก ซึ่งในเรื่องนี้ ต้องช่วยกันทุก
ภาคส่วน ทั้งประชาชน วงการการแพทย์ วงการยา และวงการสาธารณสุข
4
สถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติ วิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต
4
- 5. 5
ผู้อานวยการสถาบันคลังปัญญาฯ : ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์
บรรณาธิการ: น.ส.ยุวดี คาดการณ์ไกล
ผู้บรรยาย : แพทย์หญิง เขมรัฐ เหล่าธรรมทัศน์
ผู้สรุปและจัดรูปเล่ม : น.ส.ปลายฟ้า บุนนาค
อ้างอิงปก : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/3/37/
Nobelpristagare_Fleming_Midi.jpg,
https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/9/99/
Penicillin_core.svg/2000px-Penicillin_core.svg.png
ปีที่พิมพ์: กรกฎาคม 2559
สานักพิมพ์: มูลนิธิสร้างสรรค์ปัญญาสาธารณะ
เพิ่มเติมได้ที่ www.rsu-brain.com
ที่อยู่ติดต่อ
วิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต 52/347 พหลโยธิน 87 ตาบลหลักหก อาเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี 12000
โทรศัพท์ 02-997-2200 ต่อ 1283 โทรสาร 02-997-2200 ต่อ 1216
สถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติ อาคารพร้อมพันธุ์ 1 ชั้น 4 637/1 ถนนลาดพร้าว เขตจตุจักร กทม. 10900
โทรศัพท์ 02-930-0026 โทรสาร 02-930-0064
สถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติ วิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต 5