Más contenido relacionado
Más de Kittipun Udomseth (13)
ติวสอบโอเน็ตม6 2557-new
- 4. ….ศิลปะ คือ ผลแหงความคิดสรางสรรคของมนุษยที่แสดงออกมาในรูปลักษณตาง ๆ ใหปรากฏซึ่งสุนทรียภาพ
ความประทับใจ หรือความสะเทือนอารมณ ความอัจฉริยภาพ พุทธิปญญา ประสบการณ รสนิยมและทักษะของ
แตละคน เพื่อความพอใจ ความรื่นรมย ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณีหรือ ความเชื่อทางศาสนา
(พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, 2530)
...ศิลปะ คือ ผลงานการสรางสรรครูปลักษณแหงความพึงพอใจขึ้นมา และรูปลักษณกอใหเกิดอารมณ รูสึกใน
ความงาม อารมณรูสึกในความงามนั้นจะเปนที่พึงพอใจไดก็ตอเมื่อ ประสาทสัมผัสของเรา ชื่นชมในเอกภาพ
หรือความประสมกลมกลืนกันในความสัมพันธอันมีระเบียบแบบแผน (Herbert Read, 1959)
...ศิลปะ คือ สิ่งที่มนุษยสรางสรรคขึ้น เพื่อแสดงออกซึ่งอารมณ ความรูสึก สติปญญา ความคิด และ/ หรือ
ความงาม (ชลูด นิ่มเสมอ, 2534)
...ศิลปะ เปนผลงานที่เกิดจากการแสดงออกของอารมณ ปญญา และทัศนคติ รวมทั้งทักษะความชํานิ ชํานาญ
ของมนุษย การสรางสรรคงานศิลปะในปจจุบันมีแนวโนมไปในทางการสรางสรรค และการแสดงออกของอารมณ
และความคิด ดังนั้น งานศิลปะนั้นอยางนอยที่สุดควรกอใหเกิดอารมณ และ ความคิดสรางสรรค กลาวคือ เปน
งานที่สื่อใหผูชมเกิดจินตนาการ นอกจากนั้น งานศิลปะที่ดีควรจะมีคุณคาทางความงาม ซึ่งเกิดจากการใช
องคประกอบของสุนทรียภาพ (วิรัตน พิชญไพบูลย, 2524)
- 5. การสรางสรรคจะประสบความสําเร็จเปนผลงานได นอกจากตองอาศัยความคิดสรางสรรคเปนตัวกําหนด
แนวทางและรูปแบบแลว ยังตองอาศัยสามารถที่ยอดเยี่ยมของศิลปน ซึ่งเปนความสามารถเฉพาะตน เปนความ
ชํานาญที่เกิดจากการฝกฝนและความพยายามอันนาทึ่ง เพราะฝมืออันเยี่ยมยอดจะสามารถสรางสรรคผลงานที่มี
ความงามอันเยี่ยมยอดได นอกจากนี้ยังตองอาศัยวัสดุอุปกรณตางๆ มาใชในการสรางสรรคดวยเชนกัน
วัสดุอุปกรณในการสรางสรรค แบงออกเปน วัตถุดิบที่ใชเปนสื่อในการแสดงออก และเครื่องมือที่ใช
สรางสรรคใหเกิดผลงาน ตามความชํานาญ ของศิลปนแตละคน แนวทางในการสรางสรรคงานศิลปะของศิลปน
แตละคน อาจมีที่มาจากแนวทางที่ตางกัน บางคนไดรับแรงบันดาลใจจากความงาม ความคิด ความรูสึก
ความประทับใจ แตบางคนอาจสรางสรรคงานศิลปะเพื่อแสดงออกถึงฝมืออันเยี่ยมยอดของตนเอง เพื่อประกาศ
ความเปนเลิศอยางไมมีที่เปรียบปานโดยไมเนนที่เนื้อหาของงาน และบางคนอาจสรางสรรคงานศิลปะจากการใช
วัสดุที่สนใจ โดยไมเนนรูปแบบและแนวคิดใด ๆ เลยก็ได
องคประกอบของการสรางสรรคงานศิลปะ
ความคิดสรางสรรค + ความสามารถ (ฝมือ) + วัสดุอุปกรณ
- 8. วิจิตรศิลป (Fine Art) เปนงานศิลปะที่สรางขึ้นเพื่อความงาม
แบงได 5 ประเภท
จิตรกรรม
Painting
ประติมากรรม
Sculpture
สถาปตยกรรม
Architecture
วรรณกรรม
Literature
ดนตรีและนาฏศิลป
Music & Drama
ทัศนศิลป
Visual Art
โสตศิลป
Audio Art
โสตทัศนศิลป
Audio Visual
Art
ภาพ
(2 มิติ)
ผลงาน
(3 มิติ)
สิ่งกอสราง
(3มิติ)
เสียง เสียงและ
ทาทาง
ประกอบเสียง
แบงตามการรับสัมผัส
- 9. งานจิตรกรรมเปนงานศิลปะที่เกาแกดั้งเดิมของมนุษย เริ่มตั้งแตการขีดเขียนบนผนัง
ถ้ํา บนรางกาย บนภาชนะเครื่องใชตาง ๆ จนพัฒนามาเปนภาพวาดที่ใชประดับตกแตงใน
ปจจุบัน การวาดภาพเปนพื้นฐานของงานศิลปะทุกชนิด ผูสรางสรรคงานจิตรกรรม
เรียกวา จิตรกร (Painter) งานจิตรกรรม แบงออกได 2 ชนิด คือ
1. การวาดเสน (Drawing) เปนการวาดภาพโดยใชปากกา หรือดินสอ ขีดเขียนลงไป บน
พื้นผิววัสดุรองรับเพื่อใหเกิดภาพ การวาดเสน คือ การขีดเขียนใหเปนเสนไมวาจะเปนเสน
เล็ก หรือเสนใหญ ๆ มักมีสีเดียวแตการวาดเสนไมไดจํากัดที่จะตองมีสีเดียว อาจมีหลายสี
ก็ได การวาดเสน จัดเปนพื้นฐานที่สําคัญของงานศิลปะแทบทุกชนิด อยางนอย ผูฝกฝน
งานศิลปะควรไดมีการฝกฝนงานวาดเสนใหเชี่ยวชาญเสียกอน กอนไปทํางานอื่นๆ ตอไป
2. การระบายสี (Painting) เปนการวาดภาพโดยการใชพูกัน หรือแปรง หรือวัสดุอยาง
อื่นมาระบายใหเกิดเปนภาพ การระบายสี ตองใชทักษะการควบคุมสีและเครื่องมือ
มากกวาการวาดเสน ผลงานการระบายสีจะสวยงาม เหมือนจริง และสมบูรณแบบมากกวา
การวาดเสน
จิตรกรรม เปนผลงานศิลปะที่แสดงออกดวยการขีดเขียน การวาด และระบายสี เพื่อใหเกิดภาพ เปนงานศิลปะที่มี 2 มิติ
เปนรูปแบน ไมมีความลึกหรือนูนหนา แตสามารถเขียนลวงตาให เห็นวามีความลึกหรือนูนได ความงามของจิตรกรรมเกิดจาก
การใชสีในลักษณะตาง ๆ กัน
องคประกอบสําคัญของงานจิตรกรรม คือ
1. ผูสรางงาน หรือ ผูวาด เรียกวา จิตรกรร
2. วัสดุที่ใชรองรับการวาด เชน กระดาษ ผา ผนัง ฯลฯ
3. สี เปนสิ่งที่แสดงออกถึงเนื้อหา เรื่องราวเกี่ยวกับผลงาน
- 11. เปนผลงานศิลปะที่แสดงออกดวยการสรางรูปทรง 3 มิติ มีปริมาตร มีน้ําหนักและกินเนื้อที่ในอากาศ โดยการใชวัสดุชนิด
ตาง ๆ วัสดุที่ใชสรางสรรคงานประติมากรรม จะเปนตัวกําหนด วิธีการสรางผลงาน ความงามของงานประติมากรรม เกิดจากการ
มองเห็นแสงและเงาที่เกิดขึ้นในผลงาน
การสรางงานประติมากรรมทําได 4 วิธี คือ
1. การปน (Casting) เปนการสรางรูปทรง 3 มิติ จากวัสดุ ที่เหนียว ออนตัว และยึดจับตัว กันไดดี วัสดุที่นิยมนํามาใช
ปน ไดแก ดินเหนียว ดินน้ํามัน ปูน แปง ขี้ผึ้ง กระดาษ หรือ ขี้เลื่อยผสมกาว เปนตน
2. การแกะสลัก (Carving) เปนการสรางรูปทรง 3 มิติ จากวัสดุที่ แข็ง เปราะ โดยอาศัย เครื่องมือ วัสดุที่นิยมนํามา
แกะ ไดแก ไม หิน กระจก แกว ปูนปลาสเตอร เปนตน
3. การหลอ (Molding) เปนการสรางรูปทรง 3 มิติ จากวัสดุที่หลอมตัวไดและกลับแข็งตัวได โดยอาศัยแมพิมพ ซึ่ง
สามารถทําใหเกิดผลงานที่เหมือนกันทุกประการตั้งแต 2 ชิ้น ขึ้นไป วัสดุที่นิยมนํามาใชหลอ ไดแก โลหะ ปูน แปง แกว ขี้ผึ้ง
ดิน เรซิ่น พลาสติก ฯลฯ รํามะนา
4. การประกอบขึ้นรูป (Construction) เปนการสรางรูปทรง 3 มิติ โดยนําวัสดุตาง ๆ มา ประกอบเขาดวยกัน และยึด
ติดกันดวยวัสดุตาง ๆ การเลือกวิธีการสรางสรรคงานประติมากรรม ขึ้นอยูกับวัสดุที่ตองการใช ประติมากรรม
ไมวาจะสรางขึ้นโดยวิธีใด จะมีอยู 3 ลักษณะ คือ แบบนูนต่ํา แบบนูนสูง และแบบลอยตัว
ผูสรางสรรคงานประติมากรรม เรียกวา ประติมากร
ประติมากรรม
- 13. ประเภทของงานประติมากรรม
1.ประติมากรรมแบบนูนต่ํา (Bas Relief) เปนรูปที่เปนนูนขึ้นมาจากพื้นหรือมีพื้นหลังรองรับ มองเห็นไดชัดเจนเพียง
ดานเดียว คือดานหนา มีความสูงจากพื้นไมถึงครึ่งหนึ่งของรูปจริง ไดแกรูปนูนแบบเหรียญ รูปนูนที่ใชประดับตกแตงภาชนะ
หรือประดับตกแตงอาคารทางสถาปตยกรรม โบสถ วิหารตางๆ พระเครื่องบางชนิด
2.ประติมากรรมแบบนูนสูง (High Relief) เปนรูปตาง ๆ ในลักษณะเชนเดียวกับแบบนูนต่ํา แตมีความสูงจากพื้นตั้งแต
ครึ่งหนึ่งของรูปจริงขึ้นไป ทําใหเห็นลวดลายที่ลึก ชัดเจน และเหมือนจริงมากกวาแบบนูนต่ําและใชงานแบบเดียวกับแบบนูนต่ํา
3.ประติมากรรมแบบลอยตัว (Round Relief) เปนรูปตางๆ ที่มองเห็นไดรอบดาน หรือตั้งแต 4 ดานขึ้นไป ไดแก ภาชนะ
ตางๆ รูปเคารพตางๆ พระพุทธรูป เทวรูป รูปตามคตินิยม รูปบุคคลสําคัญ รูปสัตว ฯลฯ
- 14. เปนผลงานศิลปะที่แสดงออกดวยการกอสรางสิ่งกอสราง อาคาร ที่อยูอาศัยตาง ๆ การวางผังเมือง การจัดผังบริเวณ
การตกแตงอาคาร การออกแบบกอสราง ซึ่งเปนงานศิลปะ ที่มีขนาดใหญตองใชผูสรางงานจํานวนมาก และเปนงานศิลปะ
ที่มีอายุยืนยาว สถาปตยกรรม เปนวิธีการจัดสรรบริเวณที่วางใหเกิดประโยชนใชสอยตามความตองการ ซึ่งเกี่ยวของกับ
ศาสตรในสาขาตาง ๆ เชน วิศวกรรมศาสตร วิทยาศาสตร สังคมวิทยา มานุษยวิทยา และศิลปะ ความงดงาม และคุณคา
ของสถาปตยกรรม ขึ้นอยูกับองคประกอบ ดังนี้ คือ
1. การจัดสรรบริเวณที่วางใหสัมพันธกันของสวนตาง ๆ ทั้งภายในและภายนอก
2. การจัดรูปทรงทางสถาปตยกรรมใหเหมาะสมกับประโยชนใชสอย และสิ่งแวดลอม
3. การเลือกใชวัสดุใหเหมาะสมกลมกลืน
สถาปตยกรรม
- 15. สถาปตยกรรมแบงออกได 2 ชนิด คือ
1. ชนิดที่สรางขึ้นเพื่อใหมนุษยเขาไปอาศัยอยู หรือประกอบกิจกรรมตาง ๆ เชน อาคาร บานเรือน โบสถ วิหาร ศาลา
ฯลฯ
2. ชนิดที่สรางขึ้นเพื่อประโยชนใชสอยอยางอื่น ๆ เชน อนุสาวรีย เจดีย สะพาน เปนตน
ผูสรางสรรคงานสถาปตยกรรม เรียกวา สถาปนิก (Architect)
- 16. ประยุกตศิลป (Applied Art) เปนงานศิลปะที่สรางขึ้น
เพื่อความงามและประโยชนใชสอย
แบงได 3 ประเภท
อุตสาหกรรมศิลป
Product
Design
มัณฑนศิลป
Decorative
Design
พาณิชยศิลป
Graphic
Design
เพื่อการผลิต
ผลิตภัณฑ
เพื่อการตกแตง
สิ่งตางๆ
เพื่อการสื่อ
ความหมาย
นักออกแบบ
Designer
นักออกแบบ
Designer
มัณฑนากร
Decorator
นักออกแบบ
Graphic Designer
จุดมุงหมาย
ผูสรางสรรค
- 18. เปนงานศิลปะที่เกี่ยวของกับการออกแบบเพื่อการผลิต ผลิตภัณฑ (Product) สิ่งของเครื่องใชตางๆ ใหสวยงามและ
เหมาะสมกับประโยชนใชสอยมากขึ้น ดวยวิธีการในระบบอุตสาหกรรม ซึ่งมีการทํางานเปนระบบ เปนขั้นตอน มีมาตรฐาน
มีการใชเครื่องจักรกลเขาชวย ทําใหตนทุนต่ํา ผลิตภัณฑตางๆ ไดแก เครื่องยนต เครื่องจักรกล เครื่องใชไฟฟา เครื่องอิเลค-
โทรนิค เฟอรนิเจอร สุขภัณฑ ครุภัณฑ เสื้อผา เครื่องประดับ เครื่องแตงกาย เครื่องอุปโภค บริโภคตางๆ ตลอดจนถึงภาชนะ
บรรจุผลิตภัณฑตางๆ ดวย ผูสรางสรรคงานเรียกวา นักออกแบบ (Designer)
อุตสาหกรรมศิลป Industrial Art
- 24. ทฤษฎีสี Theory of Color
สี คือ ลักษณะของแสงที่ปรากฏแกสายตาใหเห็นเปนสี (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน)
ในทางวิทยาศาสตร ใหคําจํากัดความของสีวา เปนคลื่นแสงหรือความเขมของแสงที่สายตาสามารถ
มองเห็น ในทางศิลปะ สีคือ ทัศนธาตุอยางหนึ่งที่เปนองคประกอบสําคัญของงานศิลปะ และใชในการ
สรางงานศิลปะ โดยจะทําใหผลงานมีความสวยงาม ชวยสรางบรรยากาศ มีความสมจริง เดนชัดและ
นาสนใจมากขึ้น
- 26. 1. จุด (Point) เปนที่เริ่มตนของสิ่งตางๆ นิยามของจุดคือ ไมมีความกวาง
ความยาว มีมิติเดียว
2. เสน (Line) เปนรองรอยที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของจุด จากจุดหนึ่งไปยัง
อีกจุดหนึ่ง เสนมีมิติเดียวคือ ความยาว เสนมี 2 ชนิดคือ เสนตรง (Strength Line)
และเสนโคง (Curve Line) แตสามารถนํามาจัดวางในลักษณะตางๆ กัน และมีชื่อ
เรียกตางๆ กัน และใหความรูสึกแตกตางกันดวย เชน
ความสําคัญของเสน
1. ใชในการแบงที่วางออกเปนสวน ๆ
2. กําหนดขอบเขตของที่วาง หมายถึง ทําใหเกิดเปนรูปราง (Shape) ขึ้นมา
3. กําหนดเสนรอบนอกของรูปทรง ทําใหมองเห็นรูปทรง (Form) ชัดขึ้น
4. ทําหนาที่เปนน้ําหนักออนแก ของแสดงและเงา หมายถึง การแรเงาดวยเสน
5. ใหความรูสึกดวยการเปนแกนหรือโครงสรางของรูป และโครงสรางของภาพ
- 27. ลักษณะของเสน
1. เสนตั้ง หรือ เสนดิ่ง ใหความรูสึกทางความสูง สงา มั่นคง
แข็งแรง หนักแนน เปนสัญลักษณของความซื่อตรง
2. เสนนอน ใหความรูสึกทางความกวาง สงบ ราบเรียบ นิ่ง ผอน
คลาย
3. เสนเฉียง หรือ เสนทแยงมุม ใหความรูสึก เคลื่อนไหว รวดเร็ว
ไมมั่นคง
4. เสนหยัก หรือ เสนซิกแซก แบบฟนปลา ใหความรูสึก
เคลื่อนไหว อยางเปนจังหวะ มีระเบียบ ไมราบเรียบ นากลัว
อันตราย ขัดแยง ความรุนแรง
5. เสนโคง แบบคลื่น ใหความรูสึก เคลื่อนไหวอยางชา ๆ ลื่นไหล
ตอเนื่อง สุภาพ ออนโยน นุมนวล
6. เสนโคงแบบกนหอย ใหความรูสึกเคลื่อนไหว คลี่คลาย หรือ
เติบโตในทิศทางที่หมุนวนออกมา ถามองเขาไปจะเห็นพลังความ
เคลื่อนไหวที่ไมสิ้นสุด
7. เสนโคงวงแคบ ใหความรูสึกถึงพลังความเคลื่อนไหวที่รุนแรง
การเปลี่ยนทิศทางที่รวดเร็ว ไมหยุดนิ่ง
8. เสนประ ใหความรูสึกที่ไมตอเนื่อง ขาด หาย ไมชัดเจน ทํา
ใหเกิดความเครียด
- 28. 4. แสงและเงา (Light and Shade) เปนองคประกอบของศิลปที่อยูคูกัน เมื่อแสงสองกระทบ
กับวัตถุจะทําใหเกิดเงา แสงและเงา เปนตัวกําหนดระดับของคาน้ําหนัก ความเขมของเงาจะขึ้นอยูกับ
ความเขมของแสง ในที่ที่มีแสงสวางมาก เงาจะเขมขึ้นและในที่ที่มีแสงสวางนอย เงาจะไมชัดเจน ในที่ที่ไม
มีแสงสวางจะไมมีเงา และเงาจะอยูในทางตรงขามกับแสงเสมอ
คาน้ําหนัก (Value) คือ คาความออนแกของบริเวณที่ถูกแสงสวาง และบริเวณที่เปนเงาของวัตถุหรือ ความออน- ความเขม
ของสีหนึ่ง ๆ หรือหลายสี เชน สีแดง มีความเขมกวาสีชมพู หรือ สีแดงออนกวาสีน้ําเงิน เปนตน
นอกจากนี้ยังหมายถึงระดับความเขมของแสงและระดับ ความมืดของเงา ซึ่งไลเรียงจากมืดที่สุด (สีดํา)ไปจนถึงสวางที่สุด
(สีขาว) น้ําหนักที่อยูระหวางกลางจะเปนสีเทา ซึ่งมีตั้งแตเทาแกที่สุด จนถึงเทาออนที่สุด การใชคาน้ําหนักจะทําใหภาพดู
เหมือนจริง และมีความกลมกลืน ถาใชคาน้ําหนักหลาย ๆ ระดับจะทําใหมีความกลมกลืนมากยิ่งขึ้น และถาใชคาน้ําหนัก
จํานวนนอยที่แตกตางกันมากจะทําใหเกิด ความแตกตาง ความขัดแยง
- 29. 5. รูปราง รูปทรง (Shape and Form)
รูปราง (Shape) คือ รูปแบนๆ มี 2 มิติ มีความกวางกับความ
ยาว ไมมีความหนา เกิดจากเสนรอบนอกที่แสดงพื้นที่ขอบเขตของ
รูปตางๆ เชน รูปวงกลม รูปสามเหลี่ยม หรือรูปอิสระ ที่แสดงเนื้อ
ที่ของผิวที่เปนระนาบมากกวาแสดงปริมาตรหรือมวล
รูปทรง (Form) คือ รูปที่ลักษณะเปน 3 มิติ โดยนอกจากจะ
แสดงความกวาง ความยาวแลว ยังมีความลึก หรือความหนา/นูน
ดวย เชน รูปทรงกลม ทรงสามเหลี่ยม ทรงกระบอก เปนตน
รูปทรงใหความรูสึกมีปริมาตร ความหนาแนน มีมวลสาร ที่เกิด
จากการใชคาน้ําหนัก หรือการจัดองคประกอบของรูปทรง หลาย
รูปรวมกัน
- 30. 6. พื้นผิว (Texture) พื้นผิว หมายถึง ลักษณะของบริเวณผิวหนาของสิ่งตางๆ ที่เมื่อสัมผัสแลว
สามารถรับรูได วามีลักษณะอยางไร คือรูวา หยาบ ขรุขระ เรียบ มัน ดาน เนียน สาก เปนตน
ลักษณะที่สัมผัสไดของพื้นผิวมี 2 ประเภท คือ
1. พื้นผิวที่สัมผัสไดดวยมือ หรือกายสัมผัส เปนลักษณะพื้นผิวที่เปนอยูจริงๆ ของ ผิวหนาของ
วัสดุนั้น ๆ ซึ่งสามารถสัมผัสไดจากงานประติมากรรม งานสถาปตยกรรมและสิ่งประดิษฐอื่น ๆ
2. พื้นผิวที่สัมผัสไดดวยสายตา จากการมองเห็นแตไมใชลักษณะที่แทจริงของผิววัสดุนั้น ๆ เชน
การวาดภาพกอนหินบนกระดาษ จะใหความรูสึกเปนกอนหินแต มือสัมผัสเปนกระดาษหรือใชกระดาษพิมพ
ลายไม หรือลายหินออน เพื่อปะ ทับบนผิวหนาของสิ่งตาง ๆ เปนตน ลักษณะเชนนี้ถือวา เปนการสราง
พื้นผิวลวงตาใหสัมผัสไดดวยการมองเห็นเทานั้น
- 31. 7. ชองวาง (Space) คือ บริเวณที่อยูระหวางรูปรางหรือรูปทรง ซึ่งมี
ความสัมพันธกับรูปราง หรือรูปทรงนั้นๆ หรืออาจเรียนเปนความสัมพันธระหวาง
รูป)และพื้น (Figure and Ground)
- 32. 8. มวล (Mass) ในทางศิลปะ มวลเปน
ความรูสึกที่มีตอปริมาตร หรือความหนาแนนของ
องคประกอบ (รูปราง-รูปทรง)
- 33. หลักการจัดองคประกอบศิลป
1. สัดสวน (Proportion) คือความเหมาะสมของขนาดของแตละองคประกอบ
ที่มีความสัมพันธกัน ไมใหญ ไมเล็กเกินไป
2. ความสมดุล (Balance) คือ ความเทากันขององคประกอบ มี 2 แบบคือ
แบบสองขางเหมือนกัน และสองขางไมเหมือนกัน
3. ความกลมกลืน (Harmony) คือ ความเหมือนกันขององคประกอบ
4. ความแตกตาง (Contrast) คือ ความแตกตางกันขององคประกอบ ซึ่งจะทํา
ใหเกิดจุดสนใจ
5. จังหวะลีลา (Rhythm) คือ ลักษณะการซ้ํากันขององคประกอบ ซึ่งจะชวย
สงเสริมความกลมกลืน
6. การเนน (Emphasize) คือ การสรางความเดนใหกับองคประกอบบางจุด
เพื่อใหมีความโดดเดนหรือเปนจุดสนใจ
7. เอกภาพ (Unity) คือ ความเปนอันหนึ่งอันเดียวกันขององคประกอบทุกสวน
- 35. การพิมพ์ภาพ PRINTING
ความเป็นมาของการพิมพ์ภาพ
การพิมพ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อหลายพันปีมาแล้วแต่จะเริ่มต้นเมื่อใดไม่ทราบแน่ชัด นักประวัติศาสตร์ศิลป์พบ
หลักฐานการพิมพ์อยู่มากในภูมิภาคต่างๆ ของโลก ทั้งในแถบเอเซียตะวันออกกลางซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรมสําคัญ
ของโลกตั้งแต่สมัยบาบิโลเนียและแถบเอเซียตะวันออกในจีน เกาหลีและญี่ปุ่น
ชาติแรกที่นําวิธีการพิมพ์มาใช้อย่างชัดเจนที่สุดคือ ชาติจีน ที่นําการพิมพ์มาใช้อย่างจริงจังโดยการ
ใช้เป็นตราประทับลงในคําสั่งต่างๆ ของจักรพรรดิ์และขุนนางชั้นต่างๆ อาจกล่าวได้ว่า ประเทศที่มีอาณาจักรกว้าง
ใหญ่ไพศาล มีประชากรนับล้าน ปกครองด้วยตราประทับเหล่านี้ แต่อย่างไรก็ตามระบบการพิมพ์ก็ยังไม่ค่อยแพร่
หลายมากนัก เพราะมีความยุ่งยากในการจัดทําแม่พิมพ์และวัสดุที่จะนํามารองรับการพิมพ์แต่เมื่อหลังจากที่ชาวจีน
สามารถผลิตกระดาษขึ้นมาใช้ได้แล้วการพิมพ์เริ่มมีการพัฒนาอย่างจริงจังเนื่องจากมีความต้องการในการใช้งาน
สิ่งพิมพ์ในลักษณะต่างๆ มากขึ้น เมื่อชาติตะวันตกมีความสัมพันธ์กับชาติจีนก็ได้นําเอาวิธีการพิมพ์และการผลิต
กระดาษไปใช้มีการพัฒนาจากการพิมพ์ด้วยมือมาเป็นการพิมพ์ด้วยเครื่องจักร และเมื่อมีการปฎิวัติอุสาหกรรมใน
ยุโรป ก็มีการปฏิวัติระบบการพิมพ์ขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนการพิมพ์กลายเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเจริญก้าวหน้า
ขึ้นมาตามลําดับอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
อาจกล่าวได้ว่า สิ่งที่ทําให้ระบบการพิมพ์มีการพัฒนาขึ้นก็คือการที่มนุษย์รู้จักผลิตกระดาษขึ้นมาใช้
และเมื่อมนุษย์มีกระดาษที่สามารถพิมพ์ข้อความเรื่องราวสรรพความรู้ต่างๆ ลงไป จึงทําให้มนุษย์ฉลาดขึ้น และรู้
เรื่องราวความเป็นไปต่าง ๆ มากขึ้น นับว่าการพิมพ์มีประโยชน์ต่อความเจริญก้าวหน้าของมนุษยชาติเป็นอย่างยิ่ง
- 36. การพิมพ์ภาพ PRINTING
การพิมพ์ภาพ (PRINTING)
หมายถึง การถ่ายทอดรูปแบบจากแม่พิมพ์ออกมาเป็นผลงานที่มีลักษณะ
เหมือนกันกับแม่พิมพ์ทุกประการและมีจํานวนตั้งแต่ 2 ชิ้นขึ้นไป
การพิมพ์ภาพถือเป็นกระบวนการ (Process) อย่างหนึ่งที่มีลําดับขั้นตอนที่แน่นอน
ชัดเจน โดยกระบวนการพิมพ์จะมีขั้นตอนสําคัญ ๆ ดังนี้
1. การออกแบบ
2. การจัดทํา / สร้างแม่พิมพ์
3. การลงสี
4. การพิมพ์
ผลงานที่ได้จากการพิมพ์จะถูกถ่ายทอดออกมากจากแม่พิมพ์โดยใช้สีเป็น
ตัวแสดงเรื่องราวของภาพตามรูปแบบของแม่พิมพ์ ซึ่งจะทําให้ภาพมีลักษณะ
เหมือนกับแม่พิมพ์ทุกประการ และสามารถสร้างผลงานได้หลายชิ้น
- 38. การพิมพ์ภาพ PRINTING
องค์ประกอบของการพิมพ์ภาพ ที่สําคัญมี 4 ประการ คือ
1. แม่พิมพ์เป็นสิ่งที่สําคัญที่สุด เพราะเป็นตัวกําหนดรูปแบบของผลงาน
ไม่ว่าองค์ประกอบส่วนอื่นจะมีประสิทธิภาพแค่ไหน แต่ถ้าแม่พิมพ์ไม่มีคุณภาพแล้ว
ผลงานพิมพ์ก็จะไม่มีคุณภาพเช่นกัน ดังนั้น ขั้นตอนของการทําแม่พิมพ์จึงเป็นขั้นตอน
ที่สําคัญที่สุดของการพิมพ์
2. วัสดุที่ใช้รองรับการพิมพ์ (เป็นที่ปรากฎของภาพพิมพ์) เป็นวัสดุต่าง ๆ ที่
รองรับผลงานพิมพ์ ต้องมีผิวเรียบ และสีที่พิมพ์สามารถเกาะติดได้ดี เช่น กระดาษ
ผ้า แผ่นไม้ กระจก แก้ว โลหะ พลาสติก ยาง ฯลฯ
3. สี หรือ หมึกพิมพ์ควรเป็นสีที่ผลิตขึ้นสําหรับใช้ในการพิมพ์โดยเฉพาะ
4. ผู้พิมพ์เป็นผู้ดําเนินการเกี่ยวกับการพิมพ์ทั้งหมด อาจแยกเป็น ผู้ออกแบบ
ผู้จัดทําแม่พิมพ์ และผู้ทําการพิมพ์ เป็นต้น
- 39. การพิมพ์ภาพ PRINTING
ผลงานที่ได้จากการพิมพ์ มี 2 ลักษณะ คือ
1. ภาพพิมพ์ เป็นผลงานการพิมพ์ที่เป็นภาพ อาจมีตัวอักษร หรือ
ตัวเลขประกอบก็ได้ เป็นการพิมพ์ที่เน้นความสวยงามเป็นหลัก
ได้แก่ ภาพที่พิมพ์ลงบมสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ และภาพที่พิมพ์
ขึ้นเพื่อความสวยงาม
2. สิ่งพิมพ์เป็นผลงานการพิมพ์ที่เป็นข้อความ ตัวอักษร ตัวเลข
เป็นหลัก แต่อาจมีภาพประกอบด้วยก็ได้ เป็นผลงานพิมพ์ที่เน้น
การนําเสนอเรื่องราวต่าง ๆ มากกว่า
ความสวยงาม ได้แก่ หนังสือ เอกสาร
แผ่นพับ โปสเตอร์ ปฏิทิน ฯลฯ
- 40. การพิมพ์ภาพ PRINTING
ประเภทของการพิมพ์ภาพ
การพิมพ์ภาพ แบ่งออกได้หลายประเภทตามลักษณะต่างๆ ดังนี้คือ
1. แบ่งตามจุดมุ่งหมายในการพิมพ์ ได้ 2 ลักษณะ คือ
1.1 งานศิลปะภาพพิมพ์ (Graphic Art) เป็นผลงานภาพพิมพ์ที่สร้างขึ้นเพื่อความ
สวยงาม เป็นงานศิลปะประเภทวิจิตรศิลป์ ได้แก่ผลงานภาพพิมพ์ต่าง ๆ ที่ศิลปิน
เป็นผู้สร้างสรรค์ขึ้น
1.2 งานออกแบบภาพพิมพ์ (Graphic Design)เป็นผลงานภาพพิมพ์
หรือสิ่งพิมพ์ เป็นงานศิลปะประเภทประยุกต์ศิลป์ ที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ใช้สอย
ได้แก่ งานออกแบบสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ หนังสือ ภาพโฆษณา บัตรต่าง ๆ ปฏิทิน
รวมถึงการพิมพ์ลวดลาย ลงบนสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ด้วย
- 41. การพิมพ์ภาพ PRINTING
2. แบ่งตามกรรมวิธีในการพิมพ์ ได้ 2 ลักษณะ คือ
2.1 ภาพพิมพ์ต้นแบบ (Original Print) หมายถึง เป็นผลงานพิมพ์ที่สร้างจากแม่พิมพ์
และวิธีการพิมพ์ที่สร้างสรรค์และกําหนดขึ้นโดยศิลปินเจ้าของผลงาน และเจ้าของผลงานจะต้อง
ลงนามรับรองผลงานทุกชิ้น บอกลําดับที่ในการพิมพ์ เทคนิคการพิมพ์ และ วัน เดือน ปี ที่พิมพ์ด้วย
2.2 ภาพพิมพ์จําลองแบบ ( Re-productive Print ) เป็นผลงานพิมพ์ที่สร้างจากแม่พิมพ์
อื่นหรือวิธี การพิมพ์วิธีอื่น ซึ่งไม่ใช่วิธีการเดิมแต่ได้รูปแบบเหมือนเดิม บางกรณีอาจเป็นการละเมิด
ลิขสิทธิ์ผู้อื่น
ลําดับที่ / จํานวนที่พิมพ์
เทคนิคการพิมพ์
ลายมือชื่อเจ้าของผลงาน
ตัวอย่าง 2/10 screen printing Phichai Kanakulsunthorn
- 42. การพิมพ์ภาพ PRINTING
3. แบ่งตามจํานวนครั้งในการพิมพ์ ได้ 2 ลักษณะ คือ
3.1 ภาพพิมพ์ครั้งเดียว (Monotype หรือ Monoprint) เป็นภาพพิมพ์ที่พิมพ์
ออกมาได้ผลงานเพียงภาพเดียว ถ้าพิมพ์อีกจะได้ผลงานที่ไม่เหมือนเดิม ซึ่งในบางที่ก็ไม่ถือว่าการ
พิมพ์แบบนี้เป็นการพิมพ์เพราะไม่สามารถสร้างผลงานได้2 ชิ้นที่เหมือนกันทุกประการ ศิลปินจึง
มักใช้วิธีการพิมพ์แบบนี้ในการทดลองรูปแบบ หรือการกําหนดโครงสีของผลงานที่จะทํา เมื่อเห็นว่า
เหมาะสมดีแล้ว จะใช้เป็นแบบสําหรับทําแม่พิมพ์ชนิดถาวรต่อไป
3.2 ภาพพิมพ์ถาวร เป็นภาพพิมพ์ที่พิมพ์ออกมาจากแม่พิมพ์ใดๆ แล้วได้ผลงานออกมา
มีลักษณะ เหมือนกันทุกประการ ตั้งแต่ 2 ชิ้นขึ้นไป
- 43. การพิมพ์ภาพ PRINTING
4. แบ่งตามลักษณะของแม่พิมพ์ ได้ 4 ลักษณะ คือ
4.1 แม่พิมพ์นูน (Relief Process) เป็นการพิมพ์โดยให้สี
ติดอยู่บนผิวหน้าที่ทําให้นูนขึ้นมาของแม่พิมพ์ ภาพที่ได้เกิดจากสีที่ติดอยู่ใน
ส่วนบนนั้นแม่พิมพ์นูนเป็นแม่พิมพ์ที่ทําขึ้นมาเป็นประเภทแรกภาพพิมพ์ชนิดนี้
ได้แก่ ภาพพิมพ์แกะไม้ (WOOD-CUT) ภาพพิมพ์แกะยาง (LINO-CUT )
ตรายาง (RUBBER STAMP) และภาพพิมพ์จากเศษวัสดุต่างๆ
แม่พิมพ์
สีจะติดอยู่ในส่วนบนของแม่พิมพ์
ภาพพิมพ์แกะไม้ของญี่ปุ่ น
ดูผลงานพิมพ์แกะไม้ ที่
http://conncoll.edu/visual/japanease-print/index_3.html
- 44. การพิมพ์ภาพ PRINTING
4.2 แม่พิมพ์ร่องลึก (Intaglio Process) เป็นการพิมพ์โดยให้สีอยู่ในร่องที่ทําให้ลึกลง
ไปของแม่พิมพ์โดยใช้แผ่นโลหะทําเป็นแม่พิมพ์ ( แผ่นโลหะที่นิยมใช้คือแผ่นทองแดง ) และทําให้
ลึกลงไปโดยใช้นํ้ากรดกัด ซึ่งเรียกว่า ETCHING แม่พิมพ์ร่องลึกนี้พัฒนาขึ้นโดยชาวตะวันตก
สามารถพิมพ์งานที่มีความ ละเอียด คมชัดสูง สมัยก่อนใช้ในการพิมพ์หนังสือ พระคัมภีร์ แผนที่
เอกสารต่างๆ แสตมป์ ธนบัตร ปัจจุบันใช้ในการพิมพ์งานที่เป็นศิลปะและธนบัตร
แม่พิมพ์
สีจะติดอยู่ในส่วนลึกของแม่พิมพ์
ดูการพิมพ์ธนบัตรที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย
http://www.bot.or.th/bothomepage/BankAtWork/Banknotes/printing/Process/Process_Index.htm
ภาพพิมพ์ร่องลึก Engraving
- 45. การพิมพ์ภาพ PRINTING
4.3 แม่พิมพ์พื้นราบ (Planner Process) เป็นการพิมพ์โดยให้สีติดอยู่บนผิวหน้าที่ราบเรียบของ
แม่พิมพ์โดยไม่ต้องขุดหรือแกะพื้นผิวลงไป แต่ใช้สารเคมีเข้าช่วย ภาพพิมพ์ชนิดนี้ได้แก่ ภาพพิมพ์หิน
( LITHOGRAPH ) การพิมพ์ออฟเซท ( OFFSET ) ภาพพิมพ์กระดาษ( PAPER-CUT ) และ ภาพพิมพ์ครั้งเดียว
( MONOPRINT )
แม่พิมพ์
สีจะติดอยู่ในส่วนบนของแม่พิมพ์
ดูการพิมพ์ออฟเซท ที่
http://student.nu.ac.th/namo/History.html
ภาพพิมพ์หิน
- 46. การพิมพ์ภาพ PRINTING
4.4 แม่พิมพ์ฉลุ (Stencil Process) เป็นการพิมพ์โดยให้สีผ่านทะลุช่องของแม่พิมพ์ลงไป
สู่ผลงานที่อยู่ด้านหลัง เป็นการพิมพ์ชนิดเดียวที่ได้รูปที่มีด้านเดียวกันกับแม่พิมพ์ ไม่กลับซ้ายเป็นขวา
ภาพพิมพ์ชนิดนี้ได้แก่ ภาพพิมพ์ฉลุ ( STENCIL ) ภาพพิมพ์ตะแกรงไหม ( SILK SCREEN ) การพิมพ์
อัดสําเนา ( RONEO ) เป็นต้น
แม่พิมพ์
สีจะผ่านทะลุช่องของแม่พิมพ์
ดูการพิมพ์สกรีน ที่
http://www.chaiyaboon.com/process/4color
ภาพพิมพ์สกรีน
- 47. ศิลปะไทย
THAI ART
ศิลปะไทย หมายถึง งานศิลปะประจําชาติไทย ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งผ่านการประดิษฐ์คิดค้น สร้างสรรค์
และสืบทอดกันมาเป็นระยะเวลาอันยาวนานจากบรรพบุรุษ เป็นผลงานที่แสดงให้เห็นถึงอารยธรรมที่
เจริญรุ่งเรือง และเป็นมรดกทางภูมิปัญญาสืบทอดต่อลูกหลานสืบไป
- 48. ประเภทของศิลปะไทย
1. ศิลปะไทยแบบประเพณี (Thai Traditional Art) เป็นงานศิลปะไทย
สร้างขึ้นตามแบบแผนดั้งเดิม ตามที่บรรพบุรุษสร้างสรรค์สืบต่อกันมา
อย่างมีระเบียบแบบแผนที่เป็นลักษณะเฉพาะของชาติไทย
เป็นรูปแบน ใช้สีสดใน เน้นการตัดเส้นขอบ และรูปร่าง รูปทรงเป็นแบบอุดมคติ (Idealistic)
- 49. ประเภทของศิลปะไทย
2. ศิลปะไทยแบบร่วมสมัย (Thai Contemporary Art) เป็นงานศิลปะไ
ที่สร้างขึ้นตามแบบอย่างศิลปะสมัยใหม่ ซึ่งมีแนวทางมาจากศิลปะตะวันตก
ซึ่งริเริ่มนํามาสร้างสรรค์ขึ้นอย่างชัดเจน ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการ
ปกครอง เมื่อปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา
มีการจัดภาพแบบตะวันตก มีการให้แสง-เงา และใช้หลักทัศนียภาพแบบเหมือนจริงมากขึ้น
- 51. มีปัญหาสงสัย สอบถาม ครูผู้สอน kttpud@yahoo.com
ประวัติศาสตร์ศิลป์ ไทยกิจกรรมที่ 3
ชาติไทย เป็นชาติที่มีศิลปะวัฒนธรรม และประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ประเทศหนึ่ง
ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้โดยปรากฎหลักฐานโบราณสถาน โบราณวัตถุ ที่เป็นงาน
ประณีตศิลป์จํานวนมากที่ผ่านการคิดค้น สร้างสรรค์ประดิษฐ์ขึ้นมาด้วยความเพียรพยายาม
ประณีต วิจิตร บรรจง สืบต่อกันมาเป็นเวลานานหลายร้อยปี หรืออาจถึงพันปี
งานที่มอบหมาย
ให้นักเรียนศึกษาประวัติศิลปะไทย จาก Web site ต่อไปนี้
จิตรกรรมไทย http://www.prc.ac.th/newart/webart/history07.html
ประติมากรรมไทย http://www.prc.ac.th/newart/webart/history08.html
สถาปัตยกรรมไทย http://www.prc.ac.th/newart/webart/history09.html
ศิลปะหัตถกรรมไทย http://www.prc.ac.th/newart/webart/thaihandicraft01.html
ศิลปะไทย http://www.jitdrathanee.com/thai/intro.htm
ศิลปะไทย http://www.asia-art.net
สถาปัตยกรรม http://www.orientalarchitecture.com/
NEXT >
หน้า 1
- 53. มีปัญหาสงสัย สอบถาม ครูผู้สอน kttpud@yahoo.com
ประวัติศาสตร์ศิลปะสากล
งานศิลปะไดเริ่มมีการสรางกันมาตั้งแตยุคกอนประวัติศาสตร ชวงเวลาที่เบงบานที่สุดไดแก ยุคหินเกา
ตอนปลาย ซึ่งอยูในชวงเวลาประมาณ 30,000-10,000 ปมาแลว มนุษยไดเขียนภาพสี ขูดขีดบนผนังถ้ําและเพิงผา
เปนภาพสัตว การลาสัตวและลวดลายเรขาคณิต บางทีก็ระบายดวยถานไมและผงสีที่ผสมกับไขสัตว หรือละเลงลง
ไปบนผนัง หรือบางทีก็ใชกระดูกกลวงเปนหลอดเปาสีลงไปบนผนัง จิตรกรรมผนังถ้ําจํานวนมากพบไดในประเทศ
ผรั่งเศสและสเปน ที่มีชื่อเสียงมาก คือ งานจิตรกรรมที่ถ้ําอัลตรามิราในสเปน และถ้ําลาสโกซในฝรั่งเศส งานในยุค
หินเกา ไมเพียงแตภาพเขียนเทานั้น แตยังมีการปนรูปดวยดินเหนียว การแกะสลักจากกระดูก งาชางและเขากวาง
เปนรูปเกี่ยวกับสัตว การลาสัตว หรือรูปสตรี (ดู www.prc.ac.th/newart/webart/history02.html)
การแบงยุคสมัยทางประวัติศาสตรศิลป เปนไปตามการแบงยุคสมัยทางประวัติศาสตรและโบราณคดี โดย
กําหนดออกเปนสมัยตาง ๆ ดังนี้
1. ศิลปะยุคกอนประวัติศาสตร (Prehistoric Period) มี 2 ยุคใหญ ๆ คือ
- ยุดหิน แบงได 3 ยุคยอย ๆ คือ ยุคหินเกา (Paleolithic Age) ยุคหินกลาง (Mesolithic) ยุคหินใหม (Neolithic)
- ยุคโลหะ แบงได 2 ยุคยอย ๆ คือ ยุคสําริด (Bronze Age) และยุคเหล็ก (Iron Age)
2. ศิลปะยุคประวัติศาสตร (Historic Period) เนื่องจากแตละภูมิภาคในโลกมีความเจริญรุงเรืองไมเทากัน จึงทําให
เกิดอารยธรรมตาง ๆ ในเวลาที่แตกตางกัน ดังนั้น จึงเรียกอารยธรรมตาง ๆ เหลานั้นตามแหลงกําเนิด เชน อารย-
ธรรมเมโสโปเตเมีย อียิปต กรีก จีน อินเดีย เปนตน ซึ่งแหลงอารยธรรมตาง ๆ เหลานั้นก็เปนบอเกิดของอารย-
ธรรมอื่น ๆ ที่สืบทอด แผขยาย คลี่คลายออกไปยังภูมิภาคตาง ๆ ของโลก
3. ศิลปะยุคปจจุบัน ประมาณคริสตศตวรรษที่ 18 เปนตนมาซึ่งอาจแบงเปนยุคยอย ๆ คือ ศิลปะคริสตศตวรรษที่18
(18th Century) ศิลปะคริสตศตวรรษที่19 (19th Century) และศิลปะคริสตศตวรรษที่20 (20th Century) คํา
เรียกวา ศิลปะสมัยใหม มักจะเริ่มนับเอาตั้งแตปลาย ศิลปะคริสตศตวรรษที่18 เปนตนมา
กิจกรรมที่ 2
หน้า 1
- 54. แผนภูมิศิลปะสมัยต่าง ๆ
สมัยก่อนประวัติศาสตร์
สมัยประวัติศาสตร์ / ยุคต้น (Ancient)
ยุคหินเก่า Paleolithic ยุคหินใหม่ Mesolithic ยุคหินใหม่ Neolithic
Mesopotamian
Sumerian
Akkadian
Neo-Sumerian
Babylonian
Hittite
Elamite
Assyrian
Neo-Babylonian
Achaemid
Persian
Sassanian
Egyptian
Old Kingdom
Middle Kingdom
New Kingdom
Aegean
Cycladic
Minoan
Mycenaean
Greek
Hellenistic
Etruscan
Roman
Scythian
Celtic
Iron-Age Europe
Viking
ยุคสําริด Bronze ยุคเหล็ก Iron
Near East Egypt Greece Roman Europe
Early Christian Byzantine Islamic Early Medieval Carolingian
Ottonian Romanesque Gothic Late Gothic in Italy
สมัยประวัติศาสตร์ / ยุคกลาง (Middle Age)
หน้า 2
- 55. แผนภูมิศิลปะสมัยต่าง ๆ
สมัยประวัติศาสตร์ / ยุคฟื้นฟู (คริสต์ศตวรรษที่ 15-16)
สมัยประวัติศาสตร์ / คริสต์ศตวรรษที่ 17
สมัยปัจจุบัน / คริสคตวรรษที่ 19
Early Renaissance NorthernRenaissance
High Renaissance Mannerism NorthernRenaissance
Late Baroque
Late Baroque Rococo Neo-Classicism Romanticism
สมัยประวัติศาสตร์ / คริสต์ศตวรรษที่ 18
Romanticism Neo-Classicism Realism Pre-Raphaelites Artsand Crafts
Realism Impressionism Post-Impressionism Neo-Impressionism
Pointillism Symbolism ArtNouveau
สมัยปัจจุบัน / คริสคตวรรษที่ 20
สมัยปัจจุบัน / คริสคตวรรษที่ 21
Fauvism Expressionism Cubism Futurism Dada Surrealism
AbstractExpressionism Pop Art Op Art Minimalism Performance Art
EnvironmentalArt Neo-Expressionism Post-modernism
ContemporaryArt
หน้า 3