SlideShare una empresa de Scribd logo
1 de 459
ชีวา
ณ เคหาสน์
ณ อาศรม
ณ อารมณ์
ณ อาลัย
เรียบเรียงโดย เมทนี แสงธรรม
Complied by: Martin Chan
编制者: 马丁 陈
16/02/2566
10.59AM.
๕
เคหาสน์
คาว่า คฤหาสน์
แปลว่า บ้านเรือน ที่อยู่อาศัย
เป็นคาสนธิภาษาสันสกฤต
จากคาว่า คฤห+อาสน
ส่วนภาษาบาลีนั้น
จะใช้ เคห+อาสน = เคหาสน์ มี
ความหมายว่า บ้านเรือน
หรือที่อยู่อาศัย เช่นเดียวกัน
(บางคน เคยชินกับคาว่า เคหะ
ในคาว่า เคหสถาน
ที่แปลความหมายเช่นเดียวกัน
มากกว่า )
ซึ่งมีหลายคนมักใช้ตัวการันต์ผิด
เพราะคงเคยผ่านตากับคาว่า คฤหัสถ์
ที่แปลว่า ผู้ครองเรือน มาบ้าง
จนจาสับสน
คาว่า คฤหัสถ์ แปลว่า ผู้ครองเรือน
มีความหมายเช่นเดียวกับ ฆราวาส
ใช้เรียกบุคคลทั่วไป
ที่ไม่ได้ดารงเพศสมณะ หรือเป็นสงฆ์
*ข้อควรจา*
คฤหัสถ์ ใช้ ถ์
เพราะ"ถือ"ครองความเป็นเจ้าเรือน
คฤหาสน์ ใช้ น์
เพราะสนธิกับคาว่า อาสน ซึ่งเป็น
ที่"นั่ง"
https://www.facebook.com/Ruk.pasa/posts/414682928601424/
อาศรม
อาศรม ในศาสนาฮินดู
หมายถึง ระยะของชีวิต 4 ระยะ
ซึ่งมีระบุไว้ในเอกสารยุคโบราณและยุค
กลางของฮินดู
อาศรมทั้งสี่ระยะ
ได้แก่ พรหมจรรยะ (ผู้เรียน),
คฤหัสถะ (ผู้ครองเรือน),
วานปรัสถะ (ผู้ออกจาริก) และ
สันยาสะ (ผู้ละทิ้งทางโลก)
อาศรมสี่
เป็นหนทางหนึ่งของแนวคิด ธรรมะ
ในศาสนาฮินดู
และเป็นส่วนหนึ่งของประเด็นทางจริยศ
าสตร์ของปรัชญาอินเดีย
ที่ซึ่งถูกรวม
เข้ากับเป้ าหมายสี่ประการของชีวิตมนุษ
ย์
(ปุรุษสรรถะ) เพื่อการเติมเต็ม,
ความสุข และการบรรลุทางจิตวิญญาณ
แนวคิดอาศรมสี่
ยังมีอิทธิพล
ต่อการวางแผนดารงชีวิตของผู้คน
โดยเฉพาะในอินเดีย
http://bit.ly/3HCgc6K
อารมณ์
อารมณ์
ส่งผลกระทบทั้งด้านร่างกาย จิตใจ
และพฤติกรรมของตนเอง
รวมทั้งส่งผลต่อผู้อื่นด้วย
การจัดการกับอารมณ์
เป็นทักษะ ที่สามารถพัฒนาได้
ด้วย วิธีการและเทคนิคต่างๆ
เช่น การควบคุมอารมณ์ทางลบ
ให้มีการแสดงออกทางอารมณ์ที่เหมาะ
สม
ถือเป็นการพัฒนาตนเอง
ให้มีความสามารถทางอารมณ์
ที่มีความจาเป็นในการใช้ชีวิต
และส่งผลต่อความสาเร็จในชีวิตด้วย
เทคนิคที่จะช่วยในการฝึกมีดังนี้
1.
ทบทวนการแสดงออกทางอารมณ์ของตั
วเราเอง
2.เตรียมการในการแสดงอารมณ์
3. ฝึกสติ
4. ฝึกการผ่อนคลายตนเอง
5. ประเมินสถานการณ์และอารมณ์
อาลัย
คาว่า “อาลัย”
ถ้าได้ยินคาว่า “อาลัย”
หลายคน
คงคิดถึงความหมาย
ประมาณว่า ความห่วงใย, ความพัวพัน,
ความระลึกถึงด้วยความเสียดาย
แน่นอน
แต่คาว่า “อาลัย”
ยังมีอีกความหมาย คือ ที่อยู่, ที่พัก
คาว่า “อาลัย” ในความหมายนี้
จะใช้ประกอบกับคาอื่น
ด้วยการสมาสแบบสนธิ
คาว่า “หิมาลัย” มาจาก หิมะ + อาลัย
มีความหมายว่า “ที่อยู่แห่งหิมะ”
คาว่า “ชลาลัย” มาจาก ชล + อาลัย
มีความหมายว่า “ที่อยู่แห่งน้า”
คาว่า “วิทยาลัย” มาจาก วิทยา + อาลัย
มีความหมายว่า “ที่อยู่แห่งความรู้”
คาว่า “เทวาลัย” มาจาก เทวะ + อาลัย
มีความหมายว่า “ที่อยู่แห่งเทวดา”
คาว่า “สุราลัย” มาจาก สุร + อาลัย
มีความหมายว่า “ที่อยู่แห่งเทวดา”
คาว่า “ศิวาลัย” มาจาก ศิวะ + อาลัย
มีความหมายว่า “ที่อยู่แห่งพระศิวะ”
https://www.facebook.com/kumthai.th/photos/a.1502532273398314/2353947471590
119/?type=3
15 ตำแหน่งทิศทำงดำวโคจรทั้ง 9
ดวงประจำปีพ.ศ. 2566
31 รู้จัก เขำพระสุเมรุ Sumeru
ยอดเขำเทพเจ้ำตำมควำมเชื่อฮินดู
สถำนที่จริงอยู่ที่ไหน?
53 บริษัทที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศำสตร ์โลก?
98 ดัดตนแก้ปวดเอว
103 มือ บอกโรค
121 อยำกสร้ำงเมืองใหม่…ต้องเริ่มจำกอะไร?
147 ทำไมพวกเขำถึงมีควำมสุขในกองขยะ?
157
จะเกิดอะไรขึ้น…ถ้ำเรำไม่เคยเรียนรู้อะไรสักอย่ำงเลย???
219 เบญจธำตุทั้ง 5 คืออะไร
234 ศำสตร ์โป๊ ยหยี่ สี่เถี่ยว คืออะไร
310 ชนวนเหตุสินค้ำแพง ส่วนแบ่งกำรขำยเพิ่ม
ต้นทุนแฝงผู้ผลิตเพียบ!
327 เมื่อฉันได้กลิ่นอำหำรจำกนิยำย
สารบัญ
Foods from novels
335 ปฏิทินอี้จิง (I Ching) กับปี 2012
356 อี้จิงพื้นฐำน
วิธีกำรเสี่ยงทำยด้วยไม้ติ้ว
วิธีเสี่ยงทำยมำตรฐำนสำหรับอี้จิง
374 เมื่อคนไทยคิดส่งเสริม Soft power จะไปได้แค่ไหน?
407 ลำดับเหตุกำรณ์ช่วยชีวิต 13 หมูป่ำอคำเดมี
433 ควำมรู้...คัมภีร ์อี้จิง (โดย...ไท้เล่ำกุง)
ตาแหน่งทิศทางดาวโคจรทั้ง
9 ดวง
ประจาปีพ.ศ. 2566
http://bit.ly/3WMwCOd
ตาแหน่งทิศที่เป็นมงคลและอัปมงคล
แบ่งออกได้ดังนี้
ทิศมหามงคล : ทิศใต้ (8)
ทิศมงคล : ทิศเหนือ(9)
ทิศตะวันตกเฉียงใต้ (1)
ทิศปานกลาง : จุดศูนย์กลาง (4)
ทิศตะวันตก (6)
ทิศอัปมงคล : ทิศตะวันออก(2)
ทิศตะวันออกฉียงใต้(3)
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (5)
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ(7)
3 8 1
2 4 6
7 9 5
วิธีใช้เข็มทิศวัดทิศทาง
1.ยืนถือเข็มทิศอยู่ ณ จุดกึ่งกลางห้อง
หรือกึ่งกลางบ้าน (ขึ้นอยู่กับจุด
ประสงค์ของท่านว่าต้องการทราบตาแห
น่งทิศที่ตั้งของวัตถุหรือ
เฟอร์นิเจอร์ชิ้นใด)
2.โดยปกติแล้ว
ปลายลูกศรในเข็มทิศ
จะชี้ไปทางทิศเหนือเสมอ
ตามแรงดึงดูดของขั้วแม่เหล็กโลกทางทิ
ศเหนือ
ดังนั้นท่านจึงต้องหมุน เข็มทิศ
โดยพยายามจัดให้ปลายลูกศร
ชี้ไปที่ตัว N (NORTH - ทิศเหนือ)
หรือตัวเลข 360 องศา บนตัวเข็มทิศ
3.เมื่อเข็มทิศนิ่งสนิทแล้ว
(โดยมีลูกศรชี้ไปทางทิศเหนือ)
ให้อ่านในตัว เข็มทิศ
ดูว่า วัตถุหรือเฟอร์นิเจอร์
ที่ท่านต้องการวัดนั้น ตกอยู่ในมุม
ของทิศใด
โดยอาจคะเนดูคร่าวๆ ด้วยตาเปล่า
หรือหากต้องการ องศาที่ละเอียดลึกซึ้ง
ท่านสามารถเทียบได้จากข้อมูลดังนี้
N NORTH ทิศเหนือ
มีองศาอยู่ระหว่าง 337.5 - 22.49
NE NORTH EAST ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
มีองศาอยู่ระหว่าง 22.5 - 67.49
E EAST ทิศตะวันออก
มีองศาอยู่ระหว่าง 67.5 - 112.49
SE SOUTH EAST ทิศตะวันออกเฉียงใต้
มีองศาอยู่ระหว่าง 112.5 - 157.49
S SOUTH ทิศใต้
มีองศาอยู่ระหว่าง 157.5 - 202.49
SW SOUTH WEST
ทิศตะวันตกเฉียงใต ้ มีองศาอยู่ระหว่าง 202.5 – 247.49
W WEST ทิศตะวันตก
มีองศาอยู่ระหว่าง 247.5 – 292.49
NW NORTH WEST
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีองศาอยู่ระหว่าง 292.5 – 337.49
4.ในขณะที่ท่านใช้เข็มทิศอยู่
มีข้อควรระวังคือ อย่าอยู่ใกล้กับสิ่งของ
หรือวัสดุที่เป็นโลหะ เช่น นาฬิกา
รั้วเหล็ก เครื่องใช้ไฟฟ้ าต่างๆ ที่มี
ส่วนประกอบของเหล็ก
เพราะจะทาให้การวัดองศาในเข็มทิศ
คลาดเคลื่อนได้
ในภาควิชาฮวงจุ้ยชั้นสูง
คือ ทิศทางประจาปี
สัมพันธ์สอดคล้อง
กับตาแหน่งของดวงดาว
หรือ “ฮวงจุ้ยหลุ่งหลิ่วจ้วง”
คือ
การโคจรของดวงดาวหมุนเวียนสลับสับ
เปลี่ยนกันทาหน้าที่ส่งผลดีและร้ายต่อม
นุษย์
ประจาอยู่ในแปดทิศหลักใหญ่
เรียกว่า “หลิ่งนี้ฮวงจุ้ย”
หากท่านผู้อ่าน
สามารถทราบล่วงหน้า
ว่าตาแหน่งทิศทางใด
ที่เมื่อตั้งโต๊ะทางานหรือเตียงนอนแล้ว
จะบังเกิดความเป็นมงคลความเจริญรุ่งเ
รือง
ก็จะได้ขยับขยายเคลื่อนย้ายจุดต่างๆ
ในบ้าน
เพื่อเปิดรับโชคลาภโภคทรัพย์
ณ ตาแหน่งทิศทางนั้น
อย่างเต็มที่
แต่หากไม่สามารถขยับขยายได้
ก็จะได้หาสิ่งของอันเป็นสิริมงคล
เพื่อกระตุ้นโชคลาภ
และหลีกเลี่ยงเคราะห์ภัยต่างๆ ต่อไป
โดยกลุ่มดาวเหนือ
ที่โคจรเข้ามาส่งผลจะมีอยู่ 9 ดวง
เมื่อหมุนเวียนไปประจาหน้าที่ใน 8
ทิศใหญ่แล้ว
จะมีอีกหนึ่งดวง
ที่ประจาอยู่ ณ
จุดกึ่งกลางที่บ้านของท่านทุกหลัง
ในปีเถาะ 2566 นี้
ดาวบินที่โคจรเข้ามา
ณ
ตาแหน่งจุดศูนย์กลางของบ้านท่านทุกห
ลัง
คือ ดาวบิน “สี่เขียว” (ซี้เล็ก) “บุ่งเข็ก”
โคจรเข้ามาสถิตอยู่
และตามหลักวิชานี้ ดาวบินอื่นๆ
ก็จะสถิตหมุนเวียนตามทิศต่างๆ ดังนี้
3 8 1
2 4 6
7 9 5
ทิศใต้
(ทิศมหามงคล)
S SOUTH ทิศใต้
มีองศาอยู่ระหว่าง 157.5 - 202.49
ทิศใต้ประจำปีเถำะ พ.ศ.2566 ในปีนี้
แม้จะปรำกฏดำวมงคล “โป๊ ยแปะ”
หรือ “ดำวแปดขำว”
ซึ่งจัดเป็นดำวดี
เป็นดำวแห่งสิริมงคล
ที่ส่งผลในเรื่องโชคลำภเงินทอง
และโอกำสทำงธุรกิจ
ที่จะมีเข้ำมำอย่ำงต่อเนื่อง
โคจรเข้ำมำ
แต่เนื่องจำกในตำแหน่งทิศทำงนี้
มีดำวคำลวง ดำวพิพำกษำ
ดำววิวำทะและดำวม้วนสำรเทพ
โคจรเข้ำมำแผ่อิทธิพลในด้ำนร ้ำยร่วมอ
ยู่ด้วย
ในเรื่องดี
จึงมีแอบแฝงเรื่องร ้ำยอยู่
ไม่ใช่น้อย
ฉะนั้นจึงห้ำมท่ำนต่อเติมซ่อมแซมบ้ำน
ตอกตะปู ขุด เจำะ รื้อถอนหน้ำดิน
หรือโยกย้ำยเครื่องเรือนเฟอร ์นิเจอร ์
มิฉะนั้นนอกจำกผลดีจะไม่เกิด
แต่จะส่งผลให้ท่ำนประสบกับเครำะห์ภัย
คดีควำม
เรื่องทะเลำะวิวำทหรือหำกละโมบโลภมำ
ก
จะเกิดกำรสูญเสียหนักแทน
ดังนั้น
ท่ำนควรจัดตั้ง
“ป้ำยผ้ำเทพใฉ่ซิ้งอำนวยทรัพย์” 1 ชิ้น
แขวนไว้บนโต๊ะทำงำนหรือโต๊ะเก็บเงิน
ซึ่งมีทิศใต้
เป็นทิศหลังพิง
ดังที่กล่ำวไว้ข้ำงต้น
ก็จะช่วยส่งเสริมเพิ่มพูนโชคลำภ
และสิ่งสิริมงคลเป็นทบเท่ำทวีคูณ
“เต่ำหัวมังกร”
ถือเป็นสัญลักษณ์ของควำมแข็งแกร่ง
อำยุยืน
สุขภำพดี
และควำมตั้งใจมุมำนะไปสู่ควำมก้ำวหน้
ำ ควำมสำเร็จอย่ำงมั่นคงยืนยำว
และรวมถึงกำรเพิ่มพูน
ด้ำนทรัพย์สินเงินทอง
และปกป้องคุ้มกันภัยจำกสิ่งชั่วร ้ำย
“เต่ำหัวมังกร”
จึงเป็นสัตว์เทพที่มีพลังอำนำจ
ตำมควำมหมำยแล้ว
“เต่ำ” เป็นตัวแทนของควำมยั่งยืน
แข็งแรง อดทน
มีเกรำะป้องกันภัยอันตรำย
ส่วน “มังกร” คือ พลังอำนำจที่ยิ่งใหญ่
ควำมกล้ำหำญที่ดีงำม
และควำมมีบุญวำสนำบำรมีสูง
จึงถือเป็นมงคลพรอันสูงสุด
เมื่อสัตว์มงคลทั้งสองชนิดมำรวมตัวกัน
ซึ่งเป็นสุดยอดปรำรถนำของชำวจีนใน
อดีต
และเป็นที่นิยมเชื่อถือกันมำจนถึงปัจจุบั
น
ดังนั้นบ้ำนหลังใด
ที่ประตูหน้ำบ้ำนหรือร ้ำนค้ำ
มีทิศหลังพิงคือ ทิศใต้
ท่ำนควรจัดตั้งวัตถุมงคลแก้ทิศ
“พญำเต่ำมังกรเสริมทรัพย์เรืองอำนำจ”
เอำไว้
เพื่อช่วยต้ำนเหตุเภทภัย
และช่วยปรับเปลี่ยน
สิ่งอัปมงคลเลวร ้ำยให้กลำยเป็นดี
เสริมให้ท่ำนที่นั่งทำงำน
หรือนอนพักผ่อน
ในทิศทำงนี้เป็นประจำ
สำมำรถใช ้ชีวิตอย่ำงมีควำมสุข
กำรงำนกำรค้ำรำบรื่นไร ้อุปสรรค
ทั้งเสริมให้ท่ำนมีโชคด้ำนกำรเงิน
ภำยในบ้ำนเกิดควำมสมดุลผำสุก
และประสบควำมร่มเย็นเป็นสุข
ตลอดปี
ตาแหน่งบ้านและดวงดาวประจาทิศ
ใต้
ตะวันออกเฉียงใต้ 3 8 1 ตะวันตกเฉียงใต้
ตะวันออก 2 4 6 ตะวันตก
ตะวันออกเฉียงเหนือ 7 9 5 ตะวันตกเฉียงเหนือ
เหนือ
รู้จัก เขาพระสุเมรุ Sumeru
ยอดเขาเทพเจ้า
ตามความเชื่อฮินดู
สถานที่จริงอยู่ที่ไหน?
https://travel.trueid.net/detail/l6zG8EmG8rwM
สาหรับผู้คน
ในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แล้ว
น่าจะคุ้นเคย
กับชื่อของ เขาพระสุเมรุ
ซึ่งเป็นเหมือนศูนย์กลางของจักรวาล
ตามความเชื่อของทั้งศาสนาฮินดู
ศาสนาพุทธ และศาสนาเชน
เรื่องของแรงศรัทธานั้น
เราคงไม่ต้องพูดถึง
แต่ถ้าหากว่าเขาพระสุเมรุมีอยู่จริงล่ะก็
ตาแหน่งที่ตั้งน่าจะอยู่ตรงไหนกัน?
วันนี้เราจะมาหาคาตอบกันครับ
เขาพระสุเมรุ
ภูเขาเทพสถิตตามความเชื่อชาวฮินดู
เรื่องราวโดยสังเขปของเขาพระสุเมรุ
ก่อนจะไปหำกันว่ำ
สถำนที่จริงๆ ของที่แห่งนี้
อยู่ตรงไหน
เรำก็ควรจะปูพื้นคร่ำวๆ กันซะก่อน
เขำพระสุเมรุ นั้น
ถูกอธิบำยว่ำสร ้ำงขึ้นโดยพระอิศวร
ทรงมีพระประสงค์
จะตั้งภูเขำใหญ่
ให้เป็นหลักของโลก
จึงทรงเอำพระจุฑำมณี
(ปิ่นปักผม)
ปักลงที่ใจกลำงของพื้นภพ
บันดำลให้เป็นเขำพระสุเมรุขึ้นมำ
ตั้งอยู่เหนือน้ำ 84,000 โยชน์
บนยอดเขำ
เป็นสวรรค์ชั้นดำวดึงส์
โดยมีพระอินทร ์เป็นผู้ปกครอง
พร ้อมกับเป็นที่อำศัยของทวยเทพทั้งหล
ำย
ใต้เขำพระสุเมรุ
มีเขำ 3 ลูก รองรับเป็นฐำน
เรียกว่ำ ตรีกูฏ
มีมหำทวีปทั้ง 4 โดยรอบ
คือ อุตรกุรุทวีป บุพวิเทหทวีป
ชมพูทวีป และอมรโคยำนทวีป
โดยทวีปที่เรำคุ้นเคยกันมำกที่สุด
ก็คือ ชมพูทวีป
ซึ่งตำแหน่งปัจจุบัน
ก็คือที่ประเทศอินเดียนี่เอง
เขาไกรลาส
ตาแหน่งที่เชื่อว่าคือเขาพระสุเมรุ
หำกจะอ้ำงอิง
จำกตำมพระคัมภีร ์ต่ำงๆ แล้ว
ยอดเขำสูงที่มีอยู่บนโลก
และมีควำมใกล้เคียงเขำพระสุเมรุมำกที่
สุด
เห็นจะเป็น เขำไกรลำส
(Mount Kailash)
ที่อยู่ทำงทิศตะวันตก
ของเขตปกครองตนเองทิเบต
นั่นเอง
มีควำมสูง 22,020 ฟุต
ถือเป็นลำดับที่ 32 ของโลก
และสูงเป็นลำดับดับที่ 19
ในบรรดำยอดเขำของเทือกเขำหิมำลัย
มีชื่อภำษำทิเบต
ว่ำ คัง-ติเซ
(Gang Tise)
แปลว่ำ ธำรน้ำแข็ง
ส่วนคำว่ำ ไกรลำส
มีควำมหมำยว่ำ ภูเขำสีเงิน
ซึ่งก็นับว่ำมีควำมใกล้เคียงกัน
นั่นก็เพรำะภูเขำนี้
จะปกคลุมด้วยหิมะ และน้ำแข็ง
ดูเป็นสีขำวโพลน
ตลอดทั้งปี
เขำไกรลำส
ยังเป็นต้นกำเนิด
ของแม่น้ำที่ยำวที่สุด 4 สำยของเอเชีย
ได้แก่
แม่น้ำพรหมบุตร
(Brahmaputra River)
ไหลไปทำงภำคกลำงของทิเบต
แล้วลงไปที่แคว้นอัสสัมของอินเดีย
แม่น้ำสินธุ
(Indus or Sindhus) ในปำกีสถำน
แม่น้ำสัตเลจ
(Sutlej หรือ Sutudri)
ซึ่งไหลไปรวมกับแม่น้ำสินธุ
แม่น้ำกำร ์ลี
ซึ่งได้กลำยเป็นแม่น้ำคงคำ
(Ganges) ในอินเดีย
อีกจุดที่สำคัญ
ก็คือ ทะเลสำบมำนัสโรวำร ์
(Manasrowar)
เป็นทะเลสำบน้ำจืดขนำดใหญ่
กว้ำง 15 ไมล์
อยู่ทำงใต้ของเขำไกรลำส
ซึ่งก็เชื่อว่ำเป็น สระอโนดำต
ในป่ำหิมพำนต์
ตำมควำมเชื่อเรื่องจักรวำลของศำสนำ
พุทธด้วย
ในมหำกำพย์รำมำยณะ
และมหำกำพย์มหำภำรตะยุทธ
ว่ำ ใครได้สัมผัสหรือชำระล้ำงร่ำงกำย
ในทะเลสำบนี้
ผู้นั้นจะได้ไปสู่สรวงสวรรค์
ซึ่งปัจจุบัน
ผู้ที่อยำกเดินทำงไปเยือนเขำไกรลำส
ส่วนใหญ่จะใช้วิธีเดินทำงไปจีนก่อน
แล้วค่อยนั่งรถเข้ำไปทิเบต
ไม่ก็ไปเนปำลก่อน
แล้วค่อยนั่งรถเข้ำไปทิเบต
ซึ่งกำรเดินทำงก็ค่อนข้ำงลำบำก
และต้องอำศัยควำมแข็งแรงของร่ำงกำย
และจิตใจอยู่พอสมควร
เขำเซอเมรู
เขำพระสุเมรุแห่งอินโดนีเซีย
ไม่ใช่แค่ทิเบตเท่านั้น
แต่ในหมู่เกาะชวาเอง
ก็มีเขาพระสุเมรุอยู่เหมือนกันนะ
นั่นคือ เขาเซอเมรู
Gunung Semeru
เป็นภูเขาไฟที่ยังคงคุกรุ่นอยู่
ในจังหวัดชวาตะวันออก
ประเทศอินโดนีเซีย
ภูเขาไฟนี้
มีอีกชื่อหนึ่งว่า มหาเมรุ
หมายถึง ภูเขาไฟที่ยิ่งใหญ่ ด้วย
ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่
จะนิยมไปเดินเขาโบรโม Bromo กัน
มากกว่า
โดยจากจุดชมวิวบนยอดโบรโม
จะเห็นยอดเขาเซอเมรูนี้
สูงๆ อยู่ข้างหลัง
ซึ่งชาวอินโดนีเซียนเอง
ก็ยกย่องให้ที่นี่
เป็นดั่งศูนย์กลางจักรวาล
ก็เพราะทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่
เป็นภูเขาที่สูงเด่นจนไม่มีลูกอื่นใดเทียบ
ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาอื่นๆ
รายล้อมหลายชั้น
แถมยังพ่นควันพวยพุ่งออกมา
ทุกๆ 20-40 นาทีอีกด้วย
นับเป็นที่น่ายาเกรงต่อบรรดานักเดินเข
า
ที่นี่สามารถเดินเท้าเข้าไปชมได้ด้วย
ใช้เวลาเดินประมาณ 3 วัน 2 คืน
หรือ 4 วัน 3 คืน
โดยมักจะเริ่มจากหมู่บ้าน Ranu Pane
ไปทางทิศเหนือ
จุดชมวิวเขาเหมน เขาพระสุเมรุในไทย
ใครจะไปรู้ว่า
ในไทยเองก็มีเขาพระสุเมรุเหมือนกัน
นั่นคือ จุดชมวิวเขาเหมน
ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
เพราะแต่ก่อน
ที่นี่มีความเจริญรุ่งเรืองทางพราหมณ์-
ฮินดู
ซึ่งทางใต้จะเรียกชื่อสั้น ๆ เป็นเขาเมรุ
หรือเขาเหมน
ที่นี่เป็นยอดเขาที่สูงที่สุด
ของอุทยานแห่งชาติน้าตกโยง
สูงประมาณ 1,307 เมตร
จากระดับทะเล
มีเมฆปกคลุมเกือบทั้งปี
จุดชมทิวทัศน์ยอดเขาเหมน
สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้โดยรอบ
เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น
และพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม
 ที่ตั้ง : ตำบลช้ำงกลำง อำเภอช้ำงกลำง จังหวัดนครศรีธรรมรำช
80220
 พิกัด : https://goo.gl/maps/PDJnYf2TKwzyZi1Q9
 เปิดเข้ำชม : ทุกวัน 06.00 น. - 21.00 น.
 เว็บไซต์: -
 กำรเดินทำง : ใช้เส้นทำงสำยนครศรีธรรมรำช-ทุ่งสง
ถึงที่สำมแยกควนไม้แดง
เลี้ยวเข้ำนำบอน ถนนหมำยเลข นศ 2001 ระยะทำง 11 กม.
ถึงน้ำตกคลองจัง
สำหรับกำรเดินป่ำเขำเหมนต้องใช้เวลำอย่ำงน้อย 2 วัน 1 คืน
และช่วงเดินป่ำคือเดือน ธันวำคม ถึงเมษำยน
บริษัทที่ร่ารวยที่สุด
ในประวัติศาสตร์โลก?
http://bit.ly/3lDREBR
ในหน้าประวัติศาสตร์โลก
เราจะเห็นชาติเล็กๆอยู่ชาติหนึ่ง
ที่ชอบเข้ามาป้ วนเปี้ยน
อยู่ในเเถบเอเชียอยู่บ่อยๆครั้ง
ผู้คนเรียกพวกเขาว่าชาวฮอลันดา
ชาวฮอลแลนด์ หรือชาวดัตช์
เเต่ทาไม่ชาติเล็กๆอย่างฮอลแลนด์
ถึงได้กลายเป็นประเทศที่ร่ารวยที่สุดใน
โลกตอนนั้น
เเละอะไรที่ทาให้ Dutch East India
Company
กลายเป็นบริษัทที่ร่ารวยที่สุด
ตลอดกาลในประวัติศาสตร์โลก?
ทางออกที่ยั่งยืน…
วางแผนระยะยาว…
หุ้นทิวลิป…
ทางออกที่ยั่งยืน
ช่วง 1543–1602
ฮอลแลนด์
ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของโปรตุเกสเเ
ละสเปนอยู่
มีการสู้รบกันไปๆมาๆอย่างยืดยาว
ไม่จบสิ้นของสเปนเเละอังกฤษ
( Anglo-Spanish War )
ที่ดูเหมือนหลายๆประเทศรอบข้างจะซว
ยไปด้วย
เเละฮอลแลนด์ก็เป็นหนึ่งในนั้น
โปรตุเกสกับสเปน
เป็นนักล่าอาณานิคมที่มีอานาจ
พวกเขาร่ารวยมากๆจากการค้าเเรงงาน
ทาส
เเละส่งออกนาเข้าสินค้า
ชาวดัตช์
จะซื้อพริกจากลิสบอน
เพื่อไปขายต่อให้กับประเทศต่างๆทั่วยุโ
รป
ซึ่งตอนนั้น
โปรตุเกสเป็นประเทศที่ผูกขาดการค้าพ
ริกอยู่
พวกเขานาเข้าส่งออกพริกมาเป็นสิบๆปี
พริก
อาจจะเห็นทั่วไปในปัจจุบัน
เเต่สมัยนั้น
พริก ถือเป็นวัตถุดิบที่หายากมากๆ
มันสามารถเอามาใช้เป็นยา
หมักดองอาหาร
ทาให้เนื้อมีรสชาติ
เเละเชื่อว่าทาให้สุขภาพดี
ชาวโปรตุเกส
เชี่ยวชาญด้านการทาอาหารมาก
เเล้วชอบเเนะนาเครื่องเทศ
เมนูใหม่ๆให้กับประเทศที่พวกเขาไปเยื
อนเสมอ
พร้อมพยายามเผยเเผ่ศาสนาคริสต์ไปใ
นตัว
วัชกู ดา กามา
( Vasco-da-Gama )
ได้เเนะนาพริกจากอเมริกาใต้
ให้อินเดียได้รู้จัก
เเล้วใช้อินเดีย
เป็นเเหล่งปลูกพริกให้โปรตุเกส
ในเวลาต่อมา
วัชกู ดำ กำมำ บุกเบิกเส้นทำงไปสู่เอเชีย [ Image source : CROSSING THE OCEAN SEA ]
เเต่ในปี 1580
โปรตุเกส
ต้องเจอกับปัญหาภายใน
ที่หากษัตริย์มาสืบทอดอานาจไม่ได้
สเปน
ได้เข้าไปควบคุมโปรตุเกส
ลิสบอน
จึงถูกตัดขาดการทาธุรกิจกับฮอลเเลนด์
ไป
ทาให้พวกเขาขาดรายได้
จึงต้องล่องเรือไปเอาพริก
เเละต้องสร้างเครือข่ายการค้าด้วยตนเอ
ง
ถึงเเม้ว่ามันจะไกลมากๆก็ตาม
ฮอลแลนด์
ไม่มีทางเลือกมากนัก
พวกเขาต้องการ
ทาให้เศรษฐกิจในประเทศเข้มเเข็ง
เพื่อที่จะป้ องกันการรุกรานจากชาติอื่น
ๆ
พวกเขาจึงเลือกทาในสิ่งที่พวกเขาถนัด
ที่สุด
นั่นก็คือการล่องเรือ
ทุกคนที่นั่นเติบโต
เเละเข้าใจวิถีของชาวประมงเป็นอย่างดี
เเต่ดูเหมือน
มันจะถึงเวลาเเล้ว
ที่พวกเขาจะเปลี่ยนไปทาอะไรที่ยิ่งใหญ่
กว่า
เรือขนส่งสินค้ำจำกท่ำเรืออัมสเตอร ์ดำม [ Image source : ipfs.io ]
ในปี 1594
พวกเขำจึงก่อตั้งบริษัทขึ้น
เพื่อไปเอำพริก
จำก มำลูกู - อินโดนีเซีย
ในปี 1596 -1597
พวกเขำส่งเรือไปลำเเรก
ซึ่งพอเอำของมำขำย
ก็ได้กำไรเกินกว่ำค่ำเดินทำงทั้งหมด
จำกนั้น
พวกเขำส่งเรือไปอีก
รอบ 2
ในปี 1598–1599
พวกเขำขำยของได้กำไรถึง 400%
หลังจำกนั้น
จึงเกิดบริษัทเดินเรือ
เพื่อไปเอำพริกมำขำยมำกมำย
ในฮอลแลนด์
ในช่วงเเรกๆ
พวกเขำประสบควำมยำกลำบำก
ในกำรล่องเรือระยะไกลเเบบนั้น
ช่วง 6 ปีเเรก
มีกำรส่งเรือไป 65 ลำ
เรือ 1 ใน 10
จะไม่ได้กลับมำเพรำะสูญหำย
ส่วนพวกที่กลับมำได้
ก็เหลือลูกเรือเพียง 1 ใน 3 เท่ำนั้น
เเต่นอกเหนือจำกพริกที่ได้กลับมำเเล้ว
พวกเขำยังได้ควำมรู้มหำศำล
ในกำรล่องเรือระยะไกล
รู้ว่ำจะล่องเรือเเบบไหน
ถึงจะปลอดภัยเเละมีประสิทธิภำพสูงสุด
จนขยำยสถำนะตัวเอง
จำกชำวประมง
เป็นนักสำรวจ
ในเวลำต่อมำได้สำเร็จ
เเละยังรู้ถึงวิธีกำรที่จะสร ้ำงเครือข่ำยใน
กำรทำธุรกิจกับประเทศต่ำงๆอีกด้วย
ควำมรู้นี้
ทำให้พวกเขำ
เป็นชำติที่ล้ำหน้ำที่สุด
ในกำรล่องเรือ
เพื่อทำธุรกิจเหนือกว่ำชำติไหนๆ
ในตอนนั้น
เเต่กำรที่กลุ่มพ่อค้ำชำวดัตช ์
เเย่งกันทำมำหำกินเเบบนี้
ก็จะไม่มีวันที่จะสู้กับชำติอังกฤษหรือสเ
ปนได้อยู่ดี
ที่จ้องจะมำเอำผลประโยชน์
ตัดหน้ำชำติเล็กๆอยู่เสมอ
พวกเขำจำเป็นจะต้องร่วมมือกัน
สัญลักษณ์ VOC เห็นได้ทั่วไปในงำนศิลปะโบรำณในเเถบเอเชีย
ในปี 1602
กลุ่มของนักเดินเรือชำวฮอลแลนด์
ได้รวมตัวกัน
พร ้อมร่วมมือกับทำงรัฐบำล
โดยใช ้ชื่อกำรรวมกลุ่มนี้
ว่ำ Dutch East India Company
( VOC )
เพื่อให้พวกเขำทำงำนได้ง่ำยขึ้น
อีกทั้งยังเพิ่มโอกำสในกำรขยำยธุรกิจ
เพื่อนำเข้ำเครื่องเทศจำกชำติอื่นๆมำด้ว
ย
ซึ่งพวกเขำจะได้รับอำนำจอย่ำงเต็มที่
จำกทำงรัฐบำล
พวกเขำจะเข้ำไปเยือนแผ่นดินอื่นๆ
ในฐำนะรัฐบำลของประเทศฮอลแลนด์
พร ้อมกองทัพที่ตำมไปด้วย
นอกจำกจะเอำพื ้นที่มำเเล้ว ชำวดัตช ์ยังเอำชำวเกำะมำเป็นทำสอีกด้วย
[ Image source : http://www.geheugenvannederland.nl ]
Dutch East India Company
กลำยเป็นควำมหวังหนึ่งเดียว
ที่จะทำให้ฮอลแลนด์
เป็นอิสระจำกสเปน
พวกเขำต้องกำรใช ้ธุรกิจนี้
เป็นอำนำจในกำรต่อรอง
ไม่ให้ชำติมหำอำนำจอื่นเข้ำมำรุกรำน
สำมำรถต่อรอง
ในยำมที่พวกเขำต้องกำรขยำยอำณำนิ
คม
ไปในชำติอื่นๆ
รวมถึงต่อรองรำคำทำสด้วย
วางแผนระยะยาว…
เเต่กำรจะเป็นชำติมหำอำนำจ
ที่จะผูกขำดสินค้ำ
ไม่ใช่เรื่องง่ำยขนำดนั้น
พวกเขำต้องกำรเงินทุนมหำศำลจำกชำ
วเมือง
โดยอำจจะให้เเรงจูงใจต่อนักลงทุน
ด้วยผลตอบเเทนที่มำกขึ้นในอนำคต
มันจึงเกิดเเนวคิดของกำรซื้อขำยหุ้นขึ้น
มำ
ตลำดหุ้นที่เเรกของโลก
จึงเกิดขึ ้น
ที่ อัมสเตอร ์ดัม
ตลำดหุ้นที่เเรกของโลก[ Image source : wikiward / wikimedia.common ]
ทำให้ Dutch East India Company
กลำยเป็นบริษัทเเรกของโลก
ที่มีกำรซื้อขำยเเบบหุ้น
คนร่ำรวย
หรือเเม้เเต่คนที่อพยพเข้ำมำ
ต่ำงพำกันเข้ำตลำดหุ้นเพื่อทำกำรซื้อข
ำย
จนท้ำยที่สุด
สำมำรถระดมทุน
ได้ถึง 110 ล้ำนเหรียญ (
ค่ำเงินในปัจจุบัน )
พวกเขำ
มีเรือขนส่งสินค้ำขนำดใหญ่ 150 ลำ
40 เรือรบ พนักงำน 5 หมื่นคน
ทหำรกว่ำ 1 หมื่นนำย
กระจำยไปที่จุดขนส่งสินค้ำต่ำงๆ
ในปี 1611
พวกเขำผูกขำดพริกได้สำเร็จที่อินโดนีเ
ซีย
เเล้วจัดตั้งสำนักงำนใหญ่ที่จำกำร ์ตำ
มีธุรกิจนำเข้ำผ้ำทอจำกอินเดีย
เพื่อแลกกับเครื่องเงินจำกญี่ปุ่น
นำเข้ำผ้ำไหมจำกจีนไปขำยต่อที่อื่น
ทำตัวเป็นพ่อค้ำคนกลำงเเล้วไปขำยต่อ
ซึ่งสินค้ำที่พวกเขำนำไปขำยต่อ
สำมำรถมีมูลค่ำเพิ่มขึ้นถึง 1,500%
บริษัทได้สร้ำงเครือข่ำย
เชื่อมต่อท่ำเรืออย่ำงเป็นระบบ
เเละพวกเขำยังสร้ำงกองทัพ
เพื่อ “คืนควำมสุขให้ประชำชน”
ด้วยอำวุธครบมือ
ในพื้นที่
ที่พวกเขำเข้ำไปทำกำรค้ำ
สิ่งที่พวกเขาทานี้
เป็ นสิ่งใหม่ที่ชาติอื่นไม่ทากันในต
อนนั้น
ซึ่งได้กลายเป็ นเเนวทางให้ชาติอื่น
ทาตาม
ในเวลาต่อมา
เรือขนส่งสินค้ำ VOC ในมุมมองของศิลปินชำวญี่ปุ่น
[ Image source : Pictures from History / Granger, NYC ]
นอกเหนือจากทาการค้า
พวกเขายังหาโอกาส
ไปสารวจผืนแผ่นดินอื่นๆด้วย
จนพวกเขาได้พบประเทศใหม่ๆ
ไม่ว่าจะเป็น…
การค้นพบนิวซีแลนด์ ในปี 1642
ค้นพบเกาะฟอร์โมซ่า
ในปี 1642
ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อ
มาเป็น ไต้หวัน
ค้นพบนิวฮอลแลนด์
ในปี 1644
ซึ่งต่อมา
เปลี่ยนชื่อมาเป็น ออสเตรเลีย
พวกเขามีอานาจเหนือสเปนในท้ายที่สุด
จนสามารถ
ประกาศอิสรภาพอย่างเป็นทางการได้
ในปี 1648
อยุธยำในสำยตำของศิลปินชำวดัตช ์ที่ทำงำนให้กับ VOC Johannes Vingboons วำดไว้ในช่วงปี
1662 -1663 [Image source : commons.wikimedia.org ]
จนในปี 1669
Dutch East India Company
กลายเป็นบริษัทที่ร่ารวยที่สุด
ในประวัติศาสตร์โลก
ส่วนหนึ่งของเงินที่พวกเขาหามาได้
จะนาไปสร้างแผ่นดิน
( Land reclamation )
ให้กับประเทศของตนเอง
เนื่องจาก
ภูมิศาสตร์ที่ต่ากว่าระดับน้าทะเล
มีการถมดินให้สูงขึ้น
( เป็นเหตุผลว่าทาไม
ปัจจุบัน พื้นแผ่นดิน ฮอลแลนด์
ถึงราบเรียบเหมาะกับการปั่นจักรยาน )
เเละยังมีการสร้างระบบชลประทาน
ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ
เพื่อสร้างระบบจัดการน้าที่มีประสิทธิภา
พ
เเต่สิ่งที่ทาให้ Dutch East India
Company ร่ารวยเเบบสุดขีด
ไม่ใช่เครื่องเทศ
เเต่มันคือ ดอกทิวลิป
ไร้ทิวลิปในฮอลเเลนด์[ Image source : http://www.thebulletin.be ]
หุ้นทิวลิป
ผู้คนรู้จักดอกทิวลิป
ในช่วงเเรกๆที่ ตุรกี
ในปี 1554
มันเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง
เเละได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ
การมีดอกทิวลิปในสวน
ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง
ปกติเเล้ว
ดอกทิวลิป
จะใช้เวลา 7-12 เดือนถึงจะออกดอก
เเละก็เบ่งบานเพียง 1 อาทิตย์เท่านั้น
ด้วยความที่มันหายาก เลี้ยงดูยาก
จึงเป็นสัญลักษณ์
ของความทะเยอทะยาน
ของสังคมชั้นสูง
ชาวดัตช์
ได้สร้างรูปแบบการเงินเป็นระบบ
ผ่านตลาดหุ้น
เเละยังสามารถ
สร้างระบบการนาเข้าส่งออก
ให้กับ ทิวลิป ทุกๆเดือนได้ด้วย
ซึ่งราคาจะถูกตั้ง
ในช่วงที่ทิวลิปได้ออกดอกเเล้ว
ชาวดัตช์
ได้สร้างนิยามที่ถูกใช้กันมากในปัจจุบัน
นั่นก็คือคาว่า “เก็บไว้ลงทุน”
อันนาไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจ
ในเวลาต่อมา
ในช่วงปี 1630
ผู้คนเเห่กันขายของใช้ส่วนตัว
เพื่อเอาเงินไปลงทุนกับทิวลิป
เพราะเห็นพ่อค้าระดับตัวท๊อป
ทาเงินได้ถึง 6 หมื่นเหรียญต่อเดือน
(ค่าเงินในปัจจุบัน)
หลังจากที่ทิวลิปเข้าตลาดหุ้น
เเละมีการซื้อขายกันอยู่
ทั้งใน อังกฤษ ฝรั่งเศส
ราคาของมัน
จึงสูงขึ้นเรื่อยๆ ชนิดที่ฉุดไม่อยู่
เพื่อให้เห็นภาพ
ในช่วงที่ทิวลิปมีราคาสูงที่สุด
ดอกทิวลิปดอกนึง
จะมีราคาสูง
มากกว่า
รายได้ตลอดทั้งปีของคนใช้เเรงงานทั่ว
ไป
ถึง 10 เท่า
จนถึงวันที่เกิดฟองสบู่เเตก
ครั้งเเรกของโลก
ในปี 1636
หุ้นทิวลิปที่ตกลงฮวบฮำบในปี 1636 [ Image source : amsterdamtulipmuseumonline.com
]
สัญญาณ
มันเริ่มขึ้น
ตอนที่นายหน้าจากทางเหนือของฮอลแ
ลนด์
ไม่เข้ามาร่วมการประมูลราคา
เหมือนอย่างที่เคยเป็น
มันเป็นสัญญาณ
บอกถึงราคาจะไม่สูงไปมากกว่านี้เเล้ว
หลังจากนั้น
ก็เริ่มมีพ่อค้ารายใหญ่ๆทยอยขายหุ้น
เพราะรู้สึกเป็นกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิ
ดขึ้น
พ่อค้ารายเล็กๆจึงแห่กันขายตามมา
จนหุ้นร่วงเป็นประวัติการณ์ ภายใน 1
อาทิตย์
ประเทศฮอลแลนด์
จึงเกิดภาวะฝืดเคืองทางเศรษฐกิจอย่าง
รุนเเรง
เเต่นั่นคือการเรียนรู้ครั้งสาคัญ
ของรัฐบาลฮอลแลนด์
ว่าทาอย่างไร
ถึงไม่ให้สถานกาณ์เเบบนี้
เกิดขึ้นอีก
ปี 1669 พวกเขำได้กลำยเป็นบริษัทที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศำสตร ์โลกโดยมีมูลค่ำรวมถึง 7.9
ล้ำนล้ำนเหรียญ ซึ่งถ้ำเทียบกับปัจจุบันก็ให้ลองเอำ Apple , Microsoft , Google มำรวมกันเเล้วคูณ
3 เข้ำไปก็จะมีมูลค่ำรวมเท่ำกับ Dutch East India Company [ Image source: Visual
Capitalist ]
Dutch East India Company
ยังคงเดินหน้าเปิดสาขาใหม่ๆ
ทั่วเอเชียเเละแอฟริกาต่อไป
เพราะมีอะไรหลายอย่างที่ยังขายได้อยู่
ระบบการจัดการที่เกิดในบริษัท
ส่งผลอย่างมากต่อเเนวคิดทางธุรกิจใน
ปัจจุบัน
เพราะมันเป็นบริษัทเเรกๆของโลก
ที่มีการจัดการที่ซับซ้อนเเบบนั้น
มีการสร้างความน่าเชื่อถือ
มีการสร้างระบบการร่วมทุนโต๊ะจีน
เพื่อสร้างระบบการค้าแบบผูกขาด
เป็นส่วนสาคัญ
ในการถ่ายทอดวิทยาการล้าสมัย
ให้กับชาวเอเชีย
ช่วยบันทึกประวัติศาสตร์
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในสมัยก่อนผ่านรูปวาด
เเละสอนให้ใช้การค้าขาย
เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการล่าอาณานิค
ม
ได้อย่างเป็นระบบ เเละเเนบเนียน
จุดจบ
Dutch East India Company
ยังคงเป็นบริษัทที่มีความมั่นคง
จนถึงช่วงกลางยุค 1700
ปัญหา
มันเริ่มตั้งเเต่ที่พวกเขาประสบความยา
กลาบาก
ในการบริหารจัดการกับประเทศคู่ค้าสา
คัญ
อย่างจีน ญี่ปุ่น
ที่มีปัญหาในคาบสมุทรของตัวเอง
ตลาดเครื่องเทศ
เริ่มไม่ฮิตเหมือนเมื่อก่อน
ตลาดหุ้นจากประเทศอื่นๆ
เริ่มเติบโตเเข็งเเรงขึ้นเรื่อยๆ
เกิดปัญหาคอร์รัปชันภายใน
เกิดสงครามระหว่างฮอลแลนด์กับอังกฤ
ษขึ้น
เรียกได้ว่าทุกๆปัญหา
ถาโถมเข้ามาหา Dutch East India
Company จนยากที่จะต้านทานไหว
ต่อเนื่องยาวนาน
https://www.youtube.com/watch?v=lzOU-CRhDSw
Battle of Texel, 1673 (Third Anglo-
Dutch War): 제3차 잉글랜드-
네덜란드 전쟁, 텍설 전투
[ การต่อสู้ในซีรีส์ Anglo-Dutch War
ที่มีมาอย่างยาวนาน ]
ในปี 1780 – 1784
พวกเขาทาสงครามกับอังกฤษ
เเละก็เเพ้อย่างย่อยยับ
ในท้ายที่สุด
( Fourth Anglo-Dutch War )
ทาให้เครือข่ายการค้ากับเอเชียถูกตัดขา
ด
ในปี 1790 เป็นต้นมา
เกิดปัญหาคอร์รัปชันอย่างหนักภายใน
ในปี 1795
ฝรั่งเศสเข้ามายึดฮอลแลนด์ได้สาเร็จ
( Batavian Revolution )
ประเทศที่เคยเข้าไปยึดครองเเถบเอเชีย
เริ่มเเข็งเเรง
รัฐบาลต้องถอนกาลังออกมาในท้ายที่สุ
ด เเละ Dutch East India Company
ก็ค่อยๆหายไปจากโลก
ในปี 1799
ปิดตานานบริษัทที่ครองความยิ่งใหญ่
มานานกว่า 197 ปี
ในท้ายที่สุด
ชะตากรรมของพวกเขา
ไม่ต่างจากบริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆทั่วโลก
ในหน้าประวัติศาสตร์
เเต่สิ่งที่พวกเขา
ยังมีอยู่เเน่ๆ
คือผืนเเผ่นดินของพวกเขาเอง
ที่ Dutch East India Company
ได้สร้างไว้ยามที่พวกเขารุ่งเรืองเเบบสุ
ดๆ
ผืนแผ่นดินที่สูงขึ ้นจำกโครงกำรยกหน้ำดิน( Land reclamation ) [ Image source : K
Cantner, AGI ]
ดัดตนแก้ปวดเอว
https://www.doctor.or.th/article/detail/4153
เคยมีอาจารย์หมอนวด
ตั้งคาถามผมในที่ประชุมโครงการฟื้นฟู
การนวดไทยเรื่องการปวดเอวแบบเส้น
สะดุ้งขบมาแล้ว
แต่ผมไม่ได้ตอบ
เพราะยังไม่เคยเจอคนที่มีอาการเช่นนี้
มาหา
หลังจากนั้น
ผมถึงได้เจอคนที่มีอาการเช่นนี้
มาหาหลายครั้ง
หลังจากนวดเสร็จแล้วเขาบอกว่าอาการ
ดีขึ้น
แต่พอเคลื่อนไหวผิดท่านิดเดียว
ก็เสียวแปลบแบบเส้นสะดุ้งขบที่เอวอีก
ก็ต้องนวดแก้ตามแบบผมที่เขียนมาใน
ที่นี้หลายครั้ง
ในขณะที่ผมเขียน
ผมได้คุยกับหมอนวดตาบอด
เขาบอกว่าเคยมีอาการแบบนี้มาแล้ว
ผมให้เขายืนหันหน้าเข้าหาฝาผนัง
ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างยันฝาผนังไว้
ก้าวขา
ข้างที่ปวดมาทางด้านหลัง
หนึ่งก้าว
หายใจเข้าช้าๆ
พร้อมทั้งย่อเข่าหน้า เข้าชิดฝา
โดยให้ขาด้านหลังเหยียดตึง
ส้นเท้าและฝ่าเท้าเหยียบพื้นไว้ให้แน่น
พอหายใจออก
ก็กลับมายืนท่าเดิม
เขายังยืนยันว่าหายจากอาการเพราะท่า
นี้
แต่ถ้าคนที่มีพื้นที่น้อย
เช่น อยู่ในรถก็ใช้ท่าฤาษีดัดตน
ที่ผมเขียนมานี้ก็ได้
เพราะมีคนใช้ท่านี้
หายมาหลายคนแล้ว
ท่าเตรียม
นั่งชันเข่าทั้งสองข้าง
พนมมือให้ศอกทั้งสองอยู่นอกเข่า
หัวแม่มือจรดที่คาง
ท่าเคลื่อนไหว
หายใจเข้าช้าๆ
พร้อมทั้งหนีบศอกและกดฝ่ามือเข้ากัน
จนสุดลมหายใจเข้า
กลั้นไว้นิดหนึ่ง แล้วหายใจออก
พร้อมทั้งผ่อนมือและศอกกลับมาอยู่ใน
ท่าเดิม
ทาสลับกัน 3-6 ครั้ง เมื่อมีอาการ
มือ บอกโรค
https://www.doctor.or.th/article/detail/3914
ทางแพทย์จีน
ถือว่าลักษณะของมือ สีของฝ่ามือ
ความชุ่มแห้งของมือ
และหลอดเลือดของฝ่ามือ
ก็มีความสามารถบอกความสมบูรณ์ขอ
งร่างกายได้
ความอวบของมือ
สีของฝ่ามือ
ความชุ่มและแห้งของฝ่ามือ
หลอดเลือดบริเวณฝ่ามือ
ความอวบของมือ
ถ้าเป็นผู้ที่มีมืออวบ
แสดงว่าเป็นผู้ที่มีพลังเต็มเปี่ยมในการ
ทางาน
ถ้ามือเล็กเรียวและอ่อน
แสดงว่าร่างกายไม่แข็งแรง
เป็นโรคได้ง่าย
บางครั้งแม้มือจะอวบ
แต่ถ้าอ่อนไม่มีแรง
แสดงว่าร่างกายไม่แข็งแรง เช่นกัน
ถ้ากล้ามเนื้อบนฝ่ามือแน่น
แต่ขาดความยืดหยุ่น
แสดงว่าเป็นผู้ที่มีนิสัยค่อนข้างแข็งกระ
ด้าง
ไม่ค่อยมีความยืดหยุ่น
ดังนั้นเนื้อบริเวณฝ่ามือควรแน่น
แต่จะต้องมีความอ่อนในระดับพอเหมา
ะ
ตลอดจนมีความยืดหยุ่น
ร่างกายจึงจะแข็งแรง
และมีพลังอย่างเต็มเปี่ยมในการทากิจก
ารงาน
ถ้ามือไม่ค่อยมีเนื้อและกล้ามเนื้อค่อนข้
างแน่น
แสดงว่าระบบย่อยอาหารไม่ดี
ถ้ากล้ามเนื้อใต้หัวแม่มือ
หรือบริเวณสันมือใต้นิ้วก้อยลีบ
สีผิวหมองไม่สดใส
แสดงว่าเจ้าของมือ
มักเป็นโรคบิดหรือท้องเสียเรื้อรัง
สีของฝ่ามือ
คนที่มีร่างกายปกติ
ฝ่ามือจะมีสีแดงเรื่อ ๆ และสดใส
กล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่น
เวลาจับสิ่งของจะมั่นคง
หากสีผิวของฝ่ามือเปลี่ยน
ย่อมบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสุขภา
พ
แต่จะต้องระมัดระวังปัจจัยต่าง ๆ
ที่มีผลกระทบต่อฝ่ามืออื่น ๆ
เช่น ภูมิอากาศ สารที่ติดหรือเปื้อนมือ
ถ้าฝ่ามือขาวซีด
แสดงว่าเป็นโรคเกี่ยวกับปอด
ถ้าฝ่ามือสีคล้า
แสดงว่าเป็นโรคเกี่ยวกับไต
ถ้าฝ่ามือสีม่วง
แสดงว่าระบบไหลเวียนของเลือดไม่ดี
ถ้าฝ่ามือสีน้าเงิน
แสดงว่าเป็นโรคเกี่ยวกับลาไส้
ถ้าฝ่ามือสีเขียว
แสดงว่าเป็นโรคโลหิตจาง
หรือระบบย่อยลาเลียง ดูดซึมไม่ดี
ถ้าฝ่ามือสีเหลืองทอง
แสดงว่าเป็นโรคเกี่ยวกับตับ
ถ้าฝ่ามือสีแดงเข้ม
แสดงว่าเป็นโรคร้อน (ติดเชื้อมีไข้)
ถ้าฝ่ามือขาวซีดหรือเขียวคล้า
แสดงว่าเป็นโรคโลหิตจาง
มีอาการห้อเลือด
ความดันเลือดสูงหรืออาจต่าก็ได้
เป็นโรคหัวใจ เกาต์ เป็นต้น
ถ้าเส้นหลักบนฝ่ามือทั้งสาม
คือ เส้นชีวิต หัวใจ และสมอง
(ดูรูป 1)
ปรากฏสีดังกล่าวชัดเจน
ยิ่งเป็นการยืนยันโรคและอาการดังกล่า
ว
ได้อย่างชัดเจน
ถ้ากล้ามเนื้อบริเวณโคนหัวแม่มือ
(ตาแหน่งเนินอาคาร และเนินศุกร์ ดูรูป
2)
มีสีแดงอมน้าตาลหรือแดงเข้ม
มีลักษณะเป็นหย่อม ๆ คล้ายปาน
แสดงว่าบุคคลนั้น
ในช่วงระยะหนึ่ง
เคยเป็นโรคตับอักเสบมาแล้ว
ถ้าเป็นสีม่วงคล้า แสดงว่าเป็นมาเรื้อรัง
หรือเซลล์ของตับส่วนใหญ่ถูกทาลาย
แต่ก็เคยมีผู้ป่วยส่วนหนึ่ง
ในช่วงที่เป็นโรคดังกล่าว
ไม่แสดงอาการออกมาให้เห็นอย่างชัดเ
จน
จนกระทั่งโรคหาย ก็ยังไม่รูว่าเป็นโรค
แต่จะทิ้งร่องรอยของโรคให้เห็น
ในบริเวณดังกล่าว
นอกจากนี้
ผู้ที่ขาดวิตามิน
คนที่เป็นวัณโรคปอด
ก็อาจเกิดหย่อมสีแดงคล้ายปานดังกล่าว
ได้
แต่ก็มีบางคนที่ปรากฏลักษณะดังกล่าว
แต่มีร่างกายที่ปกติไม่เป็นโรคแต่อย่างใ
ด
สาหรับผู้ที่เป็นโรคเอสแอลอี (SLE) นั้น
ฝ่ามือ
จะมีจ้าสีแดงคล้ายปาน
ทั่วทั้งฝ่ามือ
ดังนั้นจึงควรจาแนกให้ชัดเจน
ถ้าเห็นหลอดเลือดฝอย
กระจาย เป็นร่างแห
บริเวณฝ่ามือ
แสดงว่าเป็นโรคขาดวิตามินซี
ถ้าเป็นผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง
ฝ่ามือมักเหลือง ไม่มีน้าไม่มีนวล
ถ้าได้ผ่านการรักษาทางเคมีมาแล้ว
ฝ่ามือมักมีสีคล้า
แต่ถ้านิ้วมือของฝ่ามือทั้งสองข้างสีดาอ
อกคล้า
แสดงว่ามะเร็งได้กระจายไปทั่วร่างกาย
เป็นระยะสุดท้ายของโรค
ความชุ่มและแห้งของฝ่ามือ
มือทั้งสองข้างของมนุษย์นั้น
นอกจากมีประโยชน์ในการใช้แรงงาน
แล้ว
ยังสามารถบ่งบอกถึงอารมณ์ของเจ้าขอ
งมือได้
และเนื่องจากมือทั้งสองข้าง
มีโอกาสที่จะสัมผัสกับสิ่งภายนอก
ดังนั้นจึงมักติดเชื้อ
หรือถูกสารเคมีหรือสารธรรมชาติอื่น ๆ
ได้ง่าย
สาเหตุที่ทาให้ฝ่ามือชุ่มหรือแห้งนั้น
มีทั้งปัจจัยที่เกิดจากภายใน
และภายนอกร่างกาย
สาเหตุภายนอกร่างกาย
สาเหตุภายนอกนั้น
ได้แก่ เชื้อโรคหรือสารเคมี
หรือสารธรรมชาติต่าง ๆ
ยิ่งในโลกปัจจุบัน
ซึ่งมีการใช้สารเคมีต่าง ๆ เช่น
ผงซักฟอก สบู่ ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้จะทาให้ผิวหนังแห้งได้ง่าย
ดังนั้น การล้างมือโดยใช้สารเคมี
หรือใช้บ่อย ๆ ก็จะทาให้ผิวหนังแห้งได้
สาหรับผู้ที่มีฝ่ามือชุ่มมีเหงื่อตลอดเวลา
มักเกิดจากปัจจัยภายในร่างกายเป็นหลั
ก
ทฤษฎีแพทย์จีน
เชื่อว่าเป็นเพราะพลังพร่อง
ดังนั้น
การให้ยาบารุงพลังกินสักระยะหนึ่ง
อาการดังกล่าวก็จะหายไป
หลอดเลือดบริเวณฝ่ามือ
ถ้าฝ่ามือ
มีหลอดเลือดดาเห็นได้ชัด
โดยเฉพาะบริเวณข้อนิ้ว
แสดงว่ามีอุจจาระคั่งค้างอยู่ในลาไส้ให
ญ่
เป็นผู้ที่ท้องผูกถ่ายลาบากเป็นประจา
หรือเป็นเนื้องอกที่ลาไส้ใหญ่
หรือเป็นริดสีดวงทวาร
แต่เมื่อระบบขับถ่ายดีขึ้นหรือเป็นปกติ
หลอดเลือดดาที่ปรากฏบริเวณข้อนิ้ว
ก็จะค่อย ๆ หายไป
อยากสร้างเมืองใหม่…
ต้องเริ่มจากอะไร?
https://thevapordotworld.wordpress.com/2018/10/13/newcity/
ในอนาคตอันใกล้
เมืองใหญ่ๆอาจจะไม่ใช่สถานที่
ที่เหมาะเท่าไรนัก สาหรับคนรุ่นใหม่ๆ
ที่จะเข้ามาเริ่มต้นทางาน
หรือทดลองเเนวคิดใหม่ในการทาธุรกิจ
พวกเขาจะเสี่ยงเกินไป
จนไม่กล้า ที่จะทดลองอะไร
จะมีเพียงกลุ่มที่ครอบครัวมีฐานะเท่านั้
น
ที่จะมีโอกาสได้ทดลองกับสิ่งที่พวกเขาอ
ยากจะทา
ได้มีโอกาสที่จะล้มเหลวซ้าๆ
เรียนรู้ เเละประสบความสาเร็จ
“ทางเลือก”
คือสิ่งที่เป็นกลไกสาคัญ
ในการขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปข้าง
หน้า
การกระจายอานาจสู่ท้องถิ่น
การสร้างเมืองใหม่หรือ
การปฏิรูปพัฒนาโครงสร้างเมืองในต่าง
จังหวัดให้ดีขึ้น จึงเป็นสิ่งที่จาเป็น
มีหลายๆประเทศ
ประสบความสาเร็จเป็นอย่างดี
พวกเขา
เปลี่ยนเมืองที่เป็นเมืองแห่งมลพิษ
ให้กลายเป็นเมืองที่สะอาดที่สุด
เปลี่ยนเมืองที่อันตราย
ให้เป็นเมืองที่ปลอดภัย
เปลี่ยนเมืองแห่งความสิ้นหวัง
ให้กลายเป็นเมืองที่เต็มเปี่ยม
ไปด้วยจินตนาการเเห่งความเป็นไปได้
อย่างที่ประเทศในกลุ่มที่กาลังพัฒนา
เหมือนๆกับประเทศของเรา
ได้ทาสาเร็จมาเเล้ว
ไม่ว่าจะเป็นที่ กานา เอธิโอเปีย
เวียดนาม โคลอมเบีย อินโดนีเซีย
เม็กซิโก ฯลฯ
เพราะฉะนั้นการรั้งรอที่จะเเก้ไขปัญหา
นี้
จึงเป็นเพียงเเค่ข้ออ้างเท่านั้น
ลองจินตนาการ
ว่าคุณมีโอกาส ที่จะได้สร้างเมืองๆหนึ่ง
ในเเบบที่มันควรจะเป็น
ในสไตล์ของคุณ
มันจะต้องเริ่มต้นจากจุดไหน?
ต่อไปนี้จะเป็นขั้นตอนสาคัญ
ที่จะทาให้เมืองๆหนึ่งเกิดขึ้นมาได้
เเล้วลองมาดูกันสิว่า…มันจะยากเย็น
เเค่ไหนเชียว
มีโปรเจกต์มำกมำยที่กำลังจะเกิดขึ ้นที่เซมำรัง ( Semarang ) เมืองเศรษฐกิจลำดับที่6
ของอินโดนีเซีย
[ Image Source : SkyscraperCit ]
1. เลือกสถานที่
2. รายได้จะมาจากไหน
3. สร้างงานสร้างอาชีพ
4. วางระบบที่สาคัญ
5. ใส่สไตล์เข้าไป
1. เลือกสถานที่
เราต้องทาความเข้าใจภูมิศาสตร์
ที่ตั้งของเมือง
ให้ถ่องแท้เสียก่อน
เป็นเมืองที่อยู่บนเนินเขา ติดทะเล
ติดประเทศเพื่อนบ้าน
สภาพของดินเป็นอย่างไร
มีพายุเข้ามาบ่อยไหม
อะไรก็ตามที่เป็นปัจจัยที่เราไม่สามารถ
ควบคุมได้
พื้นที่ที่จะได้รับความนิยม
ในการนาไปพัฒนาที่สุด
คือ พื้นที่ปลอดมลพิษเเละภัยธรรมชาติ
จะต้องเเน่ใจว่าจะไม่มีควัน
ไม่มีมลพิษที่ลอยมาจากประเทศเพื่อนบ้
าน
หรือเเหล่งน้าเน่าเสีย
ที่คนในพื้นที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ
ถ้าหากยังคงเป็นพื้นที่ที่ยังคงต่อสู้
เพื่อเเย่งชิงพื้นที่กันอยู่
จะต้องเคลียร์ปัญหานี้ให้ได้เสียก่อน
ซึ่งเเนวคิดการสร้างเมืองใหม่นี้
อาจจะทาให้ทั้ง 2 ฝ่าย ชื่นชอบก็ได้
เเต่ที่สาคัญ
ต้องมั่นใจได้ว่า…มีแหล่งพลังงานเพียง
พอ
ถือว่าเป็นอะไรที่เบสิคสุดๆ
ไม่ว่าจะเป็นพลังงานไฟฟ้ า
หรือเเหล่งน้าที่สามารถนามาบริโภคได้
หลายประเทศมองข้ามจุดนี้ไป
เเละพลาดมาเเล้วนักต่อนัก
2. รายได้จะมาจากไหน
การบริหารเงิน เป็นจุดอ่อนมากๆ
ในการพัฒนาประเทศ
โดยเฉพาะประเทศที่กาลังพัฒนา
ยกตัวอย่าง
เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษที่ Songdo
เมือง Incheon เกาหลีใต้
หนึ่งในเมืองที่ถือว่าล้ายุคที่สุดในโลก
พวกเขาใช้งบประมาณไปราว 4
หมื่นล้าน USD หรือราวๆ 1.3
ล้านล้านบาท
ในขณะที่ประเทศไทย
ใช้งบ 66
ล้านล้านบาทในการบริหารประเทศ
ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา
ปัญหาหลักคือ “วิธีการคิด”
ของภาครัฐกับภาคเอกชน
มีความเเตกต่างกันมากเกินไป
เมืองใหม่ๆหลายที่
ประกาศตนเองว่าเป็นเมืองเเห่งเทคโนโ
ลยี เป็น “smart city”
และเป็นมิตรต่อสิ่งเเวดล้อม “green
city”
การทางานที่เน้นไปทางด้านเทคโนโลยี
นั้น
ไม่จาเป็นต้องใช้พื้นที่มาก
เเละไม่สร้างมลพิษต่อสิ่งเเวดล้อม
อีกทั้งเป็นการลงทุนระยะยาวที่สาคัญ
ของประเทศในกลุ่มที่พัฒนาเเล้ว
บางประเทศ
ยังนิยมให้เมืองใหม่ๆ
เป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมอยู่
เเต่ต้องมีวิธี
ที่จะลดมลพิษลงให้ได้มากที่สุด
บางประเทศ
สร้างรายได้จากแหล่งท่องเที่ยวทางธรร
มชาติ
เป็นระยะเวลานาน
เมื่อถึงคราวที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรร
ค์
พวกเขาจึงปล่อยให้ทุกๆอย่าง
เกิดขึ้นเองเเบบธรรมชาติๆ
ไร้ระบบเเบบแผน
กลายเป็นว่า พื้นที่ที่ว่างเปล่านั้น
ถูกใช้ประโยชน์ได้อย่าง “ไม่เต็มที่”
เท่าที่ควร
“เมื่อสร้างเมืองใหม่
ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนใหม่
รวมทั้งระบบความคิดด้วย”
คนในพื้นที่
ที่มีทุนทรัพย์
จะต้องตระหนักเสมอว่า
พวกเขาจะต้องทาอะไรสักอย่าง
เพื่อหารายได้เข้าสู่จังหวัด
พวกเขาจะต้องหาหนทาง
ที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
ที่มีอยู่
ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ไม่ว่าจะเป็น แหล่งน้ามัน เหมืองเเร่
สินค้าการเกษตร จานวนเเรงงานที่มีอยู่
ทุกอย่าง
จะต้องถูกใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุ
ด
อย่างที่มันควรจะเป็น
ต้องมีความชัดเจนว่า
จะเป็นสินค้าที่ส่งออกไปต่างจังหวัด
หรือส่งออกนอกประเทศ
เเละผลกาไรนั้น
จะนากลับมาช่วยพัฒนาจังหวัดได้อย่าง
ไร
หรือเเม้เเต่เงินที่ได้มาจากรัฐบาล
ต้องมีความเเน่ชัดว่าเอามาจากไหน
ทั้งหมดเพื่อให้เเน่ใจว่า
โปรเจกต์ที่กาลังสร้างอยู่
จะไม่ล่าช้าหรือถูกล้มเลิกกลางทาง
ธนำคำรแห่งชำติ ที่เมือง Abuja เมืองเศรษฐกิจอันดับที่4 ของประเทศไนจีเรีย
3. สร้างงานสร้างอาชีพ
ถ้าเมืองของคุณ
ต้องการพัฒนาอย่างยั่งยืน
จะต้องมีการจ้างงานเกิดขึ้น
และจะต้องเป็นงานที่มีความมั่นคง
หลายประเทศ
ได้มีการย้ายสานักงานใหญ่
หรือสานักงานราชการที่สาคัญ
ไปไว้ในเมืองที่สร้างใหม่เหล่านั้น
เพียงเพราะต้องการการันตี
การงานที่มั่นคงให้กับชาวเมืองนั้นๆ
ซึ่งวิธีนี้ได้ผลเป็นอย่างดีในหลายๆประเ
ทศ
เช่นเมือง Brasilia, Canberra, Abuja,
Canberra, Ottawa, New Delhi
อีกอย่างที่สาคัญ
คือ
จะต้องมีงานที่สอดคล้องกับคนในท้องที่
ที่อยู่มาก่อนด้วย
หลายๆประเทศล้มเหลว
เพราะละเลยคนเหล่านี้ไป
จนทาให้เกิดปัญหาความเลื่อมล้า
ระหว่างคนที่มีรายได้สูง
กับคนในชุมชนที่อยู่ดั้งเดิมที่มีรายได้ต่า
กว่า
ถ้าคนในพื้นที่ดั้งเดิมส่วนใหญ่เป็นเกษ
ตรกร
คุณสามารถใส่ศูนย์วิจัยด้านการเกษตร
หรือศูนย์นวัตกรรมด้านการเกษตรเพื่อ
อนาคตเข้าไป
เพื่อเป็นการเชื่อมโยงคนเข้าไว้ด้วยกัน
ไม่ใช่กีดกันพวกเขาออกไป
4. วางระบบที่สาคัญ
ไม่ว่าจะเป็นระบบท่อใต้ดิน
เพื่อระบายน้าดีหรือน้าเสีย
การฝังสายไฟ ลู่วิ่งจักรยาน
การแบ่งสัดส่วนของต้นไม้
เเละที่อยู่อาศัย
ตาเเหน่งการวางหน่วยงานสาคัญต่างๆ
เช่น โรงพยาบาล สถานีตารวจ
โรงเรียน
เส้นทางการคมนาคมต่างๆ
รวมถึงความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้นใ
นอนาคต
กำรยกระดับระบบขนส่งสำธำรณะที่curitiba เมืองเศรษฐกิจอันดับ 8
ของบรำซิล เปลี่ยนวิธีกำรคิดของคนในเมืองไปตลอดกำล
[ commons.wikimedia.org ]
คุณสามารถออกแบบ
ให้เป็นเมืองที่ปราศจากรถส่วนตัวเลยก็
ได้
เหมือนอย่าง เฮลซิงกิ , ฟินแลนด์
ที่กาลังจะเกิดขึ้น
หรือการวางระบบท่อขยะ
“pneumatic tubes”
ที่ขยะจะถูกส่งลงไปในท่อโดยตรง
ไม่จาเป็นต้องมีรถขยะมารับ
เช่น ใน ออสเตรเลีย , เกาหลีใต้ ,
สวีเดน
ทุกอย่างที่สามารถทาได้
โดยที่เราไม่จาเป็น
ต้องไปเหยียบเมืองนั้นจริงๆเลยด้วยซ้า
5. ใส่สไตล์เข้าไป
อาจจะถือเป็นสูตรก็ว่าได้
ที่เมืองใหม่ๆระดับโลก
มักจะมีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น
มีเอกลักษณ์ ดูทันสมัย เป็นสากล
ที่ถูกสร้างมา
เพื่อเป็นศูนย์รวมทางจิตวิญญาณ
เเละความคิดของชาวเมือง
จากอดีตไปสู่อนาคต
เป็นสัญลักษณ์ที่จะช่วยดึงดูดผู้คนให้เข้
ามา
ด้วยความงดงามในตัวของมันเอง
หลายๆที่วางแผนที่จะสร้างมหาวิทยาลัย
ที่เน้นด้านเทคโนโลยีเป็นหลัก
หรือเน้นด้านงานวิจัยทางการเเพทย์
หรือนวัตกรรมการเกษตรเพื่ออนาคต
เพื่อดึงดูดคนเก่งให้เข้ามา
เเละช่วยพัฒนาเมืองนี้
ให้ไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน
พิพิธภัณฑ์Soumaya ที่เม็กซิโก ซิตี ้ที่ที่ทุกคนสำมำรถเข้ำไปใช้งำนได้[ Image Source :
viajesflosan.com ]
สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง
คือ ทุกๆที่จะมีศูนย์วัฒนธรรม
ที่มุ่งเน้นให้ผู้คนได้เข้ามาชมงาน
มีรูปแบบการจัดงาน
ที่มีความหลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ
จัดเเสดงคอนเสิร์ต เเสงสีเสียง
ในระดับนานาชาติ
และไม่มีหอศิลป
์ ที่ไหน
ในประเทศในกลุ่มที่พัฒนาเเล้ว
ที่ต้องจะปิดตัวลง
ท้ายที่สุดเเล้ว
เราจะหลีกหนีการสื่อสาร
การเเลกเปลี่ยนองค์ความรู้
เเลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
ในระดับนานาชาติไม่ได้อยู่ดี
ถ้าเราอยากจะขยับประเทศของเรา
ให้เข้าสู่ประเทศในกลุ่มที่พัฒนาเเล้ว
ยกตัวอย่าง Incheon
เมืองเศรษฐกิจลาดับที่ 3 ของเกาหลีใต้
พวกเขาประกาศตัวออกมาเลยว่า
จะเป็นเมืองเเห่งสากล
จะเปิดกว้างให้ชาวต่างชาติที่มีคุณภาพ
เข้ามาลงทุนที่นี่
เป็นเมืองที่จะใช้ภาษาอังกฤษ
จะมีการสอนภาษาอังกฤษให้ฟรีสาหรับ
พลเมือง
เเละพยายามจะผลักดันให้เมือง
เทียบเท่ากับฮ่องกง เเละสิงคโปร์ให้ได้
เพราะการเปิดรับมุมมองใหม่ๆที่เป็นสา
กล
จะเป็นเเหล่งทรัพยากรทางความคิดที่สา
คัญ
ที่จะทาให้ชีวิตเราได้พบเจอกับโอกาส
เเละความหวังใหม่ๆเสมอ
เเท้จริงเเล้ว
ขั้นตอนเหล่านี้
ไม่ต่างจากวิธีการที่จะสร้างธุรกิจบางอย่
าง
ขึ้นมาเลย
ถ้าคุณต้องการให้มันประสบความสาเร็
จ
ในเเบบที่มันควรจะเป็น
คุณจาเป็นที่จะต้องวางแผน
เพราะการหวังพึ่งพาเเต่ธรรมชาติ…อย่า
งเดียว
อาจจะยังไม่พอ
ทาไม
พวกเขาถึงมีความสุข
ในกองขยะ?
http://bit.ly/3YPaC6w
เมือง Bangun ประเทศอินโดนีเซีย
เป็นสถานที่รองรับขยะจากหลายประเท
ศทั่วโลก
ชาวเมือง
ให้เหตุผลว่า
การกองขยะให้เป็นภูเขาสูงๆนี้
สร้างรายได้ให้กับพวกเขา
ได้ดีกว่า
การปลูกข้าวเสียอีก
หนึ่งในประเทศต้นทางส่งออกขยะ
อย่าง แคนาดา
ได้ระบุว่า การส่งขยะไปต่างประเทศ
แท้จริงเเล้ว
จาเป็นที่จะต้องเป็นขยะที่สามารถรีไซเ
คิลได้
แต่ส่วนใหญ่
ประเทศปลายทาง
มักจะได้รับขยะ
แบบที่ไม่ได้รับการคัดเเยกใดๆ
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx
ชีวา ณ 5.docx

Más contenido relacionado

Más de SunnyStrong

คุณเป็นใคร 2.docx
คุณเป็นใคร 2.docxคุณเป็นใคร 2.docx
คุณเป็นใคร 2.docxSunnyStrong
 
คุณเป็นใคร 3.docx
คุณเป็นใคร 3.docxคุณเป็นใคร 3.docx
คุณเป็นใคร 3.docxSunnyStrong
 
คุณเป็นใคร 1.docx
คุณเป็นใคร 1.docxคุณเป็นใคร 1.docx
คุณเป็นใคร 1.docxSunnyStrong
 
5 Signs of a Strong Novel Plot.docx
5 Signs of a Strong Novel Plot.docx5 Signs of a Strong Novel Plot.docx
5 Signs of a Strong Novel Plot.docxSunnyStrong
 
7 Fear Archetypes.docx
7 Fear Archetypes.docx7 Fear Archetypes.docx
7 Fear Archetypes.docxSunnyStrong
 
คุณเป็นใคร.docx
คุณเป็นใคร.docxคุณเป็นใคร.docx
คุณเป็นใคร.docxSunnyStrong
 
The Hero’s Journey A 17 Step Story Structure Beat Sheet.docx
The Hero’s Journey A 17 Step Story Structure Beat Sheet.docxThe Hero’s Journey A 17 Step Story Structure Beat Sheet.docx
The Hero’s Journey A 17 Step Story Structure Beat Sheet.docxSunnyStrong
 
Mom's Telling Stories1.docx
Mom's Telling Stories1.docxMom's Telling Stories1.docx
Mom's Telling Stories1.docxSunnyStrong
 
100 words for people.docx
100 words for people.docx100 words for people.docx
100 words for people.docxSunnyStrong
 
How to Write a Novel Writing a Book in 4 Steps.docx
How to Write a Novel Writing a Book in 4 Steps.docxHow to Write a Novel Writing a Book in 4 Steps.docx
How to Write a Novel Writing a Book in 4 Steps.docxSunnyStrong
 
characterdevelopmentquestions.docx
characterdevelopmentquestions.docxcharacterdevelopmentquestions.docx
characterdevelopmentquestions.docxSunnyStrong
 
characterdevelopmentquestions.docx
characterdevelopmentquestions.docxcharacterdevelopmentquestions.docx
characterdevelopmentquestions.docxSunnyStrong
 
ฟาร์มสุข 1.docx
ฟาร์มสุข 1.docxฟาร์มสุข 1.docx
ฟาร์มสุข 1.docxSunnyStrong
 
ฟาร์มสุข 2.docx
ฟาร์มสุข 2.docxฟาร์มสุข 2.docx
ฟาร์มสุข 2.docxSunnyStrong
 
ไหว้ฟ้ากราบดิน1.docx
ไหว้ฟ้ากราบดิน1.docxไหว้ฟ้ากราบดิน1.docx
ไหว้ฟ้ากราบดิน1.docxSunnyStrong
 
Mom's Telling Stories1.docx
Mom's Telling Stories1.docxMom's Telling Stories1.docx
Mom's Telling Stories1.docxSunnyStrong
 
พื้นฐานชีวิต 40.pptx
พื้นฐานชีวิต 40.pptxพื้นฐานชีวิต 40.pptx
พื้นฐานชีวิต 40.pptxSunnyStrong
 

Más de SunnyStrong (20)

คุณเป็นใคร 2.docx
คุณเป็นใคร 2.docxคุณเป็นใคร 2.docx
คุณเป็นใคร 2.docx
 
คุณเป็นใคร 3.docx
คุณเป็นใคร 3.docxคุณเป็นใคร 3.docx
คุณเป็นใคร 3.docx
 
คุณเป็นใคร 1.docx
คุณเป็นใคร 1.docxคุณเป็นใคร 1.docx
คุณเป็นใคร 1.docx
 
Austria.docx
Austria.docxAustria.docx
Austria.docx
 
5 Signs of a Strong Novel Plot.docx
5 Signs of a Strong Novel Plot.docx5 Signs of a Strong Novel Plot.docx
5 Signs of a Strong Novel Plot.docx
 
7 Fear Archetypes.docx
7 Fear Archetypes.docx7 Fear Archetypes.docx
7 Fear Archetypes.docx
 
คุณเป็นใคร.docx
คุณเป็นใคร.docxคุณเป็นใคร.docx
คุณเป็นใคร.docx
 
The Hero’s Journey A 17 Step Story Structure Beat Sheet.docx
The Hero’s Journey A 17 Step Story Structure Beat Sheet.docxThe Hero’s Journey A 17 Step Story Structure Beat Sheet.docx
The Hero’s Journey A 17 Step Story Structure Beat Sheet.docx
 
12 Poems.docx
12 Poems.docx12 Poems.docx
12 Poems.docx
 
Mom's Telling Stories1.docx
Mom's Telling Stories1.docxMom's Telling Stories1.docx
Mom's Telling Stories1.docx
 
12 Poems.docx
12 Poems.docx12 Poems.docx
12 Poems.docx
 
100 words for people.docx
100 words for people.docx100 words for people.docx
100 words for people.docx
 
How to Write a Novel Writing a Book in 4 Steps.docx
How to Write a Novel Writing a Book in 4 Steps.docxHow to Write a Novel Writing a Book in 4 Steps.docx
How to Write a Novel Writing a Book in 4 Steps.docx
 
characterdevelopmentquestions.docx
characterdevelopmentquestions.docxcharacterdevelopmentquestions.docx
characterdevelopmentquestions.docx
 
characterdevelopmentquestions.docx
characterdevelopmentquestions.docxcharacterdevelopmentquestions.docx
characterdevelopmentquestions.docx
 
ฟาร์มสุข 1.docx
ฟาร์มสุข 1.docxฟาร์มสุข 1.docx
ฟาร์มสุข 1.docx
 
ฟาร์มสุข 2.docx
ฟาร์มสุข 2.docxฟาร์มสุข 2.docx
ฟาร์มสุข 2.docx
 
ไหว้ฟ้ากราบดิน1.docx
ไหว้ฟ้ากราบดิน1.docxไหว้ฟ้ากราบดิน1.docx
ไหว้ฟ้ากราบดิน1.docx
 
Mom's Telling Stories1.docx
Mom's Telling Stories1.docxMom's Telling Stories1.docx
Mom's Telling Stories1.docx
 
พื้นฐานชีวิต 40.pptx
พื้นฐานชีวิต 40.pptxพื้นฐานชีวิต 40.pptx
พื้นฐานชีวิต 40.pptx
 

ชีวา ณ 5.docx