Más contenido relacionado
La actualidad más candente (20)
Similar a หลักกาลามสูตรกับการพัฒนาคุณภาพ (20)
Más de Suradet Sriangkoon (20)
หลักกาลามสูตรกับการพัฒนาคุณภาพ
- 3. ๑. อย่าปลงใจเชื่อ ตามที่ฟงๆ กันมา
ั
คาว่า การได้ยินมาว่า คือการที่เราได้ยินว่าที่นั่นทาแบบนั้นที่นั่นทาแบบนี้
ประสบความสาเร็จแบบนั้น ประสบความสาเร็จแบบนี้ นั่นคือสิ่งที่เราได้ยิน
แต่การปฏิบัตอาจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง การพัฒนาคุณภาพแนวทางอีกหนึ่งอย่างที่
ิ
เรานามาใช้คือการที่เราได้ยินว่าเพื่อนทาอะไรได้ดีแล้วแสวงหามา ถอด
บทเรียน (มิใช่ Copy) จากสิ่งที่เพื่อนทาได้ดี มาปรับใช้เป็นของตนเอง แต่
ทว่าการนามาใช้อาจต้องทบทวนว่าสิ่งที่นามานั้นเป็นบริบทของเราหรือไม่
เพราะหลายครั้งสิ่งที่เพื่อนเป็น กับสิ่งที่เราเป็น
นั้นไม่เหมือนกัน ทาให้การพัฒนาเป็นความทุกข์
และเป็นภาระในที่สุด
- 4. ๒.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
สิ่งนี้เราเรียกว่าความคุ้นชินในการปฏิบัตครับ นั่นคือปฏิบัติกันมาอย่างไร
ิ
ฉันก็จะปฏิบัติของฉันอย่างนั้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง หรือปรับเปลี่ยนวิธีการ
ทางานเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีกว่า ย่อมจะเกิดแรงต้านของบุคลากรที่มีลักษณะ
แบบนี้ สิ่งนี้อาจต้องมีการพูดคุยร่วมกัน และบอกเล่าให้เห็นความสาคัญและ
ประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ว่าจะส่งผลดีอย่างไรให้กับผู้รับบริการ
และตัวของผู้ปฏิบัติเอง แต่การเปลี่ยนแปลงใดๆ ผมขอให้ยึดหลักอยู่ 4 ข้อ
คือ ง่าย มัน ดี มีสุข ถ้าทาได้ดั่งนี้ การเปลี่ยนแปลงก็จะเป็นที่ยอมรับของทุก
ฝ่ายครับ
- 5. ๓.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
เสียงลือ เสียงเล่าอ้างอันใดพี่เอย (ผมจาได้เท่านี้ครับ) คาเล่า คาลือ จะ
เป็นพรายกระซิบหรือเทวดากระซิบก็แล้วแต่ว่าจะเป็นทางร้ายหรือทางดี
บ่อยครั้งเรามักได้ยินเสียงคาเล่าลือว่าองค์กรเราเป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้ ถ้า
ดีเราก็ดีใจ แต่ถ้าเป็นทางไม่ดี แน่นอนว่าเราก็เสียใจ แต่อยากบอกว่า การ
พัฒนาคุณภาพไม่มีผิด และไม่มีถูก ทุกอย่างขึ้นอยู่กับบริบทของเราใน
ขณะนั้น การพัฒนาของเราอาจดูแล้วไม่เข้าท่าในสายตาผู้อื่น แต่เข้าท่าใน
บริบทของเรา สิ่งนี้ไม่ผิด เพียงแต่การพัฒนานั้นสามารถตอบคาถามเหล่านี้
ได้หรือไม่ คือดีต่อองค์กร ดีต่อตัวเรา และดี
ต่อผูรับบริการ ถ้าครบ 3 ดี ก็พัฒนา
้
ต่อไปเถอะครับเพราะท่านเดินมาถูกทางแล้ว
ครับ
- 6. ๔.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตาราหรือคัมภีร์
เอกสารหรือตาราคือสิ่งที่เราใช้ในการศึกษา เพื่อหาแง่มุมในการที่เราจะ
นาไปพัฒนา ซึ้งในเอกสารและตารานั้นย่อมมีเนื้อหาที่คลอบคลุม และกิน
ความที่กว้างขวางสามารถนาไปปรับใช้ได้ทุกขนาดขององค์กร แต่ดวยขึ้นชื่อว่า้
เป็นหนังสือหรือตาราที่ออกโดยสานักนั้น สถาบันนี้ เราจึงเชื่อว่านี่คือคัมภีร์
ศักดิ์สิทธิ์ที่ทาให้สาเร็จสมความมุ่งหมาย จึงเชื่อในทุกสิ่งที่ตาราได้เขียนเอาไว้
แล้วนามาสู่การปฏิบัติ บางสิ่งที่เรามีเราก็ปฏิบัติอย่างสบาย
ใจ ในสิ่งที่เราไม่มีก็พยายามหรือก่อตั้งขึ้นให้เหมือนกับที่
หนังสือบอก สุดท้ายมาในสิ่งที่เราไม่มีกลายเป็นภาระใน
ปฏิบัติ เพราะอะไร ก็เพราะเราไม่ได้มองบริบทของเรา
ว่าจาเป็นแค่ไหนในการนามาใช้ นั่นคือไม่ได้พิจารณาก่อน
ก่อนที่จะนามาปฏิบัติว่าคือฉันหรือไม่ ?
- 7. ๕.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรกะ
คาว่าตรรกะ ในที่นี้หมายถึงการคาดเดาครับ แน่นอนว่าการพัฒนาคุณภาพ
เราต้องยึดหลักข้อเท็จจริง หรือ Management by Fact ในการใช้เป็นข้อมูล
ในการพัฒนาคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราต้องให้การดูแลเรื่องสุขภาพ และ
โรคภัยไข้เจ็บของผู้รับบริการ ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงที่เรามาใช้จึงเป็นข้อมูลที่
มิใช่เกิดจากการคาดเดาเอาเอง ว่าเป็นแบบนั้นหรือเป็นแบบนี้ เพราะถ้าเราใช้
ข้อมูลที่เดาเอาเอง แล้วอะไรคือข้อเท็จจริงที่ผู้รับบริการจะได้รับ และอะไรจะ
เกิดขึ้นบ้าง ก็ยากที่จะคาดเดา ดังนั้นจึงต้องยึดด้วยข้อมูลที่เป็นจริง เพราะนั่น
จะทาให้เรารู้ว่าตอนนี้เราอยู่ส่วนใดของการพัฒนา
คุณภาพ
- 9. ๗.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
เราทุกคนมีเหตุผลในการตัดสินใจสิ่งใดๆด้วยกันทั้งนั้นครับ สิ่งนี้ก็ขึ้นอยู่กับ
ประสบการณ์และความรู้ที่ตนมีอยู่ จึงทาให้เกิดกรณีหลายต่อหลายครั้งว่าทาไม
จึงตัดสินใจแบบนี้และอาจมีคาต่อว่า ต่อขานตามมาต่อการกระทาที่เกิดขึ้น จึง
เป็นที่มาของการพัฒนาคุณภาพ เพื่อจัดวางระบบ และกาหนดแนวทางในการ
ปฏิบัติงานเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่ออะไรหรือครับ ก็เพื่อมิให้เจ้าหน้าที่
หรือบุคลากรใช้เหตุผลของตนเองในการตัดสินใจ หรือใช้ให้น้อยที่สุด
เพราะการตัดสินใจด้วยเหตุผลนั้นย่อมมีความผิด
พลาดเกิดขึ้นได้ง่าย เพราะนั่นอาจมิใช่มาตรฐาน
หรือความปลอดภัยที่ผู้ป่วยได้รับที่แท้จริงครับ
- 10. ๘.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
สิ่งนี้เราเรียกว่าความเชื่อมั่นในตนเองครับ การเชื่อมั่นในตนเองนั้นเป็นสิ่งที่
ดี เพราะนั่นจะทาให้เรามีความมั่นใจในสิ่งที่เราจะทา แต่ถ้ามีมากเกินไปก็จะ
กลายเป็นสิ่งที่ไม่ดี นั่นคือเราก็จะไม่ยอมรับฟังในสิ่งที่เราไม่ชอบใจ แต่จะรับ
ฟังแต่สิ่งที่ตนเองชอบ ซึ้งในเรื่องของการพัฒนาคุณภาพ การรับฟังข้อคิดเห็น
จากผู้อื่น หรือแหล่งอื่นนั้นเป็นสิ่งสาคัญยิ่ง เพราะการพัฒนาจาต้องอาศัยสิ่ง
ต่างๆจากภายนอกทั้งที่เรารู้แล้ว ไม่รู้ ชอบ และไม่ชอบมาปรับใช้และปรับ
เปลี่ยนกระบวนการการพัฒนาของเราให้ดียิ่งขึ้น การที่เรา
รับฟังแต่ในเรื่องที่ตนเองชอบหรือถูกใจ นั่นคือเรามีความ
เป็นตัวกูของกู และทิฐิในตนเองครับ ลองเปิดใจและรับรู้
ในส่งที่ต่างไปจากตนเอง แล้วจะพบว่าโลกแห่งการ
พัฒนาคุณภาพมีอะไรมากกว่าที่เราคิดครับ
- 11. ๙.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
ข้อเสนอแนะคือสิ่งที่เรามักจะได้เสมอจากผู้เข้ามาเยี่ยมเราใช่ไหมครับ ว่า
ควรทาแบบนั้น ควรทาแบบนี้ ซึ้งข้อเสนอแนะนั้นเป็นสิ่งที่ดี เป็นแบบอย่างใน
การที่เราจะนาไปพัฒนาต่อ แต่อยากกล่าวกับผู้ที่ได้รับการเยี่ยมว่า
ข้อเสนอแนะต่างๆที่เราได้รับมานั้น อย่าพึ่งเชื่อทั้งหมด ความหมายของผม
คือให้ย้อนกลับมาดูบริบทของเราว่า เราเป็นอย่างไร สิ่งที่เราได้รับมานั้นเราจะ
มาปรับกับองค์กรเราได้อย่างไร มีอะไรบ้างที่เราสามารถปรับเข้ากับองค์กรเรา
ได้ และสิ่งไหนที่ยังปรับไม่ได้ซึ้งจะต้องใช้เวลา มิใช่นาสิ่งที่ผู้ให้ข้อเสนอนามา
ปฏิบัติโดยไม่พิจารณาและทันที เพราะเมื่อเป็นแบบนั้นความทุกข์ย่อมเกิดกับ
ผู้ปฏิบัติ เพราะจะเกิดแรงกดดันและความเครียด
จึงควรมีกรอบเวลาในการที่จะพัฒนาและปรับปรุง
ในส่วนที่ต้องพัฒนาเพิ่มเติม
- 12. ๑๐.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่าท่านเป็นครูของเรา
สิ่งนี้เราอาจได้ยินได้ฟังกันบ่อยๆ ว่า สรพ. ให้ทาแบบนั้น อาจารย์ท่านนี้ให้
ทาแบบนี้ เราก็มักจะนาสิ่งที่อาจารย์บอกกับเรามา รวมทั้งเครื่องมือต่างๆที่
ออกมา นามาพัฒนาองค์กรของเราอย่างเต็มรูปแบบ คือทุกอย่าง แท้จริงเรา
ต้องทาถึงขนาดนั้นหรือไม่ คาตอบคือไม่ครับ สิ่งที่จะเป็นเกณฑ์ที่จะบอกว่า
ต้องทาอะไรบ้างนั้นอยู่ที่บริบทของตัวเราเองว่าเป็นเช่นใด อาจารย์ท่านทาได้
แต่ชี้ทางให้เห็นว่าเราจะไปทางใด แต่สิ่งที่เป็นเครื่องมือและสัมภาระต่างๆ
เราต้องเป็นผู้กาหนดเองว่าจะนา
สิ่งใดติดตัวไป มิใช่อาจารย์ ดังนั้นแล้วทบทวน
บริบทของตนเองให้ดี ก่อนที่เดินหน้าต่อไปครับ