Más contenido relacionado La actualidad más candente (20) Similar a การเรียนแบบร่วมมือ (20) Más de Teeraporn Pingkaew (14) การเรียนแบบร่วมมือ2. Cooperative
Learning
สเปนเซอร์ เคแกน
(Spenser Kagan, 1994)
นักการศึกษาชาวสหรัฐ ได้ ทาการวิจัย
และพัฒนารู ปแบบการเรียนรู้ แบบ
ร่ วมมือร่ วมใจอย่ างจริงจังมาตั้งแต่ ปี
ค.ศ. 1985
4. Cooperative Learning
Teams หมายถึง การจัดกลุ่มของผูเ้ รี ยนที่จะ
ทางานร่ วมกัน
กลุ่มละ 4 คน ประกอบด้วยเด็กที่มีผลสัมฤทธิ์ใน
การเรี ยนสูง ปานกลาง ค่อนข้างต่า และหญิงชาย
เท่า ๆ กัน
จัดให้เด็กอยูในกลุ่มเดียวกันประมาณ 6 สัปดาห์
่
แล้วเปลี่ยนจัดกลุ่มใหม่
5. Cooperative Learning
Will หมายถึง ความมุ่งมันและอุดมการณ์ของ
่
เด็กที่จะร่ วมงานกัน
Team building การสร้างความ
มุ่งมันของทีมที่จะทางานร่ วมกัน
่
Class building การสร้างความ
มุ่งมันของชั้นเรี ยนที่จะช่วยกัน
่
Learning and teaching to
Be able to do
8. Cooperative Learning
Four Basic Principles
(PIES)
P = Positive Interdependence
ผูเ้ รี ยนต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
I = Individual Accountability
ยอมรับว่าแต่ละคนในกลุ่มต่าง ๆ มีความสามารถและมีความสาคัญ
ต่อกลุ่ม
E = Equal Participation ทุกคนในกลุ่ม
ต้องให้ความร่ วมมือและมีส่วนร่ วมในงานของกลุ่มอย่างเท่าเทียม
กัน
S = Simultaneous Interaction ทุก
คนในกลุ่มต้องมีปฏิสมพันธ์กนตลอดเวลาที่ทางานในกลุ่ม
ั ั
10. Cooperative Learning
รู ปแบบกิจกรรมของ Kagan
Time – Pair – Share
เป็ นกิจกรรมจับคู่สลับกันพูดในหัวข้อและในเวลาที่
กาหนด เช่น คนละ 1 นาที เมื่อคนหนึ่งพูด อีกคน
หนึ่งฟัง แล้วสลับกัน
Round Robin ผูเ้ รี ยนในกลุ่ม
ทั้ง 4 คน ผลัดกันพูดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ
เรื่ องใดเรื่ องหนึ่งจนครบทุกคน
11. Cooperative Learning
Round Table ผูเ้ รี ยนแต่ละ
คนในกลุ่มเขียนแสดงความคิดเห็นในเรื่ องใดเรื่ อง
หนึ่งในกระดาษแผ่นเดียวกันแล้ววนไปเรื่ อย ๆ จน
ผูเ้ รี ยนทุกคนเขียนทั้งหมด แล้วนามาสรุ ป
Team – Pair – Solo เป็ น
กิจกรรมที่ให้แต่ละคนในกลุ่มคิดแก้ปัญหาใดปั ญหา
หนึ่งก่อน จากนั้นเปลี่ยนเป็ นรวมกันคิดเป็ นคู่ ซึ่ งจะ
ทาให้ผเู ้ รี ยนแต่ละคนเรี ยนรู ้แบบการแก้ปัญหา ในที่
สุ ดแต่ละคนสามารถแก้ปัญหาทานองเดียวกันได้
12. รู ปแบบกิจกรรมของคนอื่น ๆ
จิกซอว์ (Jigsaw) เป็ นการมอบหมาย
ให้ตวแทนของสมาชิกในกลุ่มไปรวมกลุ่มใหม่ เรี ยกว่า
ั
กลุ่มเชี่ยวชาญ (Expert Group) กลุ่มเชี่ยวชาญ
นี้จะศึกษาเรื่ องย่อยที่แบ่งไว้เป็ นตอนในช่วงเวลาหนึ่ง
แล้วกลับมาอธิ บายให้สมาชิกในกลุ่มเดิม (Home
Group)
13. จุดประสงค์ ของการจัดกระบวนการเรียนรู้
1. การพัฒนาสติปัญญา มี 2. ทักษะทางสังคม เช่น การร่ วมมือ
ทักษะการคิด การสื่ อสาร การช่วยเหลือ การปฏิสมพันธ์ในทาง
ั
การแก้ปัญหา
สร้างสรรค์ ความอดทนต่อความ
แตกต่าง ฯลฯ
3. การพัฒนาตนเอง เช่น
ควบคุมตนเองในการเรี ยน 4. ความเท่าเทียมกัน
เข้าใจตนเอง เห็นคุณค่าใน ยอมรับว่าทุกคนเท่าเทียม
ตนเอง มีความมันใจ
่ ่
กัน ไม่วาจะมีความ
แตกต่างในเรื่ องใด
14. เทคนิคการเรียนแบบร่ วมมือร่ วมใจ
1. เทคนิคการแบ่งกลุ่มแบบกลุ่มสัมฤทธิ์
(Student Teams
Achievement Divisions หรื อ
STAD)
โดยจัดสมาชิกในกลุ่ม 4 คน ระดับสติปัญญาต่างกัน
เช่น เก่ง 1 คน ปานกลาง 2 คน และอ่อน 1 คน ผูสอน ้
กาหนดบทเรี ยนและการทางานของกลุ่มไว้แล้ว ผูสอนทา ้
การสอนบทเรี ยนให้ผเู ้ รี ยนทั้งชั้น จากนั้นให้กลุ่มทางาน
ตามที่กาหนด ผูเ้ รี ยนในกลุ่มช่วยเหลือกัน
16. เทคนิคการเรียนแบบร่ วมมือร่ วมใจ
3. เทคนิคการตรวจสอบเป็ นกลุ่ม
(Group Investigation)
สมาชิกในกลุ่มมี 2-6 คน แต่ละกลุ่มเลือกหัว
เรื่ องที่ตองการศึกษาค้นคว้า สมาชิกในกลุ่มแบ่ง
้
งานกันทั้งกลุ่ม มีการวางแผน การดาเนินงานตาม
แผน การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานที่ทา การ
นาเสนอผลงาน หรื อรายงานต่อหน้าชั้น การให้
รางวัลหรื อคะแนนให้เป็ นกลุ่ม
17. เทคนิคการเรียนแบบร่ วมมือร่ วมใจ
4. เทคนิคจิกซอ (Jigsaw) เป็ นเทคนิคที่ใช้
กับบทเรี ยนที่หวข้อที่เรี ยน แบ่งเป็ นหัวข้อย่อยได้
ั
1) ผูสอนแบ่งหัวข้อที่จะเรี ยนเป็ นหัวข้อย่อย ๆ ให้เท่ากับ
้
จานวนสมาชิกของแต่ละกลุ่ม
2) จัดกลุ่มผูเ้ รี ยน โดยให้มีความสามารถคละกันภายใน
กลุ่ม เป็ นกลุ่มบ้าน (home group) สมาชิกแต่
ละคนในกลุ่มอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ตนได้รับมอบหมาย
เท่านั้น โดยใช้เวลาตามที่ผสอนกาหนด
ู้
18. เทคนิคการเรียนแบบร่ วมมือร่ วมใจ
3) จากนั้นผูเ้ รี ยนที่อ่านหัวข้อย่อยเดียวกันมานังด้วยกัน
่
เพื่อทางาน ซักถาม และทากิจกรรม ซึ่งเรี ยกว่ากลุ่ม
เชี่ยวชาญ (expert group) สมาชิกทุก ๆ คน
ร่ วมมือกันอภิปรายหรื อทางานอย่างเท่าเทียมกันโดยใช้เวลา
ตามที่ผสอนกาหนด
ู้
4) ผูเ้ รี ยนแต่ละคนในกลุ่มผูเ้ ชี่ยวชาญ กลับมายังกลุ่มบ้าน
(home group) ของตน จากนั้นผลัดเปลี่ยนกัน
อธิบายให้เพื่อนสมาชิกในกลุ่มฟัง เริ่ มจากหัวข้อย่อย
1,2,3 และ 4 เป็ นต้น
5) ทาการทดสอบหัวข้อย่อย 1-4 กับผูเ้ รี ยนทั้งห้อง
คะแนนของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มรวมเป็ นคะแนนกลุ่ม
กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับการติดประกาศ
19. เทคนิคการเรียนแบบร่ วมมือร่ วมใจ
7. เทคนิคการเรี ยนแบบร่ วมมือร่ วมกลุ่ม
(Co-op Co-op)
ผูเ้ รี ยนช่วยกันอภิปรายหัวข้อที่จะศึกษาแบ่งหัวข้อ
ใหญ่เป็ นหัวข้อย่อย แล้วจัดผูเ้ รี ยนเข้ากลุ่มตาม
ความสามารถที่แตกต่างกัน กลุ่มเลือกหัวข้อที่จะ
ศึกษาตามความสนใจของกลุ่ม กลุ่มแบ่งหัวข้อย่อย
เป็ นหัวข้อเล็ก เพื่อผูเ้ รี ยนแต่ละคนในกลุ่มเลือกไป
ศึกษาและนาเสนอต่อกลุ่ม กลุ่มรวบรวมหัวข้อต่าง
ๆ จากผูเ้ รี ยนทุกคนในกลุ่ม แล้วรายงานผลงานต่อ
ชั้น แล้วมีการประเมินผลงานของกลุ่ม
21. เทคนิคการเรียนแบบร่ วมมือร่ วมใจ
9. การเขียนแบบคู่ (Rally Table)
เป็ นเทคนิคคล้ายกับการพูดเป็ นคู่ทุก
ประการ ต่างกันเพียงการเขียนเป็ นคู่เป็ นการ
ร่ วมมือเป็ นคู่ ๆ โดยผลัดกันเขียน หรื อวาด
22. เทคนิคการเรียนแบบร่ วมมือร่ วมใจ
10. การพูดรอบวง (Round Robin)
เป็ นเทคนิคที่สมาชิกของกลุ่มผลัดกันพูด
ตอบ เล่า อธิ บาย โดยไม่ใช้การเขียน การวาด
และเป็ นการพูดที่ผลัดกันทีละคนตามเวลาที่
กาหนด จนครบ 4 คน
23. เทคนิคการเรียนแบบร่ วมมือร่ วมใจ
11. การเขียนรอบวง (Round Table)
เป็ นเทคนิคที่เหมือนกับการพูดรอบวง แตกต่าง
กันที่เน้นการเขียน การวาด (ใช้อุปกรณ์ :
กระดาษ 1 แผ่น และปากกา 1 ด้ามต่อกลุ่ม)
วิธีการคือ ผลัดกันเขียนลงในกระดาษที่เตรี ยม
ไว้ทีละคนตามเวลาที่กาหนด
24. เทคนิคการเรียนแบบร่ วมมือร่ วมใจ
12. การแก้ปัญหาด้ วยการต่ อภาพ (Jigsaw
problem Solving)
เป็ นเทคนิคที่สมาชิกของแต่ละคนคิดคาตอบของ
ตนเองไว้ จากนั้นกลุ่มนาคาตอบของทุกๆ คน
รวมกันแล้วอภิปรายเพื่อหาคาตอบที่ดีที่สุด
25. เทคนิคการเรียนแบบร่ วมมือร่ วมใจ
13. คิดเดี่ยว – คิดคู่ – ร่ วมกันคิด
(Think – Pair – Share)
เป็ นเทคนิคโดยเริ่ มจากปั ญหาหรื อโจทย์
คาถาม โดยสมาชิกแต่ละคนคิดหาคาตอบ
ด้วยตนเองก่อน แล้วนาคาตอบไปอภิปราย
กับเพื่อนเป็ นคู่ จากนั้นจึงนาคาตอบของตน
หรื อของเพื่อนที่เป็ นคู่เล่าให้เพื่อน ๆ ทั้งชั้น
ฟัง
26. เทคนิคการเรียนแบบร่ วมมือร่ วมใจ
14. อภิปรายเป็ นคู่ (Pair Discussion)
เป็ นเทคนิคที่เมื่อผูสอนตั้งคาถามหรื อกาหนด
้
ั
โจทย์แล้วให้สมาชิกที่นงใกล้กนร่ วมกันคิดและ
ั่
อภิปรายเป็ นคู่
28. เทคนิคการเรียนแบบร่ วมมือร่ วมใจ
16. ทาเป็ นกลุ่ม – ทาเป็ นคู่ – และทาคน
เดียว (Team – Pair – Solo)
เป็ นเทคนิคที่เมื่อผูสอนกาหนดปั ญหาหรื อ
้
โจทย์หรื องานให้ทาแล้ว สมาชิกจะทางาน
ร่ วมกันทั้งกลุ่ม จนทางานได้สาเร็ จ แล้วถึง
ขั้นสุ ดท้ายให้สมาชิกแต่ละคนทางานคน
เดียวจนสาเร็ จ
29. เทคนิคการเรียนแบบร่ วมมือร่ วมใจ
17. การเรียงแถว (Line – Ups)
เป็ นเทคนิคง่าย ๆ โดยให้ผเู ้ รี ยนยืนเป็ นแถว
เรี ยงลาดับภาพคา หรื อสิ่ งที่ผสอนกาหนดไว้
ู้
เช่น ผูสอนให้ภาพต่าง ๆ แก่ผเู ้ รี ยน แล้วให้
้
ผูเ้ รี ยนยืนเรี ยงลาดับภาพขั้นตอนของวงจร
ชีวตของแมลง ห่วงโซ่ อาหาร เป็ นต้น
ิ
30. เทคนิคการเรียนแบบร่ วมมือร่ วมใจ
18. การพูดเป็ นคู่ตามเวลาทีกาหนด
่
(Time – Pair – Share)
เป็ นเทคนิคการเรี ยนแบบร่ วมมือที่สมาชิก
จับคู่ สมาชิกคนที่ 1 พูดในเวลาที่กาหนด
เพื่อตอบโจทย์หรื อปั ญหาที่กาหนด สมาชิก
คนที่ 2 ฟัง จากนั้นสมาชิกคนที่ 2 พูด คน
ที่ 1 ฟัง การพูดใช้เวลาเท่ากับครั้งแรก
31. เทคนิคการเรียนแบบร่ วมมือร่ วมใจ
19. การทาโครงงานเป็ นกลุ่ม (Team Project)
เป็ นเทคนิคการเรี ยนด้วยวิธีโครงงาน โดยผูสอนอาจจะ
้
กาหนดวิธีการทาโครงงาน กาหนดบทบาทของสมาชิก
แต่ละคนในกลุ่ม ให้ร่วมกันทาโครงงานตามมอบหมาย
หรื ออาจใช้วธีให้ผเู ้ รี ยนร่ วมกันคิดทาโครงงานเอง โดย
ิ
ผูเ้ รี ยนแบ่งหน้าที่ให้สมาชิกทุกคนมีบทบาทในการ
ทางาน
32. เทคนิคการเรียนแบบร่ วมมือร่ วมใจ
20. คิดเดี่ยว – คิดคู่ – คิดเป็ นกลุ่ม
(Think – Pair – Square)
เป็ นเทคนิคโดยเริ่ มจากปั ญหาหรื อโจทย์
คาถาม โดยสมาชิกแต่ละคนคิดคาตอบด้วย
ตนเองก่อน แล้วนาคาตอบของตนไป
อภิปรายกับเพื่อนเป็ นคู่ จากนั้นก็อภิปรายกับ
สมาชิกในกลุ่มของตนก่อน แล้วอาจนา
คาตอบเล่าให้เพื่อน ๆ ทั้งชั้นฟัง
33. เทคนิคการเรียนแบบร่ วมมือร่ วมใจ
21. พูดวงกลมซ้ อน (Inside –
Outside Circle)
เป็ นเทคนิคที่ผเู ้ รี ยนอาจนังหรื อยืนเป็ นวงกลม
่
ซ้อนกัน 2 วง แต่ละวงมีจานวนกลุ่มเท่ากัน วงใน
หันหน้าออก วงนอกหันหน้าเข้า หรื ออาจนังหรื อ ่
ยืนเป็ นคูก็ได้ ผูเ้ รี ยนที่เป็ นคู่หรื อกลุ่มที่เป็ นคู่กนจะ
่ ั
พูด หรื ออภิปราย หรื อนาเสนอผลงานกลุ่มแก่กน ั
และกัน โดยผลัดกันพูด อาจมีการกาหนดเวลาด้วย
จากนั้นหมุนเวียนเปลี่ยนคู่หรื อกลุ่มใหม่ไปเรื่ อย ๆ
โดยไม่ซ้ ากัน โดยผูเ้ รี ยนวงนอกและวงในเคลื่อนที่
ไปในทิศทางตรงกันข้าม เพื่อให้พบสมาชิกไม่ซ้ า
กลุ่มเดิม
34. เทคนิคการเรียนแบบร่ วมมือร่ วมใจ
22. การให้ ข้อมูลย้ อนกลับแบบหมุนเวียน
(Rotating Feedback)
เป็ นเทคนิคที่สมาชิกทุกคนในแต่ละกลุ่มให้
ข้อมูลย้อนกลับ ซึ่งอาจเป็ น
ข้อคิด ข้อเสนอแนะ ข้อดี ข้อบกพร่ อง
ต่อผลงานของกลุ่มอื่นๆ โดยหมุนเวียนไปที
ละกลุ่มจนครบอย่างเป็ นระบบ หรื ออาจมี
กาหนดเวลาให้แต่ละกลุ่มด้วยก็ได้
35. ข้ อดีของเทคนิคการเรียนแบบร่ วมมือร่ วมใจ
1. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง
สมาชิก เพราะทุก ๆ คนร่ วมมือในการ
ทางานกลุ่ม ทุก ๆ คนมีส่วนร่ วมเท่า
เทียมกัน
2. สมาชิกทุกคนมีโอกาสพูด
แสดงออก แสดงความคิดเห็น ลงมือ
กระทาอย่างเท่าเทียมกัน
36. ข้ อดีของเทคนิคการเรียนแบบร่ วมมือร่ วมใจ
3. เสริ มให้มีความช่วยเหลือกัน เช่น
เด็กเก่งช่วยเด็กที่เรี ยนไม่เก่ง ทาให้เด็ก
เก่งภาคภูมิใจ รู ้จกสละเวลา ส่ วนเด็กที่
ั
ไม่เก่งเกิดความซาบซึ้งในน้ าใจของ
เพื่อนสมาชิกด้วยกัน
37. ข้ อดีของเทคนิคการเรียนแบบร่ วมมือร่ วมใจ
4. ร่ วมกันคิดทุกคน ทาให้เกิดการระดม
ความคิด นาข้อมูลที่ได้มาพิจารณาร่ วมกันเพื่อ
ประเมินคาตอบที่เหมาะที่สุด เป็ นการส่ งเสริ ม
ให้ช่วยกันคิดหาข้อมูลให้มากและวิเคราะห์
และตัดสิ นใจเลือก
38. ข้ อดีของเทคนิคการเรียนแบบร่ วมมือร่ วมใจ
5. ส่ งเสริ มทักษะทางสังคม เช่น การ
อยูร่วมกันด้วยมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
่
เข้าใจกันและกัน อีกทั้งเสริ มทักษะการ
สื่ อสาร ทักษะการทางานเป็ นกลุ่ม สิ่ ง
เหล่านี้ลวนส่ งเสริ มผลสัมฤทธิ์ ทางการ
้
เรี ยนรู ้ให้สูงขึ้น