SlideShare una empresa de Scribd logo
1 de 36
ชื่อ นาย วิเคณฑ์ นันต๊ะเสน ม.6/12 เลขที่ 29 
ชื่อ นางสาว ชัญญา สังข์เย็น ม.6/12 เลขที่ 32
ใบงานที่ 2 
ความหมายและความสาคัญของโครงงาน
ความหมาย หมายถึง วิธีทางานที่เป็นระบบขัน้ตอนเพื่อ 
ทางานชิน้ใดชิน้หนงึ่ให้สาเร็จ 
ความสา คัญ เสริมสร้างประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ส่งผล 
ทาให้เกิด ความริเริ่มสร้างสรรค์ในการทาโครงงานใหม่ๆที่จะนาไปสู่โลก 
ของงานอาชีพ และการศึกษา อีกทัง้โครงงานที่ตนเองสนใจยังก่อให้เกิด 
องค์ความรู้ที่ กว้างขวาง เป็นการประสานงานทางวิชาการระหว่างกลุ่ม 
สาระการเรียนรู้ ต่างๆ 
ที่มา : http://www.tet2.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=437156...
ใบงานที่ 3 
ขอบข่ายและประเภทของโครงงาน
ขอบข่ายของโครงงาน สรุปได้ดังนี้ คือ 
1.เป็นกิจกรรมการศึกษาที่ให้นักเรียนศึกษา ค้นคว้า ปฏิบัติด้วยตนเอง 
โดยอาศัยหลักวิชาการทางทฤษฎีตามเนื้อหาโครงงานนั้นๆหรอจากประสบการณ์ 
และกิจกรรมต่างๆที่ได้พบเห็นมาแล้ว 
2.นักเรียนทุกคนพิจารณาจัดทา โครงงานด้วยตนเอง หรือเป็นกลุ่ม 
จา นวน 2-3 คนต่อกลุ่ม โดยใช้ระยะเวลาสั้นๆเป็นภาคเรียน หรือมากกว่านั้นก็ได้ 
3.นักเรียนเป็นผู้พิจารณาริเริ่มสร้างสรรค์ คัดเลือกโครงงานที่จะศึกษา 
ค้นคว้าปฏิบัติด้วยตนเอง ตามความถนัด สนใจและความพร้อม 
4.นักเรียนเป็นผู้เสนอโครงงาน รายละเอียดของโครงงาน แผนปฏิบัติงาน 
และการแปรผลรายงานผลต่อครูอาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อดาเนินงานร่วมกันให้บรรลุ 
ตามจุดหมายที่กาหนดไว้ 
5.เป็นโครงงานที่เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถของนักเรียนตามวัย 
และสติปัญญา รวมทั้งการใช้จ่ายเงินดา เนินงานด้วย
จากขอบข่ายของโครงงานดังกล่าวแล้ว จะเห็นได้ว่า นักเรียนเป็นผู้ดา เนินงาน โดย 
คา แนะนา ปรึกษาของครูอาจารย์ที่สนับสนุนให้นักเรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ทั้ง 
ด้านการเสนอโครงงาน รายละเอียดและขั้นตอนกาปฏิบัติ ตลอดจนถึงจัดทา แผนปฏิบัติ 
งาน การแปรผลและรายงานผล ตามจุดมุ่งหมายที่กา หนดไว้ ทา ให้สามารถแบ่งแยก 
ประเภทของโครงงานได้ ดังนี้ คือ 
1. ประเภทพัฒนาผลงาน 
2. ประเภทศึกษา ค้นคว้า ทดลอง 
3. ประเภทสร้างสิ่งประดิษฐ์ 
4. ประเภทสารวจข้อมูล
ประเภทพัฒนาผลงาน 
โครงงานประเภทนี้ เป็นโครงงานที่เกิดจากการศึกษาเนื้อหาทางวิชาการ 
หรือหลักทฤษฎีเกี่ยวกับวิชาการงานและอาชีพหรือวิชาสามัญต่างๆ แล้วนามา 
ปรับปรุงและพัฒนาให้สอดคล้องกับแนวทางทฤษฎีดังกล่าว ส่งผลให้มีผลงานเป็น 
รูปธรรมยิ่งขึ้น ตังอย่างเช่น เมื่อนักเรียนได้ศึกษาทางทฤษฎีเกี่ยวกับ 
พลังงานแสงอาทิตย์นักเรียนอาจทา โครงงานสร้างเครื่องอบกล้วยด้วยแสงแดด ต้อูบ 
เนื้อสัตว์ต่างๆ เครื่องทา น้า ร้อน เป็นต้น 
พืชสมุนไพร นักเรียนอาจทา โครงงานการใช้ยาปราบศัตรูพืชด้วยพืชสมุนไพร 
กา จัดเพลี้ย หนอน แมลงปีกแข็ง เป็นต้น 
การถนอมอาหาร นักเรียนอาจทา โครงงาน การแปรรูปผลผลิต การทา ผักกาดดอง 
สามรส การทา ไส้กรอก การดองพืชผัก ผลไม้ต่างๆ เป็นต้น 
การเลี้ยงปลา นักเรียนอาจทา โครงงาน การเลี้ยงปลาสวยงาม การเปลี่ยนสีปลา 
ออสก้า เป็นต้น
ประเภทสร้างสิ่งประดิษฐ์ 
โครงงานประเภทนี้เป็นโครงงานสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆขึ้นมา 
หลังจากที่ได้ศึกษาทฤษฎีหรือพบเห็นผลงานของผู้อื่นแล้ว เกิดความคิด 
สร้างสรรค์ที่จะพัฒนาต่อไป จึงประดิษฐ์คิดค้นให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ดี 
ยิ่งขึ้น เช่น 
- การควบคุมระบบการให้น้า ในแปลงเพาะชา 
- การประดิษฐ์หัวฉีดพ่นน้า ในแปลงปลูกผัก 
- การประดิษฐ์ของชา ร่วย 
- การประดิษฐ์เครื่องรับวิทยุ 
- การประดิษฐ์เครื่องเสียง 
- การออกแบบเสื้อผ้าชาย หญิง
ประเภทสารวจข้อมูล 
โครงงานประเภทนี้ เป็นโครงงานการศึกษาสา รวจข้อมูลสา หรับดา เนินงาน 
พัฒนาปรับปรุงเพิ่มเติมผลงานและส่งเสริมผลผลิตให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น ข้อมูลดังกล่าว 
อาจมีผู้จัดทา แต่มีการแปรเปลี่ยนไปแล้ว ต้องทา การสา รวจจัดทา ขึ้นมาใหม่ให้ทันสมัย 
อยู่เสมอ เช่น 
- การสารวจราคาผลผลิตเกษตรในท้องถิ่น 
- การสารวจราคาสิ้นค้าอุปโภคบริโภคในท้องถิ่น 
- การสารวจแหล่งวิชาการและสถานประกอบการในท้องถิ่น 
- การสารวจงานบริการในท้องถิ่น 
- การสารวจการปลูกข้าวโพดในท้องถิ่น 
- การสา รวจปริมาณการเลี้ยงไก่เนื้อในท้องถิ่น 
- การสา รวจปริมาณการเลี้ยงห่านในท้องถิ่น 
ที่มา : http://www.pbj.ac.th/tawattidate/projcet/pro/lean2.htm
ใบงานที่ 4 
โครงงานประเภท การพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา
ลักษณะเด่นของโครงงานประเภทนี้คือ เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ 
ในการผลิตสื่อเพื่อการศึกษา โดยการสร้างโปรแกรมบทเรียนหรือหน่วยการเรียน 
ซึ่งอาจจะต้องมีภาคแบบฝึกหัด บททบทวน และคา ถามคา ตอบไว้พร้อม ผู้เรียน 
สามารถเรียนแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่มการสอน โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน 
นี้ ถือว่าคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์การสอน ซึ่งอาจเป็นการพัฒนาบทเรียนแบบ 
ออนไลน์ ให้ผู้เรียนเข้ามาศึกษาด้วยตนเองก็ได้ โครงงานประเภทนี้สามารถ 
พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ประกอบการสอนในวิชาต่างๆ โดยผู้เรียนอาจคัดเลือกเนื้อหาที่ 
เข้าใจยากมาเป็นหัวข้อในการพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา
ที่มา : http://www.vcharkarn.com/project/article/56801
ใบงานที่ 5 
โครงงานประเภท การพัฒนาเครื่องมือ
เป็นโครงงานเพื่อพัฒนาเครื่องมือช่วย สร้างงานประยุกต์ต่างๆ 
โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปซอฟต์แวร์ เช่น ซอฟต์แวร์วาดรูปซอฟต์แวร์พิมพ์งาน 
และซอฟต์แวร์ ช่วยการมองวัตถุในมุมต่างๆ เป็นต้น สาหรับซอฟต์แวร์เพื่อการ 
พิมพ์งานนัน้สร้างขึน้เป็นโปรแกรมประมวลราคาซงึ่จะเป็นเครื่องมอืให้เราใช้ใน 
การพิมพ์งานต่างๆบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ส่วนซอฟต์แวร์ การวาดรูป พัฒนาขึน้ 
เพื่ออานวยความสะดวกให้การวาดรูปบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้เป็นไปได้ 
โดยง่าย สาหรับซอฟต์แวร์ ช่วยการมองวัตถุในมุมต่างๆ ใช้สาหรับช่วยการ 
ออกแบบสงิ่ของ อาทิเช่น ผู้ใช้วาดแจกันด้านหน้า และต้องการจะดูวาด้านบน 
และด้านข้างเป็นอย่างไร ก็ให้ซอฟต์แวร์เพื่อพิจารณาและแก้ไขภาพแจกันที่ 
ออกแบบไว้ได้อย่างสะดวกตัวอย่างโครงการการแข่งขันพัฒนาซอฟแวร์โครงการ 
"การแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แห่งประเทศไทย(National 
Software Contest: NSC)
ตัวอย่างโครงงานพัฒนาเครื่องมือ 
1.โปรแกรมแผนทีเส้นทาง 
สร้างแผนที่เส้นทางแบบ 2 มิติ 
และ 3 มิติ 
Directional Map 
Software
2. โปรแกรมบีบอัดข้อมูล
โปรแกรมบีบอัดข้อมูล
• การพัฒนาทักษะในการเขียนโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์นัน้ ประเทศไทยมี 
ศักยภาพในการแข่งขันกับต่างประเทศได้ แต่การผลิตบุคลากรที่จะมาพัฒนา 
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ จะต้องอาศัยบุคลากรจานวนมากเพื่อเพิ่มศักยภาพในการ 
แข่งขันให้กับประเทศ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ แห่งชาติ 
(เนคเทค) จึงได้จัดทาโครงการการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศ 
ไทยนี้เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักเรียน นิสิต นักศึกษาได้มีโอกาสพัฒนาทักษะการ 
พัฒนาซอฟต์แวร์และนาเอาความรู้ที่ได้เรียนมาประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์ผลงาน 
โดยสนับสนุนเงินทุนเพื่อเป็นแรงจูงใจและกระตุนให้นกเรียน นิสิต นักศึกษาทาการ 
พัฒนาซอฟต์แวร์ด้วยตนเองและเปิดโอกาสให้มีการประกวดแข่งขันชิงเงินรางวัลใน 
ระดับประเทศ อันจะเป็นการสร้างเวทีสาหรับเยาวชนและผู้ที่สนใจในการพัฒนา 
ความรู้สู่การเป็นนักวิจัยระดับอาชีพต่อไป “โครงการสนับสนุนการพัฒนาซอฟต์แวร์ 
ขนาดเล็ก ”ซงึ่ได้เริ่มดาเนินการครัง้แรกตัง้แต่ปีงบประมาณ 2537 เนคเทคได้ปรับ 
กลยุทธ์ในการดาเนินโครงการโดยจัดให้มีเวทีการแข่งขันในระดับประเทศและเปลี่ยน 
ชื่อเป็น “การแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แห่งประเทศไทย (National 
Software Contest : NSC)” ในปี พ.ศ. 2542 ซงึ่ผู้ชนะเลิศในแต่ละ 
ประเภทจะได้รับ
ใบงานที่ 6 
โครงงานประเภท การทดลองทฤษฎี
• เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการจาลองการทดลองของสาขา 
ต่างๆ ซึ่งเป็นงานที่ไม่สามารถทดลองด้วยสถานการณ์จริงได้เช่น การ 
จุดระเบิด เป็นต้น และเป็นโครงงานที่ผู้ทาต้องศึกษารวบรวมความรู้ 
หลักการ ข้อเท็จจริง และแนวคิดต่างๆ อย่างลึกซึง้ในเรื่องทตี่้องการ 
ศึกษาแล้วเสนอเป็นแนวคิด แบบจาลอง หลักการ ซงึ่อาจอยู่ในรูปของ 
สูตร สมการ หรือคาอธิบาย พร้อมทัง้การจาลองทฤษฏีด้วยคอมพิวเตอร์ 
ให้ออกมาเป็นภาพ ภาพที่ได้ก็จะเปลี่ยนไปตามสูตรหรือสมการนัน้ ซงึ่ 
จะทาให้ผู้เรียนมีความเข้าใจได้ดียิ่งขึน้ การทาโครงงานประเภทนีมี้ 
จุดสาคัญอยู่ที่ผู้ทาต้องมีความรู้ในเรื่องนัน้ๆ เป็นอย่างดี ตัวอย่าง 
โครงงานจาลองทฤษฎี เช่น การทดลองเรื่องการไหลของของเหลว 
การทดลองเรื่องพฤติกรรมของปลาปิรันย่า และการทดลองเรื่องการ 
มองเห็นวัตถุแบบสามมิติ เป็นต้น
• การทา โครงงานมีขั้นตอนการปฏิบัติ ดังนี้ 
๒.๑ การคิดและการเลือกหัวเรื่อง ผู้เรียนจะต้องคิด และเลือกหัวเรื่องของโครงงานด้วย 
ตนเองว่าอยากจะศึกษาอะไร ทาไมจึงอยากศึกษา หัวเรื่องของโครงงานมักจะได้มาจากปัญหา 
คา ถามหรือความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ของผู้เรียนเอง หัวเรื่องของโครงงานควร 
เฉพาะเจาะจงและชัดเจน เมื่อใครได้อ่านชื่อเรื่องแล้วควรเข้าใจและรู้เรื่องว่าโครงงานนี้ทา จาก 
อะไร การกา หนดหัวเรื่องของโครงงานนั้นมีแหล่งที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดความคิดและความ 
สนใจหลายแหล่งด้วยกัน เช่น จากการอ่านหนังสือ เอกสาร บทความ การเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ 
การฟังบรรยายทางวิชาการ การเข้าชมนิทรรศการหรืองานประกวดโครงงานทางวิทยาศาสตร์ 
การสนทนากับบุคคลต่างๆ หรือจาการสังเกตปรากฏการณ์ต่างๆ รอบตัว เป็นต้น นอกจากนี้ ควร 
คานึงถึงประเด็นต่อไปนี้ 
- ความเหมาะสมของระดับความรู้ ความสามารถของผู้เรียน 
- วัสดุ อุปกรณ์ ที่ใช้ 
- งบประมาณ 
- ระยะเวลา 
- ความปลอดภัย 
- แหล่งความรู้
๒.๒ การวางแผน 
ต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า เพื่อให้การดาเนินการเป็นไปอย่างรัดกุมและรอบคอบ ไม่สับสน แล้วนาเสนอ 
ต่อผู้สอนหรือครูที่ปรึกษาเพื่อขอความเห็นชอบก่อนดาเนินการขัน้ต่อไป การเขียนเค้าโครงของโครงงาน โดยทวั่ไป 
เขียนเพื่อแสดงแนวคิด แผนงาน และขัน้ตอนการทาโครงงาน ซงึ่ควรประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้ 
๑) ชื่อโครงงาน ควรเป็นข้อความที่กะทัดรัด ชัดเจน สื่อความหมายได้ตรง 
๒) ชื่อผู้ทาโครงงาน 
๓) ชื่อที่ปรึกษาโครงงาน 
๔) หลักการและเหตุผลของโครงงาน เป็นการอธิบายว่าเหตุใดจึงเลือกทาโครงงานเรื่องนี้มีความสาคัญ 
อย่างไร มีหลักการหรือทฤษฎีอะไรที่เกี่ยวข้อง เรื่องที่ทาเป็นเรื่องใหม่หรือมีผู้อื่นได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องนีไ้ว้บ้างแล้ว ถ้ามี 
ได้ผลอย่างไร เรื่องที่ทาได้ขยายเพิ่มเติม ปรับปรุงจากเรื่องที่ผู้อื่นทาไว้อย่างไร หรือเป็นการทาซา้เพื่อตรวจสอบผล 
๕) จุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ควรมีความเฉพาะเจาะจง และสามารถวัดได้ เป็นการบอกขอบเขตของงานที่ 
จะทาได้ชัดเจนขึน้ 
๖) สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า (ถ้ามี) สมมติฐานเป็นคาตอบหรือคาอธิบายที่คาดไว้ล่วงหน้า ซึ่งอาจจะ 
ถูกหรือไม่ก็ได้ การเขียนสมมติฐานควรมีเหตุมีผลมีทฤษฎีหรือหลักการรองรับ และที่สาคัญ คือ เป็นข้อความที่มองเห็น 
แนวทางในการดาเนินการทดสอบได้ นอกจากนีค้วรมีความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตามด้วย 
๗) วิธีดาเนินงานและขัน้ตอนการดาเนินงาน จะต้องอธิบายว่า จะออกแบบการทดลองอะไรอย่างไร จะเก็บ 
ข้อมูลอะไรบ้างรวมทัง้ระบุวัสดุอุปกรณ์ที่จาเป็นต้องใช้ มีอะไรบ้าง 
๘) แผนปฏิบัติงาน อธิบายเกี่ยวกับกาหนดเวลาตัง้แต่เริ่มต้นจนเสร็จสิน้การดาเนินงานในแต่ละขัน้ตอน 
๙) ผลที่คาดว่าจะได้รับ 
๑๐) เอกสารอ้างอิง
2.3 การดาเนินงาน เมื่อที่ปรึกษาโครงงานให้ความเห็นชอบเค้าโครงของโครงงานแล้ว ต่อไปก็เป็นขัน้ลงมือ 
ปฏิบัติงานตามขัน้ตอนที่ระบุไว้ ผู้เรียนต้องพยายามทาตามแผนงานที่วางไว้ เตรียมวัสดุอุปกรณ์และสถานที่ 
ให้พร้อมปฏิบัติงานด้วยความละเอียดรอบคอบ คานึงถึงความประหยัดและปลอดภัยในการทางาน ตลอดจน 
การบันทึกข้อมูลต่างๆ ว่าได้ทาอะไรไปบ้าง ได้ผลอย่างไร มีปัญหาและข้อคิดเห็นอย่างไร พยายามบันทึกให้ 
เป็นระเบียบและครบถ้วน 
2.4การเขียนรายงาน 
การเขียนรายงานเกี่ยวกับโครงงาน เป็นวิธีสื่อความหมายวิธีหนงึ่ที่จะให้ผู้อื่นได้เข้าใจถึงแนวคิด 
วิธีการดาเนินงาน ผลที่ได้ ตลอดจนข้อสรุปและข้อเสนอแนะต่างๆ ที่เกี่ยวกับโครงงานนัน้ การเขียนโครงงาน 
ควรใช้ภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย ชัดเจนและครอบคลุมประเด็นสาคัญๆ ทัง้หมดของโครงงาน 
2.5 การนาเสนอผลงาน 
การนาเสนอผลงาน เป็นขัน้ตอนสุดท้ายของการทาโครงงานและเข้าใจถึงผลงานนัน้ การนาเสนอ 
ผลงานอาจทาได้หลายรูปแบบ ขึน้อยู่กับความเหมาะสมต่อประเภทของโครงงาน เนือ้หา เวลา ระดับของ 
ผู้เรียน เช่น การแสดงบทบาทสมมติ การเล่าเรื่อง การเขียนรายงาน สถานการณ์จาลอง การสาธิต การจัด 
นิทรรศการ ซงึ่อาจมีทัง้การจัดแสดงและการอธิบายด้วยคาพูด หรือการรายงานปากเปล่า การบรรยาย สิ่ง 
สาคัญคือ พยายามทาให้การแสดงผลงานนัน้ดึงดูดความสนใจของผู้ชม มีความชัดเจน เข้าใจง่าย และมี 
ความถูกต้องของเนือ้หา
๓. การเขียนรายงานโครงงาน 
การเขียนรายงานโครงงานเป็นรูปแบบหนึ่งของการนาเสนอผลงานของโครงงานที่ผู้เรียนได้ศึกษา 
ค้นคว้าตัง้แต่ต้นจนจบ การกาหนดหัวข้อในการเขียนรายงานโครงงานอาจไม่ระบุตายตัวเหมือนกันทุก 
โครงงาน ส่วนประกอบของหัวข้อในรายงานต้องเหมาะสมกับประเภทของโครงงานและระดับชัน้ของผู้เรียน 
องค์ประกอบของการเขียนรายงานโครงงาน แบ่งกว้างๆ เป็น ๓ ส่วน ดังนี้ 
๑. ส่วนปกและส่วนต้น ส่วนปกและส่วนต้น ประกอบด้วย 
๑) ชื่อโครงงาน 
๒) ชื่อผู้ทาโครงงาน ชัน้ โรงเรียน และวันเดือนปีที่จัดทา 
๓) ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา 
๔) คานา 
๕) สารบัญ 
๖) สารบัญตาราง หรือภาพประกอบ (ถ้ามี) 
๗) บทคัดย่อสัน้ๆ ที่บอกเค้าโครงอย่างย่อๆ ซงึ่ประกอบด้วย เรื่อง วัตถุประสงค์ วิธีการศึกษา 
ระยะเวลา และสรุปผล 
๘) กิตติกรรมประกาศ เพื่อแสดงความขอบคุณบุคคล หรือหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือหรือมีส่วนเกี่ยวข้อง
๒. ส่วนเนือ้เรื่อง ประกอบด้วย 
๑) บทนา บอกความเป็นมา ความสาคัญของโครงงาน บอกเหตุผล หรือเหตุจูงใจในการเลือกหัวข้อ 
โครงงาน 
๒) วัตถุประสงค์ของโครงงาน 
๓) สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า 
๔) การดาเนินงาน อาจเขียนเป็นตาราง แผนผังโครงงานเพื่อให้การดาเนินงานเป็นไปตามหัวข้อเรื่อง 
ตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงงาน และพิสูจน์คาตอบ (สมมติฐาน) ตามประเด็นที่กาหนด ดังตัวอย่างการ 
เขียนแผนผังโครงงานต่อไปนี้ 
ในแผนผังโครงงานทาให้เห็นระบบการทางานอย่างมีเป้าหมาย มีการวางแผนการทางาน จะเห็นได้ 
ว่าสิ่งที่ต้องการทราบ คือ หัวข้อย่อย หรือคาถามย่อยของหัวข้อโครงงาน ถ้ามีมาก ๑ ข้อ ก็จะเรียงลาดับทีละ 
หัวข้อ พร้อมทัง้บอกสมมติฐาน วิธีศึกษา และแหลง่ศึกษาค้นคว้าตามแผนผังให้ครบทุกข้อ สิ่งที่ต้องการ 
ทราบ สมมติฐาน วิธีการศึกษา แหล่งศึกษา/แหล่งข้อมูล หัวข้อย่อยจากหัวข้อเรื่องของโครงงานที่ต้องการหา 
คาตอบ การตอบคาถามล่วงหน้า ค้นคว้า สอบถาม สัมภาษณ์ สังเกต ศึกษาโดยการดู-ฟัง จากสื่อชนิดต่างๆ - 
เอกสาร หนังสือ - สถานที่ บุคคล 
๕) สรุปผลการศึกษา เป็นการอธิบายคาตอบที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า ตามหัวข้อย่อยที่ต้องการ 
ทราบ ว่าเป็นไปตามสมมติฐานหรือไม่ 
๖) อภิปรายผล บอกประโยชน์ หรือคุณค่าของผลงานที่ได้ และบอกข้อจากัดหรือปัญหา อุปสรรค 
(ถ้ามี) พร้อมทัง้บอกข้อเสนอแนะในการศึกษาค้นคว้า โครงงานลักษณะใกล้เคียงกัน
๓. ส่วนท้าย ประกอบด้วย 
๑) บรรณานุกรม หรือ เอกสารอ้างอิง หรือเอกสารที่ใช้ค้นคว้า ซึ่งมีหลายประเภท เช่น หนังสือ ตารา 
บทความ หรือคอลัมน์ ซึ่งจะมีวิธีการเขียนบรรณานุกรมต่างกัน เช่น 
หนังสือ ชื่อ นามสกุล. ชื่อหนังสือ. สถานที่พิมพ์ : สานักพิมพ์, ปีที่พิมพ์ 
บทความในวารสาร ชื่อผู้เขียน "ชื่อบทความ," ชื่อวารสาร. ปีที่หรือเล่มที่ : หน้า ;วัน เดือน ปี. 
คอลัมน์จากหนังสือพิมพ์ ์์ชื่อผู้เขียน "ชื่อคอลัมน์ : ชื่อเรื่องในคอลัมน์" ชื่อหนังสือพิมพ์.วัน เดือน 
ปี. หน้า. 
๒) ภาคผนวก เช่น โครงร่างโครงงาน ภาพกิจกรรม แบบสอบถาม บทสัมภาษณ์ 
ในการทาโครงงานประเภททดลอง ต้องมีการจัดการกับตัวแปรที่จะมีผลต่อการทดลอง ซึ่งจะมี4 ชนิด 
คือ 
• ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ หมายถึง เหตุของการทดลองนัน้ๆ 
• ตัวแปรตาม ซึ่งจะเป็นผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต้น 
• ตัวแปรควบคุม หมายถึง สิ่งที่ต้องควบคุมให้เหมือนๆกัน มิฉะนัน้จะมีผลทาให้ตัวแปรตามเปลี่ยนไป 
• ตัวแปรแทรกซ้อน ซงึ่จริงๆแล้วก็คือ ตัวแปรควบคุมนนั่เอง แต่บางครัง้เราจะควบคุมไม่ได้ ซงึ่จะมีผล 
แทรกซ้อน ทาให้ผลการทดลองผิดไป แต่แก้ไขได้โดยการตัดข้อมูลที่ผิดพลาดทงิ้ไป
ตัวอย่างโครงงานทดลองทฤษฎี 
1. โปรแกรมสังเคราะห์ 
เสียงพูดเบือ้งต้น 
ที่มา : http://toffykz.blogspot.com/2012/08/6.html 
: http://dearmu.files.wordpress.com/2011/12/clip_image009_thumb.jpg?w=303&h=275
ใบงานที่ 7 
โครงงานประเภท การประยุกต์ใช้งาน
ความหมาย 
1. เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานจริงใน 
ชีวิต ประจาวัน เช่นซอฟต์แวร์สาหรับการออกแบบและตกแต่งอาคาร ซอฟต์แวร์สาหรับ 
การผสมสี ซอฟต์แวร์สาหรับการระบุคนร้าย เป็นต้น โครงงานงานประเภทนีจ้ะมีการ 
ประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่าง ๆ ซึ่งอาจจะสร้างใหม่หรือปรับปรุง 
ดัดแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มี ประสิทธิภาพสูงขึน้ก็ได้ โครงงานลักษณะนีจ้ะต้อง 
ศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ก่อนแล้วนา ข้อมูลที่ได้มาใช้ในการออกแบบ 
และพัฒนาสงิ่ของนัน้ ๆ ต่อจากนัน้ต้องมีการทดสอบการทางานหรือทดสอบคุณภาพ 
ของสิ่งประดิษฐ์แล้วปรับ ปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์ 
โครงงานประเภทนีนั้กเรียนต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับ 
เครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรม และ 
เครื่องมือต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทัง้อาจใช้วิธีทาง 
วิศวกรรมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ในการพัฒนา
2. เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการ สร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานจริงในชีวิตประจาวัน เช่น 
ซอฟต์แวร์สาหรับการออกแบบและตกแต่งภายในอาคาร ซอฟต์แวร์สาหรับการผสมสี และ 
ซอฟต์แวร์สาหรับการระบุคนร้าย เป็นต้น โครงงานประเภทนีจ้ะมีการประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ 
หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆซงึ่อาจเป็นการคิดสร้างสิ่งของขึน้ใหม่ หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของเดิมที่ 
มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึน้ 
โครงงานลักษณะนีจ้ะต้องศึกษา 
และวิเคราะห์ความต้องการของ 
ผู้ใช้ก่อน แล้วนาข้อมูลที่ได้มาใช้ 
ในการออกแบบ และพัฒนาสิ่งของ 
นัน้ๆ ต่อจากนัน้ต้องมีการทดสอบ 
การทางานหรือทดสอบคุณภาพ 
ของสิ่งประดิษฐ์แล้วปรับปรุงแก้ไข 
ให้มีความสมบูรณ์ผู้เรียนต้องใช้ 
ความรู้เกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ 
ภาษาโปรแกรม และเครื่องมือ 
ต่างๆที่เกี่ยวข้อง
(3) สร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานในชีวิตประจาวัน เช่น ซอฟต์แวร์สาหรับการออกแบบและ 
ตกแต่งภายในอาคาร ซอฟต์แวร์สาหรับการผสมสี และซอฟต์แวร์สาหรับการระบุคนร้าย เป็นต้น 
โครงงานประเภทนีจ้ะมีการประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ ซึ่งอาจเป็นการ 
คิดสร้างสิ่งของขึน้ใหม่ หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพสูงขึน้โครง 
งานลักษณะนีจ้ะต้องศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ก่อน แล้วนาข้อมูลที่ได้มาใช้ในการ 
ออกแบบ และพัฒนาสิ่งของนัน้ๆ ต่อจากนัน้ต้องมีการทดสอบการทางานหรือทดสอบคุณภาพของ 
สิ่งประดิษฐ์แล้วปรับ ปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์ โครงงานประเภทนีผู้้เรียนต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับ 
เครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรม และเครื่องมือต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โปรแกรมระบบงานการกีฬา 
โปรแกรมระบบแฟ้มฐานข้อมูลผู้เรียน 2001
ตัวอย่างของโครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน 
1. โปรแกรม สารบรรณสาเร็จรูป : Readymade Archivis 
2. โปรแกรมระบบฐานข้อมูลทางการแพทย์เบือ้งต้น 
3. โปรแกรมระบบแฟ้มฐานข้อมูลผู้เรียน 2001 
4. เครื่องรดนา้ต้นไม้และให้อาหารปลาผ่านโทรศัพท์มือถือ 
5. เครื่องให้อาหารไก่ไข่อัตโนมัติ 
6. ระบบบริหารจัดการข้อมูลผู้เรียนของโรงเรียน 
7. ระบบจัดการข้อมูลการเงินส่วนบุคคล 
8. ระบบจองตวั๋รถไฟบนอินเทอร์เน็ต 
9. ระบบแนะนาเส้นทางเดินรถประจาทาง 
10. โปรแกรมสังเคราะห์เสียงสาหรับคนตาบอดบนรถประจาทาง 
11. โปรแกรมออกและตรวจข้อสอบ 
12. โฮมเพจส่วนบุคคล 
ที่มา : http://oumsunipharuamsap.blogspot.com/2012/09/7-thanapongkiatsujja.html
ใบงานที่ 8 
โครงงานประเภท การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์
เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานจริงใน 
ชีวิตประจาวัน เช่น ซอฟต์แวร์สาหรับการออกแบบและตกแต่งอาคาร ซอฟต์แวร์ 
สาหรับการผสมสี ซอฟต์แวร์สาหรับการระบุคนร้าย เป็นต้น โครงงานงานประเภทนีจ้ะ 
มีการประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่าง ๆ ซึ่งอาจจะสร้างใหม่หรือ 
ปรับปรุงดัดแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มี ประสิทธิภาพสูงขึน้ก็ได้ โครงงานลักษณะนี้ 
จะต้องศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ก่อน แล้วนาข้อมูลที่ได้มาใช้ในการ 
ออกแบบ และพัฒนาสงิ่ของนัน้ ๆ ต่อจากนัน้ต้องมีการทดสอบการทางานหรือ 
ทดสอบคุณภาพของสิ่งประดิษฐ์แล้วปรับปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์ โครงงาน 
ประเภทนีนั้กเรียนต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ภาษาโปรแกรม และ 
เครื่องมือต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทัง้อาจใช้วิธีทางวิศวกรรมฮาร์ดแวร์ 
และซอฟต์แวร์ในการพัฒนาด้วย 
ทีมา : http://yukariisan.blogspot.com/2012/09/8.html
ตัวอย่างโครงงานประยุกต์ใช้งาน
2. โปรแกรม ต่อให้เพิ่ม เติมให้เต็ม (Magic Puzzle)

Más contenido relacionado

La actualidad más candente

ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์
ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์
ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์Sunipha Ruamsap
 
โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์Rattarida Thatid
 
โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์Saipanyarangsit School
 
โครงงานคอม
โครงงานคอมโครงงานคอม
โครงงานคอมPatchara Pussadee
 
โครงงานวิชาคอมพิวเตอร์
โครงงานวิชาคอมพิวเตอร์โครงงานวิชาคอมพิวเตอร์
โครงงานวิชาคอมพิวเตอร์believegg
 
การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์piyaphon502
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ 1
โครงงานคอมพิวเตอร์ 1โครงงานคอมพิวเตอร์ 1
โครงงานคอมพิวเตอร์ 1Thawinan Emsiranunt
 
สองถ งแปด
สองถ งแปดสองถ งแปด
สองถ งแปดbmbeam
 
การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์Aunchisa Phongchana
 
ใบงานที่ 2 8 โครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงานที่ 2 8 โครงงานคอมพิวเตอร์ใบงานที่ 2 8 โครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงานที่ 2 8 โครงงานคอมพิวเตอร์Thawinan Emsiranunt
 
โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์Wisaruta
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ ใบงานที่ 2-8
โครงงานคอมพิวเตอร์ ใบงานที่ 2-8โครงงานคอมพิวเตอร์ ใบงานที่ 2-8
โครงงานคอมพิวเตอร์ ใบงานที่ 2-8Giftfy Snw
 
แผนการเรียนรู้สามารถช่วยพัฒนาทักษะต่างๆ [Design of Learning Environment]
แผนการเรียนรู้สามารถช่วยพัฒนาทักษะต่างๆ [Design of Learning Environment]แผนการเรียนรู้สามารถช่วยพัฒนาทักษะต่างๆ [Design of Learning Environment]
แผนการเรียนรู้สามารถช่วยพัฒนาทักษะต่างๆ [Design of Learning Environment]มาโนช นันทา
 
โครงงานคอมพิวเตอร์นิทานสอนใจ
โครงงานคอมพิวเตอร์นิทานสอนใจโครงงานคอมพิวเตอร์นิทานสอนใจ
โครงงานคอมพิวเตอร์นิทานสอนใจnoeiinoii
 
โครงงานคอม 60435
โครงงานคอม 60435โครงงานคอม 60435
โครงงานคอม 60435Praw Vanitt
 
ใบงานที่ 2 8
ใบงานที่ 2 8ใบงานที่ 2 8
ใบงานที่ 2 8Nattichat Thonton
 

La actualidad más candente (18)

ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์
ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์
ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์
 
โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์
 
โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์
 
คอม
คอมคอม
คอม
 
โครงงานคอม
โครงงานคอมโครงงานคอม
โครงงานคอม
 
โครงงานวิชาคอมพิวเตอร์
โครงงานวิชาคอมพิวเตอร์โครงงานวิชาคอมพิวเตอร์
โครงงานวิชาคอมพิวเตอร์
 
การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ 1
โครงงานคอมพิวเตอร์ 1โครงงานคอมพิวเตอร์ 1
โครงงานคอมพิวเตอร์ 1
 
สองถ งแปด
สองถ งแปดสองถ งแปด
สองถ งแปด
 
การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
 
ใบงานที่ 2 8 โครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงานที่ 2 8 โครงงานคอมพิวเตอร์ใบงานที่ 2 8 โครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงานที่ 2 8 โครงงานคอมพิวเตอร์
 
โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์
 
ใบงานที่2-8
ใบงานที่2-8ใบงานที่2-8
ใบงานที่2-8
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ ใบงานที่ 2-8
โครงงานคอมพิวเตอร์ ใบงานที่ 2-8โครงงานคอมพิวเตอร์ ใบงานที่ 2-8
โครงงานคอมพิวเตอร์ ใบงานที่ 2-8
 
แผนการเรียนรู้สามารถช่วยพัฒนาทักษะต่างๆ [Design of Learning Environment]
แผนการเรียนรู้สามารถช่วยพัฒนาทักษะต่างๆ [Design of Learning Environment]แผนการเรียนรู้สามารถช่วยพัฒนาทักษะต่างๆ [Design of Learning Environment]
แผนการเรียนรู้สามารถช่วยพัฒนาทักษะต่างๆ [Design of Learning Environment]
 
โครงงานคอมพิวเตอร์นิทานสอนใจ
โครงงานคอมพิวเตอร์นิทานสอนใจโครงงานคอมพิวเตอร์นิทานสอนใจ
โครงงานคอมพิวเตอร์นิทานสอนใจ
 
โครงงานคอม 60435
โครงงานคอม 60435โครงงานคอม 60435
โครงงานคอม 60435
 
ใบงานที่ 2 8
ใบงานที่ 2 8ใบงานที่ 2 8
ใบงานที่ 2 8
 

Similar a งานวิชาคอม

ใบงานที่2-8
ใบงานที่2-8ใบงานที่2-8
ใบงานที่2-8chanakanp
 
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์Chanpen Sangsai
 
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์Saengnapa Saejueng
 
งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1Peeravit Tipneht
 
ใบงานที่2 8
ใบงานที่2 8ใบงานที่2 8
ใบงานที่2 84315609
 
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์Onpriya May
 
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์Ai Promsopha
 
รายงานโครงงานคอม22
รายงานโครงงานคอม22รายงานโครงงานคอม22
รายงานโครงงานคอม22piyaphon502
 
รายงานโครงงานคอม22
รายงานโครงงานคอม22รายงานโครงงานคอม22
รายงานโครงงานคอม22piyaphon502
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ใบงาน 2-3
โครงงานคอมพิวเตอร์ใบงาน 2-3โครงงานคอมพิวเตอร์ใบงาน 2-3
โครงงานคอมพิวเตอร์ใบงาน 2-3parephone2539
 
งานวิชาคอมพิวเตอร์ Send
งานวิชาคอมพิวเตอร์ Sendงานวิชาคอมพิวเตอร์ Send
งานวิชาคอมพิวเตอร์ Sendploypapas45091
 
ใบงานท 2-8 คอม나
ใบงานท   2-8 คอม나ใบงานท   2-8 คอม나
ใบงานท 2-8 คอม나bmbeam
 
งานคอมพิวเตอร์ ใบงานที่2 8
งานคอมพิวเตอร์ ใบงานที่2 8งานคอมพิวเตอร์ ใบงานที่2 8
งานคอมพิวเตอร์ ใบงานที่2 8ploypapas45091
 
ใบความรู้ที่ 1
ใบความรู้ที่ 1ใบความรู้ที่ 1
ใบความรู้ที่ 1Rattana Wongphu-nga
 

Similar a งานวิชาคอม (20)

ใบงานที่2-8
ใบงานที่2-8ใบงานที่2-8
ใบงานที่2-8
 
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
 
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
 
งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1
 
โครงงานคอม
โครงงานคอมโครงงานคอม
โครงงานคอม
 
ใบงานที่2 8
ใบงานที่2 8ใบงานที่2 8
ใบงานที่2 8
 
ใบงานที่ 2 8
ใบงานที่ 2 8ใบงานที่ 2 8
ใบงานที่ 2 8
 
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
 
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
 
รายงานโครงงานคอม22
รายงานโครงงานคอม22รายงานโครงงานคอม22
รายงานโครงงานคอม22
 
ใบงานที่ 2-8
ใบงานที่ 2-8ใบงานที่ 2-8
ใบงานที่ 2-8
 
รายงานโครงงานคอม22
รายงานโครงงานคอม22รายงานโครงงานคอม22
รายงานโครงงานคอม22
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ใบงาน 2-3
โครงงานคอมพิวเตอร์ใบงาน 2-3โครงงานคอมพิวเตอร์ใบงาน 2-3
โครงงานคอมพิวเตอร์ใบงาน 2-3
 
08
0808
08
 
งานวิชาคอมพิวเตอร์ Send
งานวิชาคอมพิวเตอร์ Sendงานวิชาคอมพิวเตอร์ Send
งานวิชาคอมพิวเตอร์ Send
 
5 6-7-8
5 6-7-85 6-7-8
5 6-7-8
 
ใบงานท 2-8 คอม나
ใบงานท   2-8 คอม나ใบงานท   2-8 คอม나
ใบงานท 2-8 คอม나
 
งานคอมพิวเตอร์ ใบงานที่2 8
งานคอมพิวเตอร์ ใบงานที่2 8งานคอมพิวเตอร์ ใบงานที่2 8
งานคอมพิวเตอร์ ใบงานที่2 8
 
โครงงานคอม
โครงงานคอมโครงงานคอม
โครงงานคอม
 
ใบความรู้ที่ 1
ใบความรู้ที่ 1ใบความรู้ที่ 1
ใบความรู้ที่ 1
 

งานวิชาคอม

  • 1. ชื่อ นาย วิเคณฑ์ นันต๊ะเสน ม.6/12 เลขที่ 29 ชื่อ นางสาว ชัญญา สังข์เย็น ม.6/12 เลขที่ 32
  • 3. ความหมาย หมายถึง วิธีทางานที่เป็นระบบขัน้ตอนเพื่อ ทางานชิน้ใดชิน้หนงึ่ให้สาเร็จ ความสา คัญ เสริมสร้างประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ส่งผล ทาให้เกิด ความริเริ่มสร้างสรรค์ในการทาโครงงานใหม่ๆที่จะนาไปสู่โลก ของงานอาชีพ และการศึกษา อีกทัง้โครงงานที่ตนเองสนใจยังก่อให้เกิด องค์ความรู้ที่ กว้างขวาง เป็นการประสานงานทางวิชาการระหว่างกลุ่ม สาระการเรียนรู้ ต่างๆ ที่มา : http://www.tet2.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=437156...
  • 5. ขอบข่ายของโครงงาน สรุปได้ดังนี้ คือ 1.เป็นกิจกรรมการศึกษาที่ให้นักเรียนศึกษา ค้นคว้า ปฏิบัติด้วยตนเอง โดยอาศัยหลักวิชาการทางทฤษฎีตามเนื้อหาโครงงานนั้นๆหรอจากประสบการณ์ และกิจกรรมต่างๆที่ได้พบเห็นมาแล้ว 2.นักเรียนทุกคนพิจารณาจัดทา โครงงานด้วยตนเอง หรือเป็นกลุ่ม จา นวน 2-3 คนต่อกลุ่ม โดยใช้ระยะเวลาสั้นๆเป็นภาคเรียน หรือมากกว่านั้นก็ได้ 3.นักเรียนเป็นผู้พิจารณาริเริ่มสร้างสรรค์ คัดเลือกโครงงานที่จะศึกษา ค้นคว้าปฏิบัติด้วยตนเอง ตามความถนัด สนใจและความพร้อม 4.นักเรียนเป็นผู้เสนอโครงงาน รายละเอียดของโครงงาน แผนปฏิบัติงาน และการแปรผลรายงานผลต่อครูอาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อดาเนินงานร่วมกันให้บรรลุ ตามจุดหมายที่กาหนดไว้ 5.เป็นโครงงานที่เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถของนักเรียนตามวัย และสติปัญญา รวมทั้งการใช้จ่ายเงินดา เนินงานด้วย
  • 6. จากขอบข่ายของโครงงานดังกล่าวแล้ว จะเห็นได้ว่า นักเรียนเป็นผู้ดา เนินงาน โดย คา แนะนา ปรึกษาของครูอาจารย์ที่สนับสนุนให้นักเรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ทั้ง ด้านการเสนอโครงงาน รายละเอียดและขั้นตอนกาปฏิบัติ ตลอดจนถึงจัดทา แผนปฏิบัติ งาน การแปรผลและรายงานผล ตามจุดมุ่งหมายที่กา หนดไว้ ทา ให้สามารถแบ่งแยก ประเภทของโครงงานได้ ดังนี้ คือ 1. ประเภทพัฒนาผลงาน 2. ประเภทศึกษา ค้นคว้า ทดลอง 3. ประเภทสร้างสิ่งประดิษฐ์ 4. ประเภทสารวจข้อมูล
  • 7. ประเภทพัฒนาผลงาน โครงงานประเภทนี้ เป็นโครงงานที่เกิดจากการศึกษาเนื้อหาทางวิชาการ หรือหลักทฤษฎีเกี่ยวกับวิชาการงานและอาชีพหรือวิชาสามัญต่างๆ แล้วนามา ปรับปรุงและพัฒนาให้สอดคล้องกับแนวทางทฤษฎีดังกล่าว ส่งผลให้มีผลงานเป็น รูปธรรมยิ่งขึ้น ตังอย่างเช่น เมื่อนักเรียนได้ศึกษาทางทฤษฎีเกี่ยวกับ พลังงานแสงอาทิตย์นักเรียนอาจทา โครงงานสร้างเครื่องอบกล้วยด้วยแสงแดด ต้อูบ เนื้อสัตว์ต่างๆ เครื่องทา น้า ร้อน เป็นต้น พืชสมุนไพร นักเรียนอาจทา โครงงานการใช้ยาปราบศัตรูพืชด้วยพืชสมุนไพร กา จัดเพลี้ย หนอน แมลงปีกแข็ง เป็นต้น การถนอมอาหาร นักเรียนอาจทา โครงงาน การแปรรูปผลผลิต การทา ผักกาดดอง สามรส การทา ไส้กรอก การดองพืชผัก ผลไม้ต่างๆ เป็นต้น การเลี้ยงปลา นักเรียนอาจทา โครงงาน การเลี้ยงปลาสวยงาม การเปลี่ยนสีปลา ออสก้า เป็นต้น
  • 8. ประเภทสร้างสิ่งประดิษฐ์ โครงงานประเภทนี้เป็นโครงงานสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆขึ้นมา หลังจากที่ได้ศึกษาทฤษฎีหรือพบเห็นผลงานของผู้อื่นแล้ว เกิดความคิด สร้างสรรค์ที่จะพัฒนาต่อไป จึงประดิษฐ์คิดค้นให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ดี ยิ่งขึ้น เช่น - การควบคุมระบบการให้น้า ในแปลงเพาะชา - การประดิษฐ์หัวฉีดพ่นน้า ในแปลงปลูกผัก - การประดิษฐ์ของชา ร่วย - การประดิษฐ์เครื่องรับวิทยุ - การประดิษฐ์เครื่องเสียง - การออกแบบเสื้อผ้าชาย หญิง
  • 9. ประเภทสารวจข้อมูล โครงงานประเภทนี้ เป็นโครงงานการศึกษาสา รวจข้อมูลสา หรับดา เนินงาน พัฒนาปรับปรุงเพิ่มเติมผลงานและส่งเสริมผลผลิตให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น ข้อมูลดังกล่าว อาจมีผู้จัดทา แต่มีการแปรเปลี่ยนไปแล้ว ต้องทา การสา รวจจัดทา ขึ้นมาใหม่ให้ทันสมัย อยู่เสมอ เช่น - การสารวจราคาผลผลิตเกษตรในท้องถิ่น - การสารวจราคาสิ้นค้าอุปโภคบริโภคในท้องถิ่น - การสารวจแหล่งวิชาการและสถานประกอบการในท้องถิ่น - การสารวจงานบริการในท้องถิ่น - การสารวจการปลูกข้าวโพดในท้องถิ่น - การสา รวจปริมาณการเลี้ยงไก่เนื้อในท้องถิ่น - การสา รวจปริมาณการเลี้ยงห่านในท้องถิ่น ที่มา : http://www.pbj.ac.th/tawattidate/projcet/pro/lean2.htm
  • 10. ใบงานที่ 4 โครงงานประเภท การพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา
  • 11. ลักษณะเด่นของโครงงานประเภทนี้คือ เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ ในการผลิตสื่อเพื่อการศึกษา โดยการสร้างโปรแกรมบทเรียนหรือหน่วยการเรียน ซึ่งอาจจะต้องมีภาคแบบฝึกหัด บททบทวน และคา ถามคา ตอบไว้พร้อม ผู้เรียน สามารถเรียนแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่มการสอน โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน นี้ ถือว่าคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์การสอน ซึ่งอาจเป็นการพัฒนาบทเรียนแบบ ออนไลน์ ให้ผู้เรียนเข้ามาศึกษาด้วยตนเองก็ได้ โครงงานประเภทนี้สามารถ พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ประกอบการสอนในวิชาต่างๆ โดยผู้เรียนอาจคัดเลือกเนื้อหาที่ เข้าใจยากมาเป็นหัวข้อในการพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา
  • 13. ใบงานที่ 5 โครงงานประเภท การพัฒนาเครื่องมือ
  • 14. เป็นโครงงานเพื่อพัฒนาเครื่องมือช่วย สร้างงานประยุกต์ต่างๆ โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปซอฟต์แวร์ เช่น ซอฟต์แวร์วาดรูปซอฟต์แวร์พิมพ์งาน และซอฟต์แวร์ ช่วยการมองวัตถุในมุมต่างๆ เป็นต้น สาหรับซอฟต์แวร์เพื่อการ พิมพ์งานนัน้สร้างขึน้เป็นโปรแกรมประมวลราคาซงึ่จะเป็นเครื่องมอืให้เราใช้ใน การพิมพ์งานต่างๆบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ส่วนซอฟต์แวร์ การวาดรูป พัฒนาขึน้ เพื่ออานวยความสะดวกให้การวาดรูปบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้เป็นไปได้ โดยง่าย สาหรับซอฟต์แวร์ ช่วยการมองวัตถุในมุมต่างๆ ใช้สาหรับช่วยการ ออกแบบสงิ่ของ อาทิเช่น ผู้ใช้วาดแจกันด้านหน้า และต้องการจะดูวาด้านบน และด้านข้างเป็นอย่างไร ก็ให้ซอฟต์แวร์เพื่อพิจารณาและแก้ไขภาพแจกันที่ ออกแบบไว้ได้อย่างสะดวกตัวอย่างโครงการการแข่งขันพัฒนาซอฟแวร์โครงการ "การแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แห่งประเทศไทย(National Software Contest: NSC)
  • 18. • การพัฒนาทักษะในการเขียนโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์นัน้ ประเทศไทยมี ศักยภาพในการแข่งขันกับต่างประเทศได้ แต่การผลิตบุคลากรที่จะมาพัฒนา โปรแกรมคอมพิวเตอร์ จะต้องอาศัยบุคลากรจานวนมากเพื่อเพิ่มศักยภาพในการ แข่งขันให้กับประเทศ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ แห่งชาติ (เนคเทค) จึงได้จัดทาโครงการการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศ ไทยนี้เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักเรียน นิสิต นักศึกษาได้มีโอกาสพัฒนาทักษะการ พัฒนาซอฟต์แวร์และนาเอาความรู้ที่ได้เรียนมาประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์ผลงาน โดยสนับสนุนเงินทุนเพื่อเป็นแรงจูงใจและกระตุนให้นกเรียน นิสิต นักศึกษาทาการ พัฒนาซอฟต์แวร์ด้วยตนเองและเปิดโอกาสให้มีการประกวดแข่งขันชิงเงินรางวัลใน ระดับประเทศ อันจะเป็นการสร้างเวทีสาหรับเยาวชนและผู้ที่สนใจในการพัฒนา ความรู้สู่การเป็นนักวิจัยระดับอาชีพต่อไป “โครงการสนับสนุนการพัฒนาซอฟต์แวร์ ขนาดเล็ก ”ซงึ่ได้เริ่มดาเนินการครัง้แรกตัง้แต่ปีงบประมาณ 2537 เนคเทคได้ปรับ กลยุทธ์ในการดาเนินโครงการโดยจัดให้มีเวทีการแข่งขันในระดับประเทศและเปลี่ยน ชื่อเป็น “การแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แห่งประเทศไทย (National Software Contest : NSC)” ในปี พ.ศ. 2542 ซงึ่ผู้ชนะเลิศในแต่ละ ประเภทจะได้รับ
  • 20. • เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการจาลองการทดลองของสาขา ต่างๆ ซึ่งเป็นงานที่ไม่สามารถทดลองด้วยสถานการณ์จริงได้เช่น การ จุดระเบิด เป็นต้น และเป็นโครงงานที่ผู้ทาต้องศึกษารวบรวมความรู้ หลักการ ข้อเท็จจริง และแนวคิดต่างๆ อย่างลึกซึง้ในเรื่องทตี่้องการ ศึกษาแล้วเสนอเป็นแนวคิด แบบจาลอง หลักการ ซงึ่อาจอยู่ในรูปของ สูตร สมการ หรือคาอธิบาย พร้อมทัง้การจาลองทฤษฏีด้วยคอมพิวเตอร์ ให้ออกมาเป็นภาพ ภาพที่ได้ก็จะเปลี่ยนไปตามสูตรหรือสมการนัน้ ซงึ่ จะทาให้ผู้เรียนมีความเข้าใจได้ดียิ่งขึน้ การทาโครงงานประเภทนีมี้ จุดสาคัญอยู่ที่ผู้ทาต้องมีความรู้ในเรื่องนัน้ๆ เป็นอย่างดี ตัวอย่าง โครงงานจาลองทฤษฎี เช่น การทดลองเรื่องการไหลของของเหลว การทดลองเรื่องพฤติกรรมของปลาปิรันย่า และการทดลองเรื่องการ มองเห็นวัตถุแบบสามมิติ เป็นต้น
  • 21. • การทา โครงงานมีขั้นตอนการปฏิบัติ ดังนี้ ๒.๑ การคิดและการเลือกหัวเรื่อง ผู้เรียนจะต้องคิด และเลือกหัวเรื่องของโครงงานด้วย ตนเองว่าอยากจะศึกษาอะไร ทาไมจึงอยากศึกษา หัวเรื่องของโครงงานมักจะได้มาจากปัญหา คา ถามหรือความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ของผู้เรียนเอง หัวเรื่องของโครงงานควร เฉพาะเจาะจงและชัดเจน เมื่อใครได้อ่านชื่อเรื่องแล้วควรเข้าใจและรู้เรื่องว่าโครงงานนี้ทา จาก อะไร การกา หนดหัวเรื่องของโครงงานนั้นมีแหล่งที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดความคิดและความ สนใจหลายแหล่งด้วยกัน เช่น จากการอ่านหนังสือ เอกสาร บทความ การเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ การฟังบรรยายทางวิชาการ การเข้าชมนิทรรศการหรืองานประกวดโครงงานทางวิทยาศาสตร์ การสนทนากับบุคคลต่างๆ หรือจาการสังเกตปรากฏการณ์ต่างๆ รอบตัว เป็นต้น นอกจากนี้ ควร คานึงถึงประเด็นต่อไปนี้ - ความเหมาะสมของระดับความรู้ ความสามารถของผู้เรียน - วัสดุ อุปกรณ์ ที่ใช้ - งบประมาณ - ระยะเวลา - ความปลอดภัย - แหล่งความรู้
  • 22. ๒.๒ การวางแผน ต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า เพื่อให้การดาเนินการเป็นไปอย่างรัดกุมและรอบคอบ ไม่สับสน แล้วนาเสนอ ต่อผู้สอนหรือครูที่ปรึกษาเพื่อขอความเห็นชอบก่อนดาเนินการขัน้ต่อไป การเขียนเค้าโครงของโครงงาน โดยทวั่ไป เขียนเพื่อแสดงแนวคิด แผนงาน และขัน้ตอนการทาโครงงาน ซงึ่ควรประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้ ๑) ชื่อโครงงาน ควรเป็นข้อความที่กะทัดรัด ชัดเจน สื่อความหมายได้ตรง ๒) ชื่อผู้ทาโครงงาน ๓) ชื่อที่ปรึกษาโครงงาน ๔) หลักการและเหตุผลของโครงงาน เป็นการอธิบายว่าเหตุใดจึงเลือกทาโครงงานเรื่องนี้มีความสาคัญ อย่างไร มีหลักการหรือทฤษฎีอะไรที่เกี่ยวข้อง เรื่องที่ทาเป็นเรื่องใหม่หรือมีผู้อื่นได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องนีไ้ว้บ้างแล้ว ถ้ามี ได้ผลอย่างไร เรื่องที่ทาได้ขยายเพิ่มเติม ปรับปรุงจากเรื่องที่ผู้อื่นทาไว้อย่างไร หรือเป็นการทาซา้เพื่อตรวจสอบผล ๕) จุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ควรมีความเฉพาะเจาะจง และสามารถวัดได้ เป็นการบอกขอบเขตของงานที่ จะทาได้ชัดเจนขึน้ ๖) สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า (ถ้ามี) สมมติฐานเป็นคาตอบหรือคาอธิบายที่คาดไว้ล่วงหน้า ซึ่งอาจจะ ถูกหรือไม่ก็ได้ การเขียนสมมติฐานควรมีเหตุมีผลมีทฤษฎีหรือหลักการรองรับ และที่สาคัญ คือ เป็นข้อความที่มองเห็น แนวทางในการดาเนินการทดสอบได้ นอกจากนีค้วรมีความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตามด้วย ๗) วิธีดาเนินงานและขัน้ตอนการดาเนินงาน จะต้องอธิบายว่า จะออกแบบการทดลองอะไรอย่างไร จะเก็บ ข้อมูลอะไรบ้างรวมทัง้ระบุวัสดุอุปกรณ์ที่จาเป็นต้องใช้ มีอะไรบ้าง ๘) แผนปฏิบัติงาน อธิบายเกี่ยวกับกาหนดเวลาตัง้แต่เริ่มต้นจนเสร็จสิน้การดาเนินงานในแต่ละขัน้ตอน ๙) ผลที่คาดว่าจะได้รับ ๑๐) เอกสารอ้างอิง
  • 23. 2.3 การดาเนินงาน เมื่อที่ปรึกษาโครงงานให้ความเห็นชอบเค้าโครงของโครงงานแล้ว ต่อไปก็เป็นขัน้ลงมือ ปฏิบัติงานตามขัน้ตอนที่ระบุไว้ ผู้เรียนต้องพยายามทาตามแผนงานที่วางไว้ เตรียมวัสดุอุปกรณ์และสถานที่ ให้พร้อมปฏิบัติงานด้วยความละเอียดรอบคอบ คานึงถึงความประหยัดและปลอดภัยในการทางาน ตลอดจน การบันทึกข้อมูลต่างๆ ว่าได้ทาอะไรไปบ้าง ได้ผลอย่างไร มีปัญหาและข้อคิดเห็นอย่างไร พยายามบันทึกให้ เป็นระเบียบและครบถ้วน 2.4การเขียนรายงาน การเขียนรายงานเกี่ยวกับโครงงาน เป็นวิธีสื่อความหมายวิธีหนงึ่ที่จะให้ผู้อื่นได้เข้าใจถึงแนวคิด วิธีการดาเนินงาน ผลที่ได้ ตลอดจนข้อสรุปและข้อเสนอแนะต่างๆ ที่เกี่ยวกับโครงงานนัน้ การเขียนโครงงาน ควรใช้ภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย ชัดเจนและครอบคลุมประเด็นสาคัญๆ ทัง้หมดของโครงงาน 2.5 การนาเสนอผลงาน การนาเสนอผลงาน เป็นขัน้ตอนสุดท้ายของการทาโครงงานและเข้าใจถึงผลงานนัน้ การนาเสนอ ผลงานอาจทาได้หลายรูปแบบ ขึน้อยู่กับความเหมาะสมต่อประเภทของโครงงาน เนือ้หา เวลา ระดับของ ผู้เรียน เช่น การแสดงบทบาทสมมติ การเล่าเรื่อง การเขียนรายงาน สถานการณ์จาลอง การสาธิต การจัด นิทรรศการ ซงึ่อาจมีทัง้การจัดแสดงและการอธิบายด้วยคาพูด หรือการรายงานปากเปล่า การบรรยาย สิ่ง สาคัญคือ พยายามทาให้การแสดงผลงานนัน้ดึงดูดความสนใจของผู้ชม มีความชัดเจน เข้าใจง่าย และมี ความถูกต้องของเนือ้หา
  • 24. ๓. การเขียนรายงานโครงงาน การเขียนรายงานโครงงานเป็นรูปแบบหนึ่งของการนาเสนอผลงานของโครงงานที่ผู้เรียนได้ศึกษา ค้นคว้าตัง้แต่ต้นจนจบ การกาหนดหัวข้อในการเขียนรายงานโครงงานอาจไม่ระบุตายตัวเหมือนกันทุก โครงงาน ส่วนประกอบของหัวข้อในรายงานต้องเหมาะสมกับประเภทของโครงงานและระดับชัน้ของผู้เรียน องค์ประกอบของการเขียนรายงานโครงงาน แบ่งกว้างๆ เป็น ๓ ส่วน ดังนี้ ๑. ส่วนปกและส่วนต้น ส่วนปกและส่วนต้น ประกอบด้วย ๑) ชื่อโครงงาน ๒) ชื่อผู้ทาโครงงาน ชัน้ โรงเรียน และวันเดือนปีที่จัดทา ๓) ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา ๔) คานา ๕) สารบัญ ๖) สารบัญตาราง หรือภาพประกอบ (ถ้ามี) ๗) บทคัดย่อสัน้ๆ ที่บอกเค้าโครงอย่างย่อๆ ซงึ่ประกอบด้วย เรื่อง วัตถุประสงค์ วิธีการศึกษา ระยะเวลา และสรุปผล ๘) กิตติกรรมประกาศ เพื่อแสดงความขอบคุณบุคคล หรือหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือหรือมีส่วนเกี่ยวข้อง
  • 25. ๒. ส่วนเนือ้เรื่อง ประกอบด้วย ๑) บทนา บอกความเป็นมา ความสาคัญของโครงงาน บอกเหตุผล หรือเหตุจูงใจในการเลือกหัวข้อ โครงงาน ๒) วัตถุประสงค์ของโครงงาน ๓) สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า ๔) การดาเนินงาน อาจเขียนเป็นตาราง แผนผังโครงงานเพื่อให้การดาเนินงานเป็นไปตามหัวข้อเรื่อง ตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงงาน และพิสูจน์คาตอบ (สมมติฐาน) ตามประเด็นที่กาหนด ดังตัวอย่างการ เขียนแผนผังโครงงานต่อไปนี้ ในแผนผังโครงงานทาให้เห็นระบบการทางานอย่างมีเป้าหมาย มีการวางแผนการทางาน จะเห็นได้ ว่าสิ่งที่ต้องการทราบ คือ หัวข้อย่อย หรือคาถามย่อยของหัวข้อโครงงาน ถ้ามีมาก ๑ ข้อ ก็จะเรียงลาดับทีละ หัวข้อ พร้อมทัง้บอกสมมติฐาน วิธีศึกษา และแหลง่ศึกษาค้นคว้าตามแผนผังให้ครบทุกข้อ สิ่งที่ต้องการ ทราบ สมมติฐาน วิธีการศึกษา แหล่งศึกษา/แหล่งข้อมูล หัวข้อย่อยจากหัวข้อเรื่องของโครงงานที่ต้องการหา คาตอบ การตอบคาถามล่วงหน้า ค้นคว้า สอบถาม สัมภาษณ์ สังเกต ศึกษาโดยการดู-ฟัง จากสื่อชนิดต่างๆ - เอกสาร หนังสือ - สถานที่ บุคคล ๕) สรุปผลการศึกษา เป็นการอธิบายคาตอบที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า ตามหัวข้อย่อยที่ต้องการ ทราบ ว่าเป็นไปตามสมมติฐานหรือไม่ ๖) อภิปรายผล บอกประโยชน์ หรือคุณค่าของผลงานที่ได้ และบอกข้อจากัดหรือปัญหา อุปสรรค (ถ้ามี) พร้อมทัง้บอกข้อเสนอแนะในการศึกษาค้นคว้า โครงงานลักษณะใกล้เคียงกัน
  • 26. ๓. ส่วนท้าย ประกอบด้วย ๑) บรรณานุกรม หรือ เอกสารอ้างอิง หรือเอกสารที่ใช้ค้นคว้า ซึ่งมีหลายประเภท เช่น หนังสือ ตารา บทความ หรือคอลัมน์ ซึ่งจะมีวิธีการเขียนบรรณานุกรมต่างกัน เช่น หนังสือ ชื่อ นามสกุล. ชื่อหนังสือ. สถานที่พิมพ์ : สานักพิมพ์, ปีที่พิมพ์ บทความในวารสาร ชื่อผู้เขียน "ชื่อบทความ," ชื่อวารสาร. ปีที่หรือเล่มที่ : หน้า ;วัน เดือน ปี. คอลัมน์จากหนังสือพิมพ์ ์์ชื่อผู้เขียน "ชื่อคอลัมน์ : ชื่อเรื่องในคอลัมน์" ชื่อหนังสือพิมพ์.วัน เดือน ปี. หน้า. ๒) ภาคผนวก เช่น โครงร่างโครงงาน ภาพกิจกรรม แบบสอบถาม บทสัมภาษณ์ ในการทาโครงงานประเภททดลอง ต้องมีการจัดการกับตัวแปรที่จะมีผลต่อการทดลอง ซึ่งจะมี4 ชนิด คือ • ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ หมายถึง เหตุของการทดลองนัน้ๆ • ตัวแปรตาม ซึ่งจะเป็นผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต้น • ตัวแปรควบคุม หมายถึง สิ่งที่ต้องควบคุมให้เหมือนๆกัน มิฉะนัน้จะมีผลทาให้ตัวแปรตามเปลี่ยนไป • ตัวแปรแทรกซ้อน ซงึ่จริงๆแล้วก็คือ ตัวแปรควบคุมนนั่เอง แต่บางครัง้เราจะควบคุมไม่ได้ ซงึ่จะมีผล แทรกซ้อน ทาให้ผลการทดลองผิดไป แต่แก้ไขได้โดยการตัดข้อมูลที่ผิดพลาดทงิ้ไป
  • 27. ตัวอย่างโครงงานทดลองทฤษฎี 1. โปรแกรมสังเคราะห์ เสียงพูดเบือ้งต้น ที่มา : http://toffykz.blogspot.com/2012/08/6.html : http://dearmu.files.wordpress.com/2011/12/clip_image009_thumb.jpg?w=303&h=275
  • 28. ใบงานที่ 7 โครงงานประเภท การประยุกต์ใช้งาน
  • 29. ความหมาย 1. เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานจริงใน ชีวิต ประจาวัน เช่นซอฟต์แวร์สาหรับการออกแบบและตกแต่งอาคาร ซอฟต์แวร์สาหรับ การผสมสี ซอฟต์แวร์สาหรับการระบุคนร้าย เป็นต้น โครงงานงานประเภทนีจ้ะมีการ ประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่าง ๆ ซึ่งอาจจะสร้างใหม่หรือปรับปรุง ดัดแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มี ประสิทธิภาพสูงขึน้ก็ได้ โครงงานลักษณะนีจ้ะต้อง ศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ก่อนแล้วนา ข้อมูลที่ได้มาใช้ในการออกแบบ และพัฒนาสงิ่ของนัน้ ๆ ต่อจากนัน้ต้องมีการทดสอบการทางานหรือทดสอบคุณภาพ ของสิ่งประดิษฐ์แล้วปรับ ปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์ โครงงานประเภทนีนั้กเรียนต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับ เครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรม และ เครื่องมือต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทัง้อาจใช้วิธีทาง วิศวกรรมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ในการพัฒนา
  • 30. 2. เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการ สร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานจริงในชีวิตประจาวัน เช่น ซอฟต์แวร์สาหรับการออกแบบและตกแต่งภายในอาคาร ซอฟต์แวร์สาหรับการผสมสี และ ซอฟต์แวร์สาหรับการระบุคนร้าย เป็นต้น โครงงานประเภทนีจ้ะมีการประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆซงึ่อาจเป็นการคิดสร้างสิ่งของขึน้ใหม่ หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของเดิมที่ มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึน้ โครงงานลักษณะนีจ้ะต้องศึกษา และวิเคราะห์ความต้องการของ ผู้ใช้ก่อน แล้วนาข้อมูลที่ได้มาใช้ ในการออกแบบ และพัฒนาสิ่งของ นัน้ๆ ต่อจากนัน้ต้องมีการทดสอบ การทางานหรือทดสอบคุณภาพ ของสิ่งประดิษฐ์แล้วปรับปรุงแก้ไข ให้มีความสมบูรณ์ผู้เรียนต้องใช้ ความรู้เกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรม และเครื่องมือ ต่างๆที่เกี่ยวข้อง
  • 31. (3) สร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานในชีวิตประจาวัน เช่น ซอฟต์แวร์สาหรับการออกแบบและ ตกแต่งภายในอาคาร ซอฟต์แวร์สาหรับการผสมสี และซอฟต์แวร์สาหรับการระบุคนร้าย เป็นต้น โครงงานประเภทนีจ้ะมีการประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ ซึ่งอาจเป็นการ คิดสร้างสิ่งของขึน้ใหม่ หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพสูงขึน้โครง งานลักษณะนีจ้ะต้องศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ก่อน แล้วนาข้อมูลที่ได้มาใช้ในการ ออกแบบ และพัฒนาสิ่งของนัน้ๆ ต่อจากนัน้ต้องมีการทดสอบการทางานหรือทดสอบคุณภาพของ สิ่งประดิษฐ์แล้วปรับ ปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์ โครงงานประเภทนีผู้้เรียนต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับ เครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรม และเครื่องมือต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โปรแกรมระบบงานการกีฬา โปรแกรมระบบแฟ้มฐานข้อมูลผู้เรียน 2001
  • 32. ตัวอย่างของโครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน 1. โปรแกรม สารบรรณสาเร็จรูป : Readymade Archivis 2. โปรแกรมระบบฐานข้อมูลทางการแพทย์เบือ้งต้น 3. โปรแกรมระบบแฟ้มฐานข้อมูลผู้เรียน 2001 4. เครื่องรดนา้ต้นไม้และให้อาหารปลาผ่านโทรศัพท์มือถือ 5. เครื่องให้อาหารไก่ไข่อัตโนมัติ 6. ระบบบริหารจัดการข้อมูลผู้เรียนของโรงเรียน 7. ระบบจัดการข้อมูลการเงินส่วนบุคคล 8. ระบบจองตวั๋รถไฟบนอินเทอร์เน็ต 9. ระบบแนะนาเส้นทางเดินรถประจาทาง 10. โปรแกรมสังเคราะห์เสียงสาหรับคนตาบอดบนรถประจาทาง 11. โปรแกรมออกและตรวจข้อสอบ 12. โฮมเพจส่วนบุคคล ที่มา : http://oumsunipharuamsap.blogspot.com/2012/09/7-thanapongkiatsujja.html
  • 33. ใบงานที่ 8 โครงงานประเภท การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์
  • 34. เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานจริงใน ชีวิตประจาวัน เช่น ซอฟต์แวร์สาหรับการออกแบบและตกแต่งอาคาร ซอฟต์แวร์ สาหรับการผสมสี ซอฟต์แวร์สาหรับการระบุคนร้าย เป็นต้น โครงงานงานประเภทนีจ้ะ มีการประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่าง ๆ ซึ่งอาจจะสร้างใหม่หรือ ปรับปรุงดัดแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มี ประสิทธิภาพสูงขึน้ก็ได้ โครงงานลักษณะนี้ จะต้องศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ก่อน แล้วนาข้อมูลที่ได้มาใช้ในการ ออกแบบ และพัฒนาสงิ่ของนัน้ ๆ ต่อจากนัน้ต้องมีการทดสอบการทางานหรือ ทดสอบคุณภาพของสิ่งประดิษฐ์แล้วปรับปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์ โครงงาน ประเภทนีนั้กเรียนต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ภาษาโปรแกรม และ เครื่องมือต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทัง้อาจใช้วิธีทางวิศวกรรมฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ในการพัฒนาด้วย ทีมา : http://yukariisan.blogspot.com/2012/09/8.html
  • 36. 2. โปรแกรม ต่อให้เพิ่ม เติมให้เต็ม (Magic Puzzle)