Enviar búsqueda
Cargar
1 repro
•
3 recomendaciones
•
2,290 vistas
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
Seguir
Denunciar
Compartir
Denunciar
Compartir
1 de 17
Descargar ahora
Descargar para leer sin conexión
Recomendados
พันธูกรรม1
พันธูกรรม1
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
Genetics
Genetics
kaew3920277
พันธุกรรม
พันธุกรรม
supreechafkk
พันธุกรรม
พันธุกรรม
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
เรื่องพันธุศาสตร์ genetics ตอนที่ 1
เรื่องพันธุศาสตร์ genetics ตอนที่ 1
kasidid20309
การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
Biobiome
บทที่ 16 การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
บทที่ 16 การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
ฟลุ๊ค ลำพูน
พันธุกรรม
พันธุกรรม
พิรุณพรรณ พลมุข
Recomendados
พันธูกรรม1
พันธูกรรม1
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
Genetics
Genetics
kaew3920277
พันธุกรรม
พันธุกรรม
supreechafkk
พันธุกรรม
พันธุกรรม
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
เรื่องพันธุศาสตร์ genetics ตอนที่ 1
เรื่องพันธุศาสตร์ genetics ตอนที่ 1
kasidid20309
การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
Biobiome
บทที่ 16 การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
บทที่ 16 การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
ฟลุ๊ค ลำพูน
พันธุกรรม
พันธุกรรม
พิรุณพรรณ พลมุข
Genetics
Genetics
Bios Logos
Aaa
Aaa
kanogpornwongchaleekul
พันธุศาสตร์
พันธุศาสตร์
zidane36
บท1พันธุกรรมเพิ่ม
บท1พันธุกรรมเพิ่ม
Wichai Likitponrak
ข้อสอบกลางภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 ชั้น ม.6
ข้อสอบกลางภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 ชั้น ม.6
Nattapong Boonpong
เอกสารประกอบการสอน พันธุศาสตร์
เอกสารประกอบการสอน พันธุศาสตร์
Biobiome
พันธุกรรมเพิ่ม
พันธุกรรมเพิ่ม
Wichai Likitponrak
Tutur(biology)0 net 3
Tutur(biology)0 net 3
สำเร็จ นางสีคุณ
บทที่ 15 การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
บทที่ 15 การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
Pinutchaya Nakchumroon
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
สุรีย์ ทองวณิชนิยม
การแปรผันทางพันธุกรรม (Genetic variation)
การแปรผันทางพันธุกรรม (Genetic variation)
พัน พัน
พันธุกรรม
พันธุกรรม
krudararad
13แบบทดสอบโครโมโซมและการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม
13แบบทดสอบโครโมโซมและการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม
สำเร็จ นางสีคุณ
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมตามกฎเมนเดล by pitsanu duangkartok
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมตามกฎเมนเดล by pitsanu duangkartok
pitsanu duangkartok
บฝ.การกำหนดเพศและยีนที่เกี่ยวเนื่องกับเพศ
บฝ.การกำหนดเพศและยีนที่เกี่ยวเนื่องกับเพศ
Maikeed Tawun
บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม1
บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม1
Yaovaree Nornakhum
พันธุกรรม2
พันธุกรรม2
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์
แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์
Jinwara Sriwichai
แบบทดสอบ บทที่ 6 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
แบบทดสอบ บทที่ 6 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
dnavaroj
Mitosis1 [compatibility mode]
Mitosis1 [compatibility mode]
kanogpornwongchaleekul
Lesson4 animalrepro2561
Lesson4 animalrepro2561
Wichai Likitponrak
การสืบพันธุ2
การสืบพันธุ2
Coverslide Bio
Más contenido relacionado
La actualidad más candente
Genetics
Genetics
Bios Logos
Aaa
Aaa
kanogpornwongchaleekul
พันธุศาสตร์
พันธุศาสตร์
zidane36
บท1พันธุกรรมเพิ่ม
บท1พันธุกรรมเพิ่ม
Wichai Likitponrak
ข้อสอบกลางภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 ชั้น ม.6
ข้อสอบกลางภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 ชั้น ม.6
Nattapong Boonpong
เอกสารประกอบการสอน พันธุศาสตร์
เอกสารประกอบการสอน พันธุศาสตร์
Biobiome
พันธุกรรมเพิ่ม
พันธุกรรมเพิ่ม
Wichai Likitponrak
Tutur(biology)0 net 3
Tutur(biology)0 net 3
สำเร็จ นางสีคุณ
บทที่ 15 การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
บทที่ 15 การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
Pinutchaya Nakchumroon
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
สุรีย์ ทองวณิชนิยม
การแปรผันทางพันธุกรรม (Genetic variation)
การแปรผันทางพันธุกรรม (Genetic variation)
พัน พัน
พันธุกรรม
พันธุกรรม
krudararad
13แบบทดสอบโครโมโซมและการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม
13แบบทดสอบโครโมโซมและการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม
สำเร็จ นางสีคุณ
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมตามกฎเมนเดล by pitsanu duangkartok
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมตามกฎเมนเดล by pitsanu duangkartok
pitsanu duangkartok
บฝ.การกำหนดเพศและยีนที่เกี่ยวเนื่องกับเพศ
บฝ.การกำหนดเพศและยีนที่เกี่ยวเนื่องกับเพศ
Maikeed Tawun
บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม1
บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม1
Yaovaree Nornakhum
พันธุกรรม2
พันธุกรรม2
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์
แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์
Jinwara Sriwichai
แบบทดสอบ บทที่ 6 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
แบบทดสอบ บทที่ 6 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
dnavaroj
Mitosis1 [compatibility mode]
Mitosis1 [compatibility mode]
kanogpornwongchaleekul
La actualidad más candente
(20)
Genetics
Genetics
Aaa
Aaa
พันธุศาสตร์
พันธุศาสตร์
บท1พันธุกรรมเพิ่ม
บท1พันธุกรรมเพิ่ม
ข้อสอบกลางภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 ชั้น ม.6
ข้อสอบกลางภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 ชั้น ม.6
เอกสารประกอบการสอน พันธุศาสตร์
เอกสารประกอบการสอน พันธุศาสตร์
พันธุกรรมเพิ่ม
พันธุกรรมเพิ่ม
Tutur(biology)0 net 3
Tutur(biology)0 net 3
บทที่ 15 การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
บทที่ 15 การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
การแปรผันทางพันธุกรรม (Genetic variation)
การแปรผันทางพันธุกรรม (Genetic variation)
พันธุกรรม
พันธุกรรม
13แบบทดสอบโครโมโซมและการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม
13แบบทดสอบโครโมโซมและการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมตามกฎเมนเดล by pitsanu duangkartok
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมตามกฎเมนเดล by pitsanu duangkartok
บฝ.การกำหนดเพศและยีนที่เกี่ยวเนื่องกับเพศ
บฝ.การกำหนดเพศและยีนที่เกี่ยวเนื่องกับเพศ
บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม1
บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม1
พันธุกรรม2
พันธุกรรม2
แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์
แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์
แบบทดสอบ บทที่ 6 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
แบบทดสอบ บทที่ 6 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
Mitosis1 [compatibility mode]
Mitosis1 [compatibility mode]
Similar a 1 repro
Lesson4 animalrepro2561
Lesson4 animalrepro2561
Wichai Likitponrak
การสืบพันธุ2
การสืบพันธุ2
Coverslide Bio
การสืบพันธ์
การสืบพันธ์
อังสนา แสนเยีย
กำเนิดสปีชีส์
กำเนิดสปีชีส์
Wan Ngamwongwan
กำเนิดสปีชีส์
กำเนิดสปีชีส์
Wan Ngamwongwan
Reproduction
Reproduction
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
Reproduction
Reproduction
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
Chapter6
Chapter6
Freedom'life By-SnoOker
1
1
pang_patpp
1
1
pang_patpp
บทที่-5-การสืบพันธุ์.ppt
บทที่-5-การสืบพันธุ์.ppt
rathachokharaluya
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
supreechafkk
ความหลากหลายนิเวศ190957
ความหลากหลายนิเวศ190957
Myundo
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
Namthip Theangtrong
สืบพันธุ์
สืบพันธุ์
Wichai Likitponrak
บทที่ 14 การสืบพันธ์ของพืชดอก
บทที่ 14 การสืบพันธ์ของพืชดอก
ฟลุ๊ค ลำพูน
บทที่ 13 การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต (1)
บทที่ 13 การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต (1)
Pinutchaya Nakchumroon
การสืบพันธุ์
การสืบพันธุ์
Wan Ngamwongwan
Lesson4animalrepro kr uwichai62
Lesson4animalrepro kr uwichai62
Wichai Likitponrak
ความหลากหลายทางชีวภาพ
ความหลากหลายทางชีวภาพ
Supaluk Juntap
Similar a 1 repro
(20)
Lesson4 animalrepro2561
Lesson4 animalrepro2561
การสืบพันธุ2
การสืบพันธุ2
การสืบพันธ์
การสืบพันธ์
กำเนิดสปีชีส์
กำเนิดสปีชีส์
กำเนิดสปีชีส์
กำเนิดสปีชีส์
Reproduction
Reproduction
Reproduction
Reproduction
Chapter6
Chapter6
1
1
1
1
บทที่-5-การสืบพันธุ์.ppt
บทที่-5-การสืบพันธุ์.ppt
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
ความหลากหลายนิเวศ190957
ความหลากหลายนิเวศ190957
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
สืบพันธุ์
สืบพันธุ์
บทที่ 14 การสืบพันธ์ของพืชดอก
บทที่ 14 การสืบพันธ์ของพืชดอก
บทที่ 13 การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต (1)
บทที่ 13 การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต (1)
การสืบพันธุ์
การสืบพันธุ์
Lesson4animalrepro kr uwichai62
Lesson4animalrepro kr uwichai62
ความหลากหลายทางชีวภาพ
ความหลากหลายทางชีวภาพ
Más de โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
การเคลื่อนที่
การเคลื่อนที่
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
พันธุกรรม2
พันธุกรรม2
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
ฮอร์โมน
ฮอร์โมน
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
ระบบต่อมไร้ท่อ
ระบบต่อมไร้ท่อ
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
Knowledge
Knowledge
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
ยีนและโครโมโซม
ยีนและโครโมโซม
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
เกรด.5ปี53.
เกรด.5ปี53.
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
เกรด.5ปี53
เกรด.5ปี53
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
เกรดม.4ปี53
เกรดม.4ปี53
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
หน่วยของสิ่งมีชีวิต
หน่วยของสิ่งมีชีวิต
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
Hemo
Hemo
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
Hemo
Hemo
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
การอสอนประวัติศาสตร์
การอสอนประวัติศาสตร์
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
ประชุมจัดตั้งศูนย์พัฒนาการเรียนรู้ประวัติศาสตร์
ประชุมจัดตั้งศูนย์พัฒนาการเรียนรู้ประวัติศาสตร์
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
แบบฝึกหัด
แบบฝึกหัด
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
test
test
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
เราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไร พื้นฐาน
เราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไร พื้นฐาน
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
Más de โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
(20)
การเคลื่อนที่
การเคลื่อนที่
พันธุกรรม2
พันธุกรรม2
ฮอร์โมน
ฮอร์โมน
ระบบต่อมไร้ท่อ
ระบบต่อมไร้ท่อ
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
Knowledge
Knowledge
ยีนและโครโมโซม
ยีนและโครโมโซม
เกรด.5ปี53.
เกรด.5ปี53.
เกรด.5ปี53
เกรด.5ปี53
เกรดม.4ปี53
เกรดม.4ปี53
หน่วยของสิ่งมีชีวิต
หน่วยของสิ่งมีชีวิต
Hemo
Hemo
Hemo
Hemo
การอสอนประวัติศาสตร์
การอสอนประวัติศาสตร์
ประชุมจัดตั้งศูนย์พัฒนาการเรียนรู้ประวัติศาสตร์
ประชุมจัดตั้งศูนย์พัฒนาการเรียนรู้ประวัติศาสตร์
แบบฝึกหัด
แบบฝึกหัด
test
test
เราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไร พื้นฐาน
เราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไร พื้นฐาน
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
1 repro
1.
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 1 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต การสืบพันธุและการเจริญเติบโต (Reproduction and Development) สถาพร วรรณธนวิจารณ และธัญญรัตน ดําเกาะ ครูวิชาการ หมวดวิชาชีววิทยา การสืบพันธุ หมายถึง การกําเนิดสมาชิกใหมแกประชากรพรอมกับการถายทอด gene หรือ ลักษณะทางพันธุกรรมไปดวย เพื่อดํารงเผาพันธุไมใหสูญหายไปจากโลก ซึ่งในบทเรียนนี้จะกลาวถึง การสืบพันธุของสัตว การสืบพันธุของสัตว การสืบพันธุของสัตวแบงออกเปน 2 ประเภท คือการสืบพันธุแบบไมอาศัยเพศ(asexual reproduction) และการสืบพันธุแบบอาศัยเพศ (sexual reproduction) 1. การสืบพันธุแบบไมอาศัยเพศ (asexual reproduction) การสืบพันธุแบบนี้จะไดลุกจาก การแบงเซลลแบบไมโตซีส (mitosis) ลักษณะทางพันธุกรรมของลูกเหมือนพอแมทุกประการ มักพบ ในสัตวจําพวกไมมีกระดูกสันหลัง ซึ่งสามารถแบงออกไดหลายแบบ 1.1 การแตกหนอ (budding) การสืบพันธุแบบนี้สิ่งมีชีวิตตัวใหมเจริญจากกลุมเซลลที่ เรียกวา หนอ ซึ่งงอกออกมาจากตัวพอแม แลวหลุดออกเจริญกลายเปนตัวเต็มวัยตอไป ซึ่งแบง ออกเปน 1.1.1 การแตกหนอภายนอก (external budding) พบในพวกฟองน้ํา พวกไนดาเรีย ไดแก ไฮดรา โอบิเลีย เปนตน ภาพที่ 1 การแตกหนอของโอบิเลีย ไฮดรา 1.1.2 การแตกหนอภายใน (internal budding) หรือ การสรางเจมมูล (gemmule) เปนการสืบพันธุที่สรางหนออีกแบบหนึ่งอยูในรางกายของพอแม จะเจริญเปนสิ่งมีชีวิตตัวใหมไดเมื่อ ถูกปลอยออกมานอกรางกายพอแม พบในสิ่งมีชีวิตจําพวกฟองน้ํา ซึ่งจะเกิดในฟองน้ําจืดและฟองน้ํา
2.
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 2 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต ทะเลบางชนิด โดยการสรางเจมมูลมีปจจัยที่เกี่ยวของคือแสงและอุณหภูมิ โดยเจมมูลของฟองน้ําเกิด จากอารคีโอไซต1มารวมตัวกันอยูในมีโซฮิลแลวมีเปลือกไคตินหุม เมื่อตัวแมตายไป เจมมูลยังคงอยู รอดได ซึ่งจัดเปนลักษณะการดํารงพันธุแบบหนึ่ง การฟกตัวของเจมมูลไมเกี่ยวขอกับฤดูกาล แตเชื่อ วาเกิดจากความตองการภายในและความตองการอาหาร ภาพที่ 2 ลักษณะของเจมมูล 1.2 ฟสชัน (fission) การสืบพันธุแบบนี้เซลลพอแมจะแบงออกเปนสองสวนเทา ๆ กัน การแบงอาจแบงไดตามขวาง (transverse) หรือตามยาว (longitudinal) ไดสิ่งมีชีวิตใหม 2 ตัว ตัวอยางที่พบเชน พารามีเซียม (paramecium) พลานาเรีย (planaria) ภาพที่ 3 การฟสชั่นของ วอลวอก และพลานาเรีย 1.3 แฟรกแมนเทชัน(fragmentation) การสืบพันธุแบบนี้สิ่งมีชีวิตตัวใหมเจริญจากสวน รางกายของพอแมที่หลุดออกเปนทอน ๆ หรือเปนสวน ๆ พบในสิ่งมีชีวิตหลายเซลลเชน หนอนตัวแบน 1.4 การเกิดเอ็มบริโอจากเซลลรางกาย (somatic embryogenesis) หรือบางครั้งอาจ เรียกวา การงอกใหม (regeneration) ซึ่งจริงๆ แลวนั้นการงอกใหมหมายถึง ความสามารถในการ งอกใหมเพื่อเสริมสรางสวนที่ไดรับบาดแผลหรือขาดหายไป เชนการงอกใหมของหางจิ้งจก หรือการ งอกใหมของฟองน้ําเมื่อไดรับบาดแผล เปนตน แตในกรณีที่รางกายถูกตัดขาด หรือกลุมเซลลมา รวมตัวกันแลวเจริญเติบโตเปนตัวใหมจะเรียกวา การเกิดเอ็มบริโอจากเซลลรางกาย (somatic embryogenesis) เชน ถาแยกเซลลในฟองน้ําออกจากกันหมดแลวปลอยทิ้งไวจะเกิดการรวมตัวเปน 1 เปนเซลลอมีโบไซม(amoebocyte) ของฟองน้ําที่ทําหนาที่สรางเซลลสืบพันธุ
3.
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 3 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต เซลลกลุมเล็กๆ ซึงชิ้นของฟองน้ําแตละชิ้นและกลุมเซลลของฟองน้ําแตละกลุมสามารถเติบโตขึ้นมา เปนฟองน้ําใหมได หรือการเจริญเปนตัวใหมของพลานาเรียเมื่อถูกตัดขาดเปนชิ้นทั้งตามยาวและตาม ขวาง เปนตน 2. พารทีโนจีนีซีส (parthenogenesis) เซลลสืบพันธุเพศเมียเจริญเติบโตไปเปนสิ่งมีชีวิต ตัวใหมอยางสมบูรณ โดยไมตองผานกระบวนการปฏิสนธิ เชน พวกโรติเฟอร ผึ้ง มด ตอ แตน ไรแดง (water flea:Moina macrocopa) หรือตัวหนอนของแมลงบางชนิด เชน Miaser (Diptera) สามารถ สืบพันธุแบบพารทีโนจีนีซีสไดทั้งที่ยังเปนตัวออน เรียกวิธีการนี้วา พีโดเจเนซีส (paedogenesis) 3. การสืบพันธุแบบอาศัยเพศ (sexual reproduction) เปนการสืบพันธุที่มีการรวมตัว ระหวางนิวเคลียสของเซลลสืบพันธุเพศผู(male gamete) หรืออสุจิ (sperm) กับนิวเคลียสของเซลล สืบพันธุเพศเมีย(female gamete) หรือไข(egg) ซึ่งไดจากการแบงเซลลแบบไมโอซิส การรวมตัวของ นิวเคลียสดังกลาวเรียกวา การปฏิสนธิ(fertilization) การสืบพันธุแบบอาศัยเพศของสัตวจะมีการสรางเซลลสืบพันธุ โดยเซลลสบพันธุเพศเมียจะ ื สรางในรังไข เพศผูสรางอสุจิในอัณฑะ เมื่อนิวเคลียสของไขและอสุจิผสมกันจะเกิดการปฏิสนธิ ซึ่งการ สืบพันธุแบบอาศัยเพศของสัตวแบงออกเปน 2 กลุมคือ 3.1 กลุมที่มีอวัยวะสืบพันธุทั้งเพศอยูในตัวเดียวกัน หรือสัตวที่เปนกะเทย (hermaphrodite)มี การปฏิสนธิ 2 แบบ คื 3.1.1 การปฏิสนธิในตัวเอง (self fertilization) การเจริญของเซลลสืบพันธุทั้ง 2 ชนิด ของสัตวพวกนี้จะพรอมกัน จึงสามารถปฏิสนธิในตัวเองได เชน พยาธิตวตืด ั 3.1.2 การปฏิสนธิขามตัว (cross fertilization) การเจริญของเซลลสืบพันธุทั้ง 2 ชนิด ของสัตวพวกนี้จะไมพรอมกัน จึงมีการปฏิสนธิขามตัว เชน พลานาเรีย ไสเดือน 3.2 กลุมที่มอวัยวะสืบพันธุอยูแยกเพศผูเพศเมียกัน มักพบในสัตวชั้นสูง มีการแยกเพศ ี ใหเห็นกันอยางชัดเจนตางจากไฮดราหรือไสเดือนดินที่มีสองเพศอยูในตัวเดียวกัน สําหรับตัวผูมักจะมี สีสูดฉาด หรือสีเขมกวาตัวเมีย หรือมีเสียงรองไพเราะกวา เพราะจะเปนฝายดึงดูดใหตัวเมียเขาหา ซึ่ง มักเปนไปในทางตรงขามกับมนุษย ซึ่งมีการปฏิสนธิอยู 2 ประเภท 3.2.1 การปฏิสนธิภายนอก (external fertilization) ในการผสมพันธุของสัตวที่แยก เพสกันอยูคนละตัว การปฏิสนธิอาจมีทงภายนอกและภายในตัว สําหรับสัตวไมมีกระดูกสันหลังสวน ั้ ใหญ การปฏิสนธิมักเกิดภายนอกตัว เชนหอยบางกลุม กุง หรือปู การปฏิสนธิภายนอกนั้นมักเกิดกับ สัตวน้ํา โดยสัตวที่ผสมพันธุกันจะปลอยอสุจิและไขออกมาโดยไมตองจับคู โดยแตละตัวตางปลอย เซลลสืบพันธุออกมาเปนจํานวนมากมาย เซลลสบพันธุเพศผูหรืออสุจิจะวายน้ําและมุงตรงไปยังไข ื อยางถูกตองเพราะไขมีสารเคมีเปนตัวกระตุนอสุจิใหเขาหา ทําใหเซลลสบพันธุทั้งสองมีโอกาสไดพบ ื กันมากขึ้น แตถาไมพบกันเซลลสืบพันธุก็จะสลายตัวตายไป สําหรับสัตวทมีกระดูกสัตวหลังที่มีการปฏิสนธิภายนอกตัวจะมีการจับคูกันผสมพันธุ ี่ ในน้ํา ไดแก ปลาหลายชนิด กับสัตวสะเทินน้ําสะเทินบกเชน กบ คางคก อึ่งอาง หลังจากปฏิสนธิแลว ไขจะกลายเปนไซโกต ไซโกตจะแบงเซลลแบบไมโตซิสและเจริญเติบโตเปนตัวออนตอไป
4.
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 4 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต 3.2.2 การปฏิสนธิภายใน (internal fertilization) สัตวบางชนิดมีการปฏิสนธิภายใน ตัวแม โดยตัวผูตัวเมียจะจับคูกันแลวตัวผูปลอยอสุจิเขาไปในรางกายของตัวเมียแลวเกิดการปฏิสนธิได ไซโกต (ยกเวนสัตวบางชนิดเพศเมียจะปลอยไขเขาสูรางกายของเพศผู เชน มาน้า) จากนั้นไซโกตก็มี ํ การแบงเซลลแบบไมโอซิสเจริญไปเปนเอ็มบริโอ ซึ่งเอ็มบริโออาจเจริญภายนอกตัวแม เชนสัตวปก พวกนก ไก เปด หรือสัตวเลี้ยงลูกน้ํานม เชนตุนปากเปด เรียกสัตวพวกนี้วา Oviparous animals สวนสัตวที่มีการปฏิสนธิแลวเอ็มบริโอเจริญเติบโตภายในตัวแม จากนั้นคลอดออกมา เปนตัว โดยสามารถแบงออกไดเปน 2 ประเภท 1) เอ็มบริโอเจริญเติบโตในตัวแมโดยไดอาหารที่สะสมไวในไข เชน ฉลาม กระเบน เรียกสัตวพวกนี้วา Ovoviviparous animals 2) เอ็มบริโอเจริญเติบโตในตัวแมโดยไดอาหารจากแมทางรก เชน แมว สุนัข วัว ควาย รวมทั้งคน เรียกสัตวพวกนี้วา viviparous animals การสืบพันธุของมนุษย การสืบพันธุของมนุษยเปนแบบอาศัยเพศ โครงสรางของระบบสืบพันธุซับซอน การสืบพันธุไม เป น ไปตามฤดู ก าลเหมื อ นสั ต ว ช นิ ด อื่ น มี ก ลไกในร า งกายควบคุ ม ระบบการสื บ พั น ธุ ซึ่ ง กลไกนี้ เกี่ยวของกับระบบฮอรโมนหลายชนิด 1. โครงสรางของระบบสืบพันธุของมนุษย 1.1 โครงสรางของระบบสืบพันธุเพศชาย (reproduction anatomy of the human male) ไดแกสวนที่อยูดานนอก คือถุงอัณฑะ (scrotum) เพนิส (penis) และสวนที่อยูดานในไดแก อัณฑะ (testes) ตอม (accessory glands) และทอตาง ๆ (associate ducts) ภาพที่ 4 แสดงอวัยวะสืบพันธุเพศชาย
5.
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 5 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต อัณฑะเปนโครงสรางที่เจริญและพัฒนาอยูในชองทองของทารก กอนคลอดประมาณ 2 เดือน อัณฑะจะถูกดันจากชองทองใหเขาไปอยูในถุงอัณฑะนอกรางกาย เนื่องจากภายในชองทองมี อุณหภูมิไมเหมาะสมตอการเจริญและพัฒนาของเสปรม ในกรณีที่อัณฑะออกมาไมได ในที่สุดชายคน นั้นจะเปนหมัน ถุงอัณฑะมีลักษณะยื่นออกมานอกชองทองและมีชองทางติดตอกับชองทอง เรียกวา ชองอินกวัยนอล (inguinal canals) ซึ่งเปนชองที่คอนขางเปราะบาง การยกของหนักเกินไปอาจมีผล ทําใหเยื่อที่คลุมอยูฉีกขาด ทําใหลําไสบางสวนไหลไปอุดบริเวณปากถุงอัณฑะ ซึ่งเรียกอาการที่เกิดขึ้น วา ไสเลื่อน (ingunial hernia) ภาพที่ 5 แสดงสวนประกอบขององคชาติ และอัณฑะ ภายในอัณฑะประกอบดวยทอขนาดเล็กมวนขดอยูภายในเรียกวา ทอเซมินิเฟอรัสทิวบูล (seminiferous tubules) ทําหนาที่สรางเสปรม ซึ่งจะตองผานกระบวนการแบงเซลลสืบพันธุ หรือสเปอรมาโทเจีนีซิส(spermatogenesis) 1.1.1 สเปอรมาโทจีนีซีส (spermatogenesis) เปนกระบวนการสรางเซลลสืบพันธุ เมื่อเพศชายเขาสูวัยเจริญพันธุ โดยเริ่มตนจากเซลลที่เรียกวา สเปอรมาโทโกเนีย (spermatogonia) เจริญและพัฒนาไปเปน สเปอรมาโทไซต ขันที่หนึ่ง (primary spermatocyte) จากนั้นสเปอรมาโท ไซตขั้นที่หนึ่งจะเขาสูกระบวนการสรางเซลลสืบพันธุโดยการแบงเซลลแบบไมโอซีส (meiosis) เปน ระยะไมโอซีสขั้นแรก (meiosis I) ไดเซลลใหมเรียกวา สเปอรมาโทไซต ขั้นที่สอง (secondary spermatocyte) จากนั้นสเปอรมาโทไซตขั้นที่สอง จะแบงเซลลตอไปในระยะ ไมโอซีส ขั้นที่สอง (meiosis II) ได เซลลสเปอรมาทิด (spermatid) ในการแบงเซลลสืบพันธุแตละครั้งนั้น สเปอรมาโท ไซต ขั้นที่หนึ่ง 1 เซลล เมื่อแบงแลวจะไดสเปอรมาทิด 4 เซลล แตละซลลจะเปลี่ยนแปลงรูปรางได เซลลสเปรม ตอไป 1.1.2 สเปรม ประกอบดวย 3 สวน คือ หัว (head) คอ และลําตัว (midpiece) หาง (flagellum) โดยสวนหัวภายในบรรจุไวดวยนิวเคลียสและปลายสุดของหัวถูกหอหุมไวดวย อะโครโซม (acrosome) ซึ่งบรรจุเอนไซมสําหรับเขาเจาะไข อะโครโซมนั้น ถูกเปลี่ยนมาจากกอลจิคอมแพล็กซ (golgi complex) สวนคอและลําตัว สวนนี้ตรงกลางมีแกนเรียกวา แอกเซียลฟลาเมนต (axial filament) ตรงคอมีเซนโทรโซม 2 อัน ถูกพันดวยไมโทคอนเดรีย (mitochondria) แบบเกลียว และ เป น แหล ง ให พ ลั ง งานสํ า หรั บ การเคลื่ อ นที่ ข องสเป ร ม ส ว นแกนมี เ ยื่ อ หุ ม ไว ส ว นหางคื อ ส ว นของ แอกเซียลฟลาเมนตที่ไมมีเยื่อหุม มีหนาที่สําหรับการเคลื่อนที่
6.
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 6 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต ภายในทอเซมินิเฟอรัสทิวบูลนอกจากจะมีเซลลที่ไดกลาวมาแลว ยังมีเซลลอีกชนิดหนึ่ง เรียกวา เซลลเซอรโทริ (sertori cells) ทําหนาที่เปนเซลลพี่เลี้ยงใหกับสเปรม และระหวางที่สเปอรมาทิด เจริญไปเปนสเปรม เซลลเหลานี้ยังทําหนาที่กินเศษซากสวนที่เหลือของไซโทพลาสซึมของสเปอรมาทิด โดยวิธีการฟาโกไซต (phagocyte) ภาพที่ 6 กระบวนการสรางเซลลสืบพันธุเพศชาย นอกจากนั้นภายในอัณฑะยังมีเซลลที่เจริญอยูภายนอกทอเซมินิเฟอรัส ทิวบูลเรียกวา เซลลเลยดิก(Leydig cells) หรือเซลลอินเตอรสติเซียล(interstitial cells) เซลลชนิดนี่ทําหนาที่เปนที่ ผลิตฮอรโมนเพศชาย ที่สําคัญคือ เทสโทสเตอโรน (testosterone) และแอนโดรเจนชนิดอื่นๆ(androgen) ในเพศชาย สเปอรมาโทโกเนียแบงเซลลเพิ่มจํานวนตลอดวัยเจริญพันธุ ซึ่งสวนหนึ่งจะ สํารองไวเพื่อทวีจํานวนตอไป และอีกสวนหนึ่งเจริญไปเปนตัวอสุจิ ดังนั้นจึงสรางอสุจิไดตลอดอายุที่ รางกายยังสมบูรณและฮอรโมนเพศยังหลั่งตามปกติ ตัวอสุจิที่ถูกสรางขึ้นในหลอดผลิตตัวอสุจิที่ขด มวนอยูในพูอัณฑะแลวผานออกทางปลายหลอดที่คอนขางตรง(tubulus rectus) หลายอันซึ่งรวมกัน เปนเรที เททิส(rete testis) ซึ่งยังเปนโครงสรางอยูภายในลูกอัณฑะ จากนั้นตัวอสุจิเคลื่อนที่เขาสูทอนํา ภาพที่ 7 โครงสรางของสเปรม และฮอรโมนที่เกี่ยวของกับระบบสืบพันธุเพศชาย
7.
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 7 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต อสุจิเล็ก ๆ (ductus efferens) แลวรวมเขาทอนําอสุจิที่ซึ่งขดไปมา (dustus epididymis) และตอไปยัง ทอนําอสุจิใหญ(ductus deferens) บริเวณสวนทายของทออสุจิใหญจะขยายออกเปนถุงที่เรียกวา เซมินัลเวสิเคิล (seminal vesicle) ถุงนี้สรางน้ําเมือกสําหรับเปนอาหารและใหตัวอสุจิลอยตัวอยู สวน ทายสุดของทอในองคชาติ (penis) เรียกทอฉีดน้ําอสุจิ (ejaculatory duct) มีกลามเนื้อแข็งแรง ดังนั้น เมื่อหดตัวจะดันใหตัวอสุจิและน้ําเมือกเรียกวา น้ําอสุจิ (semen) ผานไปในทอขององคชาต (urethra) และออกสูภายนอกตรงปลายองคชาติ บริเวณทอที่ตัวอสุจิผานไปกอนถึงองคชาตจะมีตอมตาง ๆเชน ตอมลูกหมาก (prostate gland) ตอมคาวเปอร (Cowper’ gland)หรือตอมบัลโบยูรีทรัล (bulbourethal glands) เปนตน ทําหนาที่สรางน้ําเมือกสําหรับเปนอาหารและใหตัวอสุจิลอยอยู จะเห็นไดวาในระบบสืบพันธุเพศชายมีตอมชนิดตาง ๆทําหนาที่หลั่งของเหลวเขารวมกับ สเปรม ไดเปน semen ซึ่งในการหลั่งแตละครั้ง semen มีปริมาตรประมาณ 3.5 มิลลิลิตร และ ประกอบดวยสเปรมประมาณ 400 ลานเซลล ตอมตาง ๆ เหลานี้ไดแก 1) ตอมเซมินัลเวสิเคิล(seminal vesicle) มี 1 คูทําหนาที่หลั่งของเหลวที่เปนเมือก เหนียว(mucus), กรดอะมิโน (amino acid),น้ําตาลฟรุตโตส (fructose) เปนแหลงสรางพลังงานแก เซลลสเปรม นอกจากนี้ยังมีโพรสทาแกลนดินเปนฮอรโมนที่กระตุนใหเกิดการหดตัวของทอนํา ไขเพื่อชวยในการเคลื่อนที่ของสเปรม จากการศึกษาพบวาปริมาณของเหลวที่หลั่งออกมาจาก ตอมนี้ประมาณ 60 เปอรเซ็นต ของของเหลวในซีเมนทั้งหมด 2) ตอมลูกหมาก(prostate gland) เปนตอมที่มีขนาดใหญ 1 ตอมลอมรอบและ เปดเขาทอปสสาวะ ตอมนี้ทําหนาที่หลั่งสารซึ่งประกอบดวย เอนไซมหลายชนิด และมีคุณสมบัติ เปนดาง (alkaline) อยางออนและของเหลวที่หลั่งจากตอมนี้ทําใหซีเมน มีสีขาวคลา ยน้ํานม นอกจากนี้ยังทําใหเกิดความเปนกลางในทอปสสาวะชาย และชองคลอดของเพศหญิง พยาธิ สภาพที่มักเกิดกับตอมนี้คือ มะเร็งตอมลูกหมากในชายวัย 50 ปขึ้นไป สาเหตุไมสามารถระบุได อยางชัดเจน แตมีความเขาใจวาเกี่ยวของกับฮอรโมนที่เปลี่ยนแปลงไป ภาพที่ 8 แสดงตอมตาง ๆ ที่หลั่งสารซึ่งเปนสวนประกอบของน้ําอสุจิ
8.
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 8 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต 3) ตอมบัลโบยูรีทรัล (bulbourethal glands) มี 1 คูขนาดเล็กเชื่อมตอกับสวน ของทอปสสาวะบริเวณฐานของเพนิส หลั่งเมือกที่เปนยางเหนียวออกมากอนการหลั่งของซีเมน หนาที่เขาใจวาทําใหทอปสสาวะ มีความเปนกลางและหลอลื่นสวนปลายของเพนิส ภาวะการเปนหมันของเพศชายมีสาเหตุหลักอยูที่ปริมาณการผลิตสเปรมออกมาต่ํา กวาระดับปกติ เชนชายมีสเปรมต่ํากวา 35 ลานเซลลตอซีซี จัดวาอยูในขั้นผิดปกติ ถานอยกวา 30 ลานเซลลตอซีซี ถือวาเปนหมัน องคชาติ(penis) ทําหนาที่สงสเปรมเขาสูอวัยวะสืบพันธุเพศหญิง บริเวณสวนปลาย พองออกเรียกวา แกลนเพนิส (glands penis) สวนนี้มีหนังหอหุม (foreskin or prepuce)ภายใน penis ประกอบดวยเนื้อเยื่อที่มีลักษณะยืดหยุน 3 มัดคลายตัวเรียกวา คารเวอรนัส(carvernous body) จํานวน 2 มัด และสปองจีบอดี (spong body) จํานวน 1 มัด กลามเนื้อมัดนี้หุมที่ปสสาวะ ไว เมื่อชายถูกกระตุนทางเพสจะมีกระแสประสาทเขามากระตุนใหเสนเลือดในกลามเนื้อทั้ง 3 มัดคลายตัว เลือดจะไหลเขาไปคั่งในเสนเลือด ทําใหกลามเนื้อขยายขนาดขึ้นได 1.2 โครงสรางของระบบสืบพันธุเพศหญิง(female reproduction) โครงสรางของระบบสืบพันธุของเพศหญิง มีความซับซอนกวาของเพศชาย เพราะ ประกอบดวยโครงสรางสําหรับสรางเซลลสืบพันธุหรือ เซลลไข (immature gamete) รองรับสเปรม สรางฮอรโมนเพศและเปนที่ฝงตัวเพื่อการเจริญ และพัฒนาของตัวออน โครงสรางที่ทําหนาที่ดังกลาว ไดแก รังไข(ovaries) โครงสรางนี้ทําหนาที่สรางฮอรโมนและเซลลสืบพันธุหรือไข กระบวนการสราง เซลลสืบพันธุ หรือไข (oogenesis) เกิดขึ้นที่นี่ ภาพที่ 9 แสดงสวนประกอบของอวัยวะสืบพันธุเพศหญิง 1.2.1 กระบวนการสรางเซลลสืบพันธุหรือไข เริ่มจากเซลลที่จะเจริญไปเปนเซลล สืบพันธุหรือเรียกวา โอโอโกเนีย (oogonia) จากการศึกษาพบวาโอโอโกเนียนี้มีในรังไขของทารกหญิง กอนคลอดเปนจํานวนมากและไปเปนโอโอไซต ขั้นที่หนึ่ง (primary oocyte) เมื่อถึงเวลาใกลคลอดจะ เจริญและพัฒนาเปนโอโอไซตขั้นที่หนึ่ง ระยะโพรเฟส I (prophase I) และจะหยุดอยูในระยะนี้ จนกระทั่ง ทารกเพศหญิงเจริญเขาสูวัยรุน และวัยเจริญพันธุ โอโอไซต ขั้นที่หนึ่ง และเซลลที่ลอมรอบ
9.
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 9 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต เรี ย กว า ฟอลลิ เ คิ ล (follicle) ฟอลลิ เ คิ ล บางส ว นจะเจริ ญ และขยายขนาดขึ้ น ทุ ก ๆ รอบของวงจร ประจําเดือน ขณะที่ฟอลลิเคิลเจริญขึ้น โอโอไซต ขั้นที่หนึ่ง จะเขาสูการแบงเซลลสืบพันธุโดยการแบง เซลลแบบไมโอซิสเปนไมโอซิสขั้นแรก แตเนื่องจากการแบงโอโอไซต ขั้นที่หนึ่งนี้มีการแบงไซโตพลา- สซึมไมเทากัน ไดเซลลลที่มีขนาดใหญเรียกโอโอไซต ขั้นที่สอง (secondary oocyte) และเซลลที่มี ขนาดเล็ก เรียกวา โพลารบอดี ที่หนึ่ง (first polar body) โดยมากเมื่อมีการเจริญมาถึงขั้นนี้จะถึง ระยะเวลาการตกไข (ovulation) เมื่อมีการปฏิสนธิ โอโอไซต ขั้นที่สอง จะแบงเซลลระยะไมโอซีสขั้น ที่สอง ตอไปและให โพลารบอดี ที่สอง (second polar body) และโอวูม (ovum) จะสังเกตวา กระบวนการแบงเซลลสืบพันธุในแตละครั้ง ในแตละโอโอไซต ขั้นที่หนึ่ง จะใหเซลลไขที่เจริญเต็มที่ ครั้งละเพียง 1 เซลลนอกนั้นจะสลายไป ภาพที่ 10 กระบวนการสรางเซลลสบพันธุเพศหญิง ื ในขณะที่โอโอไซต ขั้นที่หนึ่งเจริญและพัฒนานั้น โอโอไซตจะเริ่มแยกจากกลุมเซลลที่ ลอมรอบหรือที่เรียกวา เซลลฟอลิคิวลาร (follicular cell) โดยมีชั้นโซนาเพลลูซิดา (zona pellucida) ซึ่ งเป นสารจําพวกไกลโคโปรตีนหอหุม ขณะเดีย วกันฟอลลิเ คิ ล จะผลิ ต ของเหลวเข าสูชองว าง ที่ เรียกวา แอนทรัม (antrum) ซึ่งอยูระหวางเซลลที่ลอมรอบและเซลลไข โดยปกติในแตละรอบเดือนจะมี เพียง 1 ฟอลลิเคิลเทานั้นที่เจริญถึงระยะไขตกได สวนอีกหลาย ๆ ฟอลลิเคิลจะฝอไป ภาพที่ 11 แสดงการเปลี่ยนแปลงของเซลลสืบพันธุเพศหญิงในรังไข
10.
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 10 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต ขณะที่ฟอลลิเคิลเขาสูระยะมาทัว (mature) จะเคลื่อนที่เขาใกลผนังรังไขรูปรางคลาย ถุงน้ํา เซลลของฟอลลิเคิลจะหลังเอ็มไซมโพทิโอไลติก ( proteolytic enzyme) ยอยผนังรังไขทําให โอโอไซต ขั้นที่สอง ผานผนังรังไขออกเขาสูชองทอง ฟอลลิเคิลที่เหลืออยูในรังไขจะเจริญและพัฒนา เปนคอรพัสลูเทียม (corpus luteum) ฮอรโมน FSH เปนตัวกระตุนใหฟอลลิเคิลเจริญและขยายขนาดขึ้นได และเมื่อฟอลลิ เคิลเจริญขึ้นจะสรางและหลั่งฮอรโมน เอสโทรเจน (estrogen) สวนคอรพัสลูเทียมสรางและหลั่งเอสโทร เจน (estrogen) และโพรเจสเทอโรน (progesterone) ซึ่งมีหนาที่ควบคุมลักษณะขั้นที่สองของเพศ หญิง ไดแก การมีเสียงแหลม นอกจากนั้นยังเกี่ยวของกับการเจริญของมดลูก การมีประจําเดือน ภาพที่ 12 ฮอรโมนที่เกี่ยวของกับการเปลียนแปลงของระบบสืบพันธุเพศหญิง ่ ทอนําไข (Fallopian tube หรือ uterine tube) เปนโครงสรางที่สําคัญอีกโครงสราง หนึ่ง ภายในทอประกอบดวยกลามเนื้อเรียบ และ ซิเลีย (cilia) ชวยในการเคลื่อนที่ของไข และบริเวณ ทอนําไขสวนตนเปนตําแหนงสําคัญคือบริเวณที่มีการปฏิสนธิเกิดขึ้น และถาไมมีการปฏิสนธิเกิดขึ้น ไขจะสลายไปในที่สุด ในกรณีที่ทอนําไขเคยติดเชื้อมากอนแลวบริเวณนั้นกลายเปนแผลเปน สวนนี้อาจเปน อุปสรรคตอการเคลื่อนที่ของไข ทําใหเกิดการทองนอกมดลูกขึ้นได หรือสตรีที่มีการอุดตันของทอนําไข ก็เปนสาเหตุหนึ่งของการเปนหมันได มดลูก (uterus) เปนโครงสรางที่มีรูปรางเหมือนลูกชมพูหัวคว่ําลง ยาวประมาณ 7 เซนติเมตร กวางประมาณ 4 – 5 เซนติเมตร ประกอบดวยกลามเนื้อหนา ดานในถูกบุดวยเยื้อบุมดลูก ชั้นใน หรือที่เรียกวาชั้นเอนโดมีเทรียม (endometrium) ในสตรีวัยเจริญพันธุ แตละเดือนผนังมดลูก ชั้นในจะถูกกระตุนใหเจริญและเพิ่มความหนาเพื่อรองรับการฝงตัวของเอมบริโอ (embryo) ในกรณีที่
11.
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 11 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต โอโอไซต ขั้นที่สองไดรับการผสม จะไดไซโกต ไซโกตจะเคลื่อนที่เขามาฝงตัวที่ผนังมดลูกที่ชั้นเอนโด มีเทรียม เพื่อเจริญเติบโตและพัฒนารูปราง อวัยวะโดยอาศัยอาหารและออกซิเจนจากรก (placenta) แตถาไมมีการปฏิสนธิเกิดขึ้นเอนโดมีเทรียมจะหลุดลอกออกมาปนกับเลือดกลายเปนประจําเดือน พยาธิ ส ภาพที่ เ กิ ด กั บ มดลู ก ของสตรี วั ย เจริ ญ พั น ธุ คื อ เอ็ น โดเมไทรโอซิ ส (endometriosis) เปนอาการปวดประจําเดือน สาเหตุเกิดจากเนื้อเยื่อบางสวนของผนังมดลูกชั้น เอน โดมีเทรียม เคลื่อนไปเกาะกับผนังรังไข ทอนํา ทอนําไข ผนังชองทอง ซึ่งอาจจะกดทับบริเวณที่เปน ปลายประสาท เมื่อถึงเวลามีประจําเดือน ผนังมดลูกสวนนี้จะหลุดออก พรอมกับกระตุนปลายประสาท บริเวณที่กดทับอยูทําใหเกิดอาการปวดประจําเดือนขึ้น ความผิดปกติอันนี้นําไปสูภาวะการมีบุตรยาก นอกจากนั้นพยาธิสภาพที่เกิดกับมดลูกไดแก มะเร็งปากมดลูก (cervical cancer) เปนตน ช อ งคลอด (vagina) เป น ทอ กล า มเนื้ อ ยื ด หยุ น เชื่ อ มต อ ระหวา งมดลู ก และระบบ สืบพันธุดานนอก ทําหนาที่รองรับสเปรมและคลอดทารก วูลวา (vulva) เปนโครงสรางดานนอกของระบบสืบพันธุประกอบดวย แคมเล็ก (labia minora) แคมใหญ (ladia majora) หนาที่ปองกันสิ่งแปลกปลอมเขาสูระบบสืบพันธุ ตอมคลิทอริส (clitoris)(ในภาษาไทยเรี ย กว า เม็ ด ละมุ ด ) เป น ส ว นที่ ถู ก กระตุ น ได ง า ยเมื่ อ มี ก ารเร า ทางเพศ นอกจากนั้นจะมีสวนที่นูนขึ้น (mons pubis) และเยื่อบาง ๆ ปดอยูบริเวณปากชองคลอด เรียกวาเยื่อ พรหมจารีย (hymen) เตานม (Breasts) เปนโครงสรางที่ประกอบดวยตอมสําหรับสรางน้ํานมขนาดเล็กเปน จํานวนมากทําหนาที่สรางน้ํานมเลี้ยงทารก ตอมเหลานี้อยูรวมกันเปนกลุมกอนคลายพวงองุน เรียกวา อัลวิโอไล (alveoli) น้ํานมที่สรางแลวจะถูกขับออกมาจากแหลงสรางมายังหัวนมโดยผานมาตามทอ ขนาดเล็ ก และที่ สํ า คั ญคื อมี ฮ อร โ มนอย า งนอ ย 4 ชนิ ดทํ า หน าที่ เ กี่ ย วกั บ การเจริ ญ ของต อ มน้ํา นม กระตุนการผลิตและการหลั่งน้ํานม ในระหวางที่แมตั้งครรภคอรพัสลูเทียมจะสรางฮอรโมน เอสโทร เจน และ โพรเจสเทอโรน ในปริมาณมาก ฮอรโมนทั้ง 2 ชนิดนี้ ทําหนาที่กระตุนการเจริญของตอม น้ํ า นม ในช ว งการคลอดบุ ต รใหม ๆ ต อ มน้ํ า นมจะผลิ ต น้ํ า นมที่ เ รี ย กว า คอรั ส ตรุ ม (colostrum) ออกมา น้ํานมชนิดนี้ประกอบดวยโปรตีนและน้ําตาลแลกโตสในปริมาณสูง มีไขมันนอย โดยมีฮอรโมน โพรแลกติน (prolactin) กระตุนการผลิตน้ํานมและเมื่อทารกดูดนมจะมีผลกระตุนตอมใตสมองสวน หลั่งใหหลังฮอรโมนออกซิโทซิน (oxytocin) ออกมา และทําหนาที่กระตุนการหลั่งน้ํานม ภาพที่ 13 แสดงสวนประกอบของเตานม
12.
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 12 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต การเลี้ยงบุตรดวยน้ํานมจะสงเสริมใหมดลูกเขาอูไวขึ้นเพราะออกซีโทซินที่หลั่งออกมา ระหวางการดูดนมจะกระตุนใหมดลูกเกิดการหดตัวเขาสูสภาพเดิม นอกจากนั้นบุตรที่ดื่มน้ํานมมารดา จะมีสุขภาพดี เพราะในน้ํานมมีสารที่จําเปนตอรางกาย มีแอนติบอดี เปนตน นอกจากนี้ยังเปนการ สงเสริม ความสัมพันธระหวางมารดาและบุตรใหมีความใกลชิดกัน 1.2.2 การทํางานของฮอรโมนในระบบสืบพันธุเพศหญิง (hormone regulates reproduction) ฮอรโมนควบคุมการทํางานในระบบสืบพันธุเพศหญิงมีความซับซอนกวาที่เกิดในเพศ ชาย ประกอบดวยฮอรโมนที่สําคัญอยางนอย 5 ชนิด ที่ทําหนาที่เกี่ยวของและสัมพันธกันในวงจร ประจําเดือนและวงจรไข (ovarian cycle) กลไกการทํางานของฮอรโมนแบงออกเปน 2 แบบคือกลไก สนองกลับแบบกระตุนและกลไกสนองกลับแบบยับยั้ง การทํางานที่ประสานกันของฮอรโมน คือ ในแต ละเดือนขณะที่มีการเจริญเติบโตของฟอลลิเคิลและตกไขนั้น สวนของผนังมดลูกไดมีการเตรียมพรอม สําหรับการฝงตัวของเอ็มบริโอไปพรอมกัน เอสโทรเจน ทําหนาที่กระตุนการเจริญของระบบสืบพันธุ เมื่อเพศหญิงยางเขาสูวยรุน ั การเจริญเติบโตของรางกายและควบคุมลักษณะทางเพศขั้นที่ 2 ไดแกการขยายของเตานม กระดูกเชิง กราน การเจริญและพัฒนากลามเนื้อและการสะสมไขมันใตผิวหนัง การมีประจําเดือนของเพศหญิงเริ่มตั้งแตยางเขาสูวัยรุน จนถึงวัยอายุประมาณ 50 ป วงจรประจําเดือนเกิดทุกๆ 28 วัน วันแรกของวงจรคือวันที่มีประจําเดือนไหลออกมาจากชองคลอด สวนการตกไขจะเริ่มจากวันที่ 14 ของวงจรประจําเดือน โดยฮอรโมนจากไฮโพทาลามัส ตอมใตสมอง สวนหนาและจากรังไข จะทําหนาที่ควบคุมวงจรประจําเดือนและเกิดขนานไปกับวงจรไข 1.2.3 วงจรประจําเดือนและวงจรไข วงจรประจําเดือน ที่เกิดกับผูหญิงจะแตกตางกันในแตละคน โดยปกติจะอยูระหวาง 20 – 40 วัน หรือเฉลี่ยประมาณ 28 วัน ประกอบดวยระยะตางๆ ดังนี้ 1) เมนสทรอล โฟล เฟส (menstrual flow phase) ใชเวลาประมาณ 2 – 3 วัน เปน ระยะการหลุดลอกของผนังมดลูกชั้นในที่เคยหนาตัวปนมากับเลือด กลายเปนเลือดประจําเดือน วัน แรกของระยะการหลุดลอกของวงจร และพบวามีการหลังฮอรโมน GnRH เพื่อไปกระตุนการหลั่ง FSH และ LH จากตอมใตสมองสวนหนา FSH ทําหนาที่กระตุนการเจริญของฟอลลิเคิลในรังไข กระตุนให เกิดการถอดรหัสของจีนบนฟอลลิคิวลารเซลลใหทําหนาที่สังเคราะหเอสโทรเจน 2) โพรลิฟเฟอเรทีฟ เฟส (proliferative phase) หรือเรียกอีกอยางหนึ่งวา ระยะ กอนการตกไข (preovulatory phase) นับเวลาไดประมาณ 1 – 2 สัปดาห เปนระยะหนาตัวของผนัง มดลูกชั้นเอนโดมีเทรียมกอนไขตก เกิดจากอิทธิพลของฮอรโมนเอสโทรเจนไดกระตุนการเจริญของ เสนเลือดและตอมตาง ๆ บนผนังชั้นเอนโดมีเทรียม 3) ซีครีทอริเฟส (secretory phase) หรือเรียกอีกอยางหนึ่งวา ระยะหลังตกไข (postvulatory phase) นับเวลาประมาณ 2 สัปดาห พบวาผนังมดลูกชั้นเอนโดมีเทรียมมีความหนา เพิ่มขึ้นจากที่มีเสนเลือดมากขึ้นและตอมตางๆไดหลั่งสารอาหารเพิ่มขึ้นและพรอมในการรองรับการฝง ตัวของตัวออน ถาไมมีการปฏิสนธิเกิดขึ้น ผนังมดลูกชั้นที่หนาขึ้นนี้จะหลุดลอกออกมาปนกับเลือด
13.
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 13 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต กลายเปนประจําเดือน เขาสูการเริ่มตนของรอบประจําเดือนครั้งใหมตอไป ฮอรโมนที่เปนตัวกระตุน การเจริญของผนังชั้นเอนโดมีเทรียมคือ เอสโทรเจนและโพรเจสเทอโรน โดยฮอรโมนโพรเจสเทอโรน เปนตัวกระตุนตอมในผนังมดลูกใหหลั่งสารอาหารปนออกมากับเมือก วงจรรังไข เปนวงจรการเจริญของไขและฟอลลิเคิลภายในวงจร แบงออกเปน 3 ระยะคือ 1) ฟอลลิคิวลาร เฟส (follicular phase) เปนระยะที่ฟอลลิเคิลเจริญขึ้นพรอมกัน หลายฟอลลิเคิลทั้งเซลลไขและเซลลที่อยูลอมรอบหรือฟอลลิคิวลารเซลลไดแบงเซลลเพิ่มจํานวนชั้น มากขึ้นพรอมกันนั้นไดหลั่งฮอรโมนเอสโทรเจนออกมา และพบวาฮอรโมน FSH กระตุนการเจริญของ ฟอลลิเคิลในระยะแรก ตอมาเมื่อฟอลลิเคิลเจิรญมากขึ้นปริมาณฮอรโมนเอสโทรเจนไดหลั่งออกมามาก ที่สุดในขณะที่ประมาณของฮอรโมนเพิ่มขึ้นจะยอนขึ้นไปกระตุนใหเพิ่มการหลั่งฮอรโมน LH ในแบบที่ เรียกวา LH-surge เราเรียกวาเปนกลไกสนองกลับแบบกระตุน (positive feedback mechanism) จากนั้นทั้ง FSH และLH ไดรวมกันกระตุนการเจริญของฟอลลิเคิลจนเขาสูระยะ กราเฟยลฟอลลิ เคิล (Graafian follicle) 2) โอวูเลชัน เฟส (ovulation phase) หรือเรียกวาระยะตกไข การตกไขเกิดขึ้นในราว วันที่ 14 ของวงจรประจําเดือนเกิดจากอิทธิพลของฮอรโมน LH ที่หลั่งออกมาในปริมาณที่มากพอซึ่ง ฮอรโมน LH เองไดถูกกระตุนโดยฮอรโมน GnRH และ เอสโทรเจนอีกทางหนึ่งดังที่ไดกลาวมาแลว 3) ลูเทียล เฟส (luteal phase) เปนระยะที่ฟอลลิเคิลที่เหลืออยูในรังไขเจริญเปน คอรพัสลูเทียม โดยมีฮอรโมน LH เปนตัวกระตุนและรักษาสภาพไว จากนั้นคอรพัสลูเทียมทําหนาที่ สรางและหลั่งฮอรโมนเพศทั้ง 2 ชนิด คือ โพรเจสเทอโรน และเอสโทรเจน ฮอรโมนทั้งสองชนิดนี้ นอกจากทําหนาที่กระตุนการเจริญของผนังมดลูกชั้นเอนโดมีเทรียมแลว ทั้งเอสโทรเจนและโพรเจส เทอโรนที่หลังออกมาในปริมาณที่มากขึ้นจะยอนขึ้นไปยับยั้งการหลั่ง ฮอรโมน GnRH , FSH และ LH เราเรียกวาเปนกลไกสนองกลับแบบยับยั้ง (negative feedback mechanism) มีผลทําให LH ลดลง ใน กรณีที่ไมมีการตั้งครรภ คอรพัสลูเทียมจะฝอไปและหยุดการสรางฮอรโมนเพศทั้งสองชนิด เสนเลือดใน ชั้นเอนโดมีเทรียมที่เจริญขึ้นจึงถูกทําลายและแตกไป เซลลที่เจริญขึ้นมาจะเสื่อมสลายกลายเปน ประจําเดือน นับเปนการเริ่มตนของรอบประจําเดือนและวงจรสรางเซลลสืบพันธุครั้งใหมตอไป การคุมกําเนิด (contraception) การคุมกําเนิดเปนวิธีปองกันการตั้งครรภสําหรับหญิงที่ไมพรอมจะมีบุตร การคุมกําเนิดมี หลายวิธีใหเลือกใชตามความเหมาะสม แบงออกเปน 3 วิธีใหญๆ คือ การปองกันการเกิดปฏิสนธิ (prevent sperm and egg from meeting) การปองกันการฝงตัวของตัวออน (pervent implantation) และการยับยั้งการตกไขและสเปรม (prevent release of gamete) 1. การปองกันการปฏิสนธิ (prevent sperm and egg from meeting) 1.1 การคุมกําเนิดแบบนับวัน (rhythm method) เปนวิธีการหลีกเลี่ยงการมี เพศสัมพันธในชวงไขตก จากการศึกษาพบวาไขที่ตกออกมาสามารถมีชีวิตอยูในทอนําไขไดนาน 24 ถึง 48 ชั่วโมง สวนสเปรมอยูในทอนําไขไดนานถึง 72 ชั่วโมง ดังนั้นการคุมกําเนิดโดยวิธีนี้จึงควร หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธในชวง 7 วันกอนและหลังไขตก ประสิทธิภาพของการคุมกําเนิดดวยวิธีการ
14.
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 14 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต ภาพที่ 14 แสดงระดับการเปลี่ยนแปลงของฮอรโมนเพศหญิงในแตละรอบเดือน นี้ตองใชควบคูไปกับความรูเรื่องการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในรางกาย การเปลี่ยนแปลงของเมือกใน ชองคลอด เปนตน อัตราการตั้งครรภจากการคุมกําเนิดแบบนับวัน คือ 10 ถึง 20 เปอรเซ็นต 1.2 การใชถุงยางอนามัย (condoms method) เปนกลไกคุมกําเนิดที่ใชกับฝายชาย เปนวิธีปองกันสเปรมเขาไปในระยะสืบพันธุของเพศหญิงขอดีของวิธีการใชถุงยางอนามัยนอกจากใช คุมกําเนิดแลวและวิธีนี้ยังสามารถปองกันโรคเอดสและโรคติดตอทางเพศสัมพันธได 1.3 การใชไดอะแฟรม (diaphragm) เปนวิธีการคุมกําเนิดโดยใชฝาครอบปากมดลูก เพื่อปองกันการเขาไปปฏิสนธิของสเปรม การคุมกําเนิดโดยวิธีนี้กอนใชมักจะทาครีมลงบนไดอะแฟรม เพื่อฆาสเปรม อัตราการตั้งครรภโดยวิธีการใชถุงยางอนามัยและการใชไดอะแฟรม นอยกวา 10 เปอรเซ็นต
15.
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 15 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต 1.4 การหลั่งภายนอก (withdrawal method) วิธีคุมกําเนิดโดยฝายชายจะหลั่งซีเม นภานนอกระบบสืบพันธุเพศหญิง การคุมกําเนิดดวยวิธีนี้พบวาโอกาสในการตั้งครรภมีสูงถึง 22 เปอรเซ็นต 1.5 การทําหมันถาวร (sterilization) การคุมกําเนิดแบบถาวร เปนวิธีการคุมกําเนิดที่ นิยมอยางแพรหลายในสตรีที่มีอายุเกิน 30 ป อัตราการตั้งครรภ 0.15 เปอรเซ็นต การคุมกําเนิดแบบ ถาวรมี 2 ประเภท 1.5.1 การทําหมันหญิง (tubal ligation) โดยการตัดทอนําไข แลวผูกปลายแตละสวน ที่ตัดออก วิธีนี้เพศหญิง 1 ใน 4 เลือกใช 1.5.2 การทําหมันชาย (vasectomy) โดยการตัดทอนําสเปรมหรือวาสดิเฟรนส แลว ผูกปลายแตละสวนที่ถูกตัดออกเพื่อยับยั้งการเคลื่อนที่ของสเปรมออกนอกรางกาย ไมมีผลขางเคียง เกิดขึ้น การผลิตสเปรมปกติ แตอาจชาลงและถูกเซลลเม็ดเลือดขาวจับกิน สวนของปริมาณซีเมนต ผลิตไดในปริมาณปกติ การผาตัดกลับคืนสูสภาพเดิมพบวาประสบความสําเร็จ 70 เปอรเซ็นต แตใน การทําหมันเกิน 10 ปขึ้นไป โอกาสจะกลายเปนหมันสูงถึง 70 เปอรเซ็นต ทั้งนี้เพราะการพัฒนา แอนติบอดีในรางกายที่เขาทําลายสเปรมของตนเอง ภาพที่ 15 การทําหมันชาย 2. การปองกันการฝงตัวของตัวออน (pervent implantation) เปนวิธีการคุมกําเนิดโดยวิธีการใสหวง (intrauterine device หรือ IUD) ซึ่งเปนพลาสติก รูปกลมหรือโคงขนาดเล็ก สอดเขาไปในมดลูกโดยแพทยผูชํานาญ การใสครั้งหนึ่งอาจทิ้งไวไดนานถึง 10 ป หรือจนตองการมีบุตร วิธีการคุมกําเนิดแบบนี้มีประสิทธิภาพถึง 90 เปอรเซ็นต กลไกการทํางาน ของวิธีการนี้ยังไมสามารถระบุไดชัด แตพบวารางกายผลิตเม็ดเลือดขาวออกมาตอตานสิ่งแปลกปลอม ขอเสียของการคุมกําเนิดแบบใสหวงคือ เลือดไหลกระปดกระปอยและเปนลิ่ม เสี่ยงตอการอักเสบของ มดลูก ปจจุบันไมเปนที่นิยมใช 3. การยับยั้งการตกไขและสเปรม (prevent release of gamete)
16.
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 16 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต เปนการคุมกําเนิดโดยการใชฮอรโมน เปนการปองกันการตกไข มีหลายประเภทให เลือกใช เชน รับประทานยาคุมกําเนิด (oral pill) การฉีดยาคุมกําเนิด (DMPA หรือ Depo-Provera) การฝงแคปซูลใตผิวหนัง (norplant) 3.1 รับประทานยาเม็ดคุมกําเนิด เปนการปองกันการตกไข จากการสํารวจพบวา 80 เปอรเซ็นตที่สตรีทั่วโลกนิยมใช ยาเม็ดคุมกําเนิดเปนยาที่ประกอบดวยฮอรโมน 2 ชนิด คือ ฮอรโมน โพรเจสติน (โพรเจสเทอโรนสังเคราะห) และเอสโทรเจน(เอสโทรเจนสังเคราะห) ซึ่งมีผลไปยับยั้งการ หลั่ง LH และ FSH วิธีการใช คือรับประทานครั้งละ 1 เม็ดเปนเวลา 3 สัปดาหแลวหยุด สัปดาหตอไป จะเวนการรั บประทาน แตบ างบริษัทจะให รับ ประทานน้ําตาลหรือวิต ามินอัดเม็ดโดยไมมีการเว น หลังจากนั้นเมื่อขาดฮอรโมนประจําเดือนจะไหล พบวาเมื่อใชอยางถูกวิธีการคุมกําเนิดดวยวิธีนี้จะมี ประสิทธิภาพสูงถึง 99.7 เปอรเซ็นต จากการศึกษาพบวาการใชยาคุมกําเนิดที่ใชโดสต่ําๆ พบวาเปนผลดีตอสตรีที่ไมสูบ บุหรี่จนเขาสูวัยทอง แตสตรีที่มีอายุเลย 35 ปขึ้นไปที่มีพฤติกรรมในการสูบบุหรี่หรือมีความดันโลหิต สูง การใชยาคุมกําเนิดจะเสี่ยงตอการเกิดโรคหัวใจ 3.2 การคุมกําเนิดแบบฉุกเฉิน (emergency contraception) ยาเม็ดคุมกําเนิดแบบ ฉุกเฉินนี้ เปนยาที่ใชหลังการมีเพศสัมพันธ ภายใน 72 ชั่วโมง แพทยใหใชสําหรับสตรีที่ถูกขมขืนและ กรณีอื่นๆ ที่ไมสามารถปองกันไดในขณะมีเพศสัมพันธได ยาที่ใชตองมีความเขมขน(dose)ที่สูงมาก และไปมีผลทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงในผนังมดลูกชั้นเอนโดมีเทรียม มีประสิทธิภาพในการปองกัน การตั้งครรภได 75 เปอรเซ็นต และพบวาถาใสหวงเขาไปเสริมทันในสัปดาหแรก มีประสิทธิภาพถึง 95 เปอรเซ็นต การคุมกําเนิดดวยวิธีการนี้ไมจัดเปนการทําแทง เพราะถาการคุมกําเนิดไมไดผลและเกิด การตั้งครรภขึ้นทารกจะไมไดรับอันตรายแตอยางใด 3.3 การฉีดยาคุมกําเนิด เปนการปองกันการตกไขไดอีกวิธีหนึ่ง เปนการฉีดฮอรโมน โพรเจสติน ฮอรโมนนี้ออกฤทธิ์โดยกดการทํางานของตอมใตสมองสวนหนา วิธีใช คือฉีดเขากลามเนื้อ ของสตรีที่ตองการคุมกําเนิดทุก ๆ 3 เดือน 3.4 การฝงแคปซูลเขาใตผิวหนัง เปนการฝงฮอรโมนโพรเจสตินที่เปนแคปซูลบริเวณ ใตทองแขนฮอรโมนนี้จะถูกปลอยออกจากแคปซูลแตนอย ๆ อยางตอเนื่องในกระแสเลือด ไปมีผล ยับยั้งการตกไขและกระตุนการหลั่งเมือกเหนียวในชองคลอด การฝงแคปซูลนี้จะอยูได 5 ป แตมี ผลขางเคียงสําหรับผูใช คือ การมีประจําเดือนกระปดกระปอยอาจนานถึง 1 ป 4. การแทง (abortion) หมายถึง ภาวะสิ้นสุดการตั้งครรภกอนถึงกําหนดคลอดตามปกติ เนื่องจากการตายของตัวออนหรือทารก จากการสํารวจทั่วโลกพบวาแตละปมีการทําแทงบุตรเกิดขึ้น 40 ลานคน การทําแทงแบงออกเปน 3 ประเภทคือ 4.1 การแทงเอง (spontaneous abortion) การแทงแบบนี้เกิดจากความผิดปกติของ ตัวออนเองพบประมาณ 1 ใน 3 ของหญิงตั้งครรภ 4.2 การทําแทงเพื่อการรักษา (therapeutic abortion) เปนวิธีการทําแทงเพื่อรักษา ชีวิตของแมที่มีปญหาดานสุขภาพทางกายหรือจิตใจ หรือเมื่อพบความผิดปกติของตัวออน
17.
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 17 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต 4.3 การทําแทงเพื่อการคุมกําเนิด ซึ่งเปนการทําแทงที่ใชแตกตางกันตามอายุทารก เชน ชวง 3 เดือนแรก อาจใชวิธีการดูดออก หลังจาก 3 เดือนขึ้นไปอาจใชวิธีการถางขยายปากมดลูก และดูดออก เปนตน ภาพที่ 16 อุปกรณคุมกําเนิดรูปแบบตาง ๆ
Descargar ahora