5. www.kruharn.com
นี่คือคอรดที่อยูใน C major scale เราสรางคอรดในลักษณะตัวขามตัว อยางเชน C-E-G หรือ
D-F-A หรือคิดเปนโครงสราง 1-3-5 ก็ไดครับ โดยนับ Root ของ chord เปนตัวที่ 1 เสมอ (Root
หมายถึงโนตตัวแรกของคีย หรือ Bass) สรุปตามแผนภาพเราจะไดคอรดของเมเจอรสเกลดังนี้
I maj - II min - III min - IV maj - V maj - VI min - VII minb5 หรือ dim นั่นเอง
เขียนเปนโครงสรางคอรดดังนี้
C maj 1-3-5
D min 1-b3-5
E min 1-b3-5
F maj 1-3-5
G maj 1-3-5
A min 1-b3-5
B dim 1-b3-b5
b3 ในที่นี้หมายถึงขั้นคูสามไมเนอร ดวยเหตุทวาขั้นคูไมเนอรชวงเสียงแคบกวาเมเจอร 1 semi
ี่
tone เราจึงเขียนอยูในรูป b3 หรือ b6 หรือ b7 (หมายเลขของโนตที่มี b หรือ # คือโนตประจํา
ลิ่มสีดาบนคียบอรดเปยโนหรือออรแกนนั่นเอง)
ํ
ตอไปเปนคอรดทางไมเนอร กอนอื่นตองเรียนรูเพิ่มเติมเรื่องไมเนอรสเกลกอน เนื่องจากเราเพิ่ง
รูจักไปเพียงแต Natural minor อันดับถัดไปจะแนะนําใหรูจักกับ Harmonic minor บาง ซึ่งก็
คือ การนํา Natural minor มาตั้ง แลว # ตัวที่ 7 แคนี้เราก็ได ฮารโมนิคไมเนอร ดังนี้
A--B-C--D--E-F---G#-A
ตอไปเปน Melodic minor ซึ่งยุงยากขึ้นมานิดหนอยสําหรับ เพราะมันมี ascending และ
descending ตางกัน ascending คือการไลจากเสียงต่าไปสูง เราจะติด # ใหโนตตัวที่ 6 และ 7
ํ
ของ เนเจอรัลไมเนอร สวน descending คือการไลจากเสียงสูงลงมาต่ํา จะกลับมาใชโนตตัวที่ 6
และ 7 ธรรมดาดังเนเจอรัลไมเนอรเดิม
A--B-C--D--E--F#--G#-A--G--F-E--D--C-B--A
ตอไปนี้เปนคอรดของไมเนอรสเกลทั้งสามประเภท เปรียบเทียบกัน
-5-
6. www.kruharn.com
Natural
I min II dim bIII maj IV min V min bVI maj bVII maj
minor
Harmonic
I min II dim bIII aug IV min V maj bVI maj VII dim
minor
Melodic
I min II min bIII aug IV maj V maj VI dim VII dim
minor
มีคอรด aug เพิ่มมาใหมที่เรายังไมรูจัก คอรดนี้เขียนโครงสรางเปน 1-3-#5 ครับ คอรด bIII
คอรด bVI และคอรด bVII เครื่องหมาย b ที่นําหนาคอรดตรงนี้แสดงใหเห็นวาเปนคอรดที่ Root
มีชวงเสียงแคบลงมาจากเมเจอรสเกล 1 semi tone
Chapter 4
การวางคอรด Primary chord, Secondary chord
การวางคอรดที่ดีจะทําใหเพลงมีความราบรื่นและสวยงาม หรืออาจมีลูกเลนแปลกๆเชน ดึงเสียง
ของ Mode อื่นเขามาใชใหเกิดความหลากหลาย หรืออาจจะเปลื่ยนไปคียอื่นซักสองสามคีย
กอนที่จะกลับเขาสูคียเดิมก็ได แตกอนทีจะไปถึงขั้นนัน เรามาทําความรูจักกับ Primary chord
่ ้
และ Secondary chord กันกอน
Primary chord ไดแกคอรด I เรียกวา Tonic chord คอรด IV เรียกวา Sub-dominant chord
และคอรด V เรียกวา Dominant chord จะยกตัวอยางในคีย C major
คอรด I เปน Cmaj ประกอบไปดวยโนต C-E-G สวนคอรด V เปน Gmaj ประกอบไปดวยโนต
G-B-D เมื่อนําโนตของทั้งสองคอรดมาเรียงตอกันแลวจะไดโนตดังนี้ C--D--E---G----B-C จะเห็น
ไดวายังเหลือโนตอีกสองตัวที่ขาดหายไป และตัวที่ขาดหายไปก็อยูในคอรด IV คือ Fmaj ซึ่ง
ประกอบไปดวยโนต F-A-C เมื่อนําโนตในคอรดนี้มารวมดวย ชองวางที่ขาดหายไปก็จะถูกเติม
เต็มดังนี้ C--D--E-F--G--A--B-C ดังนั้นคอรดทั้งสามจึงครอบคลุมเมเจอรสเกลเอาไวโดย
สมบูรณ
-6-
7. www.kruharn.com
คราวนี้มาดูความหมายของ Tonic กันบาง โทนิคก็คือตําแหนงที่บงบอกวาเรายืนอยูตรงจุดไหน
เลนเพลงอยูในคียใด โทนิคนี้สามารถเคลื่อนตัวเขาสูตาแหนงใดก็ได เนื่องจากตัวมันมีความนิ่ง
ํ
อยูในตัวเอง
Dominant ก็คือคอรดสง หมายถึงตําแหนงของคอรดที่มีความเคลื่อนไหวรุนแรง ตองการตัวมา
รองรับ ซึ่งตัวรองรับที่วาก็คอโทนิคนั่นเอง การเคลื่อนตัวเขาหา Sub-dominant จะไดเสียงที่ไมดี
ื
นัก ในยุคเกา (Traditional music) เขาไมใชกัน แตในสมัยนี้กลับใชกันจนเปนเรื่องธรรมดา
ดังนั้นถาหากคุณจะใช คอรด V-IV ก็ตามใจคุณ แลวแตวิจารณญาณของใครของมันครับ
Sub-dominant เปนตําแหนงที่อยูกลางๆ เปนคอรดที่คอยชวยหรือคอยประคองสองคอรดแรก
เพื่อใหเพลงลืนไหลยิ่งขึ้น จะเขาหาโทนิคก็ได เขาหาโดมิแนนทก็ได นั่นก็คือเรื่องราวของ
่
Primary chord
Secondary chord เปนคอรดที่เขามาเพิ่มรายละเอียดใหกบบทเพลงมากยิ่งขึ้น โดยจะมี
ั
function รวมกันกับ Primary chord ซึ่งสามารถใหทดแทนตําแหนงกันได ขอเริ่มจากคอรด II
นั่นก็คอ Dmin
ื
Dmin ประกอบไปดวยโนต D-F-A ซึ่งมีโนตที่เปนตัวรวมกับคอรด F (F-A-C) อยูสองตัว นั่นคือ
F และ A ตัวโนตที่เหมือนกันนี้เรียกวา Common note เมื่อมีโนตรวมกันดังนี้ จึงกําหนดคอรด II
min ไปรวมบาน Sub-dominant อยูรวมกับคอรด IV
คอรด III คือ Emin ซึ่งประกอบไปดวยโนต E-G-B มีคอมมอนโนตรวมกับคอรด I คือ C (C-E-G)
ถึงแมวามันจะมีโนตรวมกับคอรด V คือ G (G-B-D) ดวยก็ตาม แตคอรด IIImin ถูกกําหนดให
ไปอยูรวมบานกับ โทนิคคอรด
มาดูคอรด VI ตอ คอรดนี้ Amin ประกอบไปดวยโนต A-C-E มีคอมมอนโนตรวมกับคอรด C
ดังนั้นจึงถูกกําหนดใหอยูกับโทนิคคอรด
มาถึงคอรด VII คือ Bdim ซึ่งประกอบไปดวย B-D-F มีคอมมอนโนตรวมกันกับ G (G-B-D) จึง
ถูกกําหนดใหอยูรวมกับ Dominant คอรดในฟงชั่นนี้ เปนพวกเคลื่อนตัวรุนแรง จากนี้ไปเราก็
จําแนกคอรดครบทุกคอรดแลว ตามที่แสดงใหดูในตารางดังนี้
Imaj , IIImin ,
Tonic
VImin
Sub-
dominant IVmaj , IImin
Dominant Vmaj , VIIdim
(สีดําคือ Primary chord สีแดงคือ Secondary chord)
คอรด I ใหความรูสึกจบไดดี ใชคอรด IIImin, VI min เพื่อหลีกเลี่ยงความรูสึกจบได ตัวอยางเชน
-7-
8. www.kruharn.com
C / F / G / C คอรดชุดนี้ฟงแลวจบเลย เราอาจเปลี่ยนเปน C / F / G / Em เพื่อใหฟงแลวรูสก
ึ
วา ยังไมจบ ยังมีใหฟงตอ เราสามารถใช Secondary chord แทน Primary chord ได ขอใหอยู
ในฟงชั่นเดียวกันเทานั้น ยกตัวอยางใหดูอีกดังนี้
C / F / G / C เปลี่ยนเปน C / Dm / G / C หรือ C / F Dm / G Bdim / C ตัวอยางหลังนี่คอ ื
แทรกคอรดใหฟงดูละเอียดขึ้น (เพลงเร็วไมควรใชคอรดละเอียดมาก เพลงชาถึงจะเหมาะ)
ขอกลาวถึงคอรด V และ V7 เสียหนอย เคยสงสัยไหมวา สองคอรดนี้ตางกันตรงไหน เพลงในคีย C บางทีเรา
ก็เห็นเขาใช G บางทีเราก็เห็นเขาใช G7 แลวมันแตกตางกันอยางไรหรือ โครงสรางของ V7 คือ 1-3-5-b7
หรือคิดอีกอยางก็คือสรางขึ้นจากคอรด V ของสเกล เพิ่มโนตขึ้นไปอีกตัว จากที่เปนโนตสามเสียงก็จะ
กลายเปนคอรดที่มีโนตสี่เสียง การสรางขึ้นจากคอรด V นี่เอง จึงทําใหไดชื่อวาคอรด Dominant 7 ถาเปน
คอรด G7 ก็จะมีโนต G-B-D-F โนตตัว F ที่เพิ่มเขามาทําใหเกิดปฏิกิริยาทางขั้นคู B-F นั้นเปน Tri tone หรือ
diminished 5th จึงทําใหเกิดความเคลื่อนไหวที่รุนแรงเปนพิเศษ(เดิมทีคอรด V เคลื่อนไหวรุนแรงอยูแลว) ขั้น
คูนี้เปนคูเสียงที่ตองการตัวอื่นมารองรับ มิเชนนั้นคนฟงจะเครียดมาก ความรูสึกมันเหมือนกับวา มันตอง
เคลื่อนไป เมื่อไรจะไปซะที แลวพอมีเสียงมารองรับมัน เราก็จะรูสึกผอนคลาย เหมือนกับวา เออ... ใหมันได
อยางนี้สิ คอยยังชั่ว ผานไปซะทีนะ คอรดที่จะมารองรับ V7 ก็คือคอรดในกลุมของ Tonic นั่นเอง โดยเฉพาะ
คอรด I จะฟงดูผอนคลายที่สุด (โนต B ใน G7 เคลื่อนตัวเขาหา C ใน C maj และโนต F ใน G7 เคลื่อนตัว
เขาหา E ใน Cmaj)
กลาวโดยสรุปก็คือคอรด V7 ใหความรูสึกเคลื่อนไหวไดดีกวาคอรด V นั่นเอง
ที่ผานไปก็เปนเมเจอรสเกลนะครับ ที่กาลังจะผานมาก็เปนทีของไมเนอรสเกลบาง
ํ
Natural I II bIII IV V bVI bVII
minor min dim maj min min maj maj
Harmonic I II bIII IV V bVI VII
minor min dim aug min maj maj dim
Melodic I II bIII IV V VI VII
minor min min aug maj maj dim dim
Primary chord และ Secondary chord ยังคงเหมือนเดิมครับ แตฟงชั่นจะเปลี่ยนไปบาง
เล็กนอย เราจะคอยๆดูไปทีละคอรด
Imin ไมมีปญหาอะไร ขามไปคอรด V min และ Vmaj เลยดีกวา
ในดนตรียุคกอนๆ(Traditional music) เมื่อเขียนเพลงทางไมเนอร เขาจะใชเมโลดิคไมเนอร
เขียนทํานอง และใชฮารโมนิคไมเนอรเขียนคอรด คําวา melodic มาจากคําวา melody สวน
-8-
17. www.kruharn.com
คอรดนี้เราจะใชอยูในชุด IIm-V-I โดยคอรด I นั้น เปนไดทั้ง major และ minor (คอรด I ในที่น้ี
เปนคอรดสมมติ คือไมใชคอรด I ของสเกลจริงๆ)
C Gm7 / C7 F / D7 / G7 / C //
หากเราจะวิเคราะหคอรดโดยดูจากขางหนาไปเราก็คงจะงงๆ ดังนั้นเราตองดูจากขางหลังมา
ขางหนา โดยเริ่มจากหองสุดทาย C เปนคอรด I ทุกคนคงรูดี (ถาไมรูตองกลับไปเริ่มตนใหม)
G7 เปนคอรด V7 ของ C คอรด D7 เปน V7 ของ G7 ดังนั้นคอรด D7 ในที่นี้จะเรียกวา V of V
ถัดมาเปนคอรด F นั้นเปนคอรด IV คอรด C7 เปน V7 ของ F ดังนั้นคอรด C7 ในที่น้จึงเรียกวา
ี
V of IV สวนคอรด Gm7 นั่นก็คือคอรด IIm ของคอรด F นั่นเอง ดังนั้น Gm7-C7-F คือ
Related Secondary Dominant เราเรียกวา IIminor-V of IV ลองดูตัวอยางทางไมเนอรกันบาง
เริ่มจากตัวอยางงายๆกอน
C Em / A7 Dm / G7 / C //
G7 เปน V7 ของ C คอรด Dm เปน IIminor ปกติ คอรด A7 เปน V7 ของ Dm ดังนั้น A7 คือ
V7 of IIminor สวนคอรด Em เปนทั้ง IIIminor ของ C อีกทั้งยังเปน IIminor ของ Dm ดวย
คอรดที่ทําหนาที่สองอยางในเวลาเดียวกันอยางนี้เราเรียกวา Dual function ดูอีกซักตัวอยาง
เชน
Ebm7 / Ebm7 / Gm7(b5) / C7 / Fm7(b5) / Fm7(b5) / F7(b9) / Bb7 / Ebm7 //
เชนเคย เราวิเคราะหจากขางหลังมาขางหนา Ebm7 เปนคอรด I คอรด Bb7 เปน V7 ปกติ
F7(b9) เปนคอรด V ของ Bb7 นั่นก็คอ V of V คอรดถัดมาเปน Fm7(b5) ก็คอคอรด IIm ปกติ
ื ื
สวน C7 นั้นเปน V7 ของ IIm (Fm7(b5)) ตรงนี้เรียกวา V of IIm คอรดถัดไปเปน Gm7(b5) ซึ่ง
เปนคอรด IIm ของ Fm7(b5) อีกที ตรงนี้ก็คอ Related Secondary Dominant อยูในรูป
ื
IIminor-V of IIminor
มาถึง Extended Secondary Dominant กันบาง คอรดชุดนี้จะอยูในรูป V-V-I (เชนเคย คอรด
I เปนคอรดสมมติ ไมใชคอรด I ในสเกลจริงๆ)
C / A7 / D7 / G7 / C //
G7 เปนคอรด V7 ปกติ คอรด D7 เปน V7 ของ V7(G7) อีกที สวนคอรด A7 เปน V7 ของ D7
ดังนั้น A7 จึงเปน V-V of V7 นอกจากนี้เรายังสามารถขยาย Extended Secondary Dominant
ออกไปไดเรื่อยๆ
Cmaj7 / C#7 / F#7 / B7 / E7 / A7 / D7 / G7 / C //
- 17 -
18. www.kruharn.com
บางครั้ง Secondary Dominant ก็จะมีคอรดมาแทรกดังตัวอยางตอไปนี้
C / D7 Dm / G7 / C //
คอรด Dm มาคั่นอยูระหวาง D7 กับ G7 แต D7 ก็ยังคงเปน Secondary Dominant ของ G7
อยูนั่นเอง
หลักการอีกอยางในการวางคอรดก็คือ คอรด I เคลื่อนตัวเขาหาคอรดใดก็ได เปนอิสระ
Chapter 8
Mode
Mode คือบันไดเสียงอีกประเภทหนึ่ง มีอยูเจ็ดชนิด ซึ่งเราสรางขึ้นมาไดจาก Major scale
อันดับแรกคือ Ionian mode เปนบันไดเสียงที่เหมือน Major scale ทุกประการ จึงไมตอง
อธิบายใดๆเพิมเติม
่
Dorian mode สรางขึ้นโดยนําโนตตัวที่ 2 ของ Major scale มาตั้ง แลวก็ไลโนตเรียงลําดับขึ้น
ไปตามเดิม ดังที่จะแสดงใหดูดังนี้
Major scale: C - D - E - F - G - A - B -C
Dorian mode: D - E - F -G - A - B - C - D
สังเกตดูโนตตัวที่ 3 ของ Dorian mode จะเปนคู 3 ไมเนอร (โดยนับขึ้นมาจาก Root นะครับ ใน
กรณีนี้คือคู D - F) ดังนั้นโมดนี้จะใหเสียงทางไมเนอร ลองเทียบดูกับ Natural minor เพื่อ
เปรียบเทียบความแตกตาง
Natural minor scale: D - E - F - G - A - Bb - C - D
Dorian mode: D - E - F - G - A - B - C - D
เราจะเห็นความแตกตางที่โนตตัวที่ 6 ดังนั้นเราใชสตรสราง Dorian mode อีกสูตรหนึ่งก็ได เปน
ู
สูตรวา Natural minor #6 การเพิ่ม # ลงไปในบันไดเสียงจะเปนผลทําใหเสียง Bright ขึ้น
ตอไปเปน Phrygian mode สรางขึ้นโดยการนําโนตตัวที่ 3 ของ Major scale มาตั้ง แลวก็ไล
โนตเรียงลําดับขึ้นไปตามเดิม
- 18 -
19. www.kruharn.com
Major scale: C - D - E - F - G - A - B -C
Phrygian mode: E - F - G - A - B - C - D - E
Natural minor scale : E - F# - G - A - B - C - D - E
โดยที่คู 3 เปนไมเนอร เราจึงจัดใหโมดนี้เปนบันไดเสียงทางไมเนอร และเมื่อนํามาเปรียบเทียบ
กับไมเนอรสเกล เราจะเห็นวา Phrygian mode ก็คือ Natural minor b2 นั่นเอง การเพิ่ม b ลง
ไปในบันไดเสียง ทําใหเสียง Dark ลง
ถัดไปเปน Lydian mode สรางขึ้นโดยใชตวที่ 4 ของ Major scale มาตั้งแลวไลโนตขึนไป
ั ้
ตามลําดับ
Major scale: C - D - E - F - G - A - B -C
Lydian mode: F - G - A - B - C - D - E - F
เมื่อพิจารณาโนตตัวที่ 3 แลวพบวาเปนคู 3 เมเจอร บันไดเสียงนี้จึงเปนบันไดเสียงทางเมเจอร
เราเลยตองนํามาเปรียบเทียบกับเมเจอรสเกลดังนี้ครับ
Major scale: F - G - A - Bb - C - D - E - F
Lydian mode: F - G - A - B - C - D - E - F
จะเห็นไดวา Lydian mode ก็คือ Major #4 นั่นเอง เชนเคย การเพิ่ม # ทําใหไดเสียงที่ Bright
ขึ้น แตขณะเดียวกัน #4 จะทําใหเกิด Tritone จาก Root (Tritone คือคูเสียงที่มีชวงหางสาม
เสียงพอดี) F - B เทากับ augmented 4th หรือถาเราพลิกกลับเปน B - F ก็จะเทากับ
diminished 5th เมื่อเกิด Tritone ขึ้นจาก Root ดังนี้แลว มันจะทําใหเราไมรบรูถึง Tonality
ั
แปลอีกทีวา เราไมอาจรับรูถึงศูนยกลางของบันไดเสียง เมื่อเพลงบรรเลงมาจบที่ Root เราจะไม
รูสึกวามันจบ ซึ่งผิดปกติจากบันไดเสียงชนิดอื่นๆ แต Lydian mode ยังดีที่คอรด I เปนเมเจอร
ซึ่งเปนคอรดที่มีความมั่นคง ดังนั้นเรายังพอจะเห็นเพลงที่แตงขึ้นโดยใช Lydian mode ลวนๆ
อยูบาง ผิดกับ Locrian mode ซึ่งจะกลาวตอไป
Mixo-lydian mode สรางขึ้นจากการนําโนตตัวที่ 5 ของ Major scale มาตั้งแลวเรียงลําดับขึน
้
ไปตามเดิม
Major scale: C - D - E - F - G - A - B -C
Mixo-lydian mode: G - A - B - C - D - E - F - G
Major scale : G - A - B - C - D - E - F# - G
- 19 -
20. www.kruharn.com
เมื่อพิจารณาดูที่คู 3 ของบันไดเสียง พบวาเปนคู 3 เมเจอร จึงจัดใหบันไดเสียงนี้เปนบันไดเสียง
ทางเมเจอร เมื่อเปรียบเทียบกับเมเจอรสเกลในคียเดียวกันแลวจะเห็นวา Mixo-lydian mode ก็
คือ Major b7 นั่นเอง การเพิ่ม b ลงไปทําใหเสียง Dark ลง
ตอไปเปน Aeolian mode ซึ่งก็คือ Natural minor scale นั่นแหละครับ ไมมีอะไรแตกตาง จึงไม
ตองเขียนถึงเพราะคงรูจักกันดีอยูแลว
สุดทายก็คือ Locrian mode สรางขึ้นจากโนตตัวที่ 7 ของ Major scale ดังตอไปนี้
Major scale: C - D - E - F - G - A - B -C
Locrian mode: B - C - D - E - F - G - A - B
Natural minor: B - C# - D - E - F# - G - A - B
เมื่อพิจารณาดูโนตตัวที3 จะเห็นวาเปนคู 3 ไมเนอร จึงจัดใหบันไดเสียงนี้เปนบันไดเสียงทางไม
่
เนอร และเมือนํามาเปรียบเทียบกับไมเนอรสเกลจะสรุปไดวา Locrian mode คือ Natural
่
minor b2 b5 เชนเคยครับ การเพิ่ม b ลงไปในบันไดเสียง ทําใหเสียง Dark ลง แลวนี่เพิ่มขึนตัง้ ้
สองตัวยิ่งไปกันใหญเลย เทานั้นยังไมพอ เมื่อคู 5 เปน b5 ดวยแลว มันก็เหมือนกับกรณีของ
Lydian mode คือเกิด Tritone ขึ้นจาก Root จึงทําใหบันไดเสียงนี้ไมมี Tonality แลวคอรด I ยัง
เปนไมเนอรเขาไปอีก เราจึงไมพบเห็นเพลงที่แตงดวย Locrian mode ลวนๆ จะพบก็เพียงเปน
สวนหนึ่งของบทเพลงเทานัน และนับวาเปนโมดที่เราพบเห็นไดยากยิ่งจริงๆ เทาที่ผมนึกออกก็
้
มีทอนริฟฟกีตารเพลง Seek and Destroy ของ Metalica ในชุด Kill'em all ใชขึ้นเปน Intro
แลวก็ไหลไปสูบนไดเสียงไมเนอรในทอนถัดไป แคนนแหละ เรียกวาทั้งชีวิตที่เคยฟงเพลงมาก็
ั ั้
พบเพียงแคนจริงๆที่ไดฟงสําเนียงของโมดนี้
ี้
เมื่อไดทําความรูจักกับโครงสรางตางๆของโมดไปแลว ตอไปก็จะเขาประเด็นหลักของ Chord
progression นั่นก็คือพูดถึงเรื่องคอรด เรามีวิธีการใชคอรดจากโมดตางๆอยางไร เพื่อไมเปน
การเสียเวลาจึงขอตัด Ionian mode กับ Aeolian mode ออกไป เพราะมันก็คอ Major และ
ื
Minor scale ซึ่งไดกลาวไปหมดแลวในบทกอนๆ และอีกโมดหนึ่งที่จะตัดทิ้งไปก็คือ Locrian
mode เนื่องจากเปนโมดที่ไมมีใครนิยมใชและเปนโมดทีหา Tonality ไมเจอ ก็เลยเหลืออยูอีก 4
่
โมด โดยจะเขียนคอรดใหดูพรอมๆกันดังนี้
- 20 -
21. www.kruharn.com
Dorian I II bIII IV V bVII
VI dim
mode minor minor major major minor major
Phrygain I bII bIII IV bVI bVII
V dim
mode minor major major minor major minor
Lydian I II III V VI VII
IV dim
mode major major minor major minor minor
Mixo-lydian I II IV V VI bVII
III dim
mode major minor major minor minor major
กอนอื่นเราตองทําความรูจักกับ Function ของคอรดในแตละโมดเสียกอน เริ่มจาก Dorian
mode คอรด I เปนตัว Tonic แนๆอยูแลวในทุกๆโมด แตคอรดอื่นๆเรามีหลักเกณฑในการหา
Function ตางไปจากที่เคยเรียนรู คือจะไมยึดเอา I,IV,V เปนหลัก แตจะยึดเอาคอรดใดๆก็ตามที่
มีโนตซึ่งใหเสียงที่เปนเอกลักษณของโมดนั้นๆ อยางใน Dorian mode นี้ เอกลักษณของเสียงก็
คือโนตตัวที่ 6 ดังที่ไดกลาวไปแลววา Dorian mode คือบันไดเสียงทางไมเนอรชนิดหนึ่งแตส่ง ิ
ที่ทําใหแตกตางไปจากบันไดเสียงไมเนอรอื่นๆก็คือ โนตที่ #6 ตัวนี้แหละ ดังนั้นเมื่อพิจารณาดู
ปรากฎวา มีคอรด IIm และ IV ที่มีโนต #6 ประกอบอยู ก็ใหยึดคอรดนี้วาเปน Dominant ไปซะ
ยกตัวอยางในคีย C ดูที่ C Dorian ซึ่งประกอบไปดวยโนต C - D - Eb - F - G - A - Bb - C
โนตตัวที่ #6 จาก Natural minor ก็คือ A ซึ่งถือวาเปนเอกลักษณของโมด และโนตตัว A นี้กอยู
็
ในคอรด IIm ในที่นี้คือ Dm(D-F-A) และคอรด IV ในที่นี้คือ F(F-A-C) ดังนั้นสองคอรดนี้จึงเปน
Dominant และเรานิยมใชคอรด IV มากกวาเนื่องจากวามันเปนคอรดเมเจอรซึ่งใหเสียงที่มั่นคง
กวาคอรดไมเนอร
- 21 -
22. www.kruharn.com
คอรด bIII มี common note รวมกับคอรด I ดังนั้นจึงใชแทนกันได สวนคอรด VI dim มี
common note รวมกับคอรด I เชนกัน แตเพราะความที่เปนดิมินิช จึงไมควรนํามาใชแทนคอรด
I เพราะดิมินิชใหเสียงที่ไมมนคงจึงใชเปน Tonic ไมได
ั่
สวนคอรดที่เหลือก็จะเปน Sub-dominant ไป
Phrygian mode คอรด I เปนตัว Tonic เหมือนเดิม ไมมีอะไรตองสงสัย เอกลักษณของโมดนี้
อยูท่โนต b2 ดังนั้นเราตองหาวามีคอรดใดบางที่มีโนต b2 ประกอบอยู คําตอบก็คอคอรด bII ,
ี ื
Vdim , bVII 3 คอรดนี้ใชเปน Dominant ทั้งหมด คอรดที่อยูในรูปของเมเจอรมักจะไดรับการ
พิจารณากอนเสมอ
คอรด bIII และ bVI มี common note รวมกันกับคอรด I จึงใชแทนกันได สวนคอรด IVm มี
common note รวมกันกับคอรดที่เปน Dominant ดังนั้นมันจึงเปน Dominant ไปดวย แมวาจะ
ไมมีโนต b2 อยูในคอรดก็ตาม
Lydian mode คอรด I เปน Tonic คอรดที่เปน Dominant ไดแกคอรด II และคอรด VIIm
เนื่องจากสองคอรดนี้มีโนต #4 อยู คอรด IIIm และคอรด VIm ใชแทนคอรด I ได เนื่องจากมี
common note รวมกัน คอรด V มี common note รวมกันกับคอรด VIIm จึงจัดเปน Dominant
ไป สวนคอรด IVdim ไมตองไปสนใจมัน เพราะเปนดิมินิช ทําใหเกิดความรูสึกนอกคีย
โมดนี้เปนโมดที่ฟงแลวใหความรูสึกวาจบไมลง ดังนั้นการจบ อาจจะหาคอรดอื่นที่ไมใชคอรด I
มาใชเพื่อแกปญหา โดยคอรดที่จะนํามาใชตองมีเสียงทีรองรับ Tritone ได ยกตัวอยางในคีย C
่
คอรด Dominant ก็คือ D คอรดที่จะมารองรับในตอนจบเพลงอาจใช G หรือ Em ก็ได ดวย
หลักการคิดทีวา Lydian mode สรางขึ้นจากโนตตัวที่ 4 ของ Major ดังนั้นโนต C ก็คือโนตตัวที่
่
4 ในคีย G major และคอรด D ก็เปนคอรดที่ 5 ของ G major ดังนั้นคอรด D เคลื่อนตัวเขาหา
คอรด G จะอยูในรูปของคอรด V เขาหาคอรด I หรือจะเปลี่ยนจาก G major เปน E minor ก็ได
เพราะคียทั้งสองเปน relative กันอยู
ตัวอยางเพลงที่แตงดวยโมดนี้ก็มีเพลง Jet Song ซึ่งเปนเพลงประกอบภาพยนตรเรื่อง West
side story หรือจะเอาแบบที่ไมตองไปขุดใหลึกมากนักก็เพลง Flying In A Blue Dream ของ
Joe Satriani
Mixo-lydian mode มีคอรด I เปน Tonic เชนเดิม คอรดที่เปน Dominant ไดแกคอรด Vm และ
bVII เนื่องจากสองคอรดนี้มีโนตที่เปนเอกลักษณของโมดอยูซึ่งก็คือโนต b7 จาก Major scale
นั่นเอง
- 22 -