Más contenido relacionado
La actualidad más candente (20)
Más de สายฝน ต๊ะวันนา (20)
สรุปเซลล์
- 1. รูปร่างและลักษณะของเซลล์ของสิ่งมีชีวตเซลล์เดียวและเซลล์ของสิ่งมีชีวตหลายเซลล์
ิ ิ
ลักษณะที่สาคัญ เซลล์ของสิ่งมีชีวตเซลล์เดียว
ิ เซลล์ของสิ่งมีชีวตเซลล์หลายเซลล์
ิ
รูปร่างและลักษณะ รูปร่างและลักษณะไม่ซับซ้อน รูปร่างลักษณะแตกต่างกัน
หน้าที่ ดาเนินกิจกรรมในการดารงชีวตเซลล์ มีหน้าที่แตกต่างกัน
ิ
เดียว เช่น การกินอาหาร การสืบพันธุ์
การย่อยอาหาร การหายใจ ฯลฯ
ตัวอย่าง อะมีบา พารามีเซียม ยูกลีนา เซลล์พืช เซลล์สัตว์ เซลล์ประสาท
ส่วนประกอบและหน้าที่สาคัญของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์
- 2. ส่วนประกอบ ลักษณะและหน้าที่ เซลล์พืช เซลล์สัตว์
1. ผนังเซลล์ (cell wall) เพิ่มความแข็งแรงให้แก่เซลล์ ทาให้เซลล์คงรูปอยู่ได้ -
2.เยื่อหุ้มเซลล์ (cell ห่อหุมไซโทพลาซึม ควบคุมการเข้าออกของสาร ให้นา
้
membrane) ออกซิเจน ผ่านได้ โปรตีน ไขมันผ่านไม่ได้
3.นิวเคลียส (nucleus) รูปร่างกลมอยู่ตรงกลางเซลล์ ควบคุมลักษณะการ
ถ่ายทอดทางพันธุกรรม การสังเคราะห์โปรตีน
กระบวนการเมแทบอลึซึม
4.ไซโทพลาซึม เป็นของเหลวอยู่รอบนิวเคลียส มีองค์ประกอบของ
(cytoplasm) เซลล์ที่เรียกว่าออแกเนลล์ เป็นศูนย์กลางการทางาน
ของเซลล์ เป็นแหล่งเกิดปฏิกิรยาเคมี
ิ
4.1 กอลจิบอดี (golgi เป็นถุงแบนๆเรียงซ้อนกัน มีเยื่อหุ้มชันเดียว สังเคราะห์
body) คาร์โบไฮเดรตและดัดแปลงโปรตีน
4.2 ร่างแหเอนโดพลาสมิก ถ้ามีไรโบโซมมาเกาะ สังเคราะห์โปรตีนและเอนไซม์
(endoplasmic ถ้าเป็นชนิดเรียบ จะสังเคราะห์ไขมัน ทาลายสารพิษ
reticulum;ER)
4.3 ไมโทคอนเดรีย เป็นก้อนกลม มีเยื่อหุ้ม 2 ชัน ผลิตสารที่ให้พลังงานสูง
(mitochondria) (adenosine triphosphate;ATP) ให้แก่เซลล์
4.4 คลอโรพลาสต์ เป็นก้อนกลม มีผนัง 2 ชัน ชันนอกควบคุมปริมาณและ
(chloroplast) ชนิดของสาร ชันในมีรงควัตถุสีเขียวเรียกว่า
-
คลอโรฟิลล์ (chlorophll) จะดูดซับพลังงานแสงใช้ใน
การสังเคราะห์ด้วยแสง
4.5 แวคิวโอล (vacuole) เป็นถุง มีเยื่อบางๆหุ้ม สะสมนา อาหาร ของเสียใน
-
เซลล์
4.6 ไลโซโซม (lysosome) รูปร่างค่อนข้างกลม มีเยื่อหุ้มชันเดียว มีเอนโซม์ย่อน
อินทรียสารและของเสียในเซลล์ พบมากในเซลล์เม็ด -
เลือดขาว
4.7 เซนทริโอล (centriole) มีขนาดเล็ก 1 คู่ อยู่ดานข้างของนิวเคลียส สร้างเส้น
้
ใยสปินเดิล ช่วยในการแบ่งเซลล์ และช่วยในการ -
เคลื่อนที่ของเซลล์บางชนิด
- 3. การแพร่และออสโมซิส
การแพร่(diffusion) เป็นการกระจายอนุภาคของสารจากบริเวณที่มีความเข้มข้นมากไปยังที่มีความเข้มข้น
น้อย จนมีความเข้มข้นเท่ากัน
ปัจจัยที่มผลต่อการแพร่
ี
1. ความเข้มข้น ถ้าทังสองบริเวณมีความเข้มข้นแตกต่างกันมากจะแพร่ได้เร็ว
2. อุณหภูมิ ถ้าอุณหภูมิสูง โมเลกุลเคลื่อนที่ได้เร็ว การแพร่จะแพร่ได้เร็ว
3. ความดัน ถ้าเพิ่มความดันโมเลกุลเคลื่อนที่ได้ดี การแพร่จะแพร่ได้เร็ว
4. ขนาดของอนุภาค ถ้าขนาดของอนุภาคเล็กจะแพร่ได้เร็วกว่า
5. ตัวกลาง ถ้าตัวกลางมีความหนืดสูงจะแพร่ได้ช้า
ตัวอย่าง
- การแพร่ของด่างทับทิมในนา
- การแพร่ของนาหอมในอากาศ
- การแพร่ของแก๊สออกซิเจนในดินเข้าสู่เซลล์ของพืชบริเวณขนราก
- การแพร่ของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากการหายใจของพืชออกทางปากใบ
- การแพร่ของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากการสังเคราะห์แสงของพืชเข้าทางปากใบ
- การแพร่ของแก๊สออกซิเจนจากการสังเคราะห์แสงของพืชออกทางปากใบ
- การแพร่ของเสียและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการเมแทบอลิซึมเข้าสู่เลือดแล้วลาเลีบง
ไปยังปอด เพื่อแลกเปลี่ยนแก๊ส
ออสโมซิส (osmosis) เป็นการแพร่ของนาผ่านเยื่อกันที่เป็นเยื่อกึ่งซึมผ่านได้ หรือเยื่อหุมเซลล์ จะแพร่จะที่ๆ
้
มีความเข้มข้นของนามากไปสู่ความเข้มข้นของนาน้อย จนมีความเข้มข้นของนาเท่ากัน
ตัวอย่าง
- รากพืชดูดซึมนาในดิน
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
ปัจจัยบางประการที่จาเป็น
1. คลอโรฟิลล์ เป็นรงควัตถุสีเขียว มีแมกนีเซียมเป็นองค์ประกอบที่สาคัญ จะช่วยดูดพลังงานแสงเป็น
พลังงานเคมีในรูปของนาตาลกลูโคส
- 4. 2. แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ได้จากการแพร่ของอากาศเข้าทางปากใบ ในอากาศมีแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 0.4 % แต่ถ้ามีปริมาณมากขึน การสังเคราะห์แสงก็จะมากขึน
3. แสง เป็นปหล่งพลังงานสาหรับกระบวนการสังเคระห์ด้วยแสง ความเข้มของแสงมาก อัตราการ
สังเคราะห์ด้วยแสงจะมาก แต่ถ้ามากเกินไปก็จะเป็นอันตรายต่อเนือเยื่อของพืช แสงสีม่วงมีผลต่อ
การสังเคราะห์แสงมากที่สุด แสงสีเขียวมีผลต่อการสังเคราะห์แสงน้อยที่สุด
4. นา ใช้ในกระบวนการสร้างอาหารของพืช ถ้าพืชขาดนาปากใบจะปิด ทาให้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
เข้าสู่ปากใบได้นอย
้
ผลผลิตจากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
ความสาคัญของกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชต่อสิ่งมีชีวตและสิ่งแวดล้อม
ิ
1. แหล่งอาหารที่สาคัญ การสังเคราะห์แสงจะทาให้ได้สารอาหารประเภทนาตาลและแป้ง ซึ่ง
สิ่งมีชีวตอื่นๆนาไปใช้ประโยชน์
ิ
2. แหล่งผลิตแก๊สออกซิเจนและลดปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
การลาเลียงนาของพืช
พืชลาเลียงนาจากพืนดินเข้าสู่ราก โดยวิธี ออสโมซิส ส่วนแร่ธาตุจะแพร่เข้าสู่ขนรากโดยวิธีการ
แพร่แบบแอกทีฟทรานสปอร์ต นาและแร่ธาตุจะลาเลียงจากรากไปสู่ส่วนต่างๆของพืชผ่านท่อลาเลียงนา
(xylem) เกิดขึนได้ตลอดเวลา เกิดมากในตอนกลางวัน เกิดได้เฉพาะจากล่างขึนบนเท่านัน
การคายนาของพืช เป็นการแพร่ของนาในรูปของไอนาทางปากใบ พบมากที่สุดด้านท้องใบที่ไม่ได้
รับแสง เกิดมากในตอนกลางวัน
- 5. การลาเลียงอาหารของพืช
นาตาลซึ่งเป็นอาหารของพืชจะถูกลาเลียงไปยังส่วนต่างๆของพืชทางท่อลาเลียงอาหาร (phloem)
เกิดได้ทังจากส่วนบนลงสู่ล่าง และจากล่างขึนบน
- ท่อลาเลียงนาและท่อลาเลียงของลาต้นพืชใบเลียงคู่อาหารอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีท่อลาเลียงอาหาร
อยู่ข้างนอกและท่อลาเลียงนาอยู่ข้างใน
- ท่อลาเลียงนาและท่อลาเลียงของลาต้นพืชใบเลียงเดี่ยวจะอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย
- ท่อลาเลียงนาของรากพืชใบเลียงคู่เป็นแฉกอยู่ตรงกลางมีท่อลาเลียงอาหารอยู่ระหว่างแฉก
- ท่อลาเลียงอาหารของรากพืชใบเลียงเดี่ยวจะอยู่ระหว่างท่อลาเลียงนาสลับกันไป
- 6. โครงสร้างของดอกที่เกี่ยวข้องกับการสืบพันธุ์ของพืช
1. กลีบเลียง (sepal) ป้องกันอันตรายให้แก่ดอกไม้
2. กลีบดอก (petal) ล่อแมลงช่วยผสมเกสร
3. เกสรเพศผู้ (stamen) เป็นอวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้
- ก้านชูอับละอองเรณู (filament)
- อับเรณู หรืออับละอองเรณู (anther)
4. เกสรเพศเมีย (pistil) เป็นอวัยวะสืบพันธุ์เพศเมีย
- เกสรเพศเมีย (stigma)
- ก้านชูเกสรเพศเมีย (style)
- รังไข่ (overy) มีออวุล (ovule) เป็นเม็ดเล็กๆ ภายในมีไข่ (egg) เป็นเซลล์สืบพันธุ์
เพศเมีย
กระบวนการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของพืชดอก
1. การถ่ายละอองเรณู(pollination) ละอองเรณูจากเกสรเพศผู้ไปตกลงบนยอดเกสรเพศเมีย
- เกิดภายในต้นเดียวกันหรือในดอกเดียวกัน พืชจะมีลักษณะเหมือนต้นเดิม
- เกิดข้ามต้น พืชที่ได้แตกต่างจากต้นเดิม
2. การปฏิสนธิ(fertilization) เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้เข้ารวมตัวกับเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย
การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของพืช
1. การตอนกิ่ง
2. การติดตา
3. การปักชา
4. การทาบกิ่ง
5. การโน้มกิ่ง
6. การเพาะเลียงเนือเยื่อ
การตอบสนองของพืชต่อแสง นา และการสัมผัส
1. เนื่องจากการเจริญเติบโต
1.1 การตอบสนองที่สัมพันธ์กับทิศทางของสิ่งเร้า
- การตอบสนองต่อแสง ปลายยอดพืชจะเจริญเข้าหาแสง ปลายรากจะเจริญหนีแสง
- การตอบสนองต่อนาหรือความชืน ปลายรากจะเจริญเข้าหานาหรือความชืน
- 7. - การตอบสนองต่อแรงโน้มถ่วงของโลก ปลายยอดจะเจริญหนีแรงโน้มถ่วง ปลายราก
จะเจริญเข้าหาแรงโน้มถ่วง
- การตอบสนองต่อสารเคมี หลอดละอองเรณูจะเจริยเข้าหาออวุลที่มสาระละลาย
ี
นาตาล
- การตอบสนองต่อการสัมผัส การเจริญของมือเกาะ จะบิดลาต้นรอบๆเป็นเกลียวพัน
หลักไว้
1.2 การตอบสนองที่ไม่สัมพันธ์กับทิศทางของสิ่งเร้า
- การตอบสนองต่อแสง ดอกบัวบานตอนกลางวัน หุบในตอนกลางคืน
- การตอบสนองต่ออุณหภูมิ ดอกบัวสวรรค์บานเมื่ออุณหภูมิต่า ดอกปิวลิปบานเมื่อ
อุณหภูมิสูง
2. เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงปริมาณนาภายในเซลล์
- การตอบสนองต่อการสัมผัส เช่น ไมยราบ กาบหอยแครง เนื่องจาก โคนก้านใบมีกลุ่ม
เซลล์ที่มีความไวต่อการสัมผัสสูง อยู่รวมกันเป็นกระเปาะเรียกว่า pulvinus เมื่อมีการ
สัมผัสจึงสูญเสียนาไปยังช่องว่างรหว่างเซลล์อย่างรวดเร็ว ทาให้ใบหุบ สักครู่หนึ่งจะ
ซึมเข้าสู่เซลล์กลุ่มนีใหม่จนเต่ง ใบจึงกางเหมือนเดิม
- การตอบสนองต่อแสง เช่น กระถิน จามจุรี พืชตระกูลถั่ว เมื่อความเข้มแสงลดลง นา
จะเคลื่อนที่ออกนอกเซลล์ ทาให้แรงดันแต่งภายในลดลง ใบจะหุบ เรียกว่าต้นไม้นอน
หรือการเปิดปิดของปากใบ ในตอนกลางวัน มีกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ทาให้มี
นาตาลมาก นาจากเซลล์ข้างเคียงตึงแพร่ผ่านเข้าสู่เซลล์คุมจนเต่ง ปากใบจึงเปิด ส่วน
กลางคืนไม่มการสังเคราะห์ด้วยแสง เซลล์คุมแพร่นาออกมาปากใบจึงปิด
ี
หลักการและผลของการใช้เทคโนโลยี ชีวภาพในการขยายพันธุ์ ปรับปรุงพันธุ์ เพิ่มผลผลิตของพืช
และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์
1. การเพาะเลียงเนือเยื่อ (tissue culture)
นาส่วนใดส่วนหนึ่งของพืชมาเลียงในอาหารวิทยาศาสตร์ เช่น กล้วยไม้ ข้าว ต้นสัก ปาล์มนามัน
คาร์เนชั่น บอน
2. การทาเมล็ดเทียม (artificial seed)
พัฒนามาจากการเพาะเลียงเนือเยื่อ โดยนาเซลล์ที่เจิญมาจากการเพาะเลียงเนือเยื่อมาทาให้เกิด
เอ็มบริโอเรียกว่า โซมาติก เอมบริโอ
3. พันธุวิศวกรรม GMOs เป็นการเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรม ตัดแต่งยีน