SlideShare una empresa de Scribd logo
1 de 10
๑
ละครรำ
บทนำ
ละครรำเป็นศิลปะกำรแสดงของไทย ที่ประกอบด้วยท่ำรำ ดนตรีบรรเลง และบทขับร้อง เพื่อดำเนินเรื่อง
ละครรำมีผู้แสดงเป็นตัวพระ ตัวนำง และตัวประกอบ แต่งองค์ทรงเครื่องตำมบท งดงำมระยับจับตำ
ท่ำรำตำมบทร้อง ประสำนกับทำนองดนตรี ที่บรรเลงจังหวะเร็ว จังหวะช้ำ เร้ำอำรมณ์ ให้เกิดควำมรู้สึกคึกคัก
สนุกสนำน หรือโศกเศร้ำ
ตัวละครสื่อควำมหมำยบอกกล่ำวแสดงอำรมณ์ ด้วยภำษำท่ำทำง โดยใช้ส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำย วำดลีลำร่ำยรำ
ตำมคำร้อง จังหวะ และเสียงดนตรี
ท่ำรำแต่ละท่ำเลียนแบบอิริยำบถยืน เดิน นั่ง นอน รวมทั้งแสดงอำรมณ์ ควำมรู้สึกของตัวละคร เช่น ดีใจ รัก โกรธ
อำย เป็นต้น
ท่ำรำบำงท่ำเลียนแบบธรรมชำติ เช่น ลมพัดยอดตอง เครือวัลย์พันไม้ รำหูจับจันทร์ บัวตูม บัวบำน บัวคลี่
บัวแย้ม เป็นต้น
ท่ำรำบำงท่ำเลียนแบบกำรก้ำวเดินของสัตว์ แต่ปรับปรุงท่ำทำงให้งดงำม เช่น ยูงฟ้อนหำง กวำงเดินดง หงส์บิน
กินนรรำ เป็นต้น
ละครรำมีหลำยประเภท ได้แก่
ละครชำตรี เล่นเรื่องมโนห์รำ
ละครใน เล่นเรื่องรำมเกียรติ์ อุณรุท อิเหนำ
ละครนอก เล่นเรื่องไกรทอง โคบุตร ไชเชษฐ์ คำวี สังข์ทอง เป็นต้น
ละครรำเป็นศิลปะกำรแสดงชั้นสูง ซึ่งมีควำมประณีตงดงำม บ่งบอกถึงปรีชำสำมำรถของคนไทย
เด็กและเยำวชนทั้งหลำยจึงสมควรที่จะศึกษำ และเรียนรู้ เพื่อธำรงรักษำวัฒนธรรมของชำติให้ยั่งยืนสืบไป
เยำวชนควรสนใจศึกษำละครรำ ซึ่งเป็นแหล่งรวมศิลปะชั้นสูง ทั้งนำฏศิลป์ วรรณศิลป์ และดุริยำงคศิลป์
เมื่อศึกษำอย่ำงลึกซึ้ง นอกจำกจะได้รับควำมบันเทิงแล้ว ยังก่อให้เกิดควำมภำคภูมิใจ
ที่บรรพบุรุษได้สร้ำงสรรค์ศิลปวัฒนธรรม สืบทอดเป็นมรดกอันล้ำค่ำตลอดมำ
๒
ความหมายของละครรา
"ละครรำ" เป็นละครแบบหนึ่งของไทย คือ ละครประเภทที่เป็นนำฏศิลป์
ละครรำสมัยก่อนเรียกกันแต่เพียงว่ำ "ละคร" เพรำะกำรเล่นละครสมัยก่อน ต้องมีรำ มีดนตรีประกอบ
และมีบทร้องเล่ำเรื่อง ครั้งต่อมำประมำณปลำยรัชสมัย พระบำทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัว
พระบำทสมเด็จพระมงกุฎเกล้ำเจ้ำอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็น
สมเด็จพระบรมโอรสำธิรำชสยำมมกุฎรำชกุมำร และพระเจ้ำบรมวงศ์เธอกรมพระนรำธิปประพันธ์พงศ์
ได้ทรงนำเอำบทและรูปแบบกำรแสดงละครของชำวตะวันตก ที่เรียกว่ำ Play และ Farce มำแปลและดัดแปลง
แล้วนำออกแสดงหลำยเรื่อง เป็นเหตุให้เรียกละครไทย ที่แสดง
มีกำรร้องรำอย่ำงเดิมว่ำ "ละครรำ" และเรียกละครที่แสดงด้วยคำพูด และท่ำทำงบนเวที มีฉำกประกอบกำรแสดง
และเปลี่ยนฉำกไปตำมท้องเรื่องว่ำ "ละครพูด" แต่ละครที่แสดงท่ำทำงแบบละครพูดนั้น ถ้ำมีกำรร้องสลับด้วย
หรือร้องล้วนๆ เรียกว่ำ "ละครร้อง"
ละครรำของไทยมีหลำยประเภท เช่น "ละครชำตรี" หรือละครโนรำชำตรี อย่ำงเช่นที่เล่นกันในภำคใต้
เรียกกันว่ำ "โนรำ" อย่ำง ๑ ละครที่เล่นรำชสำนัก เรียกว่ำ "ละครใน" อย่ำง ๑ "ละครนอก" อย่ำง ๑ ละครทั้ง ๓
อย่ำงนี้มีมำตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยำเป็นรำชธำนี อธิบำยกันมำแต่ก่อนว่ำ ละครในนั้นคือ ละครผู้หญิง
มีได้แต่ของหลวง ส่วนละครที่เล่นกัน ในพื้นเมืองเรียกว่ำ ละครนอก แต่ก่อนนี้จะมีแต่ผู้ชำยเล่น
เพิ่งมีประกำศพระรำชทำนพระบรมรำชำนุญำต ให้ผู้อื่นหัดละครผู้หญิงได้ในสมัยรัชกำลที่ ๔
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่นั้นมำจึงได้มีละครผู้หญิงเกิดขึ้นนอกพระรำชวัง ควำมที่อธิบำยดังกล่ำวมำนี้
คงจะว่ำไปตำมสถำนที่และเพศของผู้แสดง ทำให้ละครในกับละครนอก มีควำมแตกต่ำงกันในทำนองร้อง
กระบวนกำรรำและเรื่องที่เล่น
ละครในเล่นเพียง ๓ เรื่อง คือ เรื่องรำมเกียรติ์ เรื่อง ๑ เรื่องอุณรุท เรื่อง ๒ กับเรื่องอิเหนำ เรื่อง ๑ ไม่เล่นเรื่องอื่น
แต่ก่อนมำ แม้จะมีละครผู้หญิงของหลวงเล่นเรื่องอื่น นอกจำก ๓ เรื่อง ก็เรียกว่ำ เล่นละครนอก
บทละครที่ทรงพระรำชนิพนธ์จำกเรื่องอื่น เช่น สังข์ทอง และคำวี เป็นต้น เรียกว่ำ พระรำชนิพนธ์ละครนอก
ส่วนละครนอกนั้น ก็จะเล่นแต่เรื่องอื่น ไม่เล่นเรื่องรำมเกียรติ อุณรุท อิเหนำ
แม้แต่ละครผู้ชำยของเจ้ำนำยสมัยก่อน เช่น ละครของพระเจ้ำบรมวงศ์เธอกรมพระพิทักษเทเวศร์ เป็นต้น
เล่นเรื่องอิเหนำก็เรียกว่ำ เล่นละครในควำมแตกต่ำงจึงไม่ได้อยู่ที่ว่ำผู้แสดงเป็นผู้หญิงหรือผู้ชำย
(ดำรงรำชำนุภำพ : ตำนำน เรื่อง ละครอิเหนำ น.๑-๒)
หลักการเกี่ยวกับตัวละคร
นับแต่โบรำณ ผู้แสดงละครรำที่ถือว่ำเป็นตัวละครสำคัญมีอยู่เพียง ๓ คนเท่ำนั้น คือ ตัวทำบทเป็นผู้ชำย ที่เรียกว่ำ
นำยโรง หรือยืนเครื่องอย่ำง ๑ ตัวทำบทเป็นผู้หญิงที่เรียกว่ำนำงอย่ำง ๑ ตัวสำหรับทำบทเบ็ดเตล็ด เช่น ฤำษี
ยักษ์ พรำน ยำยตำ และสัตว์เดียรัจฉำน เช่น ม้ำและนกในเรื่องละคร ตลอดจนเล่นตลกให้ขบขันเรียกว่ำ
จำอวดอย่ำง ๑ ตลกในละครสันสกฤต เขำเรียกว่ำ วิทูษะกะ หรือ วิทูษก และละครของฝรั่งก็มีตัวตลก (clown)
๓
ด้วย ๑ ผู้ทำบทเบ็ดเตล็ดในละครไทยนี้ ในบำงเรื่องก็ทำบทเป็นผู้ร้ำย คือ เป็นศัตรูกับพระเอก หรือนำงเอก เช่น
ทศกัณฐ์ในเรื่องรำมเกียรติ หัวใจของเรื่องรำมเกียรติ์ที่ใช้แสดงโขนก็อยู่ที่ตอนทศกัณฐ์ลักนำงสีดำ ตัวละครสำคัญ
ตอนนี้ก็มีพระรำม ๑ นำงสีดำ ๑ ทศกัณฐ์ ๑ ส่วนตัวอื่นก็เป็นแค่ตัวประกอบ เช่น
มำรีศเป็นฝ่ำยทศกัณฐ์ซึ่งแปลงตัวเป็นกวำงทอง พระลักษมณ์เป็นอนุชำของพระรำม
ละครรำแบบดั้งเดิมของไทย เช่น ละครโนรำชำตรี ก็มีผู้แสดงเป็นตัวละครสำคัญ ๓ คนเท่ำนั้นคือ
ถ้ำเล่นเรื่องมโนห์รำ นำยโรง จะแสดงบทของพระสุธน ๑ นำงจะแสดงบทของนำงมโนห์รำ ๑
จำอวดหรือตัวตลกจะแสดงบทของพรำนบุญ ๑ ละครนอกถ้ำเล่นเรื่องรถเสน นำยโรงก็จะแสดงบทของพระรถเสน
๑ นำงก็จะแสดงบทของนำงเมรี ๑ จำอวดหรือตัวตลกจะแสดงบทเป็นม้ำของพระรถเสน ๑
เรื่องที่นิยมใช้เล่นละครนอกมำแต่โบรำณ คือ สุวรรณหงส์ ซึ่งตอนที่นิยมเล่นกันจนเป็นที่เลื่องลือมำกมี ๒ ตอน
คือ ตอนพรำหมณ์เล็กพรำหมณ์โต และตอนกุมภณฑ์ถวำยม้ำ ผู้แสดงซึ่งเป็นตัวละครสำคัญก็มีอยู่ ๓ คน เช่นกัน
คือ ตอนพรำหมณ์เล็กพรำหมณ์โต มีพรำหมณ์เล็ก (คือพรำหมณ์เกศสุริยง) ๑ พรำหมณ์โต
(คือพรำหมณ์กุมภณฑ์) ๑ และพระสุวรรณหงส์ ๑ ส่วนตอนกุมภณฑ์ถวำยม้ำก็มีผู้แสดงสำคัญ ๓ คนคือ
กุมภณฑ์ยักษ์ ๑ เกศสุริยงยักษ์ ๑ และพระสุวรรณหงส์ ๑
สำหรับเรื่องขุนช้ำงขุนแผนที่นิยมกันว่ำสำมำรถนำมำดัดแปลงเล่นละครได้ดี ก็เพรำะมีตัวละครสำคัญอยู่ในเรื่อง
๓ คนเช่นกัน คือ ขุนแผนเท่ำกับตัวนำยโรง หรือยืนเครื่อง ๑ นำงพิมหรือวันทองเท่ำกับตัวนำง ๑
และขุนช้ำงเท่ำกับตัวจำอวดหรือตัวตลก ๑ แม้แต่เพลงพื้นเมือง เช่น เพลงฉ่อย เพลงโครำชก็เช่นเดียวกัน
เมื่อเล่นเข้ำเรื่อง เช่น ตอนที่เรียกว่ำชิงชู้ และตีหมำกผัว เป็นต้น ก็จะมีตัวละครสำคัญ ๓ คนเช่นกัน
กำรที่ละครมีผู้แสดงมำกขึ้นนั้นเป็นกำรปรับปรุงเพิ่มเติมภำยหลัง
เมื่อศิลปะทำงกำรแสดงได้รับกำรปรับปรุงและส่งเสริมให้ก้ำวหน้ำยิ่งขึ้น
ก็มีตัวยืนเครื่องรองและตัวยืนเครื่องเลวเพิ่มขึ้น ตัวนำงก็มีเพิ่มขึ้น เลยเรียกตัวนำงแต่เดิมว่ำ นำงเอก
และเรียกตัวนำงที่เพิ่มขึ้นว่ำ นำงเลว ผู้แสดงที่เพิ่มขึ้นนี้ล้วนเป็นตัวประกอบทั้งสิ้น
จะขยำยเรื่องให้มีผู้แสดงประกอบมำกมำยเท่ำใดก็ได้ เช่น จัดแสดงให้มีระบำแทรกเข้ำไป
ถ้ำเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระมหำกษัตริย์ ก็เพิ่มเสนำอำมำตย์ข้ำรำชบริพำร และนำงสนมกำนัล
ถ้ำเป็นตอนออกศึกก็เพิ่มกองทัพเหล่ำต่ำงๆ และอื่นๆ เข้ำไป แต่ผู้แสดงสำคัญของละครก็คือผู้แสดง ๓ คน
ดังกล่ำวนั่นเอง
ตำมที่ได้บรรยำยมำข้ำงต้น ปรำกฏหลักฐำนในศักดินำพลเรือนครั้งกรุงเก่ำ (พ.ศ. ๑๙๑๙)
สมัยสมเด็จพระบรมรำชำธิรำชที่ ๑ (ขุนหลวงพะงั่ว) เอ่ยถึงช่ำงดอกไม้เพลิง พนักงำนหนัง
พนักงำนปี่พำทย์ไม้ต่ำไม้สูง และเอ่ยถึงพนักงำนละครว่ำ
หมื่นเสนาะภูบาลเจ้ากรมขวา
หมื่นโวหารพิรมย์เจ้ากรมซ้าย นาคล ๔๐๐
๔
นายโรง นา ๒๐๐
ยืนเครื่องรอง นาคล ๑๐๐
นางเอก นาคล ๑๐๐
ยืนเครื่องเลว นาคล ๘๐
นางเลว นาคล ๘๐
จาอวด นา ๕๐
เรื่องที่ใช้ในกำรแสดงละครรำ
เรื่องที่ใช้ในกำรแสดงละครรำมักนำมำจำกชำดกบ้ำง นิทำนพื้นเมืองบ้ำง เช่น ละครชำตรี
นำเอำเรื่องพระสุธนนำงมโนห์รำมำจำก สุธนกุมำรำวทำน ในคัมภีร์ชำดกสันสกฤตชื่อ ทิวยำวทำน
เช่นที่ท่ำนผู้แต่งคัมภีร์ปัญญำสชำดกนำเอำไปแต่งเป็นชำดกภำษำบำลี ชื่อ สุธนชำดก อีกต่อหนึ่งนั่นเอง
ส่วนเรื่องรถเสนนั้นนำเอำนิทำนพื้นเมืองเรื่องพระรถเสนและนำงกังรี
เช่นที่มีกล่ำวในพงศำวดำรล้ำนช้ำงไปแต่งขึ้น แต่ละครรำของไทยมิได้แสดงกันอยู่เพียงเรื่องมโนห์รำและรถเสน
เพียง ๒ เรื่องนี้เท่ำนั้น มีบทละครสมัยกรุงศรีอยุธยำอยู่หลำยเรื่อง
บทละครนอกสมัยกรุงศรีอยุธยำที่มีฉบับอยู่ในหอสมุดแห่งชำติหลำยเรื่อง (แต่ไม่บริบูรณ์สักเรื่องเดียว)
บทละครนอกสมัยกรุงศรีอยุธยำ ๑๔ เรื่อง คือ
เรื่องกำระเกด คำวี ไชยทัต พิกุลทอง พิมพ์สวรรค์ พิณสุริวงศ์ นำงมโนห์รำ โม่งป่ำ มณีพิไชย สังข์ทอง
สังข์ศิลป์ ชัย สุวรรณศิลป์ สุวรรณหงส์ และโสวัต
นอกจำกนี้ยังมีบทละครนอกสำนวนกลอนเป็นของเก่ำก่อนสมัยรัชกำลที่ ๒ อยู่อีก ๕ เรื่อง คือ ไกรทอง โคบุตร
ไชยเชษฐ์ พระรถและศิลป์ สุริวงศ์
เรื่องสำหรับใช้เป็นบทละครนี้ เมื่อขยำยกำรแสดงให้หรูหรำโอฬำรขึ้น ก็ต้องมีผู้แสดงมำกขึ้น
กำรแสดงละครตำมบทกลอนในเรื่องเหล่ำนี้ มีกำรนำเอำศิลปะต่ำงๆ เข้ำมำใช้ประกอบกำรแสดงด้วย เช่น
ศิลปะทำงกวีนิพนธ์ กล่ำวคือ กลอนบทละครซึ่งแต่งเป็นกลอนแปด มีกำหนดหน้ำพำทย์ ฯลฯ
ศิลปะในกำรแสดงละครรำ
ในสมัยโบรำณมีศิลปะสำคัญในกำรแสดงละครรำอยู่ ๓ ประเภท คือ บทขับร้อง ดุริยำงคดนตรี และกำรฟ้อนรำ
(คือ นำฏศิลป์ )
๑. บทขับร้อง
บทขับร้องในกำรเล่นละครแต่เดิมคงจะใช้กลอนด้น คือ ร้องกลอนสด เช่นเดียวกับกำรเล่นเพลงพื้นเมือง เช่น
เพลงฉ่อย และเพลงโครำช เป็นต้น ก็ใช้ร้องด้น
ผู้เล่นเพลงพื้นเมืองเหล่ำนี้ต้องได้รับกำรฝึกหัดจำกครูบำอำจำรย์เพลงมำก่อน
ครูจะสอนให้ศิษย์ท่องจำกลอนเพลงเป็นตอนๆ ไป เช่น ตอนไหว้ครู ตอนชมโฉม
๕
(หมำยถึงชมควำมงำมของผู้หญิง) ตอนชมนกชมไม้ ตอนตัดพ้อต่อว่ำ เป็นต้น
ตัวอย่ำง บทไหว้ครูของนักแสดงพื้นบ้ำน
สิบนิ้วลูกจะประนม ถวำยบังคมขึ้นเหนือศีรษะ
ต่ำงดอกไม้ธูปเทียน ขึ้นเหนือเศียรบูชำ
ไหว้ทั้งครูเฒ่ำที่เก่ำก่อน ได้ฝึกสอนให้มีมำนะ
ทั้งโทนทับกระจับปี่ ที่ดีดสีเป็นจังหวะ
จะไหว้ผู้รู้ครูพัก ทั้งครูเอกอักขระ
ไหว้บิตุรำชมำตุรงค์ ด้วยจิตจงอุตสำหะ
ช่วยคุ้มครองป้องกำย ต่อผู้ชำยสะมะถะ
จะคิดแก้ไขให้ชยะ ไปตำมจังหวะ กลอนเอย
ตั้งแต่ฝึกหัดศิษย์จนสำมำรถร้องบทไหว้ครูได้แล้ว ถ้ำมีโอกำส ครูเพลงจะให้ออกเล่นเป็นลูกคู่ไปก่อน
จะออกเล่นเป็นพ่อเพลง แม่เพลงหรือตัวคอรองยังไม่ได้ จึงต้องหัดเป็นลูกคู่ไปก่อน
และท่องจำกลอนจนจำได้อย่ำงแม่นยำ และว่ำกลอนในตอนนั้นๆ ได้คล่อง จึงหัดด้น หมำยถึง
หัดผูกกลอนขับร้องด้วย ปฏิภำณของตนเอง ครั้งแรกๆ ก็ร้องด้นเอำกลอนที่ครูสอนให้ท่องเอำตรงนั้นมำต่อตอนนี้
เอำตอนนี้ไปต่อตอนโน้น ถึงจะตะกุกตะกักขลุกขลักและฟังแล้วน่ำรำคำญ ไม่ค่อยคล่องก็ตำม
แต่ครูก็จะปล่อยให้ด้นไปภำยหลังก็คล่องขึ้นๆ และผูกกลอนร้องด้นได้อย่ำงชำนิชำนำญด้วยปฏิภำณของตนเอง
ถ้ำยังไม่ชำญสนำมก็เป็นตัวคอรองไปก่อน เมื่อออกงำนหลำยๆ ครั้งจนจัดเจนขึ้นก็เป็นพ่อเพลงแม่เพลงได้
กำรเล่นละครครั้งโบรำณก็คงจะมีลักษณะเดียวกัน เช่น โนรำชำตรี
ก็จะต้องท่องจำบทแล้วใช้ด้นกลอนมำก่อนเช่นเดียวกัน ภำยหลังจึงมีผู้แต่งและเขียนบทลงเป็นตัวหนังสือ
แล้วแต่บทให้ประณีต ใช้เล่นละครสืบมำ
๒. ศิลปะทำงดุริยำงคดนตรี
เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่ำงยิ่งของกำรเล่นละครรำ
เพรำะกำรขับร้องและดุริยำงคดนตรีเป็นศิลปะสำคัญที่มีส่วนสัมพันธ์กับชีวิตของประชำชนคนไทยตั้งแต่เกิดจนต
ำย เห็นได้จำกประเพณีเลี้ยงลูกของคนไทยโบรำณ
เมื่อลูกเกิดใหม่พ่อแม่คิดประดิษฐ์ถ้อยคำขับร้องเป็นเพลงกล่อมลูก
"นอนไปเถิดแม่จะกล่อม นวลละม่อมแม่จะไกว แม่อย่ำร้องไห้ สำยสุดใจ เจ้ำแม่เอยฯ"
ถ้ำเป็นลูกเจ้ำฟ้ำเจ้ำแผ่นดิน ก็จะมีพิธีบรรเลงดุริยำงคดนตรีขับกล่อม ด้วยบทเห่ในพระรำชพิธีขึ้นพระอู่ เช่น
ในบทละครเรื่องอุณรุท กล่ำวถึงพระพี่เลี้ยงเชิญพระกุมำรลงพระอู่แล้วอยู่งำนช้ำ
กล่อมให้บรรทมด้วยเพลง "ช้ำลูกหลวง" กำรเห่กล่อมพระบรรทมที่สืบทอดกันมำ
เริ่มต้นด้วยทำนอง "ช้ำลูกหลวง" ซึ่งเป็นทำนอง ที่ได้มำจำกลัทธิพรำหมณ์
เป็นทำนองที่มีจังหวะยืดยำวไม่มีจังหวะหน้ำทับ แต่มีกำรสีซอสำมสำยคลอ เป็นเครื่องดนตรีประกอบ
๖
พร้อมกับกำรไกวบัณเฑำวะว์ เมื่อข้ำหลวงหรือพระพี่เลี้ยงขับกล่อมไปจนจบวรรคหนึ่งๆ
ซอสำมสำยก็จะรับเช่นนี้เรื่อยไป
เมื่อดุริยำงคดนตรีเข้ำมำเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนไทยทุกระดับเป็นปกติเช่นนี้
ในกำรรื่นเริงบันเทิงสนุกสนำนของคนไทยจึงย่อมจะขำดดุริยำงคดนตรีไปเสียมิได้
ดุริยำงคดนตรีย่อมจะเข้ำมำเป็นส่วนประกอบในกำรละเล่นระบำรำฟ้อน
กำรแสดงละครรำของชนชำวไทยสืบมำแต่ดึกดำบรรพ์
ดุริยำงคดนตรีสมัยโบรำณก็คงใช้กำรตบมือให้จังหวะและตีโกร่ง ตีกรับ ประกอบกำรฟ้อนรำ เช่น
กำรละเล่นในเทศกำลสงกรำนต์ตำมชนบท แล้วต่อมำจึงคิดประดิษฐ์เครื่องดุริยำงคดนตรีขึ้นเองบ้ำง เช่น กลอง
และเอำแบบอย่ำงมำจำกชำติอื่นบ้ำง เช่น เครื่องปี่พำทย์ ซึ่งคงจะเอำแบบอย่ำงมำจำก "ปัญจดุริยำงค์"
ของอินเดียเป็นหลัก แล้วดัดแปลงต่อมำจนเป็นปี่พำทย์เครื่องคู่และปี่พำทย์เครื่องใหญ่ในปัจจุบัน
วงดนตรีที่ใช้ประกอบกำรแสดงโขนและละครนั้นใช้ปี่พำทย์บรรเลงประกอบ
ส่วนเพลงที่บรรเลงประกอบกำรำของโขนละครที่ไม่ใช้บทร้องนั้นเรียกกันมำว่ำ "เพลงหน้ำพำทย์" และเพลงหน้ำพ
ำทย์ต่ำงๆ ที่ใช้ประกอบกำรแสดงโขนละครโดยทั่วไปนั้น อำจแบ่งออกได้เป็น ๘ จำพวก คือ
ก. ประกอบกิริยำไปและมำ
ข. ประกอบกำรเตรียมยกทัพ
ค. ประกอบกำรสนุกสนำนเบิกบำนใจ
ง. ประกอบกำรสำแดงฤทธิ์เดช
จ. ประกอบกำรรบหรือต่อสู้
ฉ. ประกอบกำรแสดงควำมรักที่เรียกในภำษำละครว่ำ "เข้ำพระเข้ำนำง"
ช. ประกอบกำรนอน
ซ. ประกอบกำรเศร้ำโศก และยังมีรำใช้บทหรือรำบทอีกอย่ำงหนึ่ง
๓. ศิลปะแห่งกำรฟ้อนรำ หรือนำฏศิลป์
ซึ่งเป็นหัวใจของกำรแสดงระบำและละครรำ กำรฟ้อนรำ หรือนำฎศิลป์ ย่อมประกอบด้วยท่ำทำงเคลื่อนไหว
หรือกิริยำอำกำร ซึ่งท่ำนคณำจำรย์ทำงนำฏศิลป์ ได้คัดเลือกนำมำประยุกต์ขึ้น เป็นท่ำฟ้อนรำ ท่ำบำงท่ำ
ก็เอำมำจำกกิริยำท่ำทำงของมนุษย์ เช่น ท่ำรำแม่บทในตำรำฟ้อนรำของไทยหลำยท่ำ เช่น
ท่ำที่เรียกว่ำสอดสร้อยมำลำ พิสมัยเรียงหมอน นำงกล่อมตัว และโจงกระเบนตีเหล็ก เป็นต้น
ท่ำบำงท่ำก็เอำมำจำกกิริยำท่ำทำงของสัตว์ เช่น ท่ำเรียกในตำรำฟ้อนรำว่ำ สิงโตเล่นหำง แขกเต้ำเข้ำรัง
นกยูงฟ้อนหำง กวำงเดินดง ท่ำชะนีร่ำยไม้ หงส์ลินลำและท่ำฟ้อนรำบำงท่ำก็นำมำจำกสิ่งธรรมชำติ อย่ำงเช่น
ท่ำที่เรียกในตำรำฟ้อนรำว่ำ ลมพัดยอดตอง บัวชูฝัก เครือวัลย์พันไม้ พระจันทร์ทรงกลด ท่ำรำของไทยนั้น
แม้จะเอำมำจำกกิริยำท่ำทำงของมนุษย์ สัตว์และสิ่งธรรมชำติ ตลอดจนบำงท่ำที่เรำเลียนแบบมำจำกต่ำงชำติ
แต่ก็ได้ประดิษฐ์ดัดแปลงให้เข้ำกับหลักแห่งควำมเชื่อถือ
๗
ประกอบด้วยจำรีตประเพณีและวิถีชีวิตประจำวันของคนไทย ซึ่งถือเป็นแบบฉบับสืบมำ ฉะนั้น
ท่ำระบำรำฟ้อนของนำฏศิลป์ ไทย แม้จะดูห่ำงไกลไปจำกกิริยำท่ำทำงและสิ่งธรรมชำติจริงๆ ไปบ้ำง
ก็พึงทรำบว่ำท่ำนมิได้นำเอำมำโดยตรง หำกแต่ได้เลียนเอำมำ
แล้วมีกำรประดิษฐ์ดัดแปลงให้เป็นศิลปะที่งดงำมเพริศพริ้งยิ่งขึ้นอีกด้วย
ท่ำรำหรือนำฏศิลป์ ของไทยนั้น เป็นกำรประดิษฐ์ขึ้นให้เห็นงำมด้วยควำมคิดฝันเป็นจินตนำกำร
ท่ำรำของโขนละครไทยจึงเป็นอย่ำงวิถีแห่งกวี หลักกำรในเรื่องศิลปะของไทยเรำ
เป็นเรื่องที่ควรพิจำรณำนำมำศึกษำในด้ำนจิตใจหรือเจตนำรมณ์ แล้วจะมีควำมเข้ำใจ
และเมื่อเกิดควำมเข้ำใจแล้ว ก็จะซำบซึ้งในรสของศิลปะเป็นอย่ำงดี ดังได้กล่ำวมำข้ำงต้นแล้วว่ำ
ศิลปะของไทยนั้นหลำยอย่ำงหลำยประกำรเรำเลียนมำจำกธรรมชำติ โดยเฉพำะท่ำรำหรือนำฏศิลป์
เรำเลียนมำจำกกิริยำท่ำทำงของคนและสัตว์ บำงท่ำเลียนมำจำกธรรมชำติ แต่เมื่อเรำเลียนมำแล้ว
เรำเอำมำประดิษฐ์ให้เป็นศิลปะที่งดงำมตำมลีลำ ท่ำรำ และเยื้องกรำยให้เข้ำกับท่วงทำนองขับร้องและดนตรี
เช่น จะชี้นิ้วก็มีท่ำยกแขนวำดข้อมือแล้วชี้นิ้ว ศิลปินคนใดทำได้สวยงำมก็จะน่ำดูมำก
กำรรำซ้ำท่ำหรือทำนองดนตรีที่มีลีลำซ้ำก็เป็นแบบแผนประเพณีนิยมของไทย เป็นกำรย้ำซ้ำจังหวะซึ่งถือว่ำเก๋
ในศิลปะทำงวรรณคดีของไทยยังใช้คำซ้ำ เช่น พะพรำย ยะยิ้ม ยะแย้ม บำงครั้งยืดเสียง เช่น เพรำะ-ไพเรำะ ฯลฯ
แต่ก็มิได้ซ้ำเฉยๆ หำกแต่มีกำรพลิกแพลง ถ้ำดูและฟังด้วยควำมเข้ำใจก็จะรู้สึกว่ำงดงำมและไพเรำะ
ผู้ดูผู้ฟังจำต้องใช้ควำมคิดและปัญญำโดยสร้ำงจินตนำกำรของตนเองตำมไปด้วย
ถ้ำทรำบหลักกำรและจำรีตประเพณีของไทย แล้วตั้งใจและใช้ควำมสังเกตเพียงเล็กน้อย
ก็จะทำให้สำมำรถติดตำมเรื่องและเข้ำใจควำมหมำย
ทั้งอำจมองเห็นไปถึงจิตใจอันประณีตแจ่มใสของประชำชนคนไทย
ซึ่งแฝงอยู่ในศิลปะที่สวยงำมเหล่ำนี้ได้เป็นอย่ำงดี
ฉะนั้น สถำนที่สำหรับแสดงโขนละครฟ้อนรำของไทยแต่โบรำณ จึงไม่มีฉำกประกอบจะมีแต่ม่ำนกั้น
มีช่องประตูเข้ำออก ๒ ข้ำง หลังม่ำนเป็นที่พักของผู้แสดงโขนและละคร
ข้ำงหน้ำม่ำนออกมำมีเตียงสี่เหลี่ยมผืนผ้ำ สำหรับให้โขนละครตัวสำคัญนั่ง หรือนอน หรือยืนตำมแต่บท
ถัดออกมำเป็นที่ว่ำง จะปูเสื่อหรือพรมก็ได้ตำมแต่ฐำนะ สำหรับให้ตัวโขนละครนั่ง ยืน เดิน หรือรบพุ่งต่อสู้กัน
ตำมแต่จะมีบทบอกให้แสดง ถ้ำเป็นละครนอก เมื่อยังไม่ถึงบท ผู้เล่นจะไปนั่งอยู่กับคนดูก็ได้
ตัวโขนละครในท้องเรื่องจะอยู่ในปรำสำท รำชวัง ในสวรรค์วิมำนในป่ำเขำลำเนำไพร ใต้บำดำล
หรือท้องทะเลมหำสมุทร จะเหำะเหินเดินอำกำศ หรือว่ำยน้ำลงเรือ ก็คงอยู่ที่บนเตียงและบริเวณหน้ำม่ำนนั่นเอง
แต่คนดูก็สำมำรถสร้ำงจินตนำกำร หรือควำมคิดเห็นติดตำมเรื่องไปได้ อย่ำงสนุกสนำน หรือโศกซึ้งตรึงใจ
โดยอำศัย บทร้อง บทเจรจำ กับเพลงปี่พำทย์ ดุริยำงคดนตรี และ กิริยำท่ำทำงของตัวละครและโขนแสดงว่ำ
ประชำชนคนไทยสมัยก่อน มีจินตนำกำรสูงมำก สำมำรถติดตำมเรื่องกำรแสดง โขนละครได้เป็นอย่ำงดี
โดยมิต้องอำศัยสูจิบัตร
๘
ปี่พำทย์สำหรับเล่นละครรำ
ปี่พำทย์ที่ไทยเรำนำมำเล่นละครรำมี ๒ อย่ำง ซึ่งมีมำตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยำเป็นรำชธำนี คือ
ปี่พำทย์สำหรับเล่นละครชำตรีอย่ำง ๑ ปี่พำทย์สำหรับเล่นโขนละครในสมัยกรุงศรีอยุธยำอย่ำง ๑
ปี่พำทย์สำหรับเล่นละครชำตรี (โนรำชำตรี)
เครื่องดนตรีมี ปี่ใน (ภำคใต้เรียกว่ำปี่ต้น) กลองขนำดย่อมลูกเดียว โทน (ภำคใต้เรียกทับ) ๒ ลูก ฆ้องคู่
(ภำคใต้เรียกว่ำ โหม่ง) ฉิ่งและกรับ (ภำคใต้เรียกว่ำ แกระ)
ปี่พำทย์สำหรับเล่นโขนละครในสมัยกรุงศรีอยุธยำ
ใช้วงปี่พำทย์เครื่องห้ำ คือ ปี่ ระนำด ตะโพน (คือโทนสองหน้ำ) กลองและฆ้องวง
ละครชำตรีมีเครื่องทำเสียงสูงต่ำเป็นลำนำได้เพียงแต่ปี่อย่ำงเดียว แต่ปี่พำทย์เครื่องห้ำมีเครื่องทำลำนำได้ ๓
อย่ำง คือ ปี่ ระนำด และฆ้องวง
ละครที่เล่นในสมัยกรุงศรีอยุธยำ จนตลอดสมัยรัชกำลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งละครหลวง และละครรำษฎร์
ใช้ปี่พำทย์เครื่องห้ำทั้งสิ้น เพิ่งจะมำเพิ่มเติมเครื่องปี่พำทย์ขึ้นเป็นเครื่องใหญ่ ในสมัยรัชกำลที่ ๓
เพรำะเกิดกำรเล่นเสภำรับปี่พำทย์ สมัยรัชกำลที่ ๒ เสภำอย่ำงโบรำณขับอย่ำงเล่ำนิทำน ไม่มีกำรส่งปี่พำทย์
ลักษณะที่สำคัญในกำรแสดงละครรำ
ละครรำมีลักษณะกำรแสดงแบ่งเป็น ๒ กระบวน คือ ใช้ร้องเป็นหลักกระบวนหนึ่ง
ใช้ปี่พำทย์เป็นหลักกระบวนหนึ่ง
๑. กระบวนที่ใช้ร้องเป็นหลัก
ลักษณะที่ใช้ร้องละครเป็น ๓ จังหวะ คือ จังหวะช้ำ จังหวะกลำง และจังหวะเร็ว
จังหวะช้ำ คือ
๑.๑ ร้องช้ำ ลูกคู่รับ
ไม่ใช้ปี่พำทย์เรียกเป็นสำมัญว่ำ "ร้องช้ำ" ในกระบวนร้องอย่ำงนี้ยังมีลำนำอื่นอีกหลำยเพลงที่เรียกว่ำ "ช้ำอ่ำนสำร
" "ยำนี" และ "ชมตลำด" เป็นต้น
๑.๒ ร้องช้ำเข้ำกับปี่ เรียกว่ำ "ช้ำปี่" "โอ้ปี่" และ "โอ้ชำตรี" เป็นต้น
๑.๓ ร้องช้ำเข้ำกับโทน เช่น ร้อง "ลงสระ" และ "ชมดง" เป็นต้น
จังหวะกลำง ละครร้องจังหวะกลำงนั้น คือ "ร้องร่ำย" มีแต่ลูกคู่รับ ไม่มีปี่พำทย์ ใช้ร้องพื้นเรื่องละคร
เพรำะฉะนั้นละครจึงร้องร่ำยมำกกว่ำอย่ำงอื่น จังหวะเร็ว
ละครร้องจังหวะเร็วนั้นพวกละครชำตรีเรียกว่ำ "ร้องสับ" ละครในกรุงศรีอยุธยำ เรียกว่ำ "ร้องสับไท" (สับคือ
ศัพทย) มีแต่ลูกคู่รับ ไม่ทำปี่พำทย์เหมือนกับร้องร่ำย แต่จังหวะเร็วกว่ำ ใช้แต่เฉพำะเมื่อละครรำบทรุกร้น เช่น
เวลำไล่กัน เป็นต้น
๙
๒. กระบวนละครที่ใช้ปี่พำทย์เป็นหลัก
มี ๒ อย่ำงคือ ทำโหมโรงอย่ำง ๑ ทำเพลงรำอย่ำง ๑
๒.๑ โหมโรง คือ ปี่พำทย์จะบรรเลงในเวลำตัวละครแต่งตัวก่อนจะเล่น
เป็นกำรบอกให้คนดูทรำบว่ำจะเริ่มเล่นละคร กำรโหมโรงของละครชำตรีใช้เพลงตำมแบบเก่ำบรรเลง
เช่น "เพลงซัด" เพลง ๑ "เชิด" เพลง ๑ กับเพลง"เพลง" เพลง ๑ รวม ๓ เพลงเท่ำนั้น แต่โหมโรงอย่ำงละครนอก
และละครในปี่พำทย์จะบรรเลงเพลงเรื่องยืดยำวตำมแบบโหมโรงของโขน อนึ่ง เวลำเลิกเล่น
ปี่พำทย์จะบรรเลงเพลงลำโรงอีกเพลงหนึ่ง คู่กับโหมโรงทำเพลง "กรำวรำ" เพลงเดียว
๒.๒ เพลงรำ ปี่พำทย์บรรเลงเพลงรำของละครรำนั้นใช้จังหวะช้ำ จังหวะกลำง และจังหวะเร็ว ๓ อย่ำง
คล้ำยกับจังหวะ ที่ละครร้องใช้ปี่พำทย์บรรเลง โดยลำพังอย่ำง ๑ ใช้ร้องช่วยปี่พำทย์อีกอย่ำง ๑ เป็น ๒
กระบวนซึ่งต่ำงกัน คือ
กระบวนที่ ๑ ปี่พำทย์บรรเลงโดยลำพังนั้น เช่น รำเสมอ รำกลม รำเชิด เป็นต้น
กระบวนที่ ๒ ร้องช่วยปี่พำทย์ ใช้สำหรับละครรำเพลงช้ำ เพลงเร็ว และเพลงเชิดฉิ่ง
เพลงช้ำ ตะโพนจะทำจังหวะ จ๊ะ โจ๋ง จ๊ะ ถิ่ง โจ๋ง ถึง และร้องบท "เย็นย่ำ
จะค่ำอยู่แล้วลงรอนรอน" และ "ฉุยฉำย" เป็นต้น
เพลงเร็ว ตะโพนทำจังหวะ ต๊ะ ถึง ถึง และร้องบท หรือ"รักเจ้ำสำวคำเอย" "แม่ศรีเอย" เป็นต้น
เชิดฉิ่ง ตีฉิ่งเป็นจังหวะเร็ว (ไม่ใช้ตะโพน) และร้องบท "หริ๊งหริ่งได้ยินเสียงฉิ่งก็จับใจ" เป็นต้น
ละครรำของไทยเรำ เดิมใช้ปี่พำทย์อย่ำงละครชำตรี ต่อมำจึงใช้ปี่พำทย์ของโขน (ดำรงรำชำนุภำพ :
ตำนำนเรื่องละครอิเหนำ หน้ำ ๑๖-๒๘)
บรรณำนุกรม
นำงละม่อม โอชกะ
อ.บ., อนุ ค.บ. จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย
อดีตอำจำรย์ใหญ่โรงเรียนนำฏศิลป กรมศิลปำกร (ปัจจุบันคือวิทยำลัยนำฏศิลป)
อดีตหัวหน้ำแผนกประวัติศำสตร์และจำรีตประเพณี กองวรรณคดีและประวัติศำสตร์ กรมศิลปำกร
ปัจจุบัน ข้ำรำชกำรบำนำญ ทบวงมหำวิทยำลัย
ผู้เรียบเรียงระดับเด็กเล็กและเด็กกลำง
นำงสุมน อมรวิวัฒน์
อ.บ., ค.บ., (เกียรตินิยมอันดับ ๑) จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย
๑๐
M.S. in Ed., University ofWisconsin
ครุศำสตรดุษฎีบัณฑิต (กิตติมศักดิ์) จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย
ศำสตรำจำรย์กิตติคุณ ภำควิชำประถมศึกษำ คณะครุศำสตร์ จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย
ข้ำรำชกำบำนำญ จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย
สำรำนุกรมไทยสำหรับเยำวชนฯ เล่ม ๒๓ เรื่องที่ ๒ วัฒนธรรมทำงละครไทย (ละครรำ)
โครงกำรสำรำนุกรมไทยสำหรับเยำวชน โดยพระรำชประสงค์ในพระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัว
โครงกำรสำรำนุกรมไทยฯ สนำมเสือป่ำ ถนนศรีอยุธยำ เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300
โทรศัพท์ 0-2280-6502,0-2280-6507,0-2280-6515, 0-2280-6538,0-2280-6541 โทรสำร0-2280-6580,0-
2280-6589
พิมพ์ขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๔๑

Más contenido relacionado

La actualidad más candente

พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๖
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๖พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๖
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๖Rose Banioki
 
7อย่า
7อย่า7อย่า
7อย่าrit77
 
Desease From Not Eat Well
Desease From Not Eat WellDesease From Not Eat Well
Desease From Not Eat WellPiyaratt R
 
01 51-01-0401-m1-sci-lesson-plan-v1
01 51-01-0401-m1-sci-lesson-plan-v101 51-01-0401-m1-sci-lesson-plan-v1
01 51-01-0401-m1-sci-lesson-plan-v1khon Kaen University
 
9 80+อภิธัมมัตถสังคหบาลี+และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา
9 80+อภิธัมมัตถสังคหบาลี+และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา9 80+อภิธัมมัตถสังคหบาลี+และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา
9 80+อภิธัมมัตถสังคหบาลี+และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกาTongsamut vorasan
 
Fruit stucture and fructification 334 group 6
Fruit stucture and fructification 334 group 6Fruit stucture and fructification 334 group 6
Fruit stucture and fructification 334 group 6ssuser4d47f0
 
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๑๙
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๑๙พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๑๙
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๑๙Rose Banioki
 
บทคัดย่อ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี
บทคัดย่อ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีบทคัดย่อ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี
บทคัดย่อ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีโรงเรียนห้วยแถลงพิทยาคม
 
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๙
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๙พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๙
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๙Rose Banioki
 
Structure and Development of plant seed-group5/334
Structure and Development of plant seed-group5/334Structure and Development of plant seed-group5/334
Structure and Development of plant seed-group5/334ThanyapornK1
 
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๑
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๑พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๑
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๑Rose Banioki
 
Poster Seed Germination and Dormancy
Poster Seed Germination and Dormancy Poster Seed Germination and Dormancy
Poster Seed Germination and Dormancy ssuser77d0f2
 
Structure and development of plant seed-group 5/334
Structure and development of plant seed-group 5/334Structure and development of plant seed-group 5/334
Structure and development of plant seed-group 5/334ThanyapornK1
 

La actualidad más candente (20)

พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๖
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๖พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๖
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๒๖
 
Entrepreneurship
EntrepreneurshipEntrepreneurship
Entrepreneurship
 
7อย่า
7อย่า7อย่า
7อย่า
 
Global warming
Global warmingGlobal warming
Global warming
 
Desease From Not Eat Well
Desease From Not Eat WellDesease From Not Eat Well
Desease From Not Eat Well
 
milin
milinmilin
milin
 
01 51-01-0401-m1-sci-lesson-plan-v1
01 51-01-0401-m1-sci-lesson-plan-v101 51-01-0401-m1-sci-lesson-plan-v1
01 51-01-0401-m1-sci-lesson-plan-v1
 
วิธีเสพ
วิธีเสพวิธีเสพ
วิธีเสพ
 
9 80+อภิธัมมัตถสังคหบาลี+และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา
9 80+อภิธัมมัตถสังคหบาลี+และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา9 80+อภิธัมมัตถสังคหบาลี+และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา
9 80+อภิธัมมัตถสังคหบาลี+และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา
 
Fruit stucture and fructification 334 group 6
Fruit stucture and fructification 334 group 6Fruit stucture and fructification 334 group 6
Fruit stucture and fructification 334 group 6
 
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๑๙
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๑๙พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๑๙
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๑๙
 
บทคัดย่อ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี
บทคัดย่อ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีบทคัดย่อ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี
บทคัดย่อ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี
 
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๙
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๙พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๙
พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่๓๙
 
Structure and Development of plant seed-group5/334
Structure and Development of plant seed-group5/334Structure and Development of plant seed-group5/334
Structure and Development of plant seed-group5/334
 
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๑
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๑พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๑
พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่๐๑
 
Poster Seed Germination and Dormancy
Poster Seed Germination and Dormancy Poster Seed Germination and Dormancy
Poster Seed Germination and Dormancy
 
No phone on the road
No phone on the roadNo phone on the road
No phone on the road
 
Ps cs6 ch05-text
Ps cs6 ch05-textPs cs6 ch05-text
Ps cs6 ch05-text
 
Structure and development of plant seed-group 5/334
Structure and development of plant seed-group 5/334Structure and development of plant seed-group 5/334
Structure and development of plant seed-group 5/334
 
Radio Documentary
Radio DocumentaryRadio Documentary
Radio Documentary
 

Destacado

งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1fah472
 
เจ้าหญิงนกกระจาบ
เจ้าหญิงนกกระจาบเจ้าหญิงนกกระจาบ
เจ้าหญิงนกกระจาบSasiprapha Srisaeng
 
ทฤษฏีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก
ทฤษฏีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์กทฤษฏีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก
ทฤษฏีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์กearlychildhood024057
 
สามก๊ก ฉบับพระยาพระคลัง(หน) เล่ม 1-2
สามก๊ก ฉบับพระยาพระคลัง(หน) เล่ม 1-2สามก๊ก ฉบับพระยาพระคลัง(หน) เล่ม 1-2
สามก๊ก ฉบับพระยาพระคลัง(หน) เล่ม 1-2sornblog2u
 
วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน พร้อมแบบฝึกหัด
วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน พร้อมแบบฝึกหัดวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน พร้อมแบบฝึกหัด
วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน พร้อมแบบฝึกหัดThiranan Suphiphongsakorn
 
ขุนช้าง ขุนแผน
ขุนช้าง ขุนแผนขุนช้าง ขุนแผน
ขุนช้าง ขุนแผนuncasanova
 
โครงงานภาษาไทยเรื่องนิทาน
โครงงานภาษาไทยเรื่องนิทานโครงงานภาษาไทยเรื่องนิทาน
โครงงานภาษาไทยเรื่องนิทานRawinnipha Joy
 

Destacado (10)

งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1
 
เจ้าหญิงนกกระจาบ
เจ้าหญิงนกกระจาบเจ้าหญิงนกกระจาบ
เจ้าหญิงนกกระจาบ
 
ทฤษฏีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก
ทฤษฏีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์กทฤษฏีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก
ทฤษฏีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก
 
วรรณคดี
วรรณคดีวรรณคดี
วรรณคดี
 
สามก๊ก ฉบับพระยาพระคลัง(หน) เล่ม 1-2
สามก๊ก ฉบับพระยาพระคลัง(หน) เล่ม 1-2สามก๊ก ฉบับพระยาพระคลัง(หน) เล่ม 1-2
สามก๊ก ฉบับพระยาพระคลัง(หน) เล่ม 1-2
 
วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน พร้อมแบบฝึกหัด
วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน พร้อมแบบฝึกหัดวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน พร้อมแบบฝึกหัด
วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน พร้อมแบบฝึกหัด
 
ขุนช้าง ขุนแผน
ขุนช้าง ขุนแผนขุนช้าง ขุนแผน
ขุนช้าง ขุนแผน
 
ภาษาไทย
ภาษาไทยภาษาไทย
ภาษาไทย
 
Slideshare ภาษาไทย
Slideshare ภาษาไทยSlideshare ภาษาไทย
Slideshare ภาษาไทย
 
โครงงานภาษาไทยเรื่องนิทาน
โครงงานภาษาไทยเรื่องนิทานโครงงานภาษาไทยเรื่องนิทาน
โครงงานภาษาไทยเรื่องนิทาน
 

Más de sangkeetwittaya stourajini

ประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาsangkeetwittaya stourajini
 
ประวัติพระพุทธเจ้า
ประวัติพระพุทธเจ้าประวัติพระพุทธเจ้า
ประวัติพระพุทธเจ้าsangkeetwittaya stourajini
 
รำไทย รำวง มาตรฐานไทย
รำไทย รำวง มาตรฐานไทยรำไทย รำวง มาตรฐานไทย
รำไทย รำวง มาตรฐานไทยsangkeetwittaya stourajini
 
บรรณานุกรม ดนตรี นาฎศิลป์
บรรณานุกรม  ดนตรี นาฎศิลป์บรรณานุกรม  ดนตรี นาฎศิลป์
บรรณานุกรม ดนตรี นาฎศิลป์sangkeetwittaya stourajini
 

Más de sangkeetwittaya stourajini (20)

พระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนาพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนา
 
พระไตรปิฏก
พระไตรปิฏกพระไตรปิฏก
พระไตรปิฏก
 
ประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
 
ประวัติพระพุทธเจ้า
ประวัติพระพุทธเจ้าประวัติพระพุทธเจ้า
ประวัติพระพุทธเจ้า
 
ชาดก
ชาดกชาดก
ชาดก
 
รำไทย รำวง มาตรฐานไทย
รำไทย รำวง มาตรฐานไทยรำไทย รำวง มาตรฐานไทย
รำไทย รำวง มาตรฐานไทย
 
บรรณานุกรม ดนตรี นาฎศิลป์
บรรณานุกรม  ดนตรี นาฎศิลป์บรรณานุกรม  ดนตรี นาฎศิลป์
บรรณานุกรม ดนตรี นาฎศิลป์
 
โขน
โขนโขน
โขน
 
Dance
DanceDance
Dance
 
Thai music2
Thai music2Thai music2
Thai music2
 
Thai music3
Thai music3Thai music3
Thai music3
 
Thai music4
Thai music4Thai music4
Thai music4
 
Thai music5
Thai music5Thai music5
Thai music5
 
Thai music6
Thai music6Thai music6
Thai music6
 
Thai music7
Thai music7Thai music7
Thai music7
 
Thai music8
Thai music8Thai music8
Thai music8
 
Thai music9
Thai music9Thai music9
Thai music9
 
Thai music10
Thai music10Thai music10
Thai music10
 
Thai music11
Thai music11Thai music11
Thai music11
 
Thai music12
Thai music12Thai music12
Thai music12
 

Último

TUYỂN TẬP 25 ĐỀ THI HỌC SINH GIỎI MÔN TIẾNG ANH LỚP 6 NĂM 2023 CÓ ĐÁP ÁN (SƯU...
TUYỂN TẬP 25 ĐỀ THI HỌC SINH GIỎI MÔN TIẾNG ANH LỚP 6 NĂM 2023 CÓ ĐÁP ÁN (SƯU...TUYỂN TẬP 25 ĐỀ THI HỌC SINH GIỎI MÔN TIẾNG ANH LỚP 6 NĂM 2023 CÓ ĐÁP ÁN (SƯU...
TUYỂN TẬP 25 ĐỀ THI HỌC SINH GIỎI MÔN TIẾNG ANH LỚP 6 NĂM 2023 CÓ ĐÁP ÁN (SƯU...Nguyen Thanh Tu Collection
 
مختصر علم احكام القرآن فقه القرآن وفق منهج العرض
مختصر علم احكام القرآن فقه القرآن وفق منهج العرضمختصر علم احكام القرآن فقه القرآن وفق منهج العرض
مختصر علم احكام القرآن فقه القرآن وفق منهج العرضأنور غني الموسوي
 
Bahare Shariat Jild 1 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
Bahare Shariat Jild 1 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali AzmiBahare Shariat Jild 1 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
Bahare Shariat Jild 1 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmibookbahareshariat
 
Bahare Shariat Jild 3 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
Bahare Shariat Jild 3 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali AzmiBahare Shariat Jild 3 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
Bahare Shariat Jild 3 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmibookbahareshariat
 
TUYỂN TẬP 20 ĐỀ THI KHẢO SÁT HỌC SINH GIỎI MÔN TIẾNG ANH LỚP 6 NĂM 2020 (CÓ Đ...
TUYỂN TẬP 20 ĐỀ THI KHẢO SÁT HỌC SINH GIỎI MÔN TIẾNG ANH LỚP 6 NĂM 2020 (CÓ Đ...TUYỂN TẬP 20 ĐỀ THI KHẢO SÁT HỌC SINH GIỎI MÔN TIẾNG ANH LỚP 6 NĂM 2020 (CÓ Đ...
TUYỂN TẬP 20 ĐỀ THI KHẢO SÁT HỌC SINH GIỎI MÔN TIẾNG ANH LỚP 6 NĂM 2020 (CÓ Đ...Nguyen Thanh Tu Collection
 
Bahare Shariat Jild 2 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
Bahare Shariat Jild 2 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali AzmiBahare Shariat Jild 2 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
Bahare Shariat Jild 2 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmibookbahareshariat
 
Bahare Shariat Jild 4 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
Bahare Shariat Jild 4 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali AzmiBahare Shariat Jild 4 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
Bahare Shariat Jild 4 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmibookbahareshariat
 
Bahare Shariat Jild 5 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
Bahare Shariat Jild 5 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali AzmiBahare Shariat Jild 5 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
Bahare Shariat Jild 5 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmibookbahareshariat
 
FAIL REKOD PENGAJARAN.pptx fail rekod pengajaran
FAIL REKOD PENGAJARAN.pptx fail rekod pengajaranFAIL REKOD PENGAJARAN.pptx fail rekod pengajaran
FAIL REKOD PENGAJARAN.pptx fail rekod pengajaransekolah233
 

Último (11)

TUYỂN TẬP 25 ĐỀ THI HỌC SINH GIỎI MÔN TIẾNG ANH LỚP 6 NĂM 2023 CÓ ĐÁP ÁN (SƯU...
TUYỂN TẬP 25 ĐỀ THI HỌC SINH GIỎI MÔN TIẾNG ANH LỚP 6 NĂM 2023 CÓ ĐÁP ÁN (SƯU...TUYỂN TẬP 25 ĐỀ THI HỌC SINH GIỎI MÔN TIẾNG ANH LỚP 6 NĂM 2023 CÓ ĐÁP ÁN (SƯU...
TUYỂN TẬP 25 ĐỀ THI HỌC SINH GIỎI MÔN TIẾNG ANH LỚP 6 NĂM 2023 CÓ ĐÁP ÁN (SƯU...
 
مختصر علم احكام القرآن فقه القرآن وفق منهج العرض
مختصر علم احكام القرآن فقه القرآن وفق منهج العرضمختصر علم احكام القرآن فقه القرآن وفق منهج العرض
مختصر علم احكام القرآن فقه القرآن وفق منهج العرض
 
Bahare Shariat Jild 1 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
Bahare Shariat Jild 1 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali AzmiBahare Shariat Jild 1 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
Bahare Shariat Jild 1 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
 
Bahare Shariat Jild 3 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
Bahare Shariat Jild 3 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali AzmiBahare Shariat Jild 3 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
Bahare Shariat Jild 3 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
 
TUYỂN TẬP 20 ĐỀ THI KHẢO SÁT HỌC SINH GIỎI MÔN TIẾNG ANH LỚP 6 NĂM 2020 (CÓ Đ...
TUYỂN TẬP 20 ĐỀ THI KHẢO SÁT HỌC SINH GIỎI MÔN TIẾNG ANH LỚP 6 NĂM 2020 (CÓ Đ...TUYỂN TẬP 20 ĐỀ THI KHẢO SÁT HỌC SINH GIỎI MÔN TIẾNG ANH LỚP 6 NĂM 2020 (CÓ Đ...
TUYỂN TẬP 20 ĐỀ THI KHẢO SÁT HỌC SINH GIỎI MÔN TIẾNG ANH LỚP 6 NĂM 2020 (CÓ Đ...
 
Bahare Shariat Jild 2 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
Bahare Shariat Jild 2 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali AzmiBahare Shariat Jild 2 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
Bahare Shariat Jild 2 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
 
Bahare Shariat Jild 4 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
Bahare Shariat Jild 4 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali AzmiBahare Shariat Jild 4 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
Bahare Shariat Jild 4 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
 
Energy drink .
Energy drink                           .Energy drink                           .
Energy drink .
 
Bahare Shariat Jild 5 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
Bahare Shariat Jild 5 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali AzmiBahare Shariat Jild 5 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
Bahare Shariat Jild 5 By SadurshSharia Mufti Amjad Ali Azmi
 
LAR MARIA MÃE DE ÁFRICA .
LAR MARIA MÃE DE ÁFRICA                 .LAR MARIA MÃE DE ÁFRICA                 .
LAR MARIA MÃE DE ÁFRICA .
 
FAIL REKOD PENGAJARAN.pptx fail rekod pengajaran
FAIL REKOD PENGAJARAN.pptx fail rekod pengajaranFAIL REKOD PENGAJARAN.pptx fail rekod pengajaran
FAIL REKOD PENGAJARAN.pptx fail rekod pengajaran
 

ละครรำ

  • 1. ๑ ละครรำ บทนำ ละครรำเป็นศิลปะกำรแสดงของไทย ที่ประกอบด้วยท่ำรำ ดนตรีบรรเลง และบทขับร้อง เพื่อดำเนินเรื่อง ละครรำมีผู้แสดงเป็นตัวพระ ตัวนำง และตัวประกอบ แต่งองค์ทรงเครื่องตำมบท งดงำมระยับจับตำ ท่ำรำตำมบทร้อง ประสำนกับทำนองดนตรี ที่บรรเลงจังหวะเร็ว จังหวะช้ำ เร้ำอำรมณ์ ให้เกิดควำมรู้สึกคึกคัก สนุกสนำน หรือโศกเศร้ำ ตัวละครสื่อควำมหมำยบอกกล่ำวแสดงอำรมณ์ ด้วยภำษำท่ำทำง โดยใช้ส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำย วำดลีลำร่ำยรำ ตำมคำร้อง จังหวะ และเสียงดนตรี ท่ำรำแต่ละท่ำเลียนแบบอิริยำบถยืน เดิน นั่ง นอน รวมทั้งแสดงอำรมณ์ ควำมรู้สึกของตัวละคร เช่น ดีใจ รัก โกรธ อำย เป็นต้น ท่ำรำบำงท่ำเลียนแบบธรรมชำติ เช่น ลมพัดยอดตอง เครือวัลย์พันไม้ รำหูจับจันทร์ บัวตูม บัวบำน บัวคลี่ บัวแย้ม เป็นต้น ท่ำรำบำงท่ำเลียนแบบกำรก้ำวเดินของสัตว์ แต่ปรับปรุงท่ำทำงให้งดงำม เช่น ยูงฟ้อนหำง กวำงเดินดง หงส์บิน กินนรรำ เป็นต้น ละครรำมีหลำยประเภท ได้แก่ ละครชำตรี เล่นเรื่องมโนห์รำ ละครใน เล่นเรื่องรำมเกียรติ์ อุณรุท อิเหนำ ละครนอก เล่นเรื่องไกรทอง โคบุตร ไชเชษฐ์ คำวี สังข์ทอง เป็นต้น ละครรำเป็นศิลปะกำรแสดงชั้นสูง ซึ่งมีควำมประณีตงดงำม บ่งบอกถึงปรีชำสำมำรถของคนไทย เด็กและเยำวชนทั้งหลำยจึงสมควรที่จะศึกษำ และเรียนรู้ เพื่อธำรงรักษำวัฒนธรรมของชำติให้ยั่งยืนสืบไป เยำวชนควรสนใจศึกษำละครรำ ซึ่งเป็นแหล่งรวมศิลปะชั้นสูง ทั้งนำฏศิลป์ วรรณศิลป์ และดุริยำงคศิลป์ เมื่อศึกษำอย่ำงลึกซึ้ง นอกจำกจะได้รับควำมบันเทิงแล้ว ยังก่อให้เกิดควำมภำคภูมิใจ ที่บรรพบุรุษได้สร้ำงสรรค์ศิลปวัฒนธรรม สืบทอดเป็นมรดกอันล้ำค่ำตลอดมำ
  • 2. ๒ ความหมายของละครรา "ละครรำ" เป็นละครแบบหนึ่งของไทย คือ ละครประเภทที่เป็นนำฏศิลป์ ละครรำสมัยก่อนเรียกกันแต่เพียงว่ำ "ละคร" เพรำะกำรเล่นละครสมัยก่อน ต้องมีรำ มีดนตรีประกอบ และมีบทร้องเล่ำเรื่อง ครั้งต่อมำประมำณปลำยรัชสมัย พระบำทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัว พระบำทสมเด็จพระมงกุฎเกล้ำเจ้ำอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็น สมเด็จพระบรมโอรสำธิรำชสยำมมกุฎรำชกุมำร และพระเจ้ำบรมวงศ์เธอกรมพระนรำธิปประพันธ์พงศ์ ได้ทรงนำเอำบทและรูปแบบกำรแสดงละครของชำวตะวันตก ที่เรียกว่ำ Play และ Farce มำแปลและดัดแปลง แล้วนำออกแสดงหลำยเรื่อง เป็นเหตุให้เรียกละครไทย ที่แสดง มีกำรร้องรำอย่ำงเดิมว่ำ "ละครรำ" และเรียกละครที่แสดงด้วยคำพูด และท่ำทำงบนเวที มีฉำกประกอบกำรแสดง และเปลี่ยนฉำกไปตำมท้องเรื่องว่ำ "ละครพูด" แต่ละครที่แสดงท่ำทำงแบบละครพูดนั้น ถ้ำมีกำรร้องสลับด้วย หรือร้องล้วนๆ เรียกว่ำ "ละครร้อง" ละครรำของไทยมีหลำยประเภท เช่น "ละครชำตรี" หรือละครโนรำชำตรี อย่ำงเช่นที่เล่นกันในภำคใต้ เรียกกันว่ำ "โนรำ" อย่ำง ๑ ละครที่เล่นรำชสำนัก เรียกว่ำ "ละครใน" อย่ำง ๑ "ละครนอก" อย่ำง ๑ ละครทั้ง ๓ อย่ำงนี้มีมำตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยำเป็นรำชธำนี อธิบำยกันมำแต่ก่อนว่ำ ละครในนั้นคือ ละครผู้หญิง มีได้แต่ของหลวง ส่วนละครที่เล่นกัน ในพื้นเมืองเรียกว่ำ ละครนอก แต่ก่อนนี้จะมีแต่ผู้ชำยเล่น เพิ่งมีประกำศพระรำชทำนพระบรมรำชำนุญำต ให้ผู้อื่นหัดละครผู้หญิงได้ในสมัยรัชกำลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่นั้นมำจึงได้มีละครผู้หญิงเกิดขึ้นนอกพระรำชวัง ควำมที่อธิบำยดังกล่ำวมำนี้ คงจะว่ำไปตำมสถำนที่และเพศของผู้แสดง ทำให้ละครในกับละครนอก มีควำมแตกต่ำงกันในทำนองร้อง กระบวนกำรรำและเรื่องที่เล่น ละครในเล่นเพียง ๓ เรื่อง คือ เรื่องรำมเกียรติ์ เรื่อง ๑ เรื่องอุณรุท เรื่อง ๒ กับเรื่องอิเหนำ เรื่อง ๑ ไม่เล่นเรื่องอื่น แต่ก่อนมำ แม้จะมีละครผู้หญิงของหลวงเล่นเรื่องอื่น นอกจำก ๓ เรื่อง ก็เรียกว่ำ เล่นละครนอก บทละครที่ทรงพระรำชนิพนธ์จำกเรื่องอื่น เช่น สังข์ทอง และคำวี เป็นต้น เรียกว่ำ พระรำชนิพนธ์ละครนอก ส่วนละครนอกนั้น ก็จะเล่นแต่เรื่องอื่น ไม่เล่นเรื่องรำมเกียรติ อุณรุท อิเหนำ แม้แต่ละครผู้ชำยของเจ้ำนำยสมัยก่อน เช่น ละครของพระเจ้ำบรมวงศ์เธอกรมพระพิทักษเทเวศร์ เป็นต้น เล่นเรื่องอิเหนำก็เรียกว่ำ เล่นละครในควำมแตกต่ำงจึงไม่ได้อยู่ที่ว่ำผู้แสดงเป็นผู้หญิงหรือผู้ชำย (ดำรงรำชำนุภำพ : ตำนำน เรื่อง ละครอิเหนำ น.๑-๒) หลักการเกี่ยวกับตัวละคร นับแต่โบรำณ ผู้แสดงละครรำที่ถือว่ำเป็นตัวละครสำคัญมีอยู่เพียง ๓ คนเท่ำนั้น คือ ตัวทำบทเป็นผู้ชำย ที่เรียกว่ำ นำยโรง หรือยืนเครื่องอย่ำง ๑ ตัวทำบทเป็นผู้หญิงที่เรียกว่ำนำงอย่ำง ๑ ตัวสำหรับทำบทเบ็ดเตล็ด เช่น ฤำษี ยักษ์ พรำน ยำยตำ และสัตว์เดียรัจฉำน เช่น ม้ำและนกในเรื่องละคร ตลอดจนเล่นตลกให้ขบขันเรียกว่ำ จำอวดอย่ำง ๑ ตลกในละครสันสกฤต เขำเรียกว่ำ วิทูษะกะ หรือ วิทูษก และละครของฝรั่งก็มีตัวตลก (clown)
  • 3. ๓ ด้วย ๑ ผู้ทำบทเบ็ดเตล็ดในละครไทยนี้ ในบำงเรื่องก็ทำบทเป็นผู้ร้ำย คือ เป็นศัตรูกับพระเอก หรือนำงเอก เช่น ทศกัณฐ์ในเรื่องรำมเกียรติ หัวใจของเรื่องรำมเกียรติ์ที่ใช้แสดงโขนก็อยู่ที่ตอนทศกัณฐ์ลักนำงสีดำ ตัวละครสำคัญ ตอนนี้ก็มีพระรำม ๑ นำงสีดำ ๑ ทศกัณฐ์ ๑ ส่วนตัวอื่นก็เป็นแค่ตัวประกอบ เช่น มำรีศเป็นฝ่ำยทศกัณฐ์ซึ่งแปลงตัวเป็นกวำงทอง พระลักษมณ์เป็นอนุชำของพระรำม ละครรำแบบดั้งเดิมของไทย เช่น ละครโนรำชำตรี ก็มีผู้แสดงเป็นตัวละครสำคัญ ๓ คนเท่ำนั้นคือ ถ้ำเล่นเรื่องมโนห์รำ นำยโรง จะแสดงบทของพระสุธน ๑ นำงจะแสดงบทของนำงมโนห์รำ ๑ จำอวดหรือตัวตลกจะแสดงบทของพรำนบุญ ๑ ละครนอกถ้ำเล่นเรื่องรถเสน นำยโรงก็จะแสดงบทของพระรถเสน ๑ นำงก็จะแสดงบทของนำงเมรี ๑ จำอวดหรือตัวตลกจะแสดงบทเป็นม้ำของพระรถเสน ๑ เรื่องที่นิยมใช้เล่นละครนอกมำแต่โบรำณ คือ สุวรรณหงส์ ซึ่งตอนที่นิยมเล่นกันจนเป็นที่เลื่องลือมำกมี ๒ ตอน คือ ตอนพรำหมณ์เล็กพรำหมณ์โต และตอนกุมภณฑ์ถวำยม้ำ ผู้แสดงซึ่งเป็นตัวละครสำคัญก็มีอยู่ ๓ คน เช่นกัน คือ ตอนพรำหมณ์เล็กพรำหมณ์โต มีพรำหมณ์เล็ก (คือพรำหมณ์เกศสุริยง) ๑ พรำหมณ์โต (คือพรำหมณ์กุมภณฑ์) ๑ และพระสุวรรณหงส์ ๑ ส่วนตอนกุมภณฑ์ถวำยม้ำก็มีผู้แสดงสำคัญ ๓ คนคือ กุมภณฑ์ยักษ์ ๑ เกศสุริยงยักษ์ ๑ และพระสุวรรณหงส์ ๑ สำหรับเรื่องขุนช้ำงขุนแผนที่นิยมกันว่ำสำมำรถนำมำดัดแปลงเล่นละครได้ดี ก็เพรำะมีตัวละครสำคัญอยู่ในเรื่อง ๓ คนเช่นกัน คือ ขุนแผนเท่ำกับตัวนำยโรง หรือยืนเครื่อง ๑ นำงพิมหรือวันทองเท่ำกับตัวนำง ๑ และขุนช้ำงเท่ำกับตัวจำอวดหรือตัวตลก ๑ แม้แต่เพลงพื้นเมือง เช่น เพลงฉ่อย เพลงโครำชก็เช่นเดียวกัน เมื่อเล่นเข้ำเรื่อง เช่น ตอนที่เรียกว่ำชิงชู้ และตีหมำกผัว เป็นต้น ก็จะมีตัวละครสำคัญ ๓ คนเช่นกัน กำรที่ละครมีผู้แสดงมำกขึ้นนั้นเป็นกำรปรับปรุงเพิ่มเติมภำยหลัง เมื่อศิลปะทำงกำรแสดงได้รับกำรปรับปรุงและส่งเสริมให้ก้ำวหน้ำยิ่งขึ้น ก็มีตัวยืนเครื่องรองและตัวยืนเครื่องเลวเพิ่มขึ้น ตัวนำงก็มีเพิ่มขึ้น เลยเรียกตัวนำงแต่เดิมว่ำ นำงเอก และเรียกตัวนำงที่เพิ่มขึ้นว่ำ นำงเลว ผู้แสดงที่เพิ่มขึ้นนี้ล้วนเป็นตัวประกอบทั้งสิ้น จะขยำยเรื่องให้มีผู้แสดงประกอบมำกมำยเท่ำใดก็ได้ เช่น จัดแสดงให้มีระบำแทรกเข้ำไป ถ้ำเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระมหำกษัตริย์ ก็เพิ่มเสนำอำมำตย์ข้ำรำชบริพำร และนำงสนมกำนัล ถ้ำเป็นตอนออกศึกก็เพิ่มกองทัพเหล่ำต่ำงๆ และอื่นๆ เข้ำไป แต่ผู้แสดงสำคัญของละครก็คือผู้แสดง ๓ คน ดังกล่ำวนั่นเอง ตำมที่ได้บรรยำยมำข้ำงต้น ปรำกฏหลักฐำนในศักดินำพลเรือนครั้งกรุงเก่ำ (พ.ศ. ๑๙๑๙) สมัยสมเด็จพระบรมรำชำธิรำชที่ ๑ (ขุนหลวงพะงั่ว) เอ่ยถึงช่ำงดอกไม้เพลิง พนักงำนหนัง พนักงำนปี่พำทย์ไม้ต่ำไม้สูง และเอ่ยถึงพนักงำนละครว่ำ หมื่นเสนาะภูบาลเจ้ากรมขวา หมื่นโวหารพิรมย์เจ้ากรมซ้าย นาคล ๔๐๐
  • 4. ๔ นายโรง นา ๒๐๐ ยืนเครื่องรอง นาคล ๑๐๐ นางเอก นาคล ๑๐๐ ยืนเครื่องเลว นาคล ๘๐ นางเลว นาคล ๘๐ จาอวด นา ๕๐ เรื่องที่ใช้ในกำรแสดงละครรำ เรื่องที่ใช้ในกำรแสดงละครรำมักนำมำจำกชำดกบ้ำง นิทำนพื้นเมืองบ้ำง เช่น ละครชำตรี นำเอำเรื่องพระสุธนนำงมโนห์รำมำจำก สุธนกุมำรำวทำน ในคัมภีร์ชำดกสันสกฤตชื่อ ทิวยำวทำน เช่นที่ท่ำนผู้แต่งคัมภีร์ปัญญำสชำดกนำเอำไปแต่งเป็นชำดกภำษำบำลี ชื่อ สุธนชำดก อีกต่อหนึ่งนั่นเอง ส่วนเรื่องรถเสนนั้นนำเอำนิทำนพื้นเมืองเรื่องพระรถเสนและนำงกังรี เช่นที่มีกล่ำวในพงศำวดำรล้ำนช้ำงไปแต่งขึ้น แต่ละครรำของไทยมิได้แสดงกันอยู่เพียงเรื่องมโนห์รำและรถเสน เพียง ๒ เรื่องนี้เท่ำนั้น มีบทละครสมัยกรุงศรีอยุธยำอยู่หลำยเรื่อง บทละครนอกสมัยกรุงศรีอยุธยำที่มีฉบับอยู่ในหอสมุดแห่งชำติหลำยเรื่อง (แต่ไม่บริบูรณ์สักเรื่องเดียว) บทละครนอกสมัยกรุงศรีอยุธยำ ๑๔ เรื่อง คือ เรื่องกำระเกด คำวี ไชยทัต พิกุลทอง พิมพ์สวรรค์ พิณสุริวงศ์ นำงมโนห์รำ โม่งป่ำ มณีพิไชย สังข์ทอง สังข์ศิลป์ ชัย สุวรรณศิลป์ สุวรรณหงส์ และโสวัต นอกจำกนี้ยังมีบทละครนอกสำนวนกลอนเป็นของเก่ำก่อนสมัยรัชกำลที่ ๒ อยู่อีก ๕ เรื่อง คือ ไกรทอง โคบุตร ไชยเชษฐ์ พระรถและศิลป์ สุริวงศ์ เรื่องสำหรับใช้เป็นบทละครนี้ เมื่อขยำยกำรแสดงให้หรูหรำโอฬำรขึ้น ก็ต้องมีผู้แสดงมำกขึ้น กำรแสดงละครตำมบทกลอนในเรื่องเหล่ำนี้ มีกำรนำเอำศิลปะต่ำงๆ เข้ำมำใช้ประกอบกำรแสดงด้วย เช่น ศิลปะทำงกวีนิพนธ์ กล่ำวคือ กลอนบทละครซึ่งแต่งเป็นกลอนแปด มีกำหนดหน้ำพำทย์ ฯลฯ ศิลปะในกำรแสดงละครรำ ในสมัยโบรำณมีศิลปะสำคัญในกำรแสดงละครรำอยู่ ๓ ประเภท คือ บทขับร้อง ดุริยำงคดนตรี และกำรฟ้อนรำ (คือ นำฏศิลป์ ) ๑. บทขับร้อง บทขับร้องในกำรเล่นละครแต่เดิมคงจะใช้กลอนด้น คือ ร้องกลอนสด เช่นเดียวกับกำรเล่นเพลงพื้นเมือง เช่น เพลงฉ่อย และเพลงโครำช เป็นต้น ก็ใช้ร้องด้น ผู้เล่นเพลงพื้นเมืองเหล่ำนี้ต้องได้รับกำรฝึกหัดจำกครูบำอำจำรย์เพลงมำก่อน ครูจะสอนให้ศิษย์ท่องจำกลอนเพลงเป็นตอนๆ ไป เช่น ตอนไหว้ครู ตอนชมโฉม
  • 5. ๕ (หมำยถึงชมควำมงำมของผู้หญิง) ตอนชมนกชมไม้ ตอนตัดพ้อต่อว่ำ เป็นต้น ตัวอย่ำง บทไหว้ครูของนักแสดงพื้นบ้ำน สิบนิ้วลูกจะประนม ถวำยบังคมขึ้นเหนือศีรษะ ต่ำงดอกไม้ธูปเทียน ขึ้นเหนือเศียรบูชำ ไหว้ทั้งครูเฒ่ำที่เก่ำก่อน ได้ฝึกสอนให้มีมำนะ ทั้งโทนทับกระจับปี่ ที่ดีดสีเป็นจังหวะ จะไหว้ผู้รู้ครูพัก ทั้งครูเอกอักขระ ไหว้บิตุรำชมำตุรงค์ ด้วยจิตจงอุตสำหะ ช่วยคุ้มครองป้องกำย ต่อผู้ชำยสะมะถะ จะคิดแก้ไขให้ชยะ ไปตำมจังหวะ กลอนเอย ตั้งแต่ฝึกหัดศิษย์จนสำมำรถร้องบทไหว้ครูได้แล้ว ถ้ำมีโอกำส ครูเพลงจะให้ออกเล่นเป็นลูกคู่ไปก่อน จะออกเล่นเป็นพ่อเพลง แม่เพลงหรือตัวคอรองยังไม่ได้ จึงต้องหัดเป็นลูกคู่ไปก่อน และท่องจำกลอนจนจำได้อย่ำงแม่นยำ และว่ำกลอนในตอนนั้นๆ ได้คล่อง จึงหัดด้น หมำยถึง หัดผูกกลอนขับร้องด้วย ปฏิภำณของตนเอง ครั้งแรกๆ ก็ร้องด้นเอำกลอนที่ครูสอนให้ท่องเอำตรงนั้นมำต่อตอนนี้ เอำตอนนี้ไปต่อตอนโน้น ถึงจะตะกุกตะกักขลุกขลักและฟังแล้วน่ำรำคำญ ไม่ค่อยคล่องก็ตำม แต่ครูก็จะปล่อยให้ด้นไปภำยหลังก็คล่องขึ้นๆ และผูกกลอนร้องด้นได้อย่ำงชำนิชำนำญด้วยปฏิภำณของตนเอง ถ้ำยังไม่ชำญสนำมก็เป็นตัวคอรองไปก่อน เมื่อออกงำนหลำยๆ ครั้งจนจัดเจนขึ้นก็เป็นพ่อเพลงแม่เพลงได้ กำรเล่นละครครั้งโบรำณก็คงจะมีลักษณะเดียวกัน เช่น โนรำชำตรี ก็จะต้องท่องจำบทแล้วใช้ด้นกลอนมำก่อนเช่นเดียวกัน ภำยหลังจึงมีผู้แต่งและเขียนบทลงเป็นตัวหนังสือ แล้วแต่บทให้ประณีต ใช้เล่นละครสืบมำ ๒. ศิลปะทำงดุริยำงคดนตรี เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่ำงยิ่งของกำรเล่นละครรำ เพรำะกำรขับร้องและดุริยำงคดนตรีเป็นศิลปะสำคัญที่มีส่วนสัมพันธ์กับชีวิตของประชำชนคนไทยตั้งแต่เกิดจนต ำย เห็นได้จำกประเพณีเลี้ยงลูกของคนไทยโบรำณ เมื่อลูกเกิดใหม่พ่อแม่คิดประดิษฐ์ถ้อยคำขับร้องเป็นเพลงกล่อมลูก "นอนไปเถิดแม่จะกล่อม นวลละม่อมแม่จะไกว แม่อย่ำร้องไห้ สำยสุดใจ เจ้ำแม่เอยฯ" ถ้ำเป็นลูกเจ้ำฟ้ำเจ้ำแผ่นดิน ก็จะมีพิธีบรรเลงดุริยำงคดนตรีขับกล่อม ด้วยบทเห่ในพระรำชพิธีขึ้นพระอู่ เช่น ในบทละครเรื่องอุณรุท กล่ำวถึงพระพี่เลี้ยงเชิญพระกุมำรลงพระอู่แล้วอยู่งำนช้ำ กล่อมให้บรรทมด้วยเพลง "ช้ำลูกหลวง" กำรเห่กล่อมพระบรรทมที่สืบทอดกันมำ เริ่มต้นด้วยทำนอง "ช้ำลูกหลวง" ซึ่งเป็นทำนอง ที่ได้มำจำกลัทธิพรำหมณ์ เป็นทำนองที่มีจังหวะยืดยำวไม่มีจังหวะหน้ำทับ แต่มีกำรสีซอสำมสำยคลอ เป็นเครื่องดนตรีประกอบ
  • 6. ๖ พร้อมกับกำรไกวบัณเฑำวะว์ เมื่อข้ำหลวงหรือพระพี่เลี้ยงขับกล่อมไปจนจบวรรคหนึ่งๆ ซอสำมสำยก็จะรับเช่นนี้เรื่อยไป เมื่อดุริยำงคดนตรีเข้ำมำเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนไทยทุกระดับเป็นปกติเช่นนี้ ในกำรรื่นเริงบันเทิงสนุกสนำนของคนไทยจึงย่อมจะขำดดุริยำงคดนตรีไปเสียมิได้ ดุริยำงคดนตรีย่อมจะเข้ำมำเป็นส่วนประกอบในกำรละเล่นระบำรำฟ้อน กำรแสดงละครรำของชนชำวไทยสืบมำแต่ดึกดำบรรพ์ ดุริยำงคดนตรีสมัยโบรำณก็คงใช้กำรตบมือให้จังหวะและตีโกร่ง ตีกรับ ประกอบกำรฟ้อนรำ เช่น กำรละเล่นในเทศกำลสงกรำนต์ตำมชนบท แล้วต่อมำจึงคิดประดิษฐ์เครื่องดุริยำงคดนตรีขึ้นเองบ้ำง เช่น กลอง และเอำแบบอย่ำงมำจำกชำติอื่นบ้ำง เช่น เครื่องปี่พำทย์ ซึ่งคงจะเอำแบบอย่ำงมำจำก "ปัญจดุริยำงค์" ของอินเดียเป็นหลัก แล้วดัดแปลงต่อมำจนเป็นปี่พำทย์เครื่องคู่และปี่พำทย์เครื่องใหญ่ในปัจจุบัน วงดนตรีที่ใช้ประกอบกำรแสดงโขนและละครนั้นใช้ปี่พำทย์บรรเลงประกอบ ส่วนเพลงที่บรรเลงประกอบกำรำของโขนละครที่ไม่ใช้บทร้องนั้นเรียกกันมำว่ำ "เพลงหน้ำพำทย์" และเพลงหน้ำพ ำทย์ต่ำงๆ ที่ใช้ประกอบกำรแสดงโขนละครโดยทั่วไปนั้น อำจแบ่งออกได้เป็น ๘ จำพวก คือ ก. ประกอบกิริยำไปและมำ ข. ประกอบกำรเตรียมยกทัพ ค. ประกอบกำรสนุกสนำนเบิกบำนใจ ง. ประกอบกำรสำแดงฤทธิ์เดช จ. ประกอบกำรรบหรือต่อสู้ ฉ. ประกอบกำรแสดงควำมรักที่เรียกในภำษำละครว่ำ "เข้ำพระเข้ำนำง" ช. ประกอบกำรนอน ซ. ประกอบกำรเศร้ำโศก และยังมีรำใช้บทหรือรำบทอีกอย่ำงหนึ่ง ๓. ศิลปะแห่งกำรฟ้อนรำ หรือนำฏศิลป์ ซึ่งเป็นหัวใจของกำรแสดงระบำและละครรำ กำรฟ้อนรำ หรือนำฎศิลป์ ย่อมประกอบด้วยท่ำทำงเคลื่อนไหว หรือกิริยำอำกำร ซึ่งท่ำนคณำจำรย์ทำงนำฏศิลป์ ได้คัดเลือกนำมำประยุกต์ขึ้น เป็นท่ำฟ้อนรำ ท่ำบำงท่ำ ก็เอำมำจำกกิริยำท่ำทำงของมนุษย์ เช่น ท่ำรำแม่บทในตำรำฟ้อนรำของไทยหลำยท่ำ เช่น ท่ำที่เรียกว่ำสอดสร้อยมำลำ พิสมัยเรียงหมอน นำงกล่อมตัว และโจงกระเบนตีเหล็ก เป็นต้น ท่ำบำงท่ำก็เอำมำจำกกิริยำท่ำทำงของสัตว์ เช่น ท่ำเรียกในตำรำฟ้อนรำว่ำ สิงโตเล่นหำง แขกเต้ำเข้ำรัง นกยูงฟ้อนหำง กวำงเดินดง ท่ำชะนีร่ำยไม้ หงส์ลินลำและท่ำฟ้อนรำบำงท่ำก็นำมำจำกสิ่งธรรมชำติ อย่ำงเช่น ท่ำที่เรียกในตำรำฟ้อนรำว่ำ ลมพัดยอดตอง บัวชูฝัก เครือวัลย์พันไม้ พระจันทร์ทรงกลด ท่ำรำของไทยนั้น แม้จะเอำมำจำกกิริยำท่ำทำงของมนุษย์ สัตว์และสิ่งธรรมชำติ ตลอดจนบำงท่ำที่เรำเลียนแบบมำจำกต่ำงชำติ แต่ก็ได้ประดิษฐ์ดัดแปลงให้เข้ำกับหลักแห่งควำมเชื่อถือ
  • 7. ๗ ประกอบด้วยจำรีตประเพณีและวิถีชีวิตประจำวันของคนไทย ซึ่งถือเป็นแบบฉบับสืบมำ ฉะนั้น ท่ำระบำรำฟ้อนของนำฏศิลป์ ไทย แม้จะดูห่ำงไกลไปจำกกิริยำท่ำทำงและสิ่งธรรมชำติจริงๆ ไปบ้ำง ก็พึงทรำบว่ำท่ำนมิได้นำเอำมำโดยตรง หำกแต่ได้เลียนเอำมำ แล้วมีกำรประดิษฐ์ดัดแปลงให้เป็นศิลปะที่งดงำมเพริศพริ้งยิ่งขึ้นอีกด้วย ท่ำรำหรือนำฏศิลป์ ของไทยนั้น เป็นกำรประดิษฐ์ขึ้นให้เห็นงำมด้วยควำมคิดฝันเป็นจินตนำกำร ท่ำรำของโขนละครไทยจึงเป็นอย่ำงวิถีแห่งกวี หลักกำรในเรื่องศิลปะของไทยเรำ เป็นเรื่องที่ควรพิจำรณำนำมำศึกษำในด้ำนจิตใจหรือเจตนำรมณ์ แล้วจะมีควำมเข้ำใจ และเมื่อเกิดควำมเข้ำใจแล้ว ก็จะซำบซึ้งในรสของศิลปะเป็นอย่ำงดี ดังได้กล่ำวมำข้ำงต้นแล้วว่ำ ศิลปะของไทยนั้นหลำยอย่ำงหลำยประกำรเรำเลียนมำจำกธรรมชำติ โดยเฉพำะท่ำรำหรือนำฏศิลป์ เรำเลียนมำจำกกิริยำท่ำทำงของคนและสัตว์ บำงท่ำเลียนมำจำกธรรมชำติ แต่เมื่อเรำเลียนมำแล้ว เรำเอำมำประดิษฐ์ให้เป็นศิลปะที่งดงำมตำมลีลำ ท่ำรำ และเยื้องกรำยให้เข้ำกับท่วงทำนองขับร้องและดนตรี เช่น จะชี้นิ้วก็มีท่ำยกแขนวำดข้อมือแล้วชี้นิ้ว ศิลปินคนใดทำได้สวยงำมก็จะน่ำดูมำก กำรรำซ้ำท่ำหรือทำนองดนตรีที่มีลีลำซ้ำก็เป็นแบบแผนประเพณีนิยมของไทย เป็นกำรย้ำซ้ำจังหวะซึ่งถือว่ำเก๋ ในศิลปะทำงวรรณคดีของไทยยังใช้คำซ้ำ เช่น พะพรำย ยะยิ้ม ยะแย้ม บำงครั้งยืดเสียง เช่น เพรำะ-ไพเรำะ ฯลฯ แต่ก็มิได้ซ้ำเฉยๆ หำกแต่มีกำรพลิกแพลง ถ้ำดูและฟังด้วยควำมเข้ำใจก็จะรู้สึกว่ำงดงำมและไพเรำะ ผู้ดูผู้ฟังจำต้องใช้ควำมคิดและปัญญำโดยสร้ำงจินตนำกำรของตนเองตำมไปด้วย ถ้ำทรำบหลักกำรและจำรีตประเพณีของไทย แล้วตั้งใจและใช้ควำมสังเกตเพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้สำมำรถติดตำมเรื่องและเข้ำใจควำมหมำย ทั้งอำจมองเห็นไปถึงจิตใจอันประณีตแจ่มใสของประชำชนคนไทย ซึ่งแฝงอยู่ในศิลปะที่สวยงำมเหล่ำนี้ได้เป็นอย่ำงดี ฉะนั้น สถำนที่สำหรับแสดงโขนละครฟ้อนรำของไทยแต่โบรำณ จึงไม่มีฉำกประกอบจะมีแต่ม่ำนกั้น มีช่องประตูเข้ำออก ๒ ข้ำง หลังม่ำนเป็นที่พักของผู้แสดงโขนและละคร ข้ำงหน้ำม่ำนออกมำมีเตียงสี่เหลี่ยมผืนผ้ำ สำหรับให้โขนละครตัวสำคัญนั่ง หรือนอน หรือยืนตำมแต่บท ถัดออกมำเป็นที่ว่ำง จะปูเสื่อหรือพรมก็ได้ตำมแต่ฐำนะ สำหรับให้ตัวโขนละครนั่ง ยืน เดิน หรือรบพุ่งต่อสู้กัน ตำมแต่จะมีบทบอกให้แสดง ถ้ำเป็นละครนอก เมื่อยังไม่ถึงบท ผู้เล่นจะไปนั่งอยู่กับคนดูก็ได้ ตัวโขนละครในท้องเรื่องจะอยู่ในปรำสำท รำชวัง ในสวรรค์วิมำนในป่ำเขำลำเนำไพร ใต้บำดำล หรือท้องทะเลมหำสมุทร จะเหำะเหินเดินอำกำศ หรือว่ำยน้ำลงเรือ ก็คงอยู่ที่บนเตียงและบริเวณหน้ำม่ำนนั่นเอง แต่คนดูก็สำมำรถสร้ำงจินตนำกำร หรือควำมคิดเห็นติดตำมเรื่องไปได้ อย่ำงสนุกสนำน หรือโศกซึ้งตรึงใจ โดยอำศัย บทร้อง บทเจรจำ กับเพลงปี่พำทย์ ดุริยำงคดนตรี และ กิริยำท่ำทำงของตัวละครและโขนแสดงว่ำ ประชำชนคนไทยสมัยก่อน มีจินตนำกำรสูงมำก สำมำรถติดตำมเรื่องกำรแสดง โขนละครได้เป็นอย่ำงดี โดยมิต้องอำศัยสูจิบัตร
  • 8. ๘ ปี่พำทย์สำหรับเล่นละครรำ ปี่พำทย์ที่ไทยเรำนำมำเล่นละครรำมี ๒ อย่ำง ซึ่งมีมำตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยำเป็นรำชธำนี คือ ปี่พำทย์สำหรับเล่นละครชำตรีอย่ำง ๑ ปี่พำทย์สำหรับเล่นโขนละครในสมัยกรุงศรีอยุธยำอย่ำง ๑ ปี่พำทย์สำหรับเล่นละครชำตรี (โนรำชำตรี) เครื่องดนตรีมี ปี่ใน (ภำคใต้เรียกว่ำปี่ต้น) กลองขนำดย่อมลูกเดียว โทน (ภำคใต้เรียกทับ) ๒ ลูก ฆ้องคู่ (ภำคใต้เรียกว่ำ โหม่ง) ฉิ่งและกรับ (ภำคใต้เรียกว่ำ แกระ) ปี่พำทย์สำหรับเล่นโขนละครในสมัยกรุงศรีอยุธยำ ใช้วงปี่พำทย์เครื่องห้ำ คือ ปี่ ระนำด ตะโพน (คือโทนสองหน้ำ) กลองและฆ้องวง ละครชำตรีมีเครื่องทำเสียงสูงต่ำเป็นลำนำได้เพียงแต่ปี่อย่ำงเดียว แต่ปี่พำทย์เครื่องห้ำมีเครื่องทำลำนำได้ ๓ อย่ำง คือ ปี่ ระนำด และฆ้องวง ละครที่เล่นในสมัยกรุงศรีอยุธยำ จนตลอดสมัยรัชกำลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งละครหลวง และละครรำษฎร์ ใช้ปี่พำทย์เครื่องห้ำทั้งสิ้น เพิ่งจะมำเพิ่มเติมเครื่องปี่พำทย์ขึ้นเป็นเครื่องใหญ่ ในสมัยรัชกำลที่ ๓ เพรำะเกิดกำรเล่นเสภำรับปี่พำทย์ สมัยรัชกำลที่ ๒ เสภำอย่ำงโบรำณขับอย่ำงเล่ำนิทำน ไม่มีกำรส่งปี่พำทย์ ลักษณะที่สำคัญในกำรแสดงละครรำ ละครรำมีลักษณะกำรแสดงแบ่งเป็น ๒ กระบวน คือ ใช้ร้องเป็นหลักกระบวนหนึ่ง ใช้ปี่พำทย์เป็นหลักกระบวนหนึ่ง ๑. กระบวนที่ใช้ร้องเป็นหลัก ลักษณะที่ใช้ร้องละครเป็น ๓ จังหวะ คือ จังหวะช้ำ จังหวะกลำง และจังหวะเร็ว จังหวะช้ำ คือ ๑.๑ ร้องช้ำ ลูกคู่รับ ไม่ใช้ปี่พำทย์เรียกเป็นสำมัญว่ำ "ร้องช้ำ" ในกระบวนร้องอย่ำงนี้ยังมีลำนำอื่นอีกหลำยเพลงที่เรียกว่ำ "ช้ำอ่ำนสำร " "ยำนี" และ "ชมตลำด" เป็นต้น ๑.๒ ร้องช้ำเข้ำกับปี่ เรียกว่ำ "ช้ำปี่" "โอ้ปี่" และ "โอ้ชำตรี" เป็นต้น ๑.๓ ร้องช้ำเข้ำกับโทน เช่น ร้อง "ลงสระ" และ "ชมดง" เป็นต้น จังหวะกลำง ละครร้องจังหวะกลำงนั้น คือ "ร้องร่ำย" มีแต่ลูกคู่รับ ไม่มีปี่พำทย์ ใช้ร้องพื้นเรื่องละคร เพรำะฉะนั้นละครจึงร้องร่ำยมำกกว่ำอย่ำงอื่น จังหวะเร็ว ละครร้องจังหวะเร็วนั้นพวกละครชำตรีเรียกว่ำ "ร้องสับ" ละครในกรุงศรีอยุธยำ เรียกว่ำ "ร้องสับไท" (สับคือ ศัพทย) มีแต่ลูกคู่รับ ไม่ทำปี่พำทย์เหมือนกับร้องร่ำย แต่จังหวะเร็วกว่ำ ใช้แต่เฉพำะเมื่อละครรำบทรุกร้น เช่น เวลำไล่กัน เป็นต้น
  • 9. ๙ ๒. กระบวนละครที่ใช้ปี่พำทย์เป็นหลัก มี ๒ อย่ำงคือ ทำโหมโรงอย่ำง ๑ ทำเพลงรำอย่ำง ๑ ๒.๑ โหมโรง คือ ปี่พำทย์จะบรรเลงในเวลำตัวละครแต่งตัวก่อนจะเล่น เป็นกำรบอกให้คนดูทรำบว่ำจะเริ่มเล่นละคร กำรโหมโรงของละครชำตรีใช้เพลงตำมแบบเก่ำบรรเลง เช่น "เพลงซัด" เพลง ๑ "เชิด" เพลง ๑ กับเพลง"เพลง" เพลง ๑ รวม ๓ เพลงเท่ำนั้น แต่โหมโรงอย่ำงละครนอก และละครในปี่พำทย์จะบรรเลงเพลงเรื่องยืดยำวตำมแบบโหมโรงของโขน อนึ่ง เวลำเลิกเล่น ปี่พำทย์จะบรรเลงเพลงลำโรงอีกเพลงหนึ่ง คู่กับโหมโรงทำเพลง "กรำวรำ" เพลงเดียว ๒.๒ เพลงรำ ปี่พำทย์บรรเลงเพลงรำของละครรำนั้นใช้จังหวะช้ำ จังหวะกลำง และจังหวะเร็ว ๓ อย่ำง คล้ำยกับจังหวะ ที่ละครร้องใช้ปี่พำทย์บรรเลง โดยลำพังอย่ำง ๑ ใช้ร้องช่วยปี่พำทย์อีกอย่ำง ๑ เป็น ๒ กระบวนซึ่งต่ำงกัน คือ กระบวนที่ ๑ ปี่พำทย์บรรเลงโดยลำพังนั้น เช่น รำเสมอ รำกลม รำเชิด เป็นต้น กระบวนที่ ๒ ร้องช่วยปี่พำทย์ ใช้สำหรับละครรำเพลงช้ำ เพลงเร็ว และเพลงเชิดฉิ่ง เพลงช้ำ ตะโพนจะทำจังหวะ จ๊ะ โจ๋ง จ๊ะ ถิ่ง โจ๋ง ถึง และร้องบท "เย็นย่ำ จะค่ำอยู่แล้วลงรอนรอน" และ "ฉุยฉำย" เป็นต้น เพลงเร็ว ตะโพนทำจังหวะ ต๊ะ ถึง ถึง และร้องบท หรือ"รักเจ้ำสำวคำเอย" "แม่ศรีเอย" เป็นต้น เชิดฉิ่ง ตีฉิ่งเป็นจังหวะเร็ว (ไม่ใช้ตะโพน) และร้องบท "หริ๊งหริ่งได้ยินเสียงฉิ่งก็จับใจ" เป็นต้น ละครรำของไทยเรำ เดิมใช้ปี่พำทย์อย่ำงละครชำตรี ต่อมำจึงใช้ปี่พำทย์ของโขน (ดำรงรำชำนุภำพ : ตำนำนเรื่องละครอิเหนำ หน้ำ ๑๖-๒๘) บรรณำนุกรม นำงละม่อม โอชกะ อ.บ., อนุ ค.บ. จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย อดีตอำจำรย์ใหญ่โรงเรียนนำฏศิลป กรมศิลปำกร (ปัจจุบันคือวิทยำลัยนำฏศิลป) อดีตหัวหน้ำแผนกประวัติศำสตร์และจำรีตประเพณี กองวรรณคดีและประวัติศำสตร์ กรมศิลปำกร ปัจจุบัน ข้ำรำชกำรบำนำญ ทบวงมหำวิทยำลัย ผู้เรียบเรียงระดับเด็กเล็กและเด็กกลำง นำงสุมน อมรวิวัฒน์ อ.บ., ค.บ., (เกียรตินิยมอันดับ ๑) จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย
  • 10. ๑๐ M.S. in Ed., University ofWisconsin ครุศำสตรดุษฎีบัณฑิต (กิตติมศักดิ์) จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย ศำสตรำจำรย์กิตติคุณ ภำควิชำประถมศึกษำ คณะครุศำสตร์ จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย ข้ำรำชกำบำนำญ จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย สำรำนุกรมไทยสำหรับเยำวชนฯ เล่ม ๒๓ เรื่องที่ ๒ วัฒนธรรมทำงละครไทย (ละครรำ) โครงกำรสำรำนุกรมไทยสำหรับเยำวชน โดยพระรำชประสงค์ในพระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัว โครงกำรสำรำนุกรมไทยฯ สนำมเสือป่ำ ถนนศรีอยุธยำ เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทรศัพท์ 0-2280-6502,0-2280-6507,0-2280-6515, 0-2280-6538,0-2280-6541 โทรสำร0-2280-6580,0- 2280-6589 พิมพ์ขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๔๑