Más contenido relacionado
La actualidad más candente (20)
Similar a หน่วยที่ 7การควบคุมทางไฟฟ้า (20)
หน่วยที่ 7การควบคุมทางไฟฟ้า
- 1. หน่วยที่ 7
การควบคุมทางไฟฟ้า
(Electric Controls)
ในการศึกษาการทำงานของการควบคุมทางไฟฟ้าสำหรับเครื่องทำความเย็น จะแบ่ง ออกเป็นสัญลักษณ์ อุปกรณ์ควบคุมทางไฟฟ้า และวงจรมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ ซึ่งมีรายละเอียดที่ จะต้องศึกษาดังต่อไปนี้
7.1 สัญลักษณ์ (Symbols)
ในการควบคุมทางไฟฟ้าส่วนที่สำคัญคือการเข้าใจความหมายของสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ ใน วงจรไฟฟ้าของเครื่องทำความเย็นแสดงในภาพที่ 7.1
สัญลักษณ์
ความหมาย
สวิตช์ตัดตอนอัตโนมัติ
คาปาซิเตอร์
สวิตช์ 2 ขั้วสับทางเดียว
เคอร์เรนท์รีเลย์
โปเทนเชียนรีเลย์
อุปกรณ์ป้องกันกระแสไหลเกิน
หลอดไฟ
สวิตช์ 1 ขั้วสับทางเดียว
สวิตช์ 1 ขั้วสับ 2 ทาง
มอเตอร์คอมเพรสเซอร์ 1 เฟส
ภาพที่ 7.1 สัญลักษณ์การควบคุมทางไฟฟ้า
- 2. 7.2 อุปกรณ์ควบคุมทางไฟฟ้า
7.2.1 เคอร์เรนท์รีเลย์ (Current Relay) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ช่วยในการสตาร์ทมอเตอร์ คอมเพรสเซอร์ให้ทำงาน อาศัยการทำงานโดยใช้กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านขดลวดรันทำให้เกิดอำนาจ แม่เหล็กไฟฟ้าในการควบคุมรีเลย์ จึงเรียกรีเลย์ชนิดนี้ว่าเคอร์เรนท์รีเลย์ นิยมใช้กับวงจรไฟฟ้าในตู้เย็น ตู้แช่ และตู้ทำน้ำเย็น
1) โครงสร้างส่วนประกอบของเคอร์เรนท์รีเลย์
ภาพที่ 7.2 แสดงโครงสร้างของเคอร์เรนท์รีเลย์
2) การทำงาน ขดลวดในรีเลย์ (L-M) ต่ออนุกรมกับขดลวดรัน (C-R) ของ มอเตอร์คอมเพรสเซอร์ หน้าสัมผัส (L-S) เป็นแบบปกติเปิด (N.O.) และต่ออนุกรมกับขดลวดสตาร์ท (C- S) ขณะสตาร์ทจะมีกระแสไหลผ่านขดลวดรันมาก ทำให้ขดลวด L– M ของรีเลย์มีกระแสผ่านมาก ด้วย จึงสร้างสนามแม่เหล็กดูดหน้าสัมผัส L– S ต่อให้ขดลวดสตาร์ทครบวงจร ทำให้มอเตอร์ คอมเพรสเซอร์เริ่มต้นทำงานได้ หลังจากนั้นกระแสที่ผ่านขดลวดรันและผ่านขดลวดของรีเลย์น้อยลง หน้าสัมผัส L– S จะตัดเหลือให้ขดลวดรันทำงานต่อไปเพียงขดเดียว
ภาพที่ 7.3 แสดงวงจรการทำงานเคอร์เรนท์รีเลย์
3) การนำไปใช้งาน การตรวจเช็คทำได้โดยใช้โอห์มมิเตอร์วัดขั้ว L – M ซึ่งจะมี ค่าความต้านทานของขดลวดในรีเลย์ เมื่อวัดขั้ว L–S ในแนวตั้งจะมีค่าความต้านทานเป็น ∞ (หน้าสัมผัส L – S แยกจากกัน) และเมื่อวัดขั้ว L–S ในแนวตรงข้ามจะมีค่าความต้านเป็นศูนย์โอห์ม การติดตั้งจะต้องวางในแนวตั้งให้ถูกต้อง เพราะหน้าสัมผัสจะเปิดได้โดยอาศัยแรงโน้มถ่วงของโลก (Gravity) และขนาดของรีเลย์ที่นำไปใช้งานจะต้องขนาดกำลังเท่ากับมอเตอร์คอมเพรสเซอร์
- 3. 7.2.2 โปเทนเชียนรีเลย์ (Potential Relay) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ช่วยในการสตาร์ท มอเตอร์คอมเพรสเซอร์ให้ทำงาน อาศัยการทำงานโดยอาศัยค่าความต่างศักย์ที่เกิดจากขดลวดสตาร์ท ของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์กระทำผ่านขดลวดในรีเลย์ ทำการตัดหน้าสัมผัสในรีเลย์ จึงเรียกรีเลย์ชนิด นี้ว่าโปเทนเชียนรีเลย์รีเลย์ นิยมใช้กับวงจรไฟฟ้าในเครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วน
1) โครงสร้างส่วนประกอบโปเทนเชียนรีเลย์
1) โครงสร้างส่วนประกอบของโปเทนเชียนรีเลย์
ภาพที่ 7.4 แสดงโครงสร้างของโปเทนเชียนรีเลย์
2) การทำงาน หน้าสัมผัส (1-2) เป็นแบบปกติต่อ (N.C.) ขดลวดรีเลย์ (2-5) รับ แรงเคลื่อนไฟฟ้าจากขดลวดสตาร์ทของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ หน้าสัมผัส 1–2 จะต่อให้คาปาชิเตอร์ สตาร์ทครบวงจร ทำให้มอเตอร์เริ่มสตาร์ทได้ และเมื่อมอเตอร์หมุนด้วยความเร็วประมาณ 75% ของ ความเร็วรอบปกติซึ่งใช้เวลาประมาณ 1–3 วินาที ในช่วงนี้ขดลวดสตาร์ทจะสร้างแรงเคลื่อนไฟฟ้า (Pick up voltage) ให้ขดลวด 2–5 ของรีเลย์ตัดหน้าสัมผัส 1–2 ทำให้คาปาซิเตอร์สตาร์ทถูกตัดออก จากวงจร
ภาพที่ 7.5 แสดงการทำงานวงจรโปเทนเชียลรีเลย์
3) การนำใช้งานจะต้องอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องตามที่ผู้ผลิตกำหนด เพราะจะมี ผลต่อการตัดต่อหน้าสัมผัส การตรวจเช็คทำโดยใช้โอห์มมิเตอร์วัดขั้ว 1–2 จะได้ค่าความต้านทานของ หน้าสัมผัสเท่ากับศูนย์โอห์ม และวัดขั้ว 2–5 จะได้ค่าความต้านทานของขดลวดรีเลย์
- 4. 7.2.3 เทอร์โมสตัท (Thermostat) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิภายในตู้เย็นหรือ ภายในห้องปรับอากาศให้อยู่ในช่วงที่ต้องการโดยอัตโนมัติ ในขณะที่อุณหภูมิในตู้เย็นหรือในห้องปรับ อากาศยังสูงอยู่ หน้าสัมผัสของเทอร์โมสตัตจะต่ออยู่ มอเตอร์คอมเพรสเซอร์จะทำงานดูดอัดน้ำยา ทำให้เกิดความเย็นที่อีแวปปอเรเตอร์และเมื่ออุณหภูมิภายในตู้เย็นหรือในห้องปรับอากาศลดต่ำลง จนถึงจุดที่ตั้งไว้ หน้าสัมผัสของเทอร์โมสตัตจะแยกออกทำให้มอเตอร์คอมเพรสเซอร์หยุดทำงาน จนกระทั่งอุณภูมิภายในสูงขึ้นอีก หน้าสัมผัสของเทอร์โมสตัตจะกลับมาต่ออีก เทอร์โมสตัทที่จะ กล่าวถึงต่อไปนี้เป็นแบบกระเปาะ
1) โครงสร้างของเทอร์โมสตัตแบบกระเปาะ
ภาพที่ 7.6 แสดงเทอร์โมสตัตแบบกระเปาะ
2) การทำงานของเทอร์โมสตัตแบบกระเปาะ ทำงานโดยอาศัยหลักการขยายตัว ของของเหลวหรือแก๊สที่บรรจุอยู่ในกระเปาะซึ่งจะขยายตัวเมื่อถูกความร้อนและหดตัวได้เมื่อได้รับ ความเย็น ขณะที่สารซึ่งบรรจุอยู่ในกระเปาะขยายตัวจะไหลผ่านท่อเล็ก ๆ ที่ต้องเข้าไปยังเบลโล ทำ ให้ความดันในเบลโลเพิ่มขึ้นและยืดออก เป็นผลให้หน้าสัมผัสของเทอร์โมสตัตต่อกัน มอเตอร์ คอมเพรสเซอร์จะทำงานดูดอัดน้ำยาและเมื่ออุณหภูมิภายในห้องปรับอากาศลดต่ำลง สารซึ่งบรรจุใน กระเปาะจะหดตัวเป็นผลทำให้ความดันในเบลโลลดลงและหดตัวทำให้หน้าสัมผัสของเทอร์โมสตัตแยก จากกัน ส่งผลให้มอเตอร์คอมเพรสเซอร์หยุดทำงาน
3) ในการควบคุมอุณหภูมิจะมีที่ปรับภายนอก ถ้าปรับหมุนทวนเข็มนาฬิกาจะ เป็นการเพิ่มแรงดันสปริงซึ่งต่อต้านกับแรงดันของแก๊สในเบลโล เท่ากับว่าเป็นการเพิ่มความดันในเบล โลให้สูงขึ้นจะทำให้หน้าสัมผัสจากออก และถ้าหมุนตามเข็มนาฬิกาก็จะเป็นการลดแรงดันสปริง ซึ่ง เป็นการควบคุมอุณหภูมิจุดตัดให้ต่ำลงเป็นการปรับอุณภูมิภายในตู้เย็นหรือในห้องปรับอากาศให้เย็นจัด
- 5. 7.2.4 โอเวอร์โหลด (Over load) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ป้องกันขดลวดภายในมอเตอร์ของ คอมเพรสเซอร์ ไม่ให้เสียหายเมื่อกระแสผ่านขดลวดมากผิดปกติ หรือเมื่อขดลวดร้อนจัดอาศัยหลักการ ของโลหะสองชนิดที่มีสัมประสิทธิ์การขยายตัวไม่เท่ากันติดกัน ขณะมอเตอร์ทำงานปกติหน้าสัมผัสของ โอเวอร์โหลดจะต่ออยู่ ถ้ามอเตอร์กินกระแสมากเกินไปทำให้เกิดความร้อน โลหะทั้งสองจะขยายตัวไม่ เท่ากันเกิดการงอตัวทำให้หน้าสัมผัสแยกจากกัน ตัดวงจรมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ป้องกันไม่ให้ขดลวด มอเตอร์ไหม้ และเมื่ออุณหภูมิมอเตอร์คอมเพรสเซอร์เย็นลงโลหะทั้งสองชนิดก็จะหดตัวดึงหน้าสัมผัสให้ กลับมาต่ออีกครั้ง โอเวอร์โหลดโดยทั่วไปมี 2 ชนิด คือ
1) โอเวอร์โหลดชนิดติดตั้งภายนอก (External line) ตัวอุปกรณ์ป้องกันติดตั้ง อยู่ภายนอกตัวมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ ทำหน้าที่ตัดวงจรเมื่อกระแสไหลผ่านขดลวดมากผิดปกติ บาง ชนิดจะติดตั้งโดยแนบตัวอุปกรณ์ป้องกันกับเปลือกนอก เพื่อตัดวงจรเมื่อมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ร้อนจัด จนอาจทำให้ขดลวดภายในเสียหายได้ การเลือกขนาดของอุปกรณ์ป้องกันจะต้องสัมพันธ์กับขนาด กำลังม้าของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์
ภาพที่ 7.7 อุปกรณ์ป้องกันชนิดติดตั้งภายนอก
2) โอเวอร์โหลดชนิดติดตั้งภายใน (Internal line – break overload) ตัว อุปกรณ์ป้องกันจะติดตั้งภายในมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ โดยแนบตัวอุปกรณ์ป้องกันสัมผัสกับขดลวด ของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ จะทำหน้าที่ตัดวงจรเมื่อมีกระแสผ่านขดลวดมากผิดปกติ และเมื่อขดลวด ร้อนจัดซึ่งสาเหตุหลักจะเกิดขึ้นเมื่อสารทำความเย็นภายในระบบน้อยเกินไป และเนื่องจากติดตั้งอยู่ ภายใน เมื่อระบบทำงานผิดปกติจนอุปกรณ์ป้องกันตัดวงจร จะต้องใช้เวลานานนับชั่วโมง หน้าสัมผัส ภายในอุปกรณ์ป้องกันจึงจะกลับไปต่อวงจรเพื่อให้มอเตอร์ทำงานใหม่
ภาพที่ 7.8 อุปกรณ์ป้องกันชนิดติดตั้งภายใน
- 6. 7.2.5 ดีฟรอสต์ไทม์เมอร์ วงจรควบคุมการทำงานของเครื่องทำความเย็น บางครั้งต้องการ ให้มีการเริ่มทำงานของอุปกรณ์บางอย่างหลังจากที่อุปกรณ์อีกตัวหนึ่งเริ่มทำงานไปแล้ว อาจจะเป็น วินาที นาที หรือชั่วโมง ตัวอย่างตู้เย็นระบบโนฟรอสต์จะต้องมีการละลายดีฟรอสต์โดยอัตโนมัติ หลังจากที่มอเตอร์คอมเพรสเซอร์ทำงานแล้วและเริ่มมีดีฟรอสต์จับหนาขึ้นที่อีแวปปอเรเตอร์ เมื่อได้ ระยะเวลาที่ตั้งไว้ วงจรละลายดีฟรอสต์ก็จะเริ่มทำงาน อุปกรณ์ดังกล่าวคือ ดีฟรอสต์ไทม์เมอร์
ภาพที่ 7.9 แสดงการทำงานของดีฟรอสต์ไทม์เมอร์
จากภาพที่ 7.9 หลักการทำงานของดีฟรอสต์ไทม์เมอร์ ในการทำดีฟรอสต์สำหรับตู้เย็น ระบบละลายน้ำแข็ง ประกอบด้วยมอเตอร์ขนาดเล็ก เมื่อจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้ามอเตอร์ มอเตอร์จะหมุน ขับเฟืองทดรอบให้หมุนช้าลง ไปผลักกลไกทำให้หน้าสัมผัสของรีเลย์ตัดวงจรเพื่อให้ระบบเครื่องทำ ความเย็นทำการละลายน้ำแข็ง อยู่ในช่วงระยะเวลาประมาณ 15 นาที และต่อให้วงจรการทำงานของ ระบบการทำความเย็นระยะเวลา 12-14 ชั่วโมง
7.2.6 แมกเนติกคอนแทคเตอร์ (Magnetic contactor) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ตัดต่อ หน้าสัมผัสโดยอาศัยอำนาจแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ในวงจรไฟฟ้า เช่น มอเตอร์คอมเพรสเซอร์ มอเตอร์พัดลม มอเตอร์ปั๊มน้ำ เป็นต้น การเลือกใช้มีดังนี้
1) ขนาดแรงเคลื่อนไฟฟ้าของขดลวดสร้างสนามแม่เหล็ก (Coil) เช่น 24 V , 220 V , 380 V เป็นต้น
2) ความสามารถในการรับกระแสของหน้าสัมผัสหลัก (Main Contact) เช่น 20 A , 30 A , 60 A เป็นต้น
3) ความต้องการในการใช้งานของหน้าสัมผัสช่วย (Auxiliary contact)
4) จำนวนขั้วของหน้าสัมผัสหลักที่ต้องการใช้งาน เช่น 2 ขั้ว สำหรับระบบไฟ 220 V หรือ 3 ขั้ว สำหรับระบบไฟ 380 V
ภาพที่ 7.10 แมกเนติกส์คอนแทคเตอร์
- 7. 7.2.7 คาปาซิเตอร์แบบรัน (Run Capacitors) ใช้ในวงจรที่ต่อมอเตอร์แบบ PSC และCSR การต่อวงจรจะต่อคาปาซิเตอร์อนุกรมกับขดลวดสตาร์ทของมอเตอร์ และจะทำงานตลอดเวลาทั้งช่วง เริ่มต้นและช่วงทำงานปกติโดยไม่มีรีเลย์ตัดคาปาซิเตอร์ ออกจากวงจร ขนาดจะบอกความจุเป็นไมโคร ฟารัด (μF) การเลือกใช้จะต้องมีความจุไม่เกิน 10 % ของค่าที่กำหนด เพราะถ้ามีความจุมากเกินกว่า กำหนดจะทำให้กระแสไหลผ่านมอเตอร์มากและเกิดความร้อนในขดลวดสูง การตรวจเช็คคาปาชิเตอร์ ทำได้โดยใช้โอห์มมิเตอร์
ภาพที่ 7.11 แสดงคาปาซิเตอร์แบบรันชนิด 2 ขั้ว และ 3 ขั้ว
คาปาซิเตอร์แบบรันนอกจากจะใช้กับมอเตอร์คอมเพรสเซอร์แล้วยังใช้กับมอเตอร์พัด ลมที่ต่อวงจรแบบ PSC ด้วย ขั้วต่อใช้งานของคาปาซิเตอร์ปกติจะมีขนาดความจุ 2 ค่าอยู่ในตัว คาปา ซิเตอร์เดียวกัน คาปาซิเตอร์แบบนี้จะมีขั้วต่อ 3 ขั้วหลักดังภาพที่ 7.9 การต่อใช้งานต้องพิจารณาที่ แผ่นบอกรายละเอียด (Name plate) เช่น คาปาซิเตอร์ตัวหนึ่งบอกขนาดความจุ 20/5 μF การใช้ งานต่อคาปาซิเตอร์ความจุ 20 μF สำหรับมอเตอร์คอมเพรสเซอร์และความจุ 5 μF สำหรับมอเตอร์ พัดลม
7.2.8 คาปาซิเตอร์แบบสตาร์ท (Start Capacitors) ใช้ในวงจรที่ต่อมอเตอร์แบบ CSIR ที่ใช้ในเครื่องทำความเย็นขนาดเล็กไม่เกิน 3 / 4 แรงม้า และ แบบ CSR ที่ใช้ในเครื่องทำความเย็น ขนาดใหญ่ถึง 5 แรงม้า ออกแบบมาสำหรับการใช้งานเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ประมาณ 1-3 วินาที จึง ต้องต่อผ่านหน้าสัมผัสของรีเลย์เพื่อตัดคาปาซิเตอร์ออกจากวงจรหลังจากมอเตอร์สตาร์ท และเมื่อ ความเร็วสูงถึงประมาณ 75 % ของความเร็วรอบปกติ เนื่องจากคาปาซิเตอร์ต่ออนุกรมกับหน้าสัมผัส ของรีเลย์ ขณะทำงานจึงมีโอกาสเกิดประกายไฟที่หน้าสัมผัสทำให้เกิดการเสียหายที่หน้าสัมผัสของ รีเลย์จึงมักจะต่อตัวต้านทานขนาด 15,000 - 18,000 โอห์ม 2 วัตต์ คร่อมระหว่างขั้วทั้งสองของคาปา ซิเตอร์ การเลือกใช้คาปาซิเตอร์แบบสตาร์ทจะต้องเลือกค่าความจุตามที่กำหนดให้เหมาะสมกับขนาด ของคอมเพรสเซอร์
ภาพที่ 7.12 แสดงคาปาซิเตอร์แบบสตาร์ท
- 8. 7.3 วงจรมอเตอร์คอมเพรสเซอร์
7.3.1 วงจร RSIR (Resistance Start – Induction Run) ทำงานโดยอาศัยรีเลย์ช่วย สตาร์ทชนิดทำงานด้วยกระแส (Current relay) ขณะเริ่มทำงานรีเลย์จะต่อวงจร สร้างแรงบิดมาก พอให้คอมเพรสเซอร์เริ่มทำงานได้ หลังจากนั้นรีเลย์จะตัดวงจรเหลือขดลวดรันทำงานเพียงขดเดียว ใช้ เฉพาะคอมเพรสเซอร์ขนาดเล็ก เช่น ที่ใช้ในตู้น้ำเย็น ขนาดไม่เกิน 1/3 แรงม้า ซึ่งต้องการกำลังทั้งช่วง สตาร์ทและช่วงทำงานปกติไม่มากนัก
ภาพที่ 7.11 วงจรมอเตอร์คอมเพรสเซอร์แบบ RSIR
7.3.2 วงจรมอเตอร์คอมเพรสเซอร์แบบ CSIR (Capacitor Start – Induction Run) เป็น การต่อวงจรมอเตอร์คล้ายกับ RSIR ต่างกันเพียงการเพิ่มคาปาซิเตอร์แบบสตาร์ทต่ออนุกรมระหว่าง หน้าสัมผัสของรีเลย์ และขดลวดสตาร์ทของมอเตอร์ จึงให้แรงบิดในช่วงเริ่มต้นดีกว่าแบบ RSIR ส่วน ช่วงทำงานปกติจะทำงานเหมือนกับ RSIR ใช้งานในเครื่องทำความเย็นขนาดเล็กจนถึงขนาด 3/4 แรงม้า
ภาพที่ 7.12 วงจรมอเตอร์คอมเพรสเซอร์แบบ CSIR
7.3.3 วงจรมอเตอร์คอมเพรสเซอร์แบบ PSC (Permanent Split Capacitor) การต่อ วงจรมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ แบบ PSC ใช้คาปาซิเตอร์แบบรันต่ออนุกรมโดยถาวรกับขดลวดสตาร์ท ของมอเตอร์ คาปาซิเตอร์และขดลวดสตาร์ทจะต้องทำงานตลอดทั้งช่วงสตาร์ท และช่วงทำงานปกติ โดยไม่มีรีเลย์มาตัดวงจร ขณะทำงานจึงมีกระแสผ่านทั้งขดลวดรันและขดลวดสตาร์ท ทำให้มีกำลังขับ ดีกว่าแบบ RSIR และ CSIR ใช้ในเครื่องทำความเย็นและเครื่องปรับอากาศตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึง 5 แรงม้า โดยเฉพาะต้องเป็นระบบที่สามารถถ่ายเทความดันระหว่างด้านความดันสูงและความดันต่ำ (balance pressure) ได้ขณะคอมเพรสเซอร์หยุดทำงาน เช่น ระบบที่ใช้ Capillary tube
- 9. ภาพที่ 7.13 วงจรมอเตอร์คอมเพรสเซอร์แบบ PSC
7.3.4 วงจรมอเตอร์คอมเพรสเซอร์แบบ CSR (Capacitor Start and Run) เป็นการต่อ วงจรมอเตอร์คล้ายกับแบบ PSC ต่างกันเพียงการเพิ่มคาปาซิเตอร์แบบสตาร์ทต่ออนุกรมกับขดลวด สตาร์ทของมอเตอร์ โดยมีรีเลย์ช่วยสตาร์ทชนิดทำงานด้วยค่าความต่างศักย์ไฟฟ้า (potential relay) เป็นตัวตัดคาปาซิเตอร์ไม่ให้ทำงานหลังจากมอเตอร์เริ่มต้นทำงานและหมุนได้ความเร็วประมาณ 75% ของความเร็วรอบปกติ เป็นมอเตอร์ที่ให้กำลังช่วงเริ่มต้นดีกว่าแต่ช่วงปกติจะทำงานเหมือนกับแบบ PSC จึงถูกนำไปใช้กับระบบที่ไม่สามารถ balance pressure ขณะคอมเพรสเซอร์หยุดทำงานได้ เช่น ระบบที่ใช้ลิ้นลดความดันชนิด Thermostatic expansion valve
ภาพที่ 7.14 วงจรมอเตอร์คอมเพรสเซอร์แบบ CSR
สรุปการต่อวงจรมอเตอร์ทั้ง 4 แบบ สามารถเลือกต่อวงจรให้เหมาะสมกับลักษณะงาน ได้ เช่น จากวงจรพื้นฐานแบบ RSIR สามารถปรับวงจรเป็นแบบ CSIR ได้ถ้าต้องการให้มอเตอร์ขนาด เล็กมีแรงบิดในช่วงเริ่มต้นทำงานดีขึ้น โดยการเพิ่มคาปาซิเตอร์แบบสตาร์ทในวงจร หรือวงจรพื้นฐาน แบบ PSC สามารถปรับวงจรเป็นแบบ CSR ได้เช่นเดียวกันเมื่อต้องการให้มอเตอร์ขนาดใหญ่มีแรงบิด ในช่วงเริ่มต้นดีขึ้น โดยการเพิ่มคาปาซิเตอร์แบบสตาร์ท และ potential relay มาต่อในวงจร
- 10. แบบทดสอบหน่วยที่ 7
ใบงานที่ 6 งานตรวจสอบเคอร์เรนท์รีเลย์
ใบงานที่ 7 งานตรวจสอบเทอร์โมสตัท
ใบงานที่ 8 งานตรวจสอบโอเวอร์โหลด
ใบงานที่ 9 งานตรวจสอบดีฟรอสไทม์เมอร์
ใบงานที่ 10 วงจรไฟฟ้าตู้เย็น