5. 4 | P a g e
สารบัญ
หัวข้อ หน้า
ความสําคัญของการแปรผลการศึกษาวิจัยสุขภาพไปสู่การปฏิบัติ 5
รูปแบบการสร้างนโยบาย 7
รูปแบบการใช้งานวิจัย 9
การนําผลการศึกษาวิจัยไปสู่การวางนโยบายโดยอ้างอิงหลักฐานเชิงประจักษ์ 11
ลักษณะของผู้ผลิตผลงานวิจัย 17
ลักษณะของผู้กําหนดนโยบาย 18
แนวทางการแก้ปัญหาเพื่อปิดช่องว่างระหว่างผู้ผลิตผลงานวิจัยและผู้ใช้งานวิจัย 19
แนวทางสําหรับผู้ผลิตผลงานวิจัยในการผลิตผลงานวิจัยเพื่อให้สามารถนําไปใช้จริง 21
ปัจจัยเกื้อหนุนให้เกิดการใช้ผลงานวิจัย 22
กลยุทธ์ที่จะทําให้ผู้ผลิตผลงานวิจัยสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้
ผลงานวิจัยหรือผู้กําหนดนโยบาย
23
กรณีศึกษา 24
บทวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบระหว่างกรณีศึกษา 60
สกัดองค์ความรู้สู่นโยบาย 65
ดัชนี 68
6. 5 | P a g e
องค์ความรู้และกรณีศึกษาด้านการแปรผลการศึกษาวิจัยสุขภาพ
ไปสู่การปฏิบัติในระดับนโยบายสาธารณะ
(Health Research Translation: Concept and its Application)
ความสําคัญของการแปรผลการศึกษาวิจัยสุขภาพไปสู่การปฏิบัติ :
กระแสโลกาภิวัตน์ในรอบสองทศวรรษที่ผ่านมาก่อให้เกิดผลกระทบต่อการพัฒนาของสังคม
โลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังจะเห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงของระบบต่างๆ ในประเทศ ทั้งด้าน
เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และเทคโนโลยี รวมไปถึงระบบสาธารณสุข แต่ละประเทศได้มีการเน้น
การลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของตนเอง เช่น การเพิ่มการศึกษาวิจัยเพื่อให้ได้ผลการวิจัยที่
สามารถนําไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ ในขณะเดียวกันก็มีแนวคิดที่จะหาทางขยายผลไปสู่การปฏิบัติ
ผ่านกลไกการพัฒนาในระดับนโยบายทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลก เพื่อให้
ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน และประชาคมโลกไปพร้อมกัน
เป็นที่น่าสังเกตว่าการลงทุนในการศึกษาวิจัยด้านสุขภาพตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีความ
หลากหลาย ผลผลิตและผลลัพธ์ที่ได้จากงานวิจัยต่างๆ นั้น บ้างก็ได้รับการรวบรวมในระดับสถาบัน ณ
แหล่งทุน สถาบันการศึกษา หรือที่อื่นๆ อย่างกระจัดกระจาย และไม่สามารถนํามาใช้ประโยชน์ได้อย่าง
เต็มที่หรือทันเหตุการณ์ จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการริเริ่มของแหล่งทุนต่างๆ ในการเก็บรวบรวม
ฐานข้อมูลการศึกษาวิจัยเข้าด้วยกัน 1
อย่างไรก็ตามคงต้องใช้เวลาในการพัฒนาและบูรณาการ
ฐานข้อมูลเหล่านั้นเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์
ในขณะเดียวกัน ช่องว่างของการแปรองค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาวิจัยสู่การปฏิบัติระดับ
สาธารณะนั้น ยังคงเป็นคําถามสําคัญของประเทศ และสังคมโลก 2
เพื่อจะไขข้อข้องใจที่ว่า เหตุใด
ผลงานศึกษาวิจัยบางชิ้นจึงสามารถนําไปต่อยอดปฏิบัติในระดับสาธารณะ ทั้งระดับประเทศ ระดับ
ภูมิภาค และระดับโลกได้ แต่ผลงานศึกษาวิจัยอีกจํานวนมากที่ทําเสร็จแล้วก็ได้รับการเปรียบเปรยว่า
ถูกนําไปแขวนไว้บนหิ้ง ซึ่งบางส่วนคงเป็นเหตุผลในเชิงคุณภาพของผลงาน แต่บางส่วนที่มีคุณภาพดี
แต่ยังไม่ได้รับการนําไปปฏิบัติได้อย่างแท้จริง
1
http://nstda.or.th/index.php/news/1483-thai‐research‐center Accessed on 2nd November 2010
2
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/bookshelf/br.fcgi?book=nap12558&part=conclusion Accessed on 2nd
November 2010
7. 6 | P a g e
โครงการศึกษาองค์ความรู้และกรณีศึกษาด้านการแปรผลการศึกษาวิจัยสุขภาพไปสู่การ
ปฏิบัติในระดับนโยบายสาธารณะ จึงได้รับการพัฒนาขึ้น เพื่อทําการเปรียบเทียบบทเรียนใน
ระดับประเทศ และระดับนานาชาติ โดยหวังให้ผลผลิตจากการศึกษานี้เป็นองค์ความรู้และทําหน้าที่
เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยให้เกิดความเข้าใจและนําไปสู่การพัฒนานโยบายสาธารณะด้านสุขภาพ
ที่มีประสิทธิภาพ มีความเหมาะสมและทันเหตุการณ์ได้ในอนาคต
8. ค.ศ. 200
Making
นโยบาย
แบบได้แ
1.
2.
3
Hanney
assessme
รู
ในทางปฏิบัติ
02 Hanney
โดยทํา
สาธารณะ
แก่
Rational m
จัดการกับปัญ
Incrementa
ยอดให้ดียิ่งขึ้
ช่วยในการส ้
สนใจของผู้ที่
ได้ส่วนเสียภ
y et al. The ut
ent. Health Re
รูปแบบการ
ติแล้ว รูปแบ
และคณะ3
ได
าการวิเคราะห์
และได้นําเสน
model :
ญหาหรือตอบ
alists mode
ขึ้น โดยอาศัยห
ร้างหรือตัดสิน
ที่เกี่ยวข้อง คุณ
ายในองค์กร
ilisation of he
esearch Policy
รสร้างนโย
บบในการสร้า
ด้ทําการศึกษ
ห์ปัจจัยที่มีผล
นอผลสรุปว่า
เป็นรูป
ต้องการ
เพื่อหาแ
จากวิธีก
บสนองต่อโจท
el :
เ
ชั
ม
น
หลายปัจจัยที
นใจเชิงนโยบ
ณค่าของนโยบ
และความคา
ealth research
y and Systems
บาย (Polic
างนโยบายมีรู
ษาเรื่อง The U
ลต่อการนําผล
ด้วยเรื่องรูปแ
แบบที่ผู้กําหน
รแก้ไข จากนั้น
แนวทางแก้ปัญ
การแก้ปัญหา
ทย์ที่ตั้งไว้ตอน
ป็นรูปแบบที่
ชัดเจน แต่การ
มาช่วยในการ
นโยบายที่มีอยู
ที่มาเกี่ยวข้อง
บาย เช่น คุณล
บายต่อผู้มีส่ว
าดหวังส่วนบุ
in policy‐mak
s 2002;1:2.
cy making
รปแบบในการ
Utilisation of
ลการศึกษาวิจ
แบบการสร้าง
นดนโยบายเป็
ั้นจัดให้มีการ
ญหาที่เป็นไป
าแต่ละวิธี แล
นต้น
ผู้กําหนดนโย
รสร้างนโยบา
กําหนดนโยบ
ยู่เดิมในระบบ
งเกื้อหนุนแบบ
ลักษณะของอ
วนได้ส่วนเสีย
คคล
king: concepts
models)
รดําเนินการห
f Health Res
จัยไปใช้ในกร
นโยบายเหล่า
ป็นผู้ตั้งโจทย์ห
รทบทวนข้อมูล
ปได้ทั้งหมด ร
ะเลือกวิธีที่ดีท
ยบายไม่ได้กํา
ยและการใช้อ
บายนั้น อาศัย
บนั้นๆ และทํา
บปะติดปะต่อ
องค์ความรู้ต่า
ย ลักษณะตําแ
s, examples a
7 | P a
หลากหลาย
search in P
ระบวนการกํา
านั้น ทั้งหม
หรือปัญหาที่
ลที่มีอยู่ในระ
วมทั้งผลกระ
ที่สุดในการ
หนดเป้ าหมา
องค์ความรู้เพื
ยการต่อยอดจ
าการพัฒนาต่
อหรือต่อยอด
างๆ ที่มีอยู่ ค
แหน่งของผู้มี
nd methods o
a g e
ในปี
olicy
าหนด
ด 4
บบ
ะทบ
ายที่
พื่อ
จาก
ต่อ
เพื่อ
วาม
ส่วน
of
9. 3.
4.
วัตถุประ
ปฏิบัติ โ
อื่นๆ
Network m
Garbage c
อย่างไรก็ดี ข
ะสงค์แอบแฝง
โดยพบว่าในชี
model :
can model:
ขั้นตอนการนํ
ง นโยบายที่
ชีวิตจริงนั้น ขั้
:
าองค์ความรู้ส
ที่เตรียมการไว้
ขั้นตอนการดํา
เป็นรูปแบ
ระหว่างก
เช่น กลุ่มน
ประสิทธิภ
ใช้รู
ไม่เป็
สู่การปฏิบัติแ
ว้แล้วและวิธีก
าเนินการส่วน
บบที่มีการเริ่ม
ลุ่มผู้กําหนดน
นักวิชาการหรื
ภาพในการสร้
รปแบบที่ทําก
ป็นระบบ ไม่มี
และการตัดสิน
การดําเนินกา
นมากจะใช้วิธี
ต้นด้วยการห
นโยบายและบ
รือนักวิจัย เพื่
ร้างและตัดสิน
ารตัดสินใจส ้
มีขั้นตอนที่ชัด
นใจนําผลการ
รถือเป็นตัวแป
ธี Rational m
8 | P a
หากลวิธีเชื่อม
บุคคลภายนอ
พื่อเพิ่ม
นใจเชิงนโยบ
ร้างนโยบายอ
ดเจน
รวิจัยไปใช้แม้
ปรที่สําคัญใน
model มากกว
a g e
มโยง
อก
าย
อย่าง
ม้จะมี
นทาง
ว่าวิธี
11. 3.
4.
5.
Interactive
Enlightenm
Political m
e/Social inte
ment/Perco
model :
eraction m
olation/Lime
เป็นการน
model :
เป็นกา
ผลงาน ิ
ต้องกา
estone mo
เป็นรูปแบบ
สามารถใช้ผ
นําผลการศึก
รประสานกัน
นวิจัยเพื่อแลก
รของทั้งสองฝ
odel :
บที่เสาะหาวิธีก
ผลการวิจัย
ษามาเป็นเค ื
นระหว่างนักวิ
เปลี่ยนทัศนค
ฝ่าย
การที่หลากห
รื่องมือในการ
10 | P a
จัยและผู้ใช้
คติและความ
หลายเพื่อให้
รกําหนดนโยบ
a g e
บาย
12. การ
ผลการวิ
คณะ 5
นโยบาย
การสัมภ
มีปัจจัยที
ปัจจัยที่เ
1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.
นักวิจัยแ
เหมาะส
(11 จาก
5
Innvae
systemat
รนําผลการ
โดยปกติแล้ว
จัยไปใช้ (fac
ได้ทําการศึก
ว่าสามารถทํ
ภาษณ์ผู้กําหน
ที่เอื้อและปัจจ
เอื้อต่อการนํา
การติดต่อระ
ผลการวิจัยมี
ผลการวิจัยมี
ผลการวิจัยยื
นโยบาย
ผลการวิจัยมี
ชุมชนหรือผู้ใ
ผลการวิจัยมี
ปัจจัยที่เอื้อต
และผู้กําหน
สม (13 จาก 2
24 การศึกษ
r S, Vist G, Tro
tic review. J H
รศึกษาวิจัยไ
(E
ว การนําผลง
cilitating fac
กษาทบทวนอ
างานร่วมกัน
นดนโยบายทั้ง
จัยที่เป็นอุปส
าผลการวิจัยไป
ะหว่างนักวิจัย
มีความสอดคล
มีข้อสรุปและค
ยืนยันและสนับ
มีคุณภาพดี
ใช้มีความต้อง
มีข้อมูลที่มีประ
ต่อการนําผลวิ
ดนโยบาย
24 การศึกษา
ษา)
ommald M, et
ealth Serv Re
ไปสู่การวา
vidence-ba
งานวิจัยไปสู่น
ctor) และปัจ
อย่างมีระบบ
นได้หรือไม่ โด
ั้งหมด 2,041
รรคต่อการนํ
ปใช้ประกอบ
ยและผู้กําหนด
ล้อง (Releva
คําแนะนําที่ชั
ับสนุนนโยบา
งการผลงานวิ
ะสิทธิภาพ
วิจัยไปใช้ ที
(13 จาก
า) รองล
t al. Health po
s Policy 2002;
างนโยบายโ
ased Policy
นโยบายสาธา
จจัยที่เป็นอุป
(systemati
ดยทําการรวบ
ราย เกี่ยวกับ
าผลวิจัยสู่นโ
บด้วย
ดนโยบายเป็น
ance) และตร
ัดเจน
ายที่มีอยู่แล้วห
วิจัย
ที่ได้รับการกล่
24 การศึกษ
งมาได้แก่ ผ
olicy makers’ p
;7:239‐44.
โดยอ้างอิง
y Making)
ารณะได้นั้นมั
สรรค (frictio
c review)
บรวมการศึกษ
บทัศนคติของ
ยบายสาธารณ
นการส่วนตัว
รงเงื่อนเวลาที่
หรือตรงกับค
าวถึงมากที่สุ
ษา) ความส
ผลการวิจัยสน
perceptions of
หลักฐานเชิ
มักจะมีทั้งปัจจ
on/obstacle
เกี่ยวกับนัก ิ
ษาทั้งหมด 2
งการนําผลกา
ณะจํานวนมา
ที่เหมาะสม (T
วามสนใจขอ
สุด คือ กา
สอดคล้อง
นับสนุนแนว
f their use of
11 | P a
ชิงประจักษ์
จัยที่เอื้อต่อกา
) Innvaer
วิจัยและผู้กํา
24 การศึกษ
ารวิจัยไปใช้ พ
ากมาย
Timeliness)
งผู้กําหนด
ารติดต่อระห
และเงื่อนเว
วนโยบายที่มี
evidence: a
a g e
ษ์
ารนํา
และ
าหนด
ษาที่มี
พบว่า
โดย
หว่าง
วลาที่
มีอยู่
14. 13 | P a g e
สําหรับปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการนําผลการวิจัยไปใช้ นอกจากจะเกิดจากความล้มเหลวของ
การดําเนินการวิจัยแล้ว Innvaer และคณะได้สรุปปัญหาด้านความสัมพันธ์และปัญหาทางการเมือง
ดังนี้
1. ขาดความสัมพันธ์ส่วนบุคคลระหว่างผู้กําหนดนโยบายกับนักวิจัย
2. ผลการวิจัยไม่สอดคล้องและมีปัญหาเรื่องเงือนเวลา
3. นักวิจัยและผู้กําหนดนโยบายไม่เชื่อใจซึ่งกันและกัน
4. ปัญหาด้านอํานาจและงบประมาณ
5. ผลการวิจัยมีคุณภาพตํ่า
6. ปัญหาความมั่นคงทางการเมืองหรือมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง
ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคที่สําคัญได้แก่ การขาดการติดต่อสื่อสารระหว่างนักวิจัยและผู้กําหนด
นโยบาย (11 จาก 24 การศึกษา) รองลงมาเป็นผลการวิจัยไม่สอดคล้องและปัญหาเรื่องเงื่อนเวลา
(9 จาก 24 การศึกษา) และการที่ทั้งสองฝ่ายไม่เชื่อใจกัน (8 จาก 24 การศึกษา)
ในปีค.ศ. 2004 Cable 7
ได้สรุปปัจจัยที่จํากัดความสามารถในการตัดสินใจใช้หลักฐานเชิง
ประจักษ์เป็น 5’S ได้แก่ speed, superficiality, spin, secrecy และ scientific ignorance เนื่องจาก
ผู้กําหนดนโยบายต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็ว รวบรัด มีความเป็นส่วนตัว และไม่ชอบข้อมูลทาง
วิทยาศาสตร์ ในขณะที่ในปีค.ศ. 2004 Davies8
แสดงให้เห็นว่าการให้ผู้กําหนดนโยบายใช้หลักฐาน
เชิงประจักษ์มากกว่าการตัดสินใจโดยใช้ความคิดเห็นเป็นฐาน ทําให้เกิดแรงกดดันและกินเวลานาน
นอกจากนี้ยังแสดงปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้กําหนดนโยบายซึ่งได้แก่ หลักฐานเชิง
ประจักษ์ ประสบการณ์ การตัดสินใจ ทรัพยากร คุณค่าของผลงาน ลักษณะนิสัยและวัฒนธรรม
นายหน้าหรือกลุ่มผู้มีอิทธิพล การปฏิบัติและความเป็นไปได้
7
Cable V. Evidence and UK politics. Available online at:
http://www.odi.org.uk/Rapid/Meetings/Evidence/Presentation_3/Cable.html Accessed on 2nd
November, 2010.
8
Davies P. Is evidence‐based government possible? Available online at:
http://www.policyhub.gov.uk/home/jerryleelecture1202041.pdf Accessed on 2nd November 2010.
15. 14 | P a g e
จากปัญหาและอุปสรรคดังกล่าวได้มีทฤษฎีมากมายที่ทําการอธิบายช่องว่างระหว่างผู้ผลิต
ผลงานวิจัยและผู้ใช้ผลงานวิจัยว่าเกิดจากกลุ่มเหล่านี้มีลักษณะอุปนิสัยและการดําเนินงานที่แตกต่าง
กัน มีเป้ าประสงค์ต่อตนเองและการแก้ปัญหาระดับชาติที่ไม่ตรงกัน ทําให้มีปัญหาความเข้าใจในการ
สื่อสาร โดยทฤษฎีนี้เรียกว่า The Two Community theory โดย Caplan ในปีค.ศ. 19799
ทฤษฎี
ดังกล่าวได้รับการต่อยอดโดย Shonkoff ในปีค.ศ. 200010
เป็น The Three Culture theory เนื่องจาก
พบว่ามีผู้ใช้ผลงานวิจัยมีความแตกต่างกัน โดยแบ่งเป็นผู้กําหนดนโยบาย และผู้ปฏิบัติ ซึ่ง
Bogenschneider ในปีค.ศ. 200611
ได้ทําการขยายทฤษฎีดังกล่าวเป็น Elaborated Multi-culture
theory ซึ่งอธิบายลักษณะของผู้ผลิตผลงานวิจัย ผู้กําหนดนโยบายและผู้ปฏิบัติ ในด้านข้อมูล การ
ทํางานและวิธีการเขียนผลงาน โดยนักวิจัยมักตั้งคําถาม สนใจรายละเอียดในหัวข้อที่เฉพาะเจาะจง มี
กระบวนการทํางานที่ระมัดระวังและใช้เวลานาน มีวิธีการนําเสนอผลงานวิจัยเชิงลึก เต็มไปด้วย
ศัพท์เทคนิค ในขณะที่ผู้กําหนดนโยบายสนใจคําตอบที่ส่งเสริมการกําหนดนโยบาย ชอบการทํางานที่
รวดเร็ว ชอบวิธีการนําเสนอที่กระชับเข้าใจง่าย ส่วนผู้ปฏิบัติสนใจการตั้งคําถามเพื่อหาคําตอบ เน้น
กระบวนการดําเนินการที่มีความเป็นไปได้สูงและนําไปใช้ได้เหมาะกับกลุ่มเป้ าหมาย ใช้ภาษาทั้งทาง
เทคนิคบางครั้งเพื่อสื่อสารกับทั้งนักวิจัยและผู้กําหนดนโยบายเทคนิคบางครั้งเพื่อสื่อสารกับทั้งนักวิจัย
9
Caplan N. The two‐communities theory and knowledge utilization. American Behavioural Scientist
1979;22(3):459‐70.
10
Shonkoff JP. Science, policy, and practice: Three cultures in search of a shared mission. Child
Development 2000;7(1):181‐7.
11
Bogenschneider K, Olson JR, Mills J, Linney KD. How can we connect research with state policymaking?
Lessons from the Wisconsin Family Impact Seminars. In K. Bogenschneider, Family policy matters: How
policy making affects families and what professionals can do. 2nd
ed, Mahwah, NJ: Lawrence Erlbaum.
2006:245‐76.
The Two
Community
Theory
The Three
Culture Theory
Elaborated
Multi‐culture
Theory
16. 15 | P a g e
จากช่องว่างระหว่างการผลิตองค์ความรู้และการนําผลไปสู้การกําหนดนโยบายสาธารณะ ได้มี
ความพยายามในการลดหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าว ดังนี้
1. ตัวแทนส่งต่อความรู้ (Knowledge
brokerage) โดย Choi12
ได้เสนอวิธีการแปรสาร
ที่ได้จากการวิจัยให้เหมาะสมกับผู้ใช้ผลงานโดย
มีคนกลางทําหน้าที่นี้วิธีนี้มีตัวอย่างของการ
ประสบความสําเร็จ ได้แก่ The European Observatory on Health Systems and
Policies13
, Milbank Memorial Fund14
, Health Evidence Network by World Health
Organization15
, Canadian Health Services Research Foundation16
, Canandian
Institute of Health Research (CIHR)17
, World Health Organization (WHO)18
, Cochrane
Collaboration19
, Centre for Knowledge transfer20
, Canadian Coalition for Global
Health Research21
เป็นต้น
12
Choi BCK, Pang T, Lin V, Puska P, et al. Can scientists and policy makers work together? Evidence Based
Public Health Policy and Practice. J Epidemiol Community Health 2005;9:632‐7.
13
The European Observatory on Health Systems and Policies.
http://www.euro.who.int/observatory/toppage. Accessed on 2nd November, 2010.
14
Gibson M. Drug cost containment. Milbank Memorial Fund.
http://www.familiesusa.org/site/DocServer/01.23.04_Gibson.ppt?docID=2592 Accessed on 2nd
November, 2010.
15
World Health Organisation. Regional Office for Europe. Health Evidence Network (HEN).
http://www.euro.who.int/HEN. Accessed on 2nd November, 2010.
16
Canadian Health Service Research Foundation http://www.chsrf.ca/home e.php Accessed on 2nd
November, 2010.
17
Canadian Institute of Health Research (CIHR) http://www.cihr‐irsc.gc.ca/ Accessed on 2nd
November,
2010.
18
World Health Organization http://www.who.int/kms/en/
19
The Cochrane Collaboration http://www.cochrane.org/index0.htm
20
Centre for Knowledge Transfer http://www.ckt.ca/
21
Canadian Coalition for Global health Research http://www.ccghr.ca/
19. 18 | P a g e
ลักษณะของผู้กําหนดนโยบาย
1. ได้รับอิทธิพลจากฝ่ายบริหาร ทําให้การตัดสินใจนําผลงานวิจัยมาใช้มีความซับซ้อน
2. ต้องการคําตอบหรือข้อสรุปที่ชัดเจน เพื่อผลักดันนโยบายอย่างรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์
3. ไม่มีข้อสรุปของเป้ าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในเรื่องที่ต้องการกําหนดนโยบาย
4. นโยบายขึ้นกับอํานาจหน้าที่และงบประมาณที่มี
20. ผลงานวิ
1.
3.
จากปัญหาดั
จัยดังนี้
The Two Co
ช่องว่างระหว
ผู้ผลิตผลงาน
Elaborated
กล่าวถึงชนิด
ทํางานที่แตก
สําหรับนําไป
นักวิจัยและผู้
ที่กลุ่มวิชาชีพ
เชื่อมโยงหาก
ังกล่าวได้มีท
ommunity T
ว่างความเข้าใ
นวิจัยและผู้ใช้
2. T
ข้อจํากัดท
makers)
ช่องว่างใน
Multi-culture
ดข้อมูลที่ผู้กําห
กต่าง และแน
ปใช้ในการกําห
ผู้กําหนดนโยบ
พประกอบด้ว
กมีหน่วยงาน
ฤษฎีที่พยาย
Theory (Cap
ใจและการสื่อ
ช้ผลงานวิจัย
The Three C
ทางการสื่อสา
และผู้ดําเนิน
นการนําไปสู่ก
e Theory (B
หนดนโยบาย
วทางการเขีย
หนดนโยบาย
4
(Bog
กับก
วางน
บาย หากเป็น
ยนักวิชาการ
ส่วนกลางที่เป็
ามอธิบายช่อ
lan, 1979) ก
อสารระหว่าง
Culture Theo
ารแล้ว ยังแบ่ง
นโยบาย (po
การปฏิบัติที่ชั
ogenschnei
ยต้องการ วัฒ
ยนผลงานวิจัย
ย
4. Commu
genschneid
กลุ่มวิชาชีพที่มี
นโยบายและก
นหน่วยงานขอ
ซึ่งเน้นการผลิ
ป็น Think Ta
องว่างระหว่าง
กล่าวถึง
กลุ่ม
ory (Shonkof
งผู้ใช้งานวิจัย
olicy adminis
ชัดเจนขึ้น
ider, 2006)
ฒนธรรมในกา
ยที่พึงประสงค
nity Dissona
er, 2010) กล
มีความแตกต
การปฏิบัติ โด
องรัฐบาลจะเ
ลิตผลงานวิจัย
ank หรือเป็นผู้
งผู้ผลิตผลงาน
ff, 2000) นอก
ยเป็นผู้กําหนด
strators) ซึ่งแ
ร
ค์
ance Theory
ล่าวถึงวัฒนธ
ต่างกันทางแน
ดยสถาบันปร
เน้นการใช้ผล
ัย ทั้งสองกลุ่ม
ผู้ผลักดันนโยบ
19 | P a
นวิจัยกับผู้ใช้
กเหนือจาก
ดนโยบาย (po
แสดงให้เห็น
y
รรมของสถาบ
นวความคิด ก
ะกอบด้วย
ลงานวิจัย ในข
มอาจมีความ
บาย
a g e
ช้
olicy
บัน
การ
ขณะ