Más contenido relacionado
La actualidad más candente (17)
Similar a สำนักปฏิบัติธรรมสุธัมมสถาน มงคลสามสิบแปด (20)
Más de Tongsamut vorasan (20)
สำนักปฏิบัติธรรมสุธัมมสถาน มงคลสามสิบแปด
- 2. สารบัญ
หน้า
หลักธรรมคำ�สอนของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๑ ๑
หลักธรรมคำ�สอนของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๒ ๕
หลักธรรมคำ�สอนของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๓ ๙
หลักธรรมคำ�สอนของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๔ ๑๓
หลักธรรมคำ�สอนของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๕ ๑๗
ภัยต่อพุทธศาสนา
ba ตอน ๑ เข้าใจให้ถูกทาง ๒๘
ba ตอน ๒ เหตุแห่งความเสื่อม ๓๐
ba ตอน ๓ ความทะยานอยากเป็นที่ตั้ง ๓๒
ba ตอน ๔ มนุษย์กับการรักษาศีล (๑) ๓๕
ba ตอน ๕ มนุษย์กับการรักษาศีล (๒) ๓๙
ba ตอน ๖ มนุษย์กับการรักษาศีล (๓) ๔๒
ba ตอน ๗ มนุษย์กับการรักษาศีล (จบ) ๔๕
แนวทางการปฏิบัติโดยวิธีเดินจงกรม ๔๙
และนั่งสมาธิด้วยตนเอง
พิมพ์เผยแพร่เนื่องในงานทอดกฐินประจำ�ปี
ณ สถานปฏิบัติธรรม สุธัมมสถาน จังหวัดกาญจนบุรี
พุทธศักราช ๒๕๕๓
- 3. คำ�สอนของพระพุทธเจ้า
หลักธรรมค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๑
ก่อนที่หลวงตาจะกล่าวถึงเรื่องภัยต่อพุทธศาสนา หลวงตา
จะน�ำเอาหลักในการปฏิบัติที่ง่ายที่สุดส�ำหรับความเป็นมนุษย์
ด้วยการก�ำหนดกาย วาจา ใจหรือจิตของเราในการท�ำกิจต่างๆ
โดยมี ศี ล ห้ า เป็ น เครื่ อ งควบคุ ม และมี ห ลั ก ธรรมเก้ า ประการ
เป็นเครื่องตรวจสอบยกขึ้นมาเป็นอารัมภบท
หลั ก ธรรมก็ คื อ หลั ก แห่ ง ธรรมชาติ นั่ น เอง การท� ำ ตั ว เรา
ให้เข้าใจในธรรมชาติต่างๆ รอบตัวเรา การสร้างกรรมต่างๆ ที่จะ
เกิดจากตัวเราไปสู่ธรรมชาติ โดยรู้จักธรรมชาติรอบตัวเราอย่าง
ถองแทมาเปนแบบอยาง เรากจะสรางกรรมโดยมความผดไปจาก
่ ้ ็ ่ ็ ้ ี ิ
ธรรมชาติน้อยที่สุด
ตนไมหนงตน เรามองดวยการพจารณาตงแตไมนนเรมเจรญ
้ ้ ึ่ ้ ้ ิ ั้ ่ ้ ั้ ิ่ ิ
ขึนมา เราไม่รดอกว่าต้นไม้นนจะเป็นอย่างไรต่อไป เราได้แต่เฝ้ามอง
้ ู้ ั้
ต้นไม้นั้นเติบใหญ่ วันเวลาผ่านไปจนเช้าวันหนึ่งเราสังเกตเห็น
ความเปลี่ยนแปลงใหม่เกิดขึ้น กิ่งก้านที่เคยมีใบปกคลุม ใบเริ่ม
ร่วงลงสู่ดินเป็นจ�ำนวนมาก แต่ยังคงมีเหลือใบที่อ่อนอยู่ แล้วมี
ธรรมชาติใหม่แทรกขึ้นมาให้ความสวยงามและกลิ่นโชยหอม
ในระหวางทตนไมนนกำลงผลดอก กมธรรมชาตอนเขามาเกยวของ
่ ี่ ้ ้ ั้ � ั ิ ็ ี ิ ื่ ้ ี่ ้
จ�ำนวนมากหน้าหลายเผ่าพันธุ์ เราได้เห็นธรรมชาติที่มาใหม่
เหลานนเกาะทดอกหนงแลวไปทอกดอกหนง แลวกไปทอกดอกหนง
่ ั้ ี่ ึ่ ้ ี่ ี ึ่ ้ ็ ี่ ี ึ่
๑ คำ�สอนของพระพุทธเจ้า
- 4. เป็นอย่างนี้อยู่หลายวัน ในที่สุดเมื่อถึงกาลเวลาอันควร กลีบดอก
เหล่านั้นก็ร่วงหล่นหลุดออกจากต้นไม้นั้น แต่เราได้เห็นอีกสิ่งหนึ่ง
เกดขน ในการรวงหลนนนยงมทไมรวงหลนกมากมาย เกดเปนตม
ิ ึ้ ่ ่ ั้ ั ี ี่ ่ ่ ่ ็ ิ ็ ุ่
เล็กๆ ขึ้นมาภายใต้ช่อดอกนั้นๆ เราเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ
ต่อไปเรือยๆ ทีสดเราก็เห็นการเจริญเติบโตของธรรมชาตินนมากขึน
่ ุ่ ั้ ้
ทกวน มธรรมชาตอนมาเกยวของอก คบคลานมาบาง เดนมาบาง
ุ ั ี ิ ื่ ี่ ้ ี ื ้ ิ ้
บินมาบ้าง มีมากหน้าหลายตาเช่นกัน แต่ไม่เหมือนในครั้งแรก
เมื่อครั้งแรกนั้นธรรมชาติเล็กบ้างใหญ่บ้างมาแล้วก็ไป ไม่ได้ทิ้ง
ความเสียหายไว้ให้เราเห็น แต่ธรรมชาติใหม่ที่มานี้ทิ้งร่องรอย
ความเสียหายไว้ให้เราเห็น ลมมา ฝนมา ต้นไม้นั้นก็สะบัดพลิ้ว
ไปตามลมและฝน เมื่อฝนและลมหมดแล้ว เราจึงสังเกตเห็นถึง
ความเสียหาย ช่อผลทีอยูภายใต้การบดบังของหมูใบทีปกคลุมหนา
่ ่ ่ ่
ได้รับความเสียหายน้อย ช่อใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มแตกออกมา บ้างก็
เสียหายมาก บ้างก็เสียหายน้อย แล้วเช้าวันรุงขึนเราก็เห็นใบอ่อน
่ ้
แตกออกมากมาย คอยๆ เจรญขนปกคลมกงกานชอผลทยงคงอยู่
่ ิ ึ้ ุ ิ่ ้ ่ ี่ ั
เหล่านั้นไว้อย่างแนบเนียน แต่ก็ยังไม่รอดพ้นไปจากสายตาของ
ธรรมชาติใหม่ที่มา ธรรมชาติใหม่เหล่านั้นได้น�ำเอาผลที่สุกได้ที่
พอกับความต้องการของธรรมชาติใหม่ที่เคลื่อนมาในรูปแบบ
ต่างกันติดตัวเอาไปบ้าง ทิ้งให้ตกร่วงลงสู่ดินโดยรอบบ้าง เราเอง
ก็ได้ทดลองปลิดเอาผลเหล่านั้นมาทดลองรสบ้าง เราก็ได้รู้จักว่า
ลักษณะใดมีรสเช่นไร และลักษณะใดมีรสที่พอดีกับความรู้สึก
ของเรา เราได้ศึกษาธรรมชาติของต้นไม้นั้นแล้วอยู่หลายครั้ง
มันก็เป็นเช่นนี้ร�่ำไป ต้นเก่าล้มไป ต้นใหม่ก็เจริญขึ้นมาทดแทน
จำนวนมากขน ตางกแยงชงกน ทไดแดดอดมดกเ็ จรญไว ทสไมไหว
� ึ้ ่ ็ ่ ิ ั ี่ ้ ุ ี ิ ี่ ู้ ่
สำ�นักปฏิบัติธรรม สุธัมมสถาน ๒
- 5. ถูกบดบังก็ต่อสู้ดิ้นรนเอาตัวรอดด้วยการยื่นกิ่งก้านออกไปใน
ทศทางใหมทจะสามารถหาแดดได้ ทสไมไหวกลมตายไป เปนเชนนี้
ิ ่ ี่ ี่ ู้ ่ ็ ้ ็ ่
เช่นนี้ เราได้เห็นและได้ศึกษาเรียนรู้ธรรมชาติของต้นไม้ต่างๆ
รอบตวอยางแจมแจงแทงตลอด จนวนหนงเราไดออกไปสโลกกวาง
ั ่ ่ ้ ั ึ่ ้ ู่ ้
ได้พบต้นไม้นานาชนิดมากมายเหลือคณานับ เฝ้าดูไปก็จะเห็น
การเปลี่ยนแปลงของหมู่ไม้นั้นเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบเดียวกัน
ชาบาง เรวบาง หรอนานจนไมอาจรอคอย เราอาจจะประมาณไดวา
้ ้ ็ ้ ื ่ ้่
มนคงตองใชเวลานานเปนระยะประมาณเทาใด แลวคอยหวนคน
ั ้ ้ ็ ่ ้ ่ ื
กลับมาศึกษามันอีกในโอกาสหน้า เดินทางไปศึกษาไปได้พบเห็น
สิ่งที่เหมือนและแตกต่างมากมาย ที่ว่าจะต้องหวนคืนไปก็ได้
พบเห็นในระหว่างทาง จึงได้เข้าใจว่าธรรมชาติทั้งหลายเหล่านั้น
เปนเชนเดยวกน ตางกนกแตเ่ วลาของความเจรญเตบใหญ่ ทสดก็
็ ่ ี ั ่ ั ็ ิ ิ ี่ ุ
เข้าใจในธรรมชาติของต้นไม้ทั้งหลายว่ามันเป็นเช่นนี้เอง
นี้คือที่มาของค�ำว่า “รู้ต้นไม้หนึ่งต้น ย่อมรู้ต้นไม้ทั้งป่า”
ไม่ว่าจะเป็นกิ่งก้าน ใบ ดอก ผล เปลือก เนื้อที่มีทั้งอ่อนและแข็ง
มีสะเก็ด กระพี้ มีแก่นบ้าง ไม่มีแก่นบ้าง และทั้งหมดก็เริ่มต้น
มาจากต้นก�ำเนิดที่เป็นรากเหง้าเผ่าพันธุ์
โดยหลักการทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ค�ำพูดนี้อาจถูก
คัดค้านว่ารู้แค่นี้ใช้การอะไรไม่ได้ดอก ยังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้
อกมากมายเพอทจะเรงการขยายพนธ์ุ ปรบปรงพนธ์ุ เปลยนแปลง
ี ื่ ี่ ่ ั ั ุ ั ี่
พันธุกรรม เพื่อความอยู่ดีมีสุขของมนุษย์โลก อาจจริงหรือไม่จริง
เวลายอมเปนเครองพสจน์ แตอยาใหถงขนทำลายเผาพนธ์ุ เพราะวา
่ ็ ื่ ิ ู ่ ่ ้ ึ ั้ � ่ ั ่
นั่นจะท�ำให้สิ้นชาติพันธุ์ แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่ารากเหง้า
เผ่าเดิมนั้นเป็นเช่นไร
๓ คำ�สอนของพระพุทธเจ้า
- 6. การเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ที่เข้าไปแทรกแซงการด�ำรงอยู่
ของธรรมชาติแต่เดิมนั้นย่อมเป็นเรื่องไม่บังควร ควรที่จะเป็น
การศึกษาและช่วยเหลือธรรมชาติในส่วนทีขาดก็นาจะเพียงพอแล้ว
่ ่
อย่าแทรกแซงธรรมชาติดวยความทะยานอยากของกิเลส เพราะนัน
้ ่
เทากบการทำลายลางเผาพนธดวยอวชชา เพราะ “รเพยงแคกำมอ”
่ ั � ้ ่ ั ์ุ ้ ิ ู้ ี ่ � ื
ก็พอเพียงแล้วที่จะเอาตัวรอดพ้นจากทุกข์ภัยได้ ถ้าทุกรูปทุกนาม
เข้ า ใจตรงกั น ธรรมชาติย ่อมแบ่งปันที่พ อเพี ย งส� ำ หรั บทุ ก รู ป
ทุกนาม แต่เพราะความทะยานอยากด้วยกิเลส จึงอยากที่จะมี
มากกวา ใชอบายตางๆ ดวยโยนโสผดธรรม ทสดกเ็ ปนการทำลาย
่ ุ้ ่ ้ ิ ิ ี่ ุ ็ �
ความสมดุลแห่งธรรมชาติ นี่ก็เพราะอวิชชา
อวิชชา นี้แหละเป็นหัวหน้าแห่งความพรั่งพร้อมด้วย
อกุศลธรรมทั้งหลาย
ความไม่ละอายใจ ความไม่เกรงกลัวต่อบาปย่อมตามหลังมา
เพราะความแก่กล้าแห่ง อวิชชา ด้วย มิจฉาทิฏฐิ เป็นเพราะ
ยกตนวาเปนผรในศาสตรวทยาการในแขนงนนๆ ไมถองแทในธรรม
่ ็ ู้ ู้ ์ิ ั้ ่่ ้
ไม่เข้าถึงในธรรมชาติแห่งศาสตร์ที่ศึกษา เปรียบประดุจหนึ่งดั่ง
เมลดขาวสารทไมนอนราบตามธรรมชาตทควรเปน กลบตงตวขน
็ ้ ี่ ่ ิ ี่ ็ ั ั้ ั ึ้
ไม่พิจารณาด้วย วิชชา อันเป็น สัมมาทิฏฐิ คือความรอบรู้ใน
ธรรมชาตทศกษาอยาถองแท้ ประกอบพรอมไปดวยการวนจฉยดวย
ิ ี่ ึ ่ ่ ้ ้ ิ ิ ั ้
ปัสสัทธิ คือมีความสงบระงับ แล้วรวบรวมประมวลมาซึงองค์ความรู้ ่
ทไดศกษาผานมา นำมาวเิ คราะห์ วจย วนจฉยดวยความไมประมาท
ี่ ้ ึ ่ � ิั ิ ิ ั ้ ่
ในทุกๆ ด้าน ท�ำการพัฒนาให้เป็นองค์รู้ใหม่ที่สมบูรณ์ ไม่ท�ำร้าย
ทำลายความเปนของเดม แตสงเสรมเฉพาะสวนทขาด ไมมากเกน
� ็ ิ ่่ ิ ่ ี่ ่ ิ
สำ�นักปฏิบัติธรรม สุธัมมสถาน ๔
- 7. จนสามารถท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ประสงค์ของ
ธรรมชาติแห่งศาสตร์วิทยานั้นๆ เพราะว่า
วชชา อนประกอบดวยสมมาทฏฐิ นแหละเปนหวหนาแหง
ิ ั ้ ั ิ ี้ ็ ั ้ ่
ความพรั่งพร้อมด้วยกุศลธรรมทั้งหลาย
ความละอายใจ ความเกรงกลัวต่อบาปย่อมตามหลังมา
ความละอายและเกรงกลวตอบาปยอมเปนธงนำใหปญญานน
ั ่ ่ ็ � ้ ั ั้
ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ด�ำเนินเสริมสร้างความคิดไปในทางที่
ไม่ผดธรรม น้อมน�ำให้จตตรงเข้าสูวปสสนาญาณ คือปัญญาอันยิง
ิ ิ ่ิ ั ่
และดิ่งตรงสู่องค์รู้อย่างแท้จริง จึงจะรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมชาติ
นั้นๆ เข้าสู่หนทางแห่ง มรรคแปด ก่อให้เกิดปัญญาไม่รู้จบ
เพราะมรรคแปดเป็นธรรมของโลก มิใช่ธรรมของศาสดาใด
ศาสดาหนงโดยเฉพาะ บคคลผเู้ ปน ปจเจก ยอมสามารถพาตนเอง
ึ่ ุ ็ ั ่
เข้าสูมรรคแปดได้โดยไม่ยาก หากตังมันอยูในองค์ศล มีสมมาทิฏฐิ
่ ้ ่ ่ ี ั
เป็นหัวหน้า พิจารณาธรรมทังหลายโดยมีหลักแห่งธรรมเก้าประการ
้
เป็นหางเสือ ย่อมสามารถน�ำเรือนาวาชีวิตนี้สู่ความส�ำเร็จได้
สมปรารถนาในที่สุด
หลักธรรมค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๒
คราวทแลวหลวงตาไดกลาวถงธรรมชาตของความเปนจรงคอ
ี่ ้ ้ ่ ึ ิ ็ ิ ื
สัจจะ หรือ อริยสัจจ์ ที่ถูกน�ำมาเปรียบเทียบเพื่อเป็นหลักธรรม
ค�ำสอน ทุกสรรพสิ่งย่อมด�ำเนินไปอย่างมีรูปแบบ จะแตกต่างกัน
ก็แต่ทรายละเอียดของสรรพสิงทังหลาย สิงแวดล้อม และการด�ำรง
ี่ ่ ้ ่
๕ คำ�สอนของพระพุทธเจ้า
- 8. คงอยูของเผ่าพันธุ์ ท�ำให้รปแบบเปลียนไปบ้าง แต่โดยหลักใหญ่แล้ว
่ ู ่
ยงคงรปแบบไวเ้ หมอนเดม จตและธรรม กเ็ ชนกน จะเปลยนแปลง
ั ู ื ิ ิ ่ ั ี่
รายละเอียดไปบ้างก็ขึ้นกับสิ่งแวดล้อมและยุคสมัย แต่ก็ยังคง
รูปแบบเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
และไดกลาวถง วชชา อนมสมมาทฏฐิ คอความเปนผศกษา
้ ่ ึ ิ ั ี ั ิ ื ็ ู้ ึ
เรียนรู้วิทยามาก ด้วยหลักแห่ง ปั ส สั ท ธิ คือมีการวิเคราะห์
วิจัย วินิจฉัย และพัฒนา ผลของการศึกษาเรียนรู้มากที่ผ่านมา
แล้วประมวลรวบรวมเป็นองค์รู้ เพื่อสอนตนเองเป็นอันดับแรก
ด้วยการตั้งมั่นอยู่ในองค์แห่งศีลห้า มีธรรมเก้าประการเป็นตัว
คดกรอง ประกอบพรอมดวยมความละอายและเกรงบาปเปนหางเสอ
ั ้ ้ ี ็ ื
ส่วน อวิชชา นั้นก็เป็นตรงกันข้าม คือเป็นผู้ไม่ใฝ่เรียน
ไม่ใฝ่ศึกษาวิทยาการต่างๆ ตัดสินเรื่องราวที่เห็นด้วยกิเลสฝ่ายต�่ำ
เอาความไม่รของตนเป็นทีตง กล่าวโทษผูอนโดยไม่เห็นความผิดตน
ู้ ่ ั้ ้ ื่
ด้วยความไม่ถ่องแท้ ประกอบพร้อมไปด้วยความไม่ละอายและ
ไม่เกรงบาปเป็นที่ตั้ง
บัณฑิต คือผู้ประกอบตนด้วยมรรคแปด มีความรอบรู้ใน
ศาสตร์วทยาทังหลายอย่างถ่องแท้ (Perfect Knowing) ถ้าเรามองที่
ิ ้
คุณธรรม อันมนุษย์และเทวดาทั้งหลายต่างก็เรียกร้องรอคอย
มานานก่อนพระพุทธเจ้าจะตรัสรูธรรมอันยิง จวบจนเข้าสูพรรษาที่
้ ่ ่
สิบสาม เทวดาผู้ปราดเปรื่องตนหนึ่งจึงได้น�ำความเข้าทูลถามต่อ
พระอินทร์ผู้ทรงธรรมพิทักษ์เหล่าเทวดาและมนุษย์ เมื่อล่วงรู้ว่า
เรื่องนี้เกิดขึ้นที่โลกมนุษย์ ที่ซึ่งมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นใหญ่ จึงให้
สำ�นักปฏิบัติธรรม สุธัมมสถาน ๖
- 9. เทวดาตนนันไปทูลถามแก่พระพุทธองค์ เมือพระพุทธองค์ทรงรับฟัง
้ ่
ความนั้นแล้ว จึงได้ตรัสตอบไปว่า “อเสวนาจะพาลานัง.........”
และมีความตอนหนึ่งว่า “พหุสัจจัญจะ สิบปัญจะ วินะโย จะ
สสกขโต สภาษตา จะ ยาวาจา เอดมมงคะละมตตะมง” ตรงนี้
ุ ิ ิ ุ ิ ั ั ุ ั
เป็นส่วนที่น�ำไปขยายบอกเราว่าที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึง
มรรคแปดแต่ต้นนั้น มาจากการศึกษาวินิจฉัยอย่างไรเมื่อครั้งที่
พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ธรรมอันยิ่ง
อริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค (ว่าโดยเต็มคือ ทุกข์
ทกขสมทย ทกขนโรธ และทกขนโรธคามนปฏปทา) การทจะเขาใจ
ุ ุ ั ุ ิ ุ ิ ิ ี ิ ี่ ้
ในอริสัจสี่ได้นั้น ต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงธรรมชาติ
ของทุกข์ ธรรมทังหลายเป็นทุกข์ ทีเ่ ป็นทุกข์เพราะมีการเกิด การแก่
้
คือใช้เวลายาวนานกว่าจะถึงที่หมาย การเจ็บเพราะการใช้เวลา
ยาวนาน ทำใหตองผจญกบภยตางๆ แลวกตองลมตายลง จะดวย
� ้ ้ ั ั ่ ้ ็ ้ ้ ้
หมดอายหรอยงไมหมด เหตเุ พราะเจอะเจอกบวบากกรรมเสยกอน
ุ ื ั ่ ั ิ ี ่
ย่ อ มเป็ น เช่ น นี้เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็ น คน สั ต ว์ สิ่ งของ
หรอธรรมชาตใดๆ ตนไม้ ภเู ขา แมนำ ลำธาร สงกอสราง หรอแมกระทง
ื ิ ้ ่ �้ � ิ่ ่ ้ ื ้ ั่
โลกและจักรวาล
ทกข์ จงมไดอยโดดเดยว แตวามองคประกอบ องคประกอบ
ุ ึ ิ ้ ู่ ี่ ่่ ี ์ ์
ของทุกข์จะมีสณฐานเป็นอย่างไรนัน ไม่เทียง ภูเขาจะถล่มทลายได้นน
ั ้ ่ ั้
มิได้ขนกับการถูกน�ำเซาะส่วนทียงอ่อนท�ำให้มการไหลเลือน แต่เมือ
ึ้ ้ ่ั ี ่ ่
น�ำหนักมาก ฐานรับน�ำหนักไม่ไหว ก็ตองถล่มทลายลง สัตว์และมนุษย์
้ ้ ้
ก็มีส่วนเข้าไปท�ำลายภูเขาได้เช่นกัน ภัยธรรมชาติรูปแบบต่างๆ
๗ คำ�สอนของพระพุทธเจ้า
- 10. กทำใหภเู ขาทวาเปนหนผาแขงแรง กละลายกลายเปนลาวา ผานไป
็ � ้ ี่ ่ ็ ิ ็ ็ ็ ่
ที่ไหนก็ท�ำลายที่นั่น นี่จึงเรียกว่าธรรมชาตินั้นมีความไม่เที่ยงเป็น
ธรรมดา
สัณฐานของทุกข์ ที่มีรูปแบบต่างๆ ย่อมประกอบให้เกิด
อารมณ์ได้มากมาย อารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้ย่อมปรุงแต่งจิต
เปนธรรมดา จตเมอถกปรงแตงดวยอารมณ์ ยอมมความแกวงไหว
็ ิ ื่ ู ุ ่ ้ ่ ี ่
ไปตามอารมณ์นนๆ อารมณ์ทแกว่งไหวนีแหละทีเราจะต้องน�ำมา
ั้ ี่ ้ ่
วินิจฉัยว่าเป็นเพราะเหตุใด มีสัญญา หรือวิบาก หรือกรรมอันใด
เข้ามาประกอบ จึง ท�ำให้อารมณ์นั้นไม่เที่ยง เปลี่ยนรูปไปตาม
สภาวะธรรมทั้งหลายที่มีอยู่แล้วและที่สร้างขึ้นมาใหม่ ทั้งหมด
เกิดขึ้นในจิตของตัวเจ้าของเอง ถ้าเจ้าของไม่ศึกษา ไม่วิเคราะห์
วิจัย ย่อมไม่เข้าใจในจิตตน ฉะนั้นการศึกษาจึงเอาเพียงแค่ก�ำมือ
ก็พอแล้ว คือรู้และเป็นผู้เข้าใจและฉลาดในจิตตนเองก็พอแล้ว
สมมาทฏฐิ จึงมิได้หมายเพียงแค่อริยสัจสี่ แต่เป็นการหมายเอา
ั ิ
การศึกษาในอริยสัจสี่นี้เป็นเหตุ ผู้ที่จะศึกษาได้ทั้งทางกว้างและ
ทางลึก ย่อมต้องเป็นผูมความรอบรูทเี่ รียกว่าพหูสต ฉะนัน พหุสจจะ
้ ี ้ ู ้ ั
คือความเป็นผู้ศึกษาเรียนรู้มาก จึงเป็นมงคล
เพราะเหตุแห่งการศึกษามาก เรียนรูมาก จึงเป็นผูมวทยามาก
้ ้ ีิ
การมีวิทยามากย่อมท�ำให้เห็นช่องทางมาก ท�ำให้วินิจฉัยได้อย่าง
กว้างขวาง และสามารถตีกรอบล้อมวงเข้าสู่การประมวลธรรมได้
โดยไมยาก จงจะเรยกไดวาเปนผมศลปวทยาในการนำเอาความรู้
่ ึ ี ้ ่ ็ ู้ ี ิ ิ �
ทมอยมาใชใหเ้ กดประโยชนไดมากทสด นคอความหมายของคำวา
ี่ ี ู่ ้ ิ ์ ้ ี่ ุ ี้ ื � ่
สำ�นักปฏิบัติธรรม สุธัมมสถาน ๘
- 11. สิบปัญ เพราะ สิบปัญ คือผู้ที่สามารถรวบรวมความรู้ที่ตนมีอยู่
ในหลายสาขามากแขนงวชามาเปนองคประกอบในการคด วนจฉย
ิ ็ ์ ิ ิ ิ ั
แกไขปญหาตางๆ ดวยมมมองทกวางไกล ทำใหไดหลกการทถกตอง
้ ั ่ ้ ุ ี่ ้ � ้ ้ ั ี่ ู ้
จึงเป็นมงคล
มาถึงตรงนี้เราคงจะได้เห็นแล้วว่ามรรคแปดนั้นส�ำคัญยิ่ง
ในการที่จะเป็นผู้ส�ำเร็จในการกิจที่ปรารถนา เพราะมรรคแปด
ประกอบไปด้วยองค์ความรู้ ปัญญาอันยิ่ง พระพุทธองค์จึงได้ทรง
ตรัสไว้ว่า “สัมมาทิฏฐิเป็นเหตุต้นของมรรคแปด ถ้าขาดเสียซึ่ง
สัมมาทิฏฐิแล้ว ธรรมอันประเสริฐทั้งหลายที่จะตามมาย่อมไม่มี “
หลักธรรมค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๓
เมื่อตอนที่แล้วหลวงตาได้กล่าวถึง มรรคแปด ในหัวข้อ
มรรคองคทหนงคอ สมมาทฏฐิ โดยหลวงตาไดใหทศนะของหลวงตา
์ ี่ ึ่ ื ั ิ ้ ้ ั
ไว้ว่า สัมมาทิฏฐิหมายถึงความรอบรู้ในสรรพศาสตร์ เพื่อที่จะ
ได้ท�ำให้เราคิดเป็น ไม่ใช่ว่าคนเราคิดไม่เป็น แต่เพราะความรอบรู้
ในสรรพศาสตร์ที่เรียกว่า พหูสูต นั้น ท�ำให้ผู้รู้มีมุมมองกว้างไกล
และสามารถรวบรวมความรจากศาสตรแขนงตางๆ มาประกอบใน
ู้ ์ ่
การคดวนจฉย เพอใหเ้ กดเปน สมมาสงกปปะ (Perfect Thought)
ิ ิ ิ ั ื่ ิ ็ ั ั ั
ความดำรชอบ ดำรชอบในอะไร ทานวาดำรชอบในการออกจากทกข์
� ิ � ิ ่ ่ � ิ ุ
ก็ถ้าใครๆ ในที่ไหนๆ ไม่มีความรู้ในเรื่องทุกข์อย่างถ่องแท้
แล้วจะมีความคิดที่แยบยลแยบคายในการเอาตัวออกจากทุกข์
ได้หรือ ที่ว่า มรรคแปด นี้เป็นธรรมของโลก ก็เพราะว่าใครๆ ในที่
๙ คำ�สอนของพระพุทธเจ้า
- 12. ไหนๆ ในโลกนี้ต่างก็ต้องศึกษาเรียนรู้ที่จะหลีกหนีความทุกข์
ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่มีใครๆ ในที่ไหนๆ จะยอมตนอยู่ใน
ความทกข์ นอกจากผทไมสามารถทำความเขาใจในทกขทเี่ จาของ
ุ ู้ ี่ ่ � ้ ุ ์ ้
กำลงเผชญอยู่ ถาลองไดศกษาทำความเขาใจในสณฐานของทกข์
� ั ิ ้ ้ ึ � ้ ั ุ
คือองค์ประกอบทั้งหลายของทุกข์ที่เกิดขึ้นมา และสังขารก็คือ
การปรุงแต่งอารมณ์ขององค์ประกอบทั้งหลายเหล่านั้นของทุกข์
เขาย่อมสามารถน�ำตัวเจ้าของออกจากทุกข์ได้ ก็ด้วยเหตุเพราะ
สัมมาทิฏฐิ นีเ่ อง ฉะนันถ้าขาดเสียซึงองค์มรรคทีหนึงคือ สัมมาทิฏฐิ
้ ่ ่ ่
เป็นประธานแล้ว องค์มรรคทั้งหลายต่อๆ มาย่อมเกิดขึ้นไม่ได้
นี่จึงจะเรียกว่าตั้งไว้ได้ถูกต้องแล้วด้วยพระปัญญาอันยิ่ง
และเมอมองยอนกลบไปที่ มงคลสามสบแปด ถาไมแยกตว
ื่ ้ ั ิ ้ ่ ั
ออกจากคนพาล ไม่คบหาบัณฑิต (คือผู้รู้ ผู้ตั้งอยู่ในศีลธรรม
อนดงาม) ไมรจกนำเอาผทเี่ ปนแบบอยางอนดงามมาเปนตนแบบ
ั ี ่ ู้ ั � ู้ ็ ่ ั ี ็ ้
แล้วล่ะก็ ไม่ว่าใครๆ ในที่ไหนๆ ย่อมไม่สามารถตั้งตนไว้ในที่
อนชอบได้เมอไมสามารถตงตนไวในทอนชอบได้กไมสามารถรกษาศล
ั ื่ ่ ั้ ้ ี่ ั ็ ่ ั ี
อันดีงามเพียงแค่ห้าข้อได้ เมื่อรักษาศีลไม่ได้ จะเป็นผู้ใฝ่เรียนใฝ่รู้
ไดอยางไร ยอมตองเปนคนพาล คดแบบคนพาล กลาวแบบคนพาล
้ ่ ่ ้ ็ ิ ่
กระท�ำแบบคนพาล แสวงหาอาชีพแบบคนพาล อยู่อย่างคนพาล
ขวนขวายมากแบบคนพาล แล้วก็มงมันกระท�ำการต่างๆ อย่างคนพาล
ุ่ ่
ฉะนั้นเริ่มต้นแห่งชีวิตเมื่อเยาว์วัย จึงต้องศึกษาให้เข้าใจใน
มงคลสามสบแปด เหตเุ พราะ มงคลสามสบแปด นประกอบพรอม
ิ ิ ี้ ้
ไปดวยธรรมอนงามทจะนำตวเจาของใหพนจากทกขภย สามารถ
้ ั ี่ � ั ้ ้ ้ ุ ์ ั
ตั้งตนไว้ในที่ชอบได้ เพียงแค่ไม่คบคนพาล คบหาบัณฑิต ยกย่อง
สำ�นักปฏิบัติธรรม สุธัมมสถาน ๑๐
- 13. เทดทน นำเอาบคคลทมศลสมปทามาเปนแบบอยาง เขาเหลานน
ิ ู � ุ ี่ ี ี ั ็ ่ ่ ั้
ย่อมตั้งตนไว้ในที่ชอบได้ ย่อมเป็นผู้มีศีลสัมปทา ย่อมใฝ่เรียนใฝ่รู้
ที่จะน�ำตนออกจากทุกข์ ย่อมเป็นพหูสูต ด�ำรงตนไว้ในสัมมาทิฏฐิ
ยอมเปนผมสมมาสงกปปะ คอเปนผมความคดอนงามแยบยลและ
่ ็ ู้ ี ั ั ั ื ็ ู้ ี ิ ั
แยบคาย ไมเ่ ปนผหลงงมงาย เหตเุ พราะเปนผรู้ ผตนจากความเขลา
็ ู้ ็ ู้ ู้ ื่
เป็นผู้เบิกบานด้วยปัญญาอันปราศจากมลทิน ย่อมกล่าววาจา
อันบัณฑิตยกย่อง ย่อมก่อกรรมต่างๆ ที่ไม่ประกอบด้วยอบาย
ย่อมหาเลี้ยงชีพอย่างผู้ทรงคุณธรรมอันงาม ย่อมมีความเป็นอยู่
อย่างพอเพียง ย่อมเป็นผู้ขวนขวายมากในการที่จะเกื้อกูลมาก
ต่อตนเอง ต่อหมู่ญาติ ต่อผู้อื่น และต่อหมู่สัตว์ทั้งในที่สูงและที่ต�่ำ
และที่สุดย่อมมีความมุ่งมั่นในการกิจต่างๆ เยี่ยงบัณฑิตทั้งหลาย
พึงกระท�ำ ทั้งหลายเหล่านี้ย่อมน�ำให้ตัวเจ้าของเป็นผู้ประกอบ
พรอมดวย สัมมาปัญญา อนจะนำสวงมรรคแปดทสงยงๆ ขนไปใน
้ ้ ั � ู่ ี่ ู ิ่ ึ้
ชวตตน นบไมรจบจนกวาจะพบทางแหงพระนพพาน คอความพนไป
ีิ ั ่ ู้ ่ ่ ิ ื ้
จากโลกธรรมแปด ไม่กระทบแล้วจากอุปกิเลสที่จรมา เพราะเป็น
ธรรมดาของจิต
“จิตนี้ผ่องใส ก็แต่ว่าจิตนั้นแล ย่อมเศร้าหมองได้เพราะ
อุปกิเลสที่จรมา”
“จิตนีผองใส ก็แต่วาจิตนันแล ย่อมหลุดพ้นได้จากอุปกิเลส
้ ่ ่ ้
ที่จรมา”
เมื่อนั้นจิตย่อมไม่มีความเศร้าหมอง ปราศจากธุลีคือราคะ
มีความเบิกบานสุขเกษม พ้นจากความยึดมั่นทั้งปวง
๑๑ คำ�สอนของพระพุทธเจ้า
- 14. จากนี้ไปหลวงตาจะได้น�ำท่านทั้งหลายเข้าสู่เส้นทางแห่ง
มรรคแปดอยางรวบรด ตดความยนยอเอาแตเ่ พยงพอเขาใจ เชอวา
่ ั ั ่ ่ ี ้ ื่ ่
ท่านทั้งหลายย่อมเป็นผู้รู้คงแก่ปัญญา สามารถท�ำความเข้าใจได้
โดยไม่ยาก เป็นธรรมดาของชาวเหมืองผูปรารถนาจะได้ไม้ไปท�ำฟืน
้
ยอมตองคดหาไมดทไมเ่ ปราะผุ ผเู้ ปนครผสอนศษยกเ็ ชนกน ยอมตอง
่ ้ ั ้ ี ี่ ็ ู ู้ ิ ์ ่ ั ่ ้
คัดหาศิษย์ที่ดีมีคุณค่าแก่การถ่ายทอดสอนสั่ง คนไร้คุณภาพ
ก็เปรียบดั่งไม้ผุที่รังแต่จะท�ำให้เกิดความเสียหายแก่สิ่งรอบข้าง
ได้ ง ่ า ย เหตุ เ พราะควบคุ ม อุ ณ หภู มิ ไ ด้ ย าก ไม้ ดี ย ่ อ มมี พ ลั ง ที่
สม�่ำเสมอควบคุมได้ง่าย ไม้ผุนั้นลุกเร็วและมอดเร็ว จะให้เป็นเชื้อ
กทำไดยาก คนทเี่ ปรยบดงไมผอยทใดกรงแตจะสรางความฉบหาย
็ � ้ ี ั่ ้ ุ ู่ ี่ ็ ั ่ ้ ิ
ให้แก่ที่นั้นๆ คนดีเปรียบดั่งเพชรงามน�้ำดี ย่อมมีราคาควรค่าแก่
การรักษา ทั้ ง ที่ เ พชรและถ่ า นต่ า งก็ ม าจากไม้ เ หมื อ นกั น
ไม้ที่ถูกเผาจนกลายเป็นถ่าน ไม้ที่ผุก็กลายเป็นเถ้า ไม้ดี
ก็เป็นถ่าน ผ่านกาลเวลาที่ยาวนาน รับแรงกดดันต่างๆ
จากสภาพแวดล้อมมากมาย จึงได้กลายเป็นเพชร
ผู้ศึกษาก็เช่นกัน โดนเผาเพียงนิดก็หมดสภาพ เปรียบได้แค่
ไมผทผานแรงกดดนไดเ้ พยงเลกนอย เปรยบไดแคถานทรบแรงกดดน
้ ุ ี่ ่ ั ี ็ ้ ี ้ ่ ่ ี่ ั ั
เพียงแค่เตาเผา เป็นคนต้องไม่ท้อ ถ้าเกิดท้อก็จงอย่าถอย
ถ้าท้อแล้วถอยก็เปรียบได้เพียงแค่ถ่าน ถ้าผ่านด่านต่างๆ
ก็เปรียบได้ดั่งเพชร
สำ�นักปฏิบัติธรรม สุธัมมสถาน ๑๒
- 15. หลักธรรมค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๔
เมื่อตอนที่แล้วหลวงตาได้น�ำเอาคุณธรรมข้อมรรคแปด
มาแสดงพอเปนสงเขป มใจความสรปไดวามรรคแปดเปนคณธรรม
็ ั ี ุ ้่ ็ ุ
ของโลกทนำใครๆ ในทไหนๆ ทวทงโลกนใหพนจากทกขได้ คราวนี้
ี่ � ี่ ั่ ั้ ี้ ้ ้ ุ ์
หลวงตาจะไดมากลาวถงเรองของคณธรรมสามประการทเี่ รยกวา
้ ่ ึ ื่ ุ ี ่
โอวาทะปาฏิโมกข์ หรือ ปฐมเทศนา ซึ่งเป็นหัวใจของค�ำสอน
ทั้งปวงขององค์พระพุทธศาสดา
สพพะปาปสสะ อะกะระณง : บาปหรืออกุศลทังหลาย ไม่ใช่กจ
ั ั ั ้ ิ
ที่ควรท�ำอีกแล้ว
กุสะลัสสูปะสัมปะทา : จงสร้างกุศลให้สมบูรณ์พูนพร้อม
สะจตตะปะรโยทะปะนง : ชำระจตใหผองแผว ผองใส ไรธลี
ิ ิ ั � ิ ้่ ้ ่ ุ้
จากคุณธรรมอันงามยิ่งที่องค์พุทธศาสดาได้ตรัสรู้ธรรม
ทั้งปวงแจ้งโลกแล้ว พระพุทธองค์จึงได้รวบรวมความรู้ทั้งปวง
ทตรสรแลว แจงแลว วนจฉยและรวบรวมประมวลความรเู้ หลานน
ี่ ั ู้ ้ ้ ้ ิ ิ ั ่ ั้
เรยบเรยงเปนเรองราวความรู้ เรยงลำดบเนอความตรงทศทางและ
ี ี ็ ื่ ี � ั ื้ ิ
หลักไวยากรณ์ เพื่ออบรมสั่งสอนตนเองเป็นอันดับแรก ทรงเปล่ง
พระอุทานถึงหัวใจแก่นของความรู้เหล่านั้นถึงสามครั้ง จึงเสวย
บรมสขอยภายใตวชชาเหลานนรวมเจดสปดาห์ เมอสนสสบเกาวน
ุ ู่ ้ิ ่ ั้ ็ ั ื่ ิ้ ี่ ิ ้ ั
หลังจากตกลงพระทัยว่าตามค�ำทูลร้องขอของเหล่าเทวดา อินทร์
พรหม พระพุทธองค์จึงได้เพ่งพระญาณไปยังหมู่สัตว์ ทรงแยก
สัตว์ทั้งหลายออกไปตามกรรม โดยเปรียบกับบัวสี่เหล่า เพ่งค้น
๑๓ คำ�สอนของพระพุทธเจ้า
- 16. ผู้มีบุญญาธิการที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงได้เร่งด�ำเนินไปสู่ที่พ�ำนักของ
ปัญจวัคคีย์ ทรงแสดงปฐมเทศนา ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
ใกล้เมืองพาราณสี
ธรรมดาของนักบวช การละเว้นไม่ท�ำสิ่งชั่วทั้งหลายที่เป็น
บาปอกุศลเป็นกิจที่ต้องบ�ำเพ็ญเพียรอยู่แล้ว การเจริญภาวนา
ขัดเกลาอบรมบ่มนิสัยอันเป็นธรรมดาของปุถุชน ก็เป็นกิจที่ต้อง
บ�ำเพ็ญเพียรอยู่ทุกลมหายใจอยู่แล้ว ทั้งสองเรื่องที่พระพุทธองค์
ทรงแสดง ปญจวคคยคอนกบวชทงหานนเขาใจและบำเพญเพยร
ั ั ี์ ื ั ั้ ้ ั้ ้ � ็ ี
อยแลว แตทวา สะจตตะปะรโยทะปะนง นสเิ ปนเชนไร ปญจวคคย์
ู่ ้ ่ ี่ ่ ิ ิ ั ี้ ็ ่ ั ั ี
ทลถาม พระพทธองคจงอธบายความวาปกตของปถชนคนชาวบาน
ู ุ ์ึ ิ ่ ิ ุุ ้
ย่อมหมกมุ่นอยู่ในกามคุณห้า นี้ไม่ใช่ทางเดินของอริยบุคคล
การทรมานตนอย่างที่ผ่านมาของพระองค์และนักบวชทั้งหลาย
ก็ไม่ใช่ทางเดินของอริยบุคคล
หนทางที่ถูกต้องคือ ทางสายกลาง ทางสายกลางที่ว่านี้
คือหนทางที่จะน�ำปุถุชนคนธรรมดาที่ปรารถนาจะหลุดพ้นจาก
พนธนาการทงปวงของโลกยวสย ออกบวชเพอแสวงหาโมกขธรรม
ั ั้ ี์ิ ั ื่ ์
ควรปฏบติ ทางสายกลางคออะไรเลา ทางสายกลางทวานประกอบ
ิ ั ื ่ ี่ ่ ี้
ไปด้วยคุณธรรมแปดประการ
คุณธรรมแปดประการนี้เป็นหนทาง เป็นประตูชัยมุ่งไปสู่
ความส�ำเร็จ นอกจากการละเว้นไม่ท�ำบาปอกุศล หลีกหนีหนทาง
เศราหมองอนเกดแตกามคณ บำเพญบญอยางยงยวด โดยไมทรมาน
้ ั ิ ่ ุ � ็ ุ ่ ิ่ ่
ตนเอง ย่อมท�ำให้จิตใจผ่องใส มีก�ำลังกาย ก�ำลังจิต เพื่อที่จะ
สำ�นักปฏิบัติธรรม สุธัมมสถาน ๑๔
- 17. ได้ศึกษาธรรมทั้งหลายอย่างถ่องแท้ ธรรมใดที่เกิดขึ้นในตน ไม่ว่า
จะทางกาย ทางวาจา ทางจต ตองไมเ่ หนเปนเรองไรสาระ ตองนำมา
ิ ้ ็ ็ ื่ ้ ้ �
พิจารณาว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มีอะไรเป็นเครื่องปรุงแต่ง
อารมณ์ในขณะนั้นเป็นเช่นไร หวั่นไหวมากน้อยเพียงใด หวั่นไหว
ก็ต้องรู้ สงบนิ่งก็ต้องรู้ รู้ในทุกขณะจิตของธรรมทั้งมวลที่เกิดขึ้น
ศกษาอยางนใหเ้ ขาใจ เขาถง จงจะคนพบตนเหตแหงธรรมเหลานน
ึ ่ ี้ ้ ้ ึ ึ ้ ้ ุ ่ ่ ั้
พึงท�ำความรู้ความเข้าใจในธรรมทั้งหลายเหล่านั้นว่านี้คือทุกข์
เมอไดศกษาธรรมทงหลายทเี่ รยกวาทกขแลว เขาถงแลว เขาใจแลว
ื่ ้ ึ ั้ ี ่ ุ ์ ้ ้ ึ ้ ้ ้
ย่ อ มเห็ น เหตุ คือสมุฏ ฐานของทุก ข์เหล่า นั้ น เมื่ อ เห็ น เหตุ แ ล้ ว
ยอมศกษาเรยนรเู้ หตเุ หลานน วนจฉย วจย และพฒนาหาหนทางทจะ
่ ึ ี ่ ั้ ิ ิ ั ิ ั ั ี่
ดบเหตเุ หลานน เมอศกษาแลว มองคความรทงมวลทไดศกษาผานมา
ั ่ ั้ ื่ ึ ้ ี ์ ู้ ั้ ี่ ้ ึ ่
ประกอบเป็นธรรมอันงามที่จะน�ำมาเป็นหนทางในการดับทุกข์
เหล่านั้นให้สิ้นไป
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นก็จะเห็นถึงองค์อริยสัจจะคือ ทุกข์
ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ และ ทุกขนิโรธคามินี ปฏิปทา หรือโดยย่อ
ทเี่ ขาใจกนทวไปวา ทกข์ สมทย นโรธ มรรค นนเอง ทงนการจะไดมา
้ ั ั่ ่ ุ ุ ั ิ ั่ ั้ ี้ ้
ซึ่งองค์รู้นี้ก็ต้องอาศัยความรู้รอบในสรรพสิ่งทั้งหลายที่ประกอบ
โดยรอบตวเจาของทงภายนอกและภายในอยางถองแท้ จงจะเปน
ั ้ ั้ ่ ่ ึ ็
องคมรรคทหนงคอ สมมาทฏฐิ เมอมองคมรรคทหนงแลว ดงไดกลาว
์ ี่ ึ่ ื ั ิ ื่ ี ์ ี่ ึ่ ้ ั่ ้ ่
ไว้แต่ต้นเมื่อตอนก่อนๆ เพราะอาศัยธรรมต่างๆ ซึ่งกันและกันเป็น
ปัจยาการ คือ ปฏิจสมุปบาทธรรม นั่นเอง จึงเกิดองค์มรรคที่สอง
เพราะธรรมทงหลายทประกอบมานน อยในขอบเขตแหงศลอนดงาม
ั้ ี่ ั้ ู่ ่ ี ั ี
เปนทตง จงเกดเปนองคมรรคทสาม และองคมรรคตอๆ ไปดงทได้
็ ี่ ั้ ึ ิ ็ ์ ี่ ์ ่ ั ี่
กล่าวมาแล้ว
๑๕ คำ�สอนของพระพุทธเจ้า
- 18. ฉะนั้นเมื่อเห็นทางสายกลางคือ มรรคแปด แล้ว เราก็พอจะ
เขาใจในคณธรรมขอทสามทวา สะจตตะปรโยทะปะนง การทำจต
้ ุ ้ ี่ ี่ ่ ิ ิ ั � ิ
ให้ผ่องแผ้วปราศจากธุลีแล้วล่ะนะ แล้ว มรรคแปด นี้ยังมิใช่
เปนเพยงแคหนทางในการดบทกขของนกบวชเทานน แมในปถชน
็ ี ่ ั ุ ์ ั ่ ั้ ้ ุ ุ
คนธรรมดาที่เข้าใจในมรรคแปด ก็สามารถน�ำเอามรรคแปดนี้
มาประยกตใชกบชวตเพอใหนำสความสำเรจในกจทปรารถนาได้
ุ ์ ้ ั ี ิ ื่ ้ � ู่ � ็ ิ ี่
อย่างวิเศษยิ่ง
ในองค์ ม รรคแปดนี้ ก อปรไปด้ ว ยคุ ณ ธรรมค� ำ สอนของ
องค์พระพุทธศาสดาอีกมากมาย ดังจะเห็นได้ว่าพระพุทธศาสดา
หลังจากแสดงปฐมเทศนาแล้ว ได้ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลาย
ในที่มากมายหลายสถาน ต่างกาล ต่างสมัย ซึ่งสมัยที่พระพุทธ
ศาสดาแสดงปฐมเทศนานี้ ในพระสูตรแสดงไว้วา “สมยหนง พระผมี
่ ั ึ่ ู้
พระภาคเจา เสดจอยู่ ณ ปาอสปตนมฤคทายวน ใกลกรงพาราณส.ี ..”
้ ็ ่ ิิ ั ้ ุ
พระสูตรนี้คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสุตต
ในครั้งนี้หลวงตาขอจบคุณธรรมสามประการ อันเกิดแต่
ปฐมเทศนา คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสุคต ในตอนต่อไปหลวงตา
จะน�ำค�ำสอนของพระพุทธศาสดามาแสดงในทัศนะของหลวงตา
ก็คงต้องกล่าวในที่นี้อีกครั้งว่านี่เป็นทัศนะของหลวงตาที่รวบรวม
คำสอนขององคพระพทธศาสดามาสอนตวเอง ไมไดอยในสอใดๆ
� ์ ุ ั ่ ้ ู่ ื่
เป็นการศึกษาแล้วรวบรวมประมวลมา แล้ววินิจฉัย วิจัยไปตาม
ความรู้ที่มีเพียงน้อยนิด เอาไว้สอนตนเอง สอนตัวเจ้าของให้
ตงอยในความไมประมาท มไดมเจตนานำมาสอน แตมาเลาใหได้
ั้ ู่ ่ ิ ้ ี � ่ ่ ้
นำไปเปนขอคดอกสวนหนง ไมไดมงหมายใหเ้ ชอ เพยงเปนสวนเลกๆ
� ็ ้ ิ ี ่ ึ่ ่ ้ ุ่ ื่ ี ็ ่ ็
สำ�นักปฏิบัติธรรม สุธัมมสถาน ๑๖
- 19. ของธุลีที่รองอยู่ใต้พระบาทขององค์พระพุทธศาสดา หนานับชั้น
ไม่ถวน ขอเพียงมีส่วนได้น�ำเอาค�ำสอนขององค์พระพุทธศาสดา
้
มาศึกษาวินิจฉัย แล้วน�ำให้ตัวเจ้าของเป็นสุขได้โดยไม่ยากนัก
ก็เพียงพอแล้ว ขอบุญจงรักษาท่านทังหลายผูบำเพ็ญบุญ เพือบูชา
้ ้ � ่
พระคุณแห่งพระพุทธศาสดา
หลักธรรมค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๕
เมื่อตอนที่แล้วหลวงตาได้น�ำเอามรรคแปดที่ประกอบอยู่ใน
คณธรรมสาม อนเกดแตปฐมเทศนามาขยายความในอกรปแบบหนง
ุ ั ิ ่ ี ู ึ่
ครั้งนี้ก็จะขอน�ำเอามงคลสามสิบแปดที่เคยกล่าวถึงมากล่าวไว้
ให้ได้สดับกันในรูปแบบของหลวงตา
ถ้าเราแบ่งวัยของเราออกเป็นสามวัย คือปฐมวัย มัชฌิมวัย
และปัจฉิมวัย แล้วลองเอาค�ำสอนขององค์พระพุทธศาสดาเข้าไป
ประกอบในวัยทั้งสาม แล้วน�ำเอาชีวิตจริงของเราๆ ทั้งหลายมา
ตีคลี่ออกดูว่าเราจะเห็นอะไร
ต่อไปนี้เป็นทัศนะของหลวงตาที่ได้น�ำวัยทั้งสามมากล่าว
ประกอบกบพระธรรมเทศนามงคลสามสบแปด อนเปนคำสอนของ
ั ิ ั ็ �
องค์พระพุทธศาสดา แล้วได้เห็นการด�ำเนินไปอย่างถูกต้องและ
ไม่ถูกต้อง ท�ำให้หวนคิดไปในอดีตที่ผ่านมา แล้วก็ต้องอุทานว่า
“รู้อย่างนี้ไม่ท�ำเสียดีกว่า”
เรมตนประกอบมงคลสามสบแปดเขากบชวต อนทจรงมงคล
ิ่ ้ ิ ้ ั ี ิ ั ี่ ิ
สามสบแปดนสามารถนำมาประกอบเขากบปฐมวยทงสามสบแปด
ิ ี้ � ้ ั ั ั้ ิ
๑๗ คำ�สอนของพระพุทธเจ้า
- 20. ประการเลยก็ได้ แต่ในที่นี้หลวงตาจะแสดงการประกอบเข้ากับ
วยทงสามโดยรวม โดยในชวงแรกนเี้ ปนการประกอบเขากบ ปฐมวย
ั ั้ ่ ็ ้ ั ั
“ อะเสวะนา จะ พาลานัง บัณฑิตานัญจะ เสวนา
ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ”
ก่ อ นอื่ น ต้ อ งขออธิ บ ายความก่ อ นว่ า มงคลทั้ ง สามข้ อ นี้
ถ้าปฏิบตเิ พียงแค่ขอหนึงข้อใด ทีถกก็เป็นมงคล ทีผดก็เป็นอวมงคล
ั ้ ่ ู่ ่ิ
แต่ถ้าปฏิบัติตามได้ทั้งสามข้อ ก็เป็นมงคลอันสูงสุด
ในเรื่องของการเริ่มต้นคัดเลือกคบหาเสวนากับบุคคลอื่น
ถาแมนวาเราอยในครอบครวทไมใชพาลแลวไซร้ พอแมผปกครอง
้ ้ ่ ู่ ั ี่ ่ ่ ้ ่ ่ ู้
ย่อมต้องสอนสั่งไม่ให้ไปคบหาเล่นหัวกับคนเกเร นี้เป็นธรรมดา
แตทจะสอนใหคบบณฑตคอคนมคณธรรมนน เมออยในชวงเยาววย
่ ี่ ้ ั ิ ื ีุ ั้ ื่ ู่ ่ ์ั
ยังเล็กอยู่ การคิดพิจารณาที่คัดเลือกคนที่จะคบด้วยตนเองย่อม
ยงไมมหรอมอยนอย เนองจากยงขาดประสบการณและสตปญญา
ั ่ ี ื ี ู่ ้ ื่ ั ์ ิ ั
ท�ำให้คดเลือกแยกไม่ออก ยิงทีจะสอนให้เอาคนดีมคณธรรมมาเป็น
ั ่ ่ ี ุ
ตวอยางแลวละกนาจะหาไดยาก กถาแมนวาพอแมผปกครองเปน
ั ่ ้ ่ ็ ่ ้ ็ ้ ้ ่ ่ ่ ู้ ็
คนดีมีศีลธรรม ผ่านการอบรมด้วยมงคลข้อนี้มาแล้ว เป็นบัณฑิต
ย่อมสอนมงคลนี้แก่บุตรธิดาได้ไม่ยาก
“ ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา
อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ”
เช่นเดียวกันมงคลสามสิบแปดนี้ พระพุทธศาสดาได้แบ่งไว้
เปนชด ในชดนกมอยดวยกนสามขอ การจะเปนมงคลอนสงสดได้
็ ุ ุ ี้ ็ ี ู่ ้ ั ้ ็ ั ู ุ
สำ�นักปฏิบัติธรรม สุธัมมสถาน ๑๘
- 21. จะต้องปฏิบัติให้ส�ำเร็จเป็นชุด ไม่เลือกเพียงบางข้อ และยิ่งถ้า
ปฏบตไดอยางตอเนองทงสามสบแปดขอ กจะสมฤทธผลอนสงสด
ิ ั ิ ้ ่ ่ ื่ ั้ ิ ้ ็ ั ิ ั ู ุ
ดังจะแสดงไว้ในตอนท้าย
ในเมอไดปฏบตตนอยในกรอบของมงคลอนสงสดสามขอแรก
ื่ ้ ิ ั ิ ู่ ั ู ุ ้
ย่อมเป็นผู้มีบุญ “ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา” หมายความว่า
เป็นผู้ได้สั่งสมบุญมาแต่กาลก่อน ย่อมต้องมีโอกาสดี ได้ย้าย
ถิ่นฐานไปในที่เจริญยิ่งขึ้น คือได้ไปเล่าเรียนอ่านเขียนในโรงเรียน
ทีมการเรียนการสอนทีเ่ จริญก้าวหน้า “ปะฏิรปะเทสะวาโส” ประเทศ
่ ี ู
หรือสถานที่ที่ปฏิรูปแล้ว คือเจริญแล้ว และเมื่อได้ย้ายถิ่นฐาน
หรือได้เดินทางไปอยู่ในที่ดีแล้ว (หมายถึงการศึกษาในปฐมวัย)
มความเจรญกาวหนาทางวชาการ สรางภมปญญาไดมาก กจะตอง
ี ิ ้ ้ ิ ้ ู ิ ั ้ ็ ้
ไม่ประมาท ด�ำรงตนเองไว้ในที่ตั้งอันถูกต้อง คือไม่ลืมที่จะรักษา
ประพฤตปฏบตตนตามมงคลสามขอแรกทผานมา กระทำไดเ้ ยยงนี้
ิ ิ ั ิ ้ ี่ ่ � ี่
จึงจะถือได้ว่าเป็นมงคลอันสูงสุดในล�ำดับที่สอง
“ พหุสัจจัญจะ สิบปัญจะ วินะโย จะ สุสิกขิโต
สุภาสิตา จะ ยา วาจา เอตัมมังคะละมุตตะมัง ”
ในมงคลชดนมขอปฏบตรวมอยสขอ เชนกน ตองปฏบตตาม
ุ ี้ ี ้ ิ ั ิ ู่ ี่ ้ ่ ั ้ ิ ั ิ
ให้ครบ จึงจะเป็นมงคลอันสูงสุด
ในเมื่อได้มาอยู่ในถิ่นฐานที่เจริญ ย่อมมีวิชาการความรู้
มากมายให้ศึกษา เหตุเพราะเป็นผู้ตั้งตนเองไว้ในที่ชอบแล้ว
จึงมีสติปัญญาในการที่จะคัดเลือกแต่สิ่งดีงาม ศึกษาให้ถ่องแท้
๑๙ คำ�สอนของพระพุทธเจ้า
- 22. ให้เข้าใจถึงแก่นแท้ของวิชาการที่ตนศึกษา เพื่อที่จะได้ก่อเกิด
ปญญาในการนำเอาวชาการทไดศกษานน มาสรางคณประโยชน์
ั � ิ ี่ ้ ึ ั้ ้ ุ
ให้แก่ชีวิตตน หรือเพื่อการศึกษาที่เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป มีศิลปะ
ในการน�ำความรู้นั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์อันสูงสุด ในการด�ำรง
ชีวิตอยู่ท่ามกลางความเจริญ ย่อมต้องมีสิ่งฟุ้งเฟ้อล่อตาล่อใจ
เปนธรรมดา ตนเองตองมวนยอนดดวย จดระเบยบชวตการศกษา
็ ้ ีิ ั ั ี ้ ั ี ีิ ึ
ให้สมกับเป็นกุลบุตรกุลธิดา ฝึกฝนท่องบ่น อ่านเขียน เรียนพูด
ใหเ้ ขากบสงคมอนดงาม ไมกลาวสงใดเลยเถดเกนวย รจกเดกรจก
้ ั ั ั ี ่ ่ ิ่ ิ ิ ั ู้ ั ็ ู้ ั
ผู้ใหญ่ ไม่กล่าววาจาเล่นหัวเป็นที่น่ารังเกียจ วาจาที่กล่าวออกไป
ก็ต้องถนอมน�้ำใจผู้รับฟังด้วย เช่นนี้จึงจะเป็นมงคลอันสูงสุด
“ มาตาปิตุอุปัฏฐานัง ปุตตะธารัสสะ สังคะโห
อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมังคะละมุตตะมัง ”
มงคลชุดนี้ก็มีข้อปฏิบัติอยู่สี่ข้อเช่นกัน ต้องปฏิบัติตาม
ให้ครบ จึงจะเป็นมงคลอันสูงสุด
เมอผานการฝกฝนรำเรยนวทยามามากแลว ยามเมอกลบมา
ื่ ่ ึ �่ ี ิ ้ ื่ ั
ถึงบ้านก็ต้องช่วยเหลือการงานของมารดาบิดา เมื่อยังเยาว์วัย
กเ็ พยงชวยงานในบาน ทำความสะอาด รดนำตนไม้ ใหอาหารสตว์
ี ่ ้ � �้ ้ ้ ั
เก็บพืชผลต่างๆ ทีสมควรจะเก็บได้แล้ว หรือเก็บกวาดข้าวของทีทง
่ ่ ิ้
ระเกะระกะใหดสะอาดงามตา ใครไปใครมากจะไมวากลาวตำหนเิ อา
ู้ ็ ่่ ่ �
ตวยงเยาววยยงไมมบตรภรยาใหตองสงเคราะหดแล ขอนกใหดแล
ั ั ์ั ั ่ ี ุ ิ ้ ้ ์ ู ้ ี้ ็ ้ ู
พีนอง ช่วยสอนการบ้านให้นอง ช่วยท�ำงานบ้านแทนพีทยงไม่เสร็จ
่ ้ ้ ่ ี่ ั
ธุระเพราะอาจจะมีการบ้านจากที่เล่าเรียนมามาก และการบ้าน
สำ�นักปฏิบัติธรรม สุธัมมสถาน ๒๐
- 23. การงานกิจต่างๆ ของตนก็ต้องไม่คั่งค้าง ไม่อ้างเหตุผู้อื่นมาแก้ตัว
ถาเปนผมครอบครวกทำหนาทตนโดยไมละทงหนาทของบตรธดา
้ ็ ู้ ี ั ็ � ้ ี่ ่ ิ้ ้ ี่ ุ ิ
ที่ดีด้วย ท�ำได้อย่างนี้จึงจะเป็นมงคลอันสูงสุด
“ ทานัญจะ ธัมมะจะริยา จะ ญาตะกานัญจะ สังคะโห
อะนะวัชชานิ กัมมานิ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ”
มงคลชุดนี้มีด้วยกันสี่ข้อ ต้องปฏิบัติตามให้ครบ จึงจะเป็น
มงคลอันสูงสุด
ในเมอชวตดำเนนมาถงวยอนสมควร รจกขวนขวายทำการงาน
ื่ ี ิ � ิ ึ ั ั ู้ ั �
หรื อ กิ จ กรรมใดๆ ที่ ดี ง าม ไม่ เ ป็ น ที่ ต� ำ หนิ ติ ติ ง ของสั ง คมและ
หมบณฑต ควรจะเปนเรองของการชวยเหลอสงคม หมบาน ตำบล
ู่ ั ิ ็ ื่ ่ ื ั ู่ ้ �
อ�ำเภอ หรือจังหวัด หรือถ้าใครมีโอกาสมากก็อาจจะถึงระดับชาติ
แตกตองตงอยในเรองทดงาม ไมเ่ ปนทตำหนิ ถอวากจกรรมเหลานี้
่ ็ ้ ั้ ู่ ื่ ี่ ี ็ ี่ � ื ่ ิ ่
ก็เป็นการให้ทานอย่างหนึ่ง หรือจะท�ำทานด้วยวิธีใดๆ มีมากมาย
หลายวธี เพยงเนนในเรองการทำทาน เพราะวาจะเปนการเสรมสราง
ิ ี ้ ื่ � ่ ็ ิ ้
บารมีสั่งสมเอาไว้ในภายภาคหน้า เหตุเพราะผลของทานนั้นมี
ประกอบกับการรู้จักประพฤติปฏิบัติธรรมในทางที่ถูกต้อง ศึกษา
เรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณี และศีลธรรมอันดีงามจากผู้รู้ ครู
อาจารย์ นี้ก็เป็นการเสริมสร้างพอกพูนบารมี และเมื่อผลของ
บุญบารมีประกอบกับผลของทานสนองต่อตัวเจ้าของแล้ว ย่อมมี
ผลมากชนิดที่อาจจะคาดคิดไม่ถึงก็มี ในขณะเดียวกันเมื่อเข้าสู่
สงคมแลวกตองไมหลงสงคมจนลมหมญาติ ทงทใกลชดสนทสนม
ั ้ ็ ้ ่ ั ื ู่ ั้ ี่ ้ ิ ิ
๒๑ คำ�สอนของพระพุทธเจ้า
- 24. และทนานครงจะไดพบเจอ เมอไดพบเจอในสงคมกตองขวนขวาย
ี่ ั้ ้ ื่ ้ ั ็ ้
ชวยเหลอไมเกยงงอน ไมอางเหตุ อยางนจงจะเปนมงคลอนสงสด
่ ื ่ ี่ ่้ ่ ี้ ึ ็ ั ู ุ
“ อาระตี วิระตี ปาปา มัชชะปานา จะ สัญญะโม
อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ”
มงคลชุดนี้มีด้วยกันสามข้อ เช่นเดียวกันต้องปฏิบัติให้ครบ
จึงจะเป็นมงคลอันสูงสุด
เมือก้าวสู่ มัชฌิมวัย คนในวัยกลางคนนีเ้ ป็นทีปรารถนานักของ
่ ่
หญงแพศยา ยอมมสงคมมาก ยอมตองมการดมกน เลยงสงสรรค์
ิ ่ ี ั ่ ้ ี ื่ ิ ี้ ั
กันมาก ความประมาทในธรรมทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย ฉะนั้น
การจะรกษาตนใหตงอยในศลธรรมอนดงาม กตองอาศยการฝกฝน
ั ้ ั้ ู่ ี ั ี ็้ ั ึ
มาดในมงคลทผานมา ศลและธรรมทศกษาผานมายอมตองนำมาใช้
ี ี่ ่ ี ี่ ึ ่ ่ ้ �
เพอหกหามจตใจตนมใหตกไปอยในความประมาททงปวง เมอไม่
ื่ ั ้ ิ ิ ้ ู่ ั้ ื่
ประมาทแลว การกจตางๆ ยอมไมหลงไปในทางบาปชว การเขาสงคม
้ ิ ่ ่ ่ ั่ ้ ั
ก็จะรูจกประมาณตน ไม่ตกเป็นทาสน�ำเมา กินเหล้าแต่อย่าให้เหล้ากิน
้ั ้
สุรานั้นมีคุณอนันต์และก็มีโทษมหันต์ด้วย ในข้อนี้จะเห็นได้ว่า
พระพทธศาสดานนเขาใจชวตอยางถองแท้ จงมไดหามอยางเดดขาด
ุ ั้ ้ ี ิ ่ ่ ึ ิ ้้ ่ ็
แตจะสอนสงใหไมประมาท มสตตงมนรประมาณในตน ทำไดอยางนี้
่ ั่ ้ ่ ี ิ ั้ ั่ ู้ � ้ ่
จึงจะเป็นมงคลอันสูงสุด
“ คาระโว จะ นิวาโต จะ สันตุฏฐี จะ กะตัญญุตา
กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ”
มงคลชดนมหาขอ ตองปฏบตใหครบ จงจะเปนมงคลอนสงสด
ุ ี้ ี ้ ้ ้ ิ ั ิ ้ ึ ็ ั ู ุ
สำ�นักปฏิบัติธรรม สุธัมมสถาน ๒๒
- 25. ในเมอมสงคมมาก เขาสงคมมาก ยอมตองพบปะผคนมากหนา
ื่ ี ั ้ ั ่ ้ ู้ ้
หลายตา ทั้งรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ การอ่อนน้อม
ถ่อมตน มีสมมาคารวะ สงบเสงียม รูกตัญญูในคุณของผูทเี่ คยอุปถัมภ์
ั ่ ้ ้
คำจน ยอมเปนทนบหนาถอตาในสงคม เปนทเี่ คารพนบนอบสำหรบ
�้ ุ ่ ็ ี่ ั ้ ื ั ็ � ั
ผู้ที่ด้อยกว่า ผู้ใหญ่ก็เรียกหา การศึกษาฟังธรรมค�ำสอนอันดีงาม
จากบัณฑิตผู้เป็นครูอาจารย์ย่อมจ�ำเป็นอย่างยิ่ง ท�ำได้อย่างนี้
จึงจะเป็นมงคลอันสูงสุด
“ ขันตี จะ โสวะจัสสะตา สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง
กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง ”
มงคลชุดนี้มีด้วยกันสี่ข้อ เช่นเดียวกับชุดอื่นๆ ต้องประพฤติ
ปฏิบัติให้ครบ จึงจะเป็นมงคลอันสูงสุด
วัยกลางคนนี้เป็นวัยที่มีความเจริญก้าวหน้าทั้งในหน้าที่
การงาน รบราชการกมความเปนใหญ่ ยอมตองมความหยงผยองบาง
ั ็ ี ็ ่ ้ ี ิ่ ้
เป็นธรรมดา ในคนที่ไม่อบรมตนมาดีก็จะล�้ำหน้ามากเกินไป
จนนารงเกยจ ใชอำนาจหนาททำรายทำลายผอนไดงาย เหตเุ พราะ
่ ั ี ้� ้ ี่ � ้ � ู้ ื่ ้ ่
ขาดขนตอดทนตอแรงกระทบ จงสมควรทจะตองสละเวลาอนมมาก
ั ิ ่ ึ ี่ ้ ั ี
ศกษาพระธรรมคำสอนจากสมณสงฆ์ ผมศลธรรมอนงาม ผานกาล
ึ � ู้ ี ี ั ่
เวลาอบรมบมตนมามากมาย เปนผทมความสงบระงบแลว เพอทจะ
่ ็ ู้ ี่ ี ั ้ ื่ ี่
ได้มีความอดทนขันติ รู้จักเคารพในความคิดเห็นของผู้อื่น รับฟัง
ความเห็นของผู้อื่นด้วยความสงบ ไม่ใช้อ�ำนาจ ประดุจหนึ่งเป็น
ผู้ว่านอนสอนง่าย ท�ำได้เช่นนี้จึงจะเป็นมงคลอันสูงสุด
๒๓ คำ�สอนของพระพุทธเจ้า
- 26. “ ตะโป จะ พรัหมะจะริยัญจะ อะริยะสัจจานะทัสสะนัง
นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ”
มงคลชดนมดวยกนสขอ ตองประพฤตปฏบตใหครบ จงจะเปน
ุ ี้ ี ้ ั ี่ ้ ้ ิ ิ ัิ ้ ึ ็
มงคลอันสูงสุด
ในเมื่อวัยกลางคนที่รุ่งเรืองผ่านไป วัยชราหรือ ปัจฉิมวัย
ก็เข้ามาเยือน หน้าที่การงานที่ผ่านมาก็ท�ำได้ส�ำเร็จดี ครอบครัว
ลูกหลานก็มีความมั่นคง ไม่น่าจะมีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ก็ควร
หันหน้าเข้าหากิจทางธรรมอย่างจริงจัง เพียรเพ่งเร่งเผากิเลส
ทสงสมมานาน จะมาจากหนาทการงานหรอสวนตนสวนตวกตาม
ี่ ั่ ้ ี่ ื ่ ่ ั ็
ตั้งมั่นรักษาพรหมจรรย์ ศึกษาอริยสัจอย่างจริงจัง ตั้งมั่นที่จะท�ำ
พระนิพพานให้แจ้ง เยี่ยงนี้แหละจึงจะเป็นมงคลอันสูงสุด
“ ผุฏฐัสสะ โลกะธรรมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ
อะโสกัง วิระชัง เขมัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ”
มงคลชุดนี้มีด้วยกันสี่ข้อ ประพฤติปฏิบัติได้ครบ ย่อมเป็น
มงคลอันสูงสุดอย่างยิ่งในชีวิต
เมื่ อ หมดห่ ว ง ตั้ ง มั่ น ประพฤติ ธ รรม รั ก ษาพรหมจรรย์
ความเพียรเพ่งเร่งเผากิเลสด้วยปัญญา อันเป็นธรรมดาในกิจการ
ทีผานชีวตมา เมือน�ำมาอุปมาอุปมัยให้เข้ากับพระธรรมค�ำสอนของ
่่ ิ ่
องค์พระพุทธศาสดา ปัญญาอันบริสุทธิ์ย่อมเกิดขึ้นได้โดยไม่ยาก
ธรรมอันเป็นธรรมดาโลก คือโลกธรรมแปดนั้น ย่อมมองเห็นว่า
เป็นเรื่องธรรมดา ไม่หวั่นไหวแล้วเมื่อถูกกระทบ จิตที่ฝึกฝนมาดี
สำ�นักปฏิบัติธรรม สุธัมมสถาน ๒๔